บรรยากาศในห้องทำงานของผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าช่างอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก กลิ่นอับของเอกสารเก่าผสมกับกลิ่นบุหรี่จางๆ โอบล้อมพื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองเอกสารและบัญชีการเงิน ผู้อำนวยการนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้หนังเก่าซึ่งดูเหมือนพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชวนให้รู้สึกระแวงมากกว่าสบายใจ
"คุณเอรอสใช่ไหม? ฉันได้รับการแจ้งมาว่าคุณต้องการบริจาคเงินให้เหล่าเด็กๆที่คุณหนูไอลีนพามา" เสียงของเขาเนิบนาบ ท่าทางเหมือนพยายามจับจุดอีกฝ่าย
เอรอสนั่งนิ่งอยู่ตรงข้าม เขาสูงโปร่งสำหรับเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สายตาสีเทาของเขาเย็นชาและไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ
“ใช่ ผมมาที่นี่ บริจาคเงิน ให้เด็กๆที่เพิ่งเข้ามา" เขาเอ่ยเสียงเรียบ
ผู้อำนวยการชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ
"อืม น่าชื่นชมจริงๆนะครับ แต่การรับผิดชอบเงินจำนวนมากขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอมาจากครอบครัวไหนหรือ ถึงได้ใจกว้างขนาดนี้?"
คำถามนั้นเหมือนมีความนัย แต่เอรอสไม่แสดงอาการใดๆ เขาเพียงหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางมันลงบนโต๊ะ เสียงเหรียญกระทบกันดังชัดเจน
"ไม่จำเป็นต้องถาม" เขาตอบสั้นๆน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่น
ผู้อำนวยการทำสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยก่อนจะปรับเป็นรอยยิ้มแห้งๆเขาเปิดถุงเงินออกดู แล้วแสร้งทำท่าพอใจ
"จำนวนนี้... ใช่เลย เพียงพอสำหรับค่าดูแลเด็กๆ ของคุณหนูไอลีนแน่นอนครับ"
"เงินนี้ ไม่ได้มาจากเธอ และคุณก็น่าจะรู้" เอรอสพูดแทรก สายตาของเขาจับจ้องไปที่อีกฝ่าย
"อย่าใช้ชื่อนั้นมาผูกผมเอาไว้ และ ผมหวังว่าเงินเท่านี้จะเพียงพอที่คุณจะไม่ใช้งานเด็กพวกนั้น สำหรับเดือนนี้"
คำพูดนั้นทำให้ผู้อำนวยการนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะระเบิดเสียงหัวเราะแห้งๆ ออกมา
"ฮ่าฮ่า แน่นอนครับ แน่นอน... บ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้ให้ความสำคัญกับชีวิตของเด็กๆ มากกว่าสิ่งใด คุณไม่ต้องกังวล"
เอรอสยังคงจ้องมองอีกฝ่ายตรงๆ แววตาของเขากลับเย็นเฉียบ ราวกับมองทะลุคำโกหกทั้งหมดที่หลุดออกมาจากปากอีกฝ่าย แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจท่าทีใดๆของเขาเอรอสก็ตาม
“….ทำตามที่พูดไว้ แล้วผมสัญญา เงินจำนวนนี้จะถูกส่งกลับมาอีกในเดือนหน้า ”เขาตอบเสียงเรียบ ก่อนจะลุกขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านช่างเป็นผู้มีจิตใจอันงดงามจริงๆ!” ผู้อำนวยการกล่าวพร้อมยิ้มกว้าง แต่คำพูดนั้นดูไร้ความจริงใจ
เอรอสไม่ได้หันกลับไปมอง เขาเดินออกจากห้องโดยไม่แยแสคำยกยอใดๆ
ภายในทางเดินของอาคารบ้านเด็กกำพร้า
หลังจากจัดการกับธุระในห้องผู้อำนวยการ เอรอสก็เดินออกมา เขาเลี่ยงไม่เข้าไปในส่วนที่เด็กๆ เล่นกันอยู่เพราะไม่ต้องการให้ใครจำหน้าได้
เสียงกระทะกระทบกับเตาดังเป็นจังหวะขณะที่เอรอสก้าวผ่านหน้าห้องครัวเล็กๆภายในอาคาร มีกลิ่นหอมของขนมปังอบใหม่ๆ หญิงชราคนหนึ่งกำลังล้างจานอยู่ที่มุมห้อง ดวงตาของเธอละสายตาจากจานไปมองเด็กคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้ๆด้วยความอ่อนโยน
เมื่อเอรอสกำลังจะเดินผ่านโดยที่ไม่สนใจหญิงชราที่อยู่ในครัว แต่แล้วเธอก็กลับหันมามองเขา และ ก้มหัวให้เขาอย่างสุภาพ แล้วเข้ามาขอบคุณตัวเขาอย่างกระตือรือร้น
“คุณคือคนที่มาบริจาคเงินให้เด็กๆใช่ไหมคะ?” เธอถามน้ำเสียงนุ่มนวล ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยริ้วรอยจากวัย แต่แววตายังคงอบอุ่น
“ใช่” เอรอสตอบเรียบๆ
หญิงชราเช็ดมือด้วยผ้ากันเปื้อนของเธอ ก่อนจะพูดต่อ
“ฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่เงินที่คุณบริจาคมันมากพอที่จะช่วยเด็กๆ ได้อีกหลายเดือน ฉันไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี”
เอรอสนิ่งไปเล็กน้อย ราวกับไม่รู้ว่าจะตอบอะไร ความคิดหนึ่งวาบขึ้นมาในหัว
“หลายเดือน? เดือนเดียวล่ะสิไม่ว่า ทำไมต้องเสียเวลาทำอะไรที่ไร้ประโยชน์ขนาดนี้?” แต่เขาไม่ได้พูดออกมา
“คุณทำงานที่นี่มานานหรือยัง?” เขาถาม น้ำเสียงของเขาแฝงความสงสัยอย่างจริงจัง
“ก็นานพอสมควรค่ะ เกือบยี่สิบปีได้แล้ว” เธอตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ
“คุณรู้ไหมว่าคุณได้อะไรจากการทำงานแบบนี้? ไม่คิดว่าเสียเวลางั้นหรอ?”
คำถามนั้นทำให้หญิงชราหัวเราะเบาๆ “ได้อะไรหรือคะ? บางทีอาจจะไม่ได้อะไรเลยในสายตาคนอื่น แต่มันทำให้ฉันมีความสุขที่ได้เห็นเด็กๆ มีรอยยิ้ม”
เอรอสเงียบไป เขาจ้องมองเธออย่างไม่เข้าใจ
“มันไม่สมเหตุสมผลเลย ทำไมเธอต้องเสียสละตัวเองเพื่อเด็กๆพวกนี้ด้วย” เขาพูดเบาๆแต่เสียงนั้นก็พอให้หญิงชราได้ยิน
“บางสิ่งในชีวิตไม่จำเป็นต้องสมเหตุสมผลหรอกค่ะ ฉันก็แค่ต้องการจะดูแลเด็กๆพวกนี้ให้ดีที่สุด จวบจนวันสุดท้ายของชีวิต อย่างน้อยชีวิตของฉัน ก็มีค่าสำหรับเด็กๆพวกนี้บ้าง” เธอยิ้มด้วยความอ่อนโยน ปราศจากความโลภใดๆที่แผ่ออกมา
เอรอสเลื่อนสายตาไปที่เด็กคนหนึ่งที่นั่งแกะขนมปังในจานของเขาอย่างตั้งใจ เด็กคนนั้นหัวเราะเบาๆขณะเล่นกับเศษขนมปัง ครั้งนึงที่พวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ข้างถนน พลางหาเศษอาหาร หรือ ขโมยเพื่อเอาชีวิตรอด ในตอนนี้กำลังใช้ชีวิตอย่างสงบสุข โดบปราศจากความทุกข์ใดๆ
แต่อย่างไรก็ตาม หากเพียงแค่เขาไม่บริจาคเงินให้เด็กพวกนี้ในเดือนหน้า พวกเขาทั้งหมด ก็จะถูกส่งไปใช้แรงงานให้ตระกูลขุนนางในเมือง เพื่อกลายเป็นเด็กรับใช้ หรือ ไม่ก็ถูกส่งให้ไปใช้แรงงานในตลาด เพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียนแทน ทำให้ความสงบสุขที่อยู่ตรงหน้านี้ มันช่างเปราะบางจริงๆ เขาหันกลับมามองหญิงชราอีกครั้ง
"คุณเป็นคนที่ดีน่ะ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่ง แม้ในใจของเขาจะไม่ได้คิดแบบนั้นก็ตาม
หญิงชรานิ่งไป ก่อนจะยิ้มกว้างและขอบคุณเขาด้วยความจริงใจ
“ขอบคุณค่ะ”หลังจากนั้นเสียงเตาอบก็ดังขึ้น เธอขอตัวเพื่อจะไปจัดการกับขนมปังที่อยู่ข้างในก่อน ก่อนจะก้มหัวให้เขา แล้วเดินจากไป
เอรอสยังคงมองหญิงชราอยู่เงียบๆ แม้ว่าในใจของเขาจะยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย เขายังไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูดเลยแม้แต่น้อย และมันคงยากที่จะเข้าใจการทำอะไรที่ไร้สาระแบบนั้น
เขาหันหลังเดินออกจากห้องครัว ความคิดที่เกี่ยวกับการเสียสละของหญิงชรากลับมาหลอกหลอนในหัวเขา แต่มันก็ไม่สามารถทำให้เขาเข้าใจได้มากขึ้น ว่าทำไมคนถึงต้องทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์แบบนี้
เมื่อเขากำลังจะเปิดประตูเพื่อออกจากสถานที่แห่งนี้ ประตูกลับถูกดึงออกไปก่อน และทันใดนั้นเอง เขาก็พบกับหญิงสาวผมสีฟ้าดุจดั่งท้องฟ้ายามค่ำคืนยืนอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางลังเล เธอสวมเครื่องประดับที่คล้องรอบคอ ราวกับพยายามปกปิดรอยมือที่เกิดขึ้นเมื่อคืน รอยยิ้มที่เธอพยายามยกขึ้นดูไม่ค่อยมั่นใจนัก และแววตาของเธอก็แฝงไปด้วยความกังวล
ทั้งสองยืนเผชิญหน้ากันในความเงียบ จ้องมองกันอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับกำลังค้นหาคำพูดที่เหมาะสม แต่กลับไม่มีคำใดหลุดออกมา ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความค้างคาและไม่แน่ใจเหมือนลอยวนอยู่ในอากาศ เอรอสยังคงนิ่งเฉย สายตาของเขามองออกไปนอกประตู ชวนให้รู้สึกเหมือนว่าเขาต้องการจะหลีกหนี ก่อนที่สายตาคู่นั้นจะกลับมาจับจ้องที่ไอลีนอีกครั้ง
ไอลีนยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าของเธอบ่งบอกถึงความลังเล เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายกำลังชั่งใจว่าจะพูดอะไรบางอย่างหรือไม่ แต่สุดท้ายกลับเลือกที่จะนิ่งเงียบ เธอไม่ได้ขยับตัว มีเพียงสายตาที่ทอดไปยังเอรอส ซึ่งดูเหมือนกำลังรอคำพูดบางคำจากเธอ
ความเงียบระหว่างทั้งสองแผ่ปกคลุมบรรยากาศจนดูเหมือนทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่ง ท่ามกลางความสงัดที่ดูหนักอึ้ง แม้ว่าทั้งสองจะยืนอยู่ใกล้กันจนแทบจะสัมผัสได้ถึงลมหายใจ แต่กลับรู้สึกเหมือนมีกำแพงบางอย่างกั้นขวาง ระยะห่างที่มองไม่เห็น แต่กลับรู้สึกชัดเจนในหัวใจของทั้งคู่
ในห้องทำงานของกิลด์นักผจญภัย บรรยากาศเงียบงันอย่างกดดัน แสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ช่วยให้ห้องนี้รู้สึกอบอุ่นแม้แต่น้อย กลิ่นไม้เก่าและหมึกเขียนหนังสืออบอวลอยู่ในอากาศ บนโต๊ะมีเอกสารกองระเกะระกะ สะท้อนถึงความสับสนวุ่นวายในงานที่ค้างคา เสียงก้าวเท้าหนัก ๆ ของชายร่างใหญ่ดังก้องในห้อง ราวกับเขากำลังทุ่มความโกรธทั้งหมดลงในทุกย่างก้าว“พวกแกทำบ้าอะไรกันอยู่!!”เสียงของขุนนางร่างใหญ่ดังก้องทั่วห้อง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ใบหน้าแดงก่ำ ราวกับภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิด ชายวัยกลางคนผู้จัดการแผนกสืบสวนก้มศีรษะต่ำ มือสั่นไหวเล็กน้อยจากแรงกดดันที่ได้รับ“ผมขอโทษจริงๆครับท่าน เรากำลังพยายามเต็มที่ในการตามหาตัวลูกชายของท่าน เราจะเร่งหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยเร็วที่สุด” เขาเอ่ยเสียงสั่น เผยให้เห็นถึงความวิตกกังวลในแววตา“พยายาม? พวกแกยังกล้ามาพูดคำนี้อีกงั้นเหรอ? พวกแกทำอะไรอยู่ตั้งหลายวัน! แต่ก็ยังหาเขาไม่เจอ!!” เสียงของขุนนางเหมือนฟ้าผ่ากลางห้อง เขายืนอยู่ตรงหน้าผู้จัดการ ราวกับจะกลืนกินเขาเข้าไปชายผู้จัดการขบกรามแน่น เขาพยายามอย่างมากที่จะไม่แสดงอารมณ์โกรธห
แสงอาทิตย์สีส้มยามเย็นทอดเงาหม่นลงบนพื้นดินสกปรกของย่านสลัมตอนใต้ของเมือง ตรอกซอกซอยที่คดเคี้ยวคับแคบเช่นนี้ถูกทิ้งร้างมานาน พื้นดินแตกระแหง บ้านเรือนส่วนใหญ่ทำจากไม้เก่า และ หินที่กองกันอย่างไม่เป็นระเบียบ บางหลังทรุดโทรมจวนพัง หลังคามุงกระเบื้องเก่าๆ ผ้าที่ติดอยู่ที่หน้าต่างปลิวไสวตามลมเสียงแผ่วเบาของมัน ยิ่งเสริมให้บรรยากาศโดยรอบดูเงียบเหงา อ้างว้าง เศษขยะ และ วัตถุเหลือใช้กองอยู่ตามมุมต่างๆ บ่งบอกถึงความเสื่อมโทรมของที่นี่ชัดเจนเอรอสยืนอยู่หน้าปากซอยหนึ่ง หลังจากใช้เวลาตลอดทั้งวันตระเวนตามหาร่องรอยของมานาที่ตกค้างหลงเหลืออยู่บนตัวผู้เสียหาย แม้มันจะเหลือน้อยจนแทยสัมผัสไม่ได้ แต่ก็เพียงพอที่จะนำพาเขามาถึงสถานที่นี้มานาที่เขารับรู้ได้คล้ายกับมานาที่ลอยอยู่ในอากาศตรงหน้า แต่มีบางอย่างแปลกประหลาด... มันเย็นเยียบ หนักอึ้ง และ บิดเบี้ยว ผิดธรรมชาติอย่างรุนแรง มันให้รู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก แม้มานานั้นจะสงบนิ่งอยู่ในขณะนี้ แต่ความมืดมิดที่แผ่ออกมาจากมัน ยังคงสร้างความรู้สึกอึดอัด และ ชวนให้ระแวง ราวกับมันรอคอยบางสิ่งที่จะกระตุ้นให้มันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง"ที่นี่สินะ..." เอรอสกระซิบ
หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นมา ร่างเล็กๆของเธอสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับคนที่สะลืมสะลือ ตื่นจากการหลับไหลในศาลาสีขาวเล็กๆ ท่ามกลางความเงียบสงัด ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งยืนตระหง่านไม่ไกล กิ่งก้านแผ่ขยายอย่างสง่างาม แสงแดดอ่อนส่องลอดผ่านใบไม้สร้างโดมทองอร่ามปกคลุมสถานที่แห่งนี้ ขณะบรรยากาศแฝงความลึกลับ ราวกับสถานที่แห่งนี้ซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้เธอดูเหมือนยังไม่สังเกตเห็นเขา ราวกับว่าไม่มีใครนอกจากตัวเธอในสถานที่นี้ ความเงียบทำให้รู้สึกว่าโลกนี้มีเพียงเธอ ในมุมของเขา เขาไม่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่นานแค่ไหน แต่ดูเหมือนเธอจะเคยชินกับที่นี้ ราวกับอยู่มานานมากแล้วในขณะที่เขายืนห่างเพียงเล็กน้อย สายตาของเธอก็เลื่อนมาหาเขา ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นเข้ามาในจิตใจ เหมือนกับถูกดึงดูดด้วยความสงสัย แต่ก็มีความกดดันแฝง ราวกับเธอสัมผัสถึงความลึกลับที่เขาซ่อนอยู่ หัวใจเขาเต้นแรงเมื่อเธอเริ่มรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา“...นั้นใคร?” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อยแต่แฝงความเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง คำถามของเธอตึงเครียดขึ้น และในวินาทีนั้น พลังมานาที่สะสมในร่างเล็กๆ ของเธอก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรงความรู้สึกที่เคยสงบนิ่งของเขาถูกแทนที่
หญิงสาวหันมามองเขาอีกครั้ง ดวงตาของเธอจับจ้องเอรอสด้วยความนิ่งสงบ แต่แฝงความลึกลับบางอย่าง“ชะตากรรม... นำคุณมาที่นี่” เธอเอ่ยเสียงเบา แต่คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความหมายที่เขายังไม่เข้าใจเอรอสขมวดคิ้วเล็กน้อย ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ“ชะตากรรม? คุณหมายความว่ายังไง... ผมเคยมาที่นี่มาก่อนเหรอ?”หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ ราวกับจะบอกว่าเธอเองก็ไม่ได้มีคำตอบที่ชัดเจน“ฉันไม่รู้... แค่รู้สึกได้ว่าคุณกับที่นี่... มีอะไรบางอย่างเชื่อมโยงกันอยู่ คุณไม่ได้เข้ามาโดยบังเอิญหรอก”เอรอสสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างในใจของเขา เขามองไปรอบๆ ก่อนจะหันกลับมาหาเธอ“แล้วทำไมคุณถึงปล่อยให้ผมอยู่ต่อ?”เขาถามน้ำเสียงยังคงระวังตัว แต่ความสงสัยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆเธอยิ้มบางๆ ราวกับกำลังชั่งใจ“ฉันเองก็อยากรู้... ว่าทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้ บางทีสิ่งที่คุณกำลังตามหา... อาจอยู่ที่นี่ก็ได้” เธอพูดพลางมองไปรอบๆสถานที่แห่งนี้ มันดูเก่าแก่ และ ลึกลับ ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเอรอสพยักหน้าเบาๆ แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าที่นี่มีความหมายบางอย่างมากกว่าที่ตาเห็น“งั้นผมขอสำรวจดูหน่อย เผื่อจะเจออะไรบางอย่าง”
ในชั่วพริบตา วงเวทขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเบื้องหน้า มันแผ่กระจายแสงสีแดงเข้มออกมาอย่างน่ากลัว พลังเวทที่แผ่ซ่านออกมากดทับทุกสิ่งรอบตัวจนบิดเบือนมานาในบรรยากาศกลายเป็นพายุหมุน เส้นอักขระซับซ้อนที่เคลื่อนที่บนวงเวทบ่งบอกถึงความรุนแรงและบ้าคลั่ง แม้เอรอสจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของมันโดยตรง แต่ความรู้สึกเย็นวาบที่วิ่งผ่านร่างบอกเขาว่า วงเวทนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายเขาโดยเฉพาะ"บางอย่าง...กำลังจะมา" เอรอสพึมพำเบาๆ ขณะที่พยายามรวบรวมสมาธิแต่ก่อนที่เขาจะเตรียมพร้อมได้เต็มที่ ศรเวทสีเงินก็พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันเร็วราวกับฉีกอากาศออกเป็นเสี่ยงๆ เขาไม่ทันได้เห็นมันอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ สัญชาตญาณของเขาบังคับให้ยกแขนขึ้นป้องกัน แต่ศรนั้นพุ่งทะลุผ่านแขนของเขาไปอย่างง่ายดาย ราวกับว่าแขนของเขาไร้ความหมายต่อพลังนั้นไม่มีแรงกระแทก ไม่มีความรู้สึกจากการสัมผัสเนื้อหนัง—แค่ความเจ็บปวดที่เกิดจากพลังบางอย่างที่ลึกกว่าร่างกาย ศรเวทนั้นพุ่งเข้าปักกลางอกของเขาอย่างแม่นยำ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านราวกับคลื่นพลังที่แทรกซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา เอรอสทรุดลงกับพื้นทันที ร่างกายแทบจะตอบสนองไม่ได้ คว
เอรอสพยักหน้าช้าๆเมื่อชื่อของ ไรอัส อาร์แคนเทีย ถูกกล่าวถึง ชายผู้เป็นตำนานจอมเวทผู้บุกเบิกเส้นทางเวทมนตร์ ชื่อของเขายังคงเป็นที่เล่าขานแม้เวลาจะผ่านไปนับหมื่นปี สายตาของเอรอสจับจ้องหญิงสาวตรงหน้า ราวกับเขาได้เห็นภาพของชายในตำนานนั้นสะท้อนออกมาผ่านดวงตาของเธอ“หลายหมื่นปีที่แล้ว ไรอัส อาร์แคนเทีย คือชื่อที่ไม่มีใครไม่รู้จัก เขาเป็นจอมเวทที่ปฏิวัติโลกเวทมนตร์ จนทำให้ผู้คนเคารพนับถือเขาด้วยความศรัทธา แต่ทว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่ทำให้เขาหายตัวไป ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่ไหน ตำนานของเขากลับกลายเป็นเครื่องหมายคำถามที่ยังไม่มีใครหาคำตอบได้” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความเศร้า“แล้ว... ประวัติศาสตร์ของไรอัสมีบางส่วนที่ขาดหายไป ไม่มีใครรู้ว่าวาระสุดท้ายของเขาเป็นอย่างไร” เอรอสกล่าว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย “มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้”“ใช่… ไม่มีใครรู้จุดจบของไรอัส... เขาหายตัวไป เหลือเพียงแค่ตำนานที่บอกเล่าถึงความยิ่งใหญ่ แม้ฉันจะรู้ แต่... นั่นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพูดได้” เธอหยุดไปชั่วครู่ ดวงตาของเธอวูบไหว แสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่เก็บซ่อนอยู่ใ
เอรอสลืมตาตื่นขึ้นในความมืด ห่างจากจุดที่เขาหายตัวไปก่อนหน้านี้เล็กน้อย เสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านซากอาคารที่พังทลาย แสงจันทร์ที่ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ ทำให้บรรยากาศรอบตัวดูน่าอึดอัด และ เย็นยะเยือก กลิ่นเหม็นอับจากเศษซากจากกองขยะที่สุมกระจายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้แต่เอรอสไม่ได้ใส่ใจสิ่งเหล่านั้น.. เพราะสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขามากที่สุดในตอนนี้ คือความจริงที่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และ ความเจ็บปวดในร่างกายที่ยังคงเหลืออยู่บ้างเล็กน้อยเขานอนนิ่งไปกับพื้นถนนสักพัก ก่อนจะเลื่อนมือไปแตะที่หน้าอก ในตำแหน่งที่มีรอยฉีกขาด รอยแผลเป็นเล็กๆยังคงมีอาการเจ็บแปลบหลงเหลืออยู่ เป็นเครื่องยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน“จอมเวทย์ในตำนาน...หรอ?” เอรอสพึมพำถึงจิตวิญญาณของไรอัสที่ติดมากับหัวใจ ตอนนี้จิตวิญญาณนั้นสงบนิ่ง ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับไม่มีเจตจำนงเป็นของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่ปกติ จิตวิญญาณของเขาที่เคยฉีกขาดค่อยๆ ผสาน และหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติแต่ถึงแม้มันจะหลอมรวมกัน ก็ยังรู้สึกถึงการแบ่งแยกได้อย่างชัดเจน เหมือนกับน้ำทะเล
เอรอสก้าวผ่านตรอกซอยที่เงียบสงบในยามค่ำคืนของเมืองอัลเธอเรียน แม้ความมืดจะปกคลุม แต่แสงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้าเบื้องบนยังคงสาดส่องให้เห็นเส้นทางอันคดเคี้ยว ท้องฟ้าปลอดโปร่ง มีเพียงก้อนเมฆบางๆ ที่ลอยอยู่ห่างไกลเอรอสย่ำเท้าไปอย่างระมัดระวัง สายลมพัดเบาๆพอให้สัมผัสได้ถึงความเย็นที่ค่อยๆซึมผ่านผิวของเขา เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำที่ปิดบังร่างกายได้เป็นอย่างดี แม้จะซ่อนตัวจากสายตาคนทั่วไปได้ แต่ในใจของเขายังเต้นแรงด้วยความกังวลเมื่อเขามาถึงหอพักที่เขาใช้เป็นที่พักอาศัย มันเป็นอาคารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยก่อน เสื่อมโทรมลงตามกาลเวลา ผนังถูกปกคลุมด้วยรอยแตกและสีที่ซีดลง แต่อาคารนี้ยังคงมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ผู้คนไม่อยากละสายตา สนามหญ้าด้านหน้าถูกดูแลอย่างดี แม้ว่าจะไม่ได้หรูหรา แต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นเอรอสเดินขึ้นไปบนชั้นสองของหอพัก เขาก้าวผ่านประตูเข้ามาโดยไม่รีบร้อนจนเกินไป สายตาของเขากวาดมองไปรอบๆ ตรวจดูทุกมุมทุกซอกที่อาจมีความเคลื่อนไหวใดๆ ที่ผิดปกติภายในห้องพักของเขา เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดเป็นของเรียบง่าย โต๊ะไม้เก่าๆที่มีรอยขีดข่วนจากการใช้งานมาหลายปีถูกวางไว้ตรงกลางห้อง ข้างบนโต๊ะมีกระ