เสียงหอบของเอรอสกลืนไปกับเสียงลั่นของหิน และ ฝุ่นที่ลอยคละคลุ้งในอากาศ เขายืนหยัดอยู่กลางพื้นที่ของอาคารที่ถูกทำลายจากการโจมตีของทั้งสองฝั่ง ผิวดินที่แตกออกเป็นริ้วรอย และ เศษหินเกลื่อนกลาดรอบตัวเป็นพยานถึงการโจมตีที่รุนแรง ขวานสีทองในมือยังคงส่องแสงท่ามกลางหมอกฝุ่นรอบตัว หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำในอก แต่อย่างไรเขาก็ต้องยืนหยัดต่อไป ไม่ให้ศัตรูเบื้องหน้ามองเห็นความอ่อนแอ
มิโนทอร์ร่างยักษ์ตรงหน้า ผิวหนังสีคล้ำประหนึ่งแผ่นหิน ถูกปกคลุมด้วยชุดเกราะหนาทึบ เงามืดและพลังเวทย์สีเขียวหม่นแผ่กระจายออกจากร่างของมันอย่างน่ากลัว มันกวัดแกว่งขวานหินขนาดใหญ่ในมือเหมือนกับมันเป็นเพียงแค่ของเล่น ก่อนที่มันจะย่างสามขุมเข้ามาหาเอรอส ใบหน้าหนากร้าวคล้ายสัตว์ร้าย ดวงตาสีแดงเรืองวาวอย่างดุดัน คำรามต่ำในลำคอ ราวกับต้องการบดขยี้เขาให้กลายเป็นเศษซากใต้เท้าของมัน
ขวานหินนั้นฟาดลงมาอีกครั้ง พื้นดินระเบิดแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ด้วยพลังดุจแผ่นดินไหว เอรอสรีบกระโดดถอยหลัง พลางปัดป้องอย่างฉิวเฉียด ก่อนจะตวัดขวานของเขาฟาดฟันใส่ขาของมัน แต่แสงสะท้อนของเกราะหินบนร่างมันทำให้คมขวานของเอรอสเบี่ยงไป ขวานทองกระแทกเข้ากับเกราะแข็งเสียงดังสนั่น เหมือนเอรอสกำลังพยายามเจาะแผ่นภูผาอันแกร่งกล้า
“แค่นี้เองเหรอ?”มันแสยะยิ้มเยาะเย้ย สายตาดูหมิ่นจับจ้องไปที่เอรอส ไม่แม้แต่จะถอยหลัง แต่กลับง้างขวานหินขึ้นอีกครั้ง เงามืดก่อตัวขึ้นรอบตัวของมัน มันส่งแรงระเบิดของพลังเวทย์ดินกระจายออกไปในรัศมี เสริมความแข็งแกร่งของเกราะบนตัวมัน จนดูราวกับว่าทุกครั้งที่ฟาดฟัน มันยิ่งแน่นและแข็งยิ่งกว่าเดิม
เอรอสรู้สึกถึงความรุนแรงของแรงกดดันรอบตัว ทุกครั้งที่มิโนทอร์โจมตี มันเป็นเหมือนฝันร้ายที่เขายิ่งต้องฝ่าฟันขวานของเขาด้วยความระมัดระวังมากขึ้น พลางขบกรามเพื่อสู้กับความเหนื่อยล้า ในใจของเขามีแต่เสียงหนึ่งที่ดังก้องว่าเขาต้องหลีกเลี่ยงการใช้มานา แต่ทุกครั้งที่เขามองไปยังไอลีนที่นอนบาดเจ็บอยู่ใกล้ๆ เขาก็เริ่มรู้ว่าตัวเองคงไม่อาจหลีกเลี่ยงมันไปได้อีกนานนัก
เสียงคำรามของมิโนทอร์ดังก้องกังวาน ขณะที่มันโถมเข้าหาเอรอสด้วยความรุนแรง ฝุ่นตลบคลุ้งจากพื้นดินที่มันเหยียบจนแตกเป็นริ้วรอย ทุกก้าวย่างของมันเต็มไปด้วยอำนาจและแรงกดดันที่มากขึ้นทุกขณะ มันสะบัดขวานหินขนาดยักษ์ลงมาอีกครั้ง เฉียดหน้าเอรอสไปเพียงนิดเดียว เศษหินจากแรงกระแทกพุ่งใส่ตัวเขาอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บแปลบ
เอรอสสะบัดขวานทองของเขาขึ้น ฟาดฟันทุกการโจมตีที่มุ่งตรงมา เสียงเหล็กและหินปะทะกันดังก้อง ฝุ่นคลุ้งรอบตัวแทบทำให้ทัศนวิสัยเลือนราง แต่เขาก็ยังคงยืนหยัด ท่ามกลางหมอกฝุ่นที่ปกคลุมพื้นที่อย่างหนักหน่วง ทุกครั้งที่ขวานของเขาปะทะกับเกราะหินหนาของมิโนทอร์ รอยร้าวเพียงเล็กน้อยก็ดูเหมือนจะไม่ทำอะไรมันได้เลย
มันยกขวานขึ้นสูงอีกครั้งก่อนจะพุ่งลงมาอย่างดุดัน ความแรงจากขวานทำให้พื้นรอบข้างสั่นสะเทือน เอรอสต้องขยับตัวหลบอย่างรวดเร็ว พลิกขวานในมือสวนขึ้นไป หวังจะโจมตีจุดอ่อนในเกราะของมัน แต่ขวานทองของเขากระทบกับขาเกราะหินหนาจนสะท้าน เศษหินกระเด็นออกมาเพียงเล็กน้อยก่อนที่มันจะหันมาทำหน้าตาระรื่นเย้ยหยันใส่เขา
เอรอสกัดฟันแน่น มือทั้งสองกำขวานของเขาแน่นขึ้น พยายามจะรักษาจังหวะการต่อสู้ให้มั่นคง แม้ว่าพละกำลังของมันจะเหนือกว่ามาก ทุกครั้งที่มันฟาดขวานใส่ เขาต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อหลบ และ สวนกลับด้วยความรวดเร็ว แต่ดูเหมือนมันจะไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยล้า ขณะที่ตัวเขากลับเริ่มหอบหนัก จังหวะการโจมตีของมันไม่มีท่าทีว่าจะช้าลงแม้แต่น้อย
มันกระโจนเข้ามาอีกครั้ง ขวานหินฟาดลงอย่างไร้ความปราณี เอรอสกระโดดหลบขึ้นเหนือไปเพียงนิด ก่อนจะลงมาสวนด้วยการเหวี่ยงขวานใส่ไหล่มันเต็มแรง เศษเกราะกระเด็นออกมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายมากพอให้มันลดความดุดันลง
มันคำรามออกมาอย่างเดือดดาล ขณะย่อตัวลงเตรียมพร้อมอีกครั้ง ราวกับสัตว์ร้ายที่ถูกยั่วโทสะจนถึงขีดสุด ขวานหินในมือมันเต็มไปด้วยพลังเวทย์สีเขียวที่แผ่พลังร้ายกาจออกมา มันพุ่งเข้าหาเอรอสอีกครั้ง ด้วยความเร็วที่น่าทึ่งกว่าครั้งก่อน เอรอสพยายามสวนกลับ แต่พละกำลังของเขาเริ่มถดถอย มันฟาดขวานหินใส่จนเขากระเด็นถอยหลังไปไกล
ในจังหวะที่เขาต้องถอยอย่างเสียเปรียบ มันแสยะยิ้มกว้าง ก่อนจะเบนสายตามองไปทางไอลีนที่นอนบาดเจ็บอยู่ข้างหลัง มันย่างเท้าตรงไปหาเธอ ยื่นมือหยาบกร้านเหมือนเกราะหินจะคว้าเธอด้วยท่าทีที่อำมหิต ไอลีนพยายามจะขยับตัวหนี แต่แรงกายที่มีเหลือน้อยนิดไม่อาจให้เธอขัดขืนได้
“ออกไปให้้ห่างน่ะเว้ย…!” เอรอสตะโกนถลั่น ดวงตาสีแดงฉายแววตึงเครียด
แม้เขาจะลังเลเพราะรู้ดีว่าหากเริ่มใช้มานา เขาจะต้องเผชิญหน้ากับเจ้าของร่างนี้ที่เข้ามาครอบงำ แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เขากำขวานทองในมือแน่น หลับตาลงชั่วครู่เพื่อดึงเอาพลังจากส่วนลึกขึ้นมา ก่อนจะรู้สึกถึงกระแสไหลเวียนของมานาที่แผ่ซ่านเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว แสงสว่างสีแดงเข้มจางๆ ปรากฏรอบตัวเขา ราวกับมีคลื่นพลังงานไร้ตัวตนค่อยๆแผ่ขยายออกไปโดยรอบ
เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความมุ่งมั่นแน่วแน่ฉายชัดในดวงตาสีแดงฉานเหมือนเลือด เขาระเบิดพลังมานาเสริมเข้าไปในขวานทองที่เริ่มส่องประกายเข้มข้นขึ้น กระโจนพุ่งตัวเข้าใส่มิโนทอร์อย่างไร้ความลังเล ฟาดขวานใส่สีข้างของมันเต็มแรง พลังมหาศาลจากขวานทำให้มันเซไปด้านข้าง เสียงเกราะแตกร้าวดังสนั่น เศษหินกระจายออกจากร่างของมัน
มิโนทอร์คำรามด้วยความเจ็บปวด พยายามจะพุ่งเข้ามาคว้าไอลีนอีกครั้ง แต่คราวนี้เอรอสยืนขวางหน้ามันไว้อย่างแน่วแน่ เขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเหวี่ยงขวานทองกระแทกเข้ากับร่างของมันจนมันกระเด็นถอยออกไป เสียงคำรามของมันดังสะท้านไปทั่ว ก่อนที่มันจะเสียหลักล้มลงกับพื้น
เอรอสยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ มองตรงไปยังมิโนทอร์ที่กำลังค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างช้าๆ เขารู้ดีว่าพลังที่มีอยู่ในตอนนี้ไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับมันในระยะยาว ความเหนื่อยล้าเริ่มกัดกินทุกอณูในร่างกาย แต่เขาก็ต้องตัดสินใจให้แน่วแน่ เขาหลับตาลง สัมผัสถึงความเย็นเยือกที่ค่อยๆคลืบคลานขึ้นมาจากภายในจิตใจ มันเป็นพลังที่เขาปฏิเสธมาโดยตลอด “เขตแดน”ที่แสดงถึงรูปลักษณ์ของเจตจำนงของเจ้าของร่างที่เขาใช้ มันมีพลัง และ อำนาจมากพอที่จะทำลายสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้สิ้นซาก หากถูกตัดสินว่าเป็นความชั่วร้าย แต่หากเขาเปิดใช้ เขาจะต้องเสี่ยงต่อการถูกควบคุมโดยเจ้าของร่างทันทีที่พลังหมดลง
“บ้าเอ๊ย…” เขาพึมพำกับตัวเอง เสียงกระซิบของความลังเลพยายามรั้งเขาไว้ แต่ความรุนแรงของสถานการณ์และอาการบาดเจ็บของไอลีนทำให้เขาฝืนใจใช้พลังนั้นออกมา ดวงตาของเขาหรี่ลง ก่อนจะเปล่งประกายสีแดงเข้มขึ้นมาอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นสูดลมหายใจลึก และ เปล่งพลังอันลึกล้ำออกมาจากใจกลางจิตวิญญาณ
ทันใดนั้นเอง ลมรอบตัวเอรอสเริ่มไหลวน บิดเบี้ยวราวกับโลกทั้งใบกำลังตอบสนองต่อเจตจำนงของเขา พลังมานาเริ่มไหลเวียนออกจากร่างอย่างรุนแรง และ ไม่เป็นระเบียบ คล้ายกับมีหลายสิ่งที่เขายังขาดหายไปสำหรับการสร้างเขตแดนนี้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้น เอรอสก็กัดฟัน ใช้ทุกพลังที่มีเปิดเขตแดนออกมาโดยไม่ย่อท้อ
พื้นดินรอบตัวเขาสั่นไหว ผืนฟ้าสีครามแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีหม่นเข้ม ดวงจันทร์ที่เคยส่องแสงสลัวเริ่มถูกบดบังด้วยเงามืด ขณะที่พลังอันลึกลับกำลังก่อตัวขึ้น ไอลีนที่นอนอยู่มองภาพนี้ด้วยดวงตาเบิกกว้าง ความรู้สึกหนาวเยือกค่อย ๆ แทรกซึมเข้าในหัวใจของเธอ ราวกับมีอำนาจที่ไม่อาจหาคำมาอธิบายกำลังปลุกปั้นตนขึ้นจากอากาศรอบๆตัวเขา
จู่ๆ จากท่ามกลางความมืดที่ครอบคลุมพื้นที่โดยรอบ แขนขนาดมหึมาสีฟ้าเรืองรองปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ ความใหญ่โต และ ทรงพลังของมันราวกับจะบดขยี้ทุกสิ่ง ข้อมือหนาแน่นไปด้วยเส้นเลือดที่ปูดโปน ผิวเนื้อเข้มแข็งราวกับหินก่ำสลักลาย นิ้วมือทั้งห้าเรียวยาวแต่ทว่าเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อบีบแน่นราวกับกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการทำลายล้าง มันจับขวานยักษ์ใหญ่สีทองขนาดใหญ่ด้วยมือข้างเดียว แผ่ออร่าดุจโลหะหลอมเหลว ที่แฝงไปด้วยมานามหาศาลที่เข้มข้น ราวกับจะทำให้ผู้ที่ได้เห็นต้องหวาดหวั่นจนไม่อาจต้านทานได้
ไอลีนมองเห็นเพียงเงาของ “แขน” ขนาดมหึมานั้น แต่เพียงแค่เงาก็ทำให้เธอขนลุกซู่ ความเกรี้ยวกราดและเจตจำนงอันดุดันที่สิงอยู่ในพลังนั้นเหมือนมีชีวิตเป็นของตัวเอง เจตนาร้ายอันเยียบเย็นทะลักออกมาจากเขตแดนลึกลับของเอรอส ราวกับว่ามันต้องการทำลายล้างทุกสิ่งตรงหน้าให้สิ้นซาก
“นั่นมัน…อะไรกัน?” ไอลีนพึมพำออกมาแผ่วเบา ดวงตาเบิกกว้าง ร่างกายของเธอสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ปนเปด้วยความทึ่งที่เธอไม่อาจอธิบายได้ ภาพตรงหน้าน่ากลัวและน่าประทับใจไปพร้อมๆกัน แต่พลังที่ฝืนสร้างขึ้นนี้กลับทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าชายตรงหน้านั้นน่ากลัว และ อันตรายมากแค่ไหน
แขนขนาดมหึมาค่อยๆ ยกขวานขึ้นเหนือศีรษะเอรอส ราวกับกำลังสะสมพลังเพื่อสยบมิโนทอร์และทุกสิ่งรอบตัวในชั่วพริบตา ไอลีนไม่อาจละสายตาจากภาพนี้ได้ แม้หัวใจของเธอจะเต้นระรัวด้วยความรู้สึกที่เธอไม่คุ้นเคย แท้จริงแล้ว…เขาเป็นใครกันแน่?
ออร่าสีทองค่อยๆปกคลุมร่างไอลีน ราวกับกระแสธารแห่งชีวิตที่ค่อยๆไหลซึมเข้าสู่ร่างของเธอ เสียงหายใจที่แผ่วเบากลับมาสม่ำเสมออีกครั้ง ร่องรอยบาดแผลและความอ่อนล้าที่เกาะกินค่อยๆถูกชะล้างออกจากตัวของเธอ ผิวของไอลีนเปล่งประกายดูมีชีวิตชีวาขึ้นราวกับเธอฟื้นคืนพลังที่สูญเสียไปเอรอสที่ยืนอยู่ไม่ห่างนัก จ้องมองภาพนั้นด้วยความสับสน "นั้นมันอะไรกัน?" พลังแห่งการฟื้นฟูนี้ไม่เคยปรากฏกับเจ้าของร่างเดิมมาก่อน เขาครุ่นคิด ไม่เห็นจำได้เลยว่าเจ้าของร่างนี้จะมีพลังแบบนี้ แม้นี้จะเป็นครั้งที่สองที่เขาเขาใช้ แต่ก็มั่นใจว่าสิ่งนั้นมันเป็นผลจากเขตแดนแห่งเจตจำนงนี้แน่นอน ไม่ผิดเป็นอย่างอื่นในขณะเดียวกัน มิโนทอร์ที่เผชิญหน้ากับแขนขนาดมหึมาสีฟ้าที่ปรากฏขึ้นเหนือร่างเอรอส รู้สึกถึงแรงกดดันจากพลังทำลายล้างมหาศาลของสิ่งนั้น ความใหญ่โตของมันราวกับภูเขาที่ทาบทับเหนือหัว เส้นเลือดปูดโปนล้อมรอบแขนขนาดมหึมานั้นราวกับรากไม้เก่าแก่นั้น พลังที่แฝงอยู่ในมือขนาดมหึมานั้น กระจายออกมาทุกทิศทาง โลหะสีทองที่อยู่ในมือ เปล่งประกายราวกับถูกหลอมขึ้นมาใหม่ด้วยพลังอันเข้มข้น ขณะที่มันเงื้อขึ้นสูงเหนือร่างของมิโนทอร์ กระแสพลังอันน่าเ
กลางคืนเงียบงันจนน่าขนลุก เงามืดจากซากอาคารที่พังทลายทอดยาวไปทุกทิศทาง ไอลีนพยายามกลั้นหายใจในขณะที่ลากเอรอสเข้าไปในมุมอับใต้คานไม้ที่ทรุดตัวลง เศษซากกำแพงที่แตกกระจายมีร่องรอยการปะทะอย่างรุนแรง บางส่วนยังเปื้อนเขม่าดำและกลิ่นไหม้อ่อนๆ ที่ลอยวนอยู่ในอากาศพื้นดินใต้เท้าเย็นชื้น ราวกับสะท้อนความหนาวเหน็บที่กัดกร่อนหัวใจของเธอ เธอพยายามหาที่กำบังที่ปลอดภัยที่สุดในบริเวณนั้น มือทั้งสองข้างที่จับแขนของเอรอสสั่นเทาด้วยแรงจากทั้งความเหนื่อยล้าและความหวาดกลัว“พวกเราเข้ามาหลบ... ตรงนี้ก่อน” ไอลีนกระซิบ ขณะที่พวกเขาแทรกตัวเข้าไปใต้กองเศษซากไม้เอรอสไม่ได้ตอบ เขานั่งนิ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ใบหน้าเรียบเฉย แต่ลมหายใจหนักหน่วงผิดปกติ และดวงตาสีแดงเรืองรองในความมืดนั้น กำลังสะท้อนถึงบางสิ่งที่ไม่ปกติ“เงียบไว้...” เธอกระซิบเสียงเบา ลมหายใจของเธอเร่งรัวจนแทบจะควบคุมไม่ได้ดวงตาสีฟ้าของเธอจับจ้องไปยังรอยแตกเล็กๆในกำแพงที่เปิดออกสู่ด้านนอก ช่องเล็กพอที่จะมองเห็นเงาของกลุ่มคนที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ เสียงฝีเท้าหนักๆ บนเศษหินดังก้องในความเงียบ“พวกเขามาแล้ว” ไอลีนกระซิบแผ่ว ดวงตาเบิกกว้างเสียงสนท
บรรยากาศในห้องทำงานของผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าช่างอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก กลิ่นอับของเอกสารเก่าผสมกับกลิ่นบุหรี่จางๆ โอบล้อมพื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองเอกสารและบัญชีการเงิน ผู้อำนวยการนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้หนังเก่าซึ่งดูเหมือนพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชวนให้รู้สึกระแวงมากกว่าสบายใจ"คุณเอรอสใช่ไหม? ฉันได้รับการแจ้งมาว่าคุณต้องการบริจาคเงินให้เหล่าเด็กๆที่คุณหนูไอลีนพามา" เสียงของเขาเนิบนาบ ท่าทางเหมือนพยายามจับจุดอีกฝ่ายเอรอสนั่งนิ่งอยู่ตรงข้าม เขาสูงโปร่งสำหรับเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สายตาสีเทาของเขาเย็นชาและไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ“ใช่ ผมมาที่นี่ บริจาคเงิน ให้เด็กๆที่เพิ่งเข้ามา" เขาเอ่ยเสียงเรียบผู้อำนวยการชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ"อืม น่าชื่นชมจริงๆนะครับ แต่การรับผิดชอบเงินจำนวนมากขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอมาจากครอบครัวไหนหรือ ถึงได้ใจกว้างขนาดนี้?"คำถามนั้นเหมือนมีความนัย แต่เอรอสไม่แสดงอาการใดๆ เขาเพียงหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางมันลงบนโต๊ะ เสียงเหรียญกระทบกันดังชัดเจน"ไม่จำเป็นต้องถาม" เขาตอบสั้นๆน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่น
ในห้องทำงานของกิลด์นักผจญภัย บรรยากาศเงียบงันอย่างกดดัน แสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ช่วยให้ห้องนี้รู้สึกอบอุ่นแม้แต่น้อย กลิ่นไม้เก่าและหมึกเขียนหนังสืออบอวลอยู่ในอากาศ บนโต๊ะมีเอกสารกองระเกะระกะ สะท้อนถึงความสับสนวุ่นวายในงานที่ค้างคา เสียงก้าวเท้าหนัก ๆ ของชายร่างใหญ่ดังก้องในห้อง ราวกับเขากำลังทุ่มความโกรธทั้งหมดลงในทุกย่างก้าว“พวกแกทำบ้าอะไรกันอยู่!!”เสียงของขุนนางร่างใหญ่ดังก้องทั่วห้อง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ใบหน้าแดงก่ำ ราวกับภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิด ชายวัยกลางคนผู้จัดการแผนกสืบสวนก้มศีรษะต่ำ มือสั่นไหวเล็กน้อยจากแรงกดดันที่ได้รับ“ผมขอโทษจริงๆครับท่าน เรากำลังพยายามเต็มที่ในการตามหาตัวลูกชายของท่าน เราจะเร่งหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยเร็วที่สุด” เขาเอ่ยเสียงสั่น เผยให้เห็นถึงความวิตกกังวลในแววตา“พยายาม? พวกแกยังกล้ามาพูดคำนี้อีกงั้นเหรอ? พวกแกทำอะไรอยู่ตั้งหลายวัน! แต่ก็ยังหาเขาไม่เจอ!!” เสียงของขุนนางเหมือนฟ้าผ่ากลางห้อง เขายืนอยู่ตรงหน้าผู้จัดการ ราวกับจะกลืนกินเขาเข้าไปชายผู้จัดการขบกรามแน่น เขาพยายามอย่างมากที่จะไม่แสดงอารมณ์โกรธห
แสงอาทิตย์สีส้มยามเย็นทอดเงาหม่นลงบนพื้นดินสกปรกของย่านสลัมตอนใต้ของเมือง ตรอกซอกซอยที่คดเคี้ยวคับแคบเช่นนี้ถูกทิ้งร้างมานาน พื้นดินแตกระแหง บ้านเรือนส่วนใหญ่ทำจากไม้เก่า และ หินที่กองกันอย่างไม่เป็นระเบียบ บางหลังทรุดโทรมจวนพัง หลังคามุงกระเบื้องเก่าๆ ผ้าที่ติดอยู่ที่หน้าต่างปลิวไสวตามลมเสียงแผ่วเบาของมัน ยิ่งเสริมให้บรรยากาศโดยรอบดูเงียบเหงา อ้างว้าง เศษขยะ และ วัตถุเหลือใช้กองอยู่ตามมุมต่างๆ บ่งบอกถึงความเสื่อมโทรมของที่นี่ชัดเจนเอรอสยืนอยู่หน้าปากซอยหนึ่ง หลังจากใช้เวลาตลอดทั้งวันตระเวนตามหาร่องรอยของมานาที่ตกค้างหลงเหลืออยู่บนตัวผู้เสียหาย แม้มันจะเหลือน้อยจนแทยสัมผัสไม่ได้ แต่ก็เพียงพอที่จะนำพาเขามาถึงสถานที่นี้มานาที่เขารับรู้ได้คล้ายกับมานาที่ลอยอยู่ในอากาศตรงหน้า แต่มีบางอย่างแปลกประหลาด... มันเย็นเยียบ หนักอึ้ง และ บิดเบี้ยว ผิดธรรมชาติอย่างรุนแรง มันให้รู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก แม้มานานั้นจะสงบนิ่งอยู่ในขณะนี้ แต่ความมืดมิดที่แผ่ออกมาจากมัน ยังคงสร้างความรู้สึกอึดอัด และ ชวนให้ระแวง ราวกับมันรอคอยบางสิ่งที่จะกระตุ้นให้มันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง"ที่นี่สินะ..." เอรอสกระซิบ
หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นมา ร่างเล็กๆของเธอสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับคนที่สะลืมสะลือ ตื่นจากการหลับไหลในศาลาสีขาวเล็กๆ ท่ามกลางความเงียบสงัด ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งยืนตระหง่านไม่ไกล กิ่งก้านแผ่ขยายอย่างสง่างาม แสงแดดอ่อนส่องลอดผ่านใบไม้สร้างโดมทองอร่ามปกคลุมสถานที่แห่งนี้ ขณะบรรยากาศแฝงความลึกลับ ราวกับสถานที่แห่งนี้ซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้เธอดูเหมือนยังไม่สังเกตเห็นเขา ราวกับว่าไม่มีใครนอกจากตัวเธอในสถานที่นี้ ความเงียบทำให้รู้สึกว่าโลกนี้มีเพียงเธอ ในมุมของเขา เขาไม่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่นานแค่ไหน แต่ดูเหมือนเธอจะเคยชินกับที่นี้ ราวกับอยู่มานานมากแล้วในขณะที่เขายืนห่างเพียงเล็กน้อย สายตาของเธอก็เลื่อนมาหาเขา ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นเข้ามาในจิตใจ เหมือนกับถูกดึงดูดด้วยความสงสัย แต่ก็มีความกดดันแฝง ราวกับเธอสัมผัสถึงความลึกลับที่เขาซ่อนอยู่ หัวใจเขาเต้นแรงเมื่อเธอเริ่มรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา“...นั้นใคร?” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อยแต่แฝงความเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง คำถามของเธอตึงเครียดขึ้น และในวินาทีนั้น พลังมานาที่สะสมในร่างเล็กๆ ของเธอก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรงความรู้สึกที่เคยสงบนิ่งของเขาถูกแทนที่
หญิงสาวหันมามองเขาอีกครั้ง ดวงตาของเธอจับจ้องเอรอสด้วยความนิ่งสงบ แต่แฝงความลึกลับบางอย่าง“ชะตากรรม... นำคุณมาที่นี่” เธอเอ่ยเสียงเบา แต่คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความหมายที่เขายังไม่เข้าใจเอรอสขมวดคิ้วเล็กน้อย ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ“ชะตากรรม? คุณหมายความว่ายังไง... ผมเคยมาที่นี่มาก่อนเหรอ?”หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ ราวกับจะบอกว่าเธอเองก็ไม่ได้มีคำตอบที่ชัดเจน“ฉันไม่รู้... แค่รู้สึกได้ว่าคุณกับที่นี่... มีอะไรบางอย่างเชื่อมโยงกันอยู่ คุณไม่ได้เข้ามาโดยบังเอิญหรอก”เอรอสสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างในใจของเขา เขามองไปรอบๆ ก่อนจะหันกลับมาหาเธอ“แล้วทำไมคุณถึงปล่อยให้ผมอยู่ต่อ?”เขาถามน้ำเสียงยังคงระวังตัว แต่ความสงสัยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆเธอยิ้มบางๆ ราวกับกำลังชั่งใจ“ฉันเองก็อยากรู้... ว่าทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้ บางทีสิ่งที่คุณกำลังตามหา... อาจอยู่ที่นี่ก็ได้” เธอพูดพลางมองไปรอบๆสถานที่แห่งนี้ มันดูเก่าแก่ และ ลึกลับ ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเอรอสพยักหน้าเบาๆ แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าที่นี่มีความหมายบางอย่างมากกว่าที่ตาเห็น“งั้นผมขอสำรวจดูหน่อย เผื่อจะเจออะไรบางอย่าง”
ในชั่วพริบตา วงเวทขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเบื้องหน้า มันแผ่กระจายแสงสีแดงเข้มออกมาอย่างน่ากลัว พลังเวทที่แผ่ซ่านออกมากดทับทุกสิ่งรอบตัวจนบิดเบือนมานาในบรรยากาศกลายเป็นพายุหมุน เส้นอักขระซับซ้อนที่เคลื่อนที่บนวงเวทบ่งบอกถึงความรุนแรงและบ้าคลั่ง แม้เอรอสจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของมันโดยตรง แต่ความรู้สึกเย็นวาบที่วิ่งผ่านร่างบอกเขาว่า วงเวทนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายเขาโดยเฉพาะ"บางอย่าง...กำลังจะมา" เอรอสพึมพำเบาๆ ขณะที่พยายามรวบรวมสมาธิแต่ก่อนที่เขาจะเตรียมพร้อมได้เต็มที่ ศรเวทสีเงินก็พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันเร็วราวกับฉีกอากาศออกเป็นเสี่ยงๆ เขาไม่ทันได้เห็นมันอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ สัญชาตญาณของเขาบังคับให้ยกแขนขึ้นป้องกัน แต่ศรนั้นพุ่งทะลุผ่านแขนของเขาไปอย่างง่ายดาย ราวกับว่าแขนของเขาไร้ความหมายต่อพลังนั้นไม่มีแรงกระแทก ไม่มีความรู้สึกจากการสัมผัสเนื้อหนัง—แค่ความเจ็บปวดที่เกิดจากพลังบางอย่างที่ลึกกว่าร่างกาย ศรเวทนั้นพุ่งเข้าปักกลางอกของเขาอย่างแม่นยำ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านราวกับคลื่นพลังที่แทรกซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา เอรอสทรุดลงกับพื้นทันที ร่างกายแทบจะตอบสนองไม่ได้ คว