แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ เอเลน่าค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆ กลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันที่ไม่อยากตื่นจากมัน
เธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียง
ชายหนุ่มนั่งหลับพิงเก้าอี้อยู่ ใบหน้าสงบนิ่งในเงามืด เส้นผมสีทองของเขาดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เอเลน่าจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ช่วงเวลานี้เผยให้เห็นอีกด้านของเขา—ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนเร้นก่อนหน้า ทำให้เธอโล่งใจเล็กน้อย ดวงตาของเธอสบเข้ากับใบหน้าอ่อนล้าของเขา ความรู้สึกปะปนกันระหว่างความสับสนและความอบอุ่นไหลเวียนในอก
“อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆเหมือนจะยืนยันว่าเขาอยู่ตรงนี้จริงๆ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อเหลือบมองตัวเองที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เตียงของเธอ แต่เป็นของเขา
“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย ขณะที่พยายามเรียกความทรงจำที่เลือนรางกลับคืนมา
ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนผุดขึ้นในความคิด เอเลน่าจำได้ว่าเธอและไอริสพูดคุยกันเกี่ยวกับข่าวลือเรื่องของรางวัลในการทดสอบที่แพร่กระจายเฉพาะในหมู่นักเวทย์ ว่ากันว่ารางวัลนั้นไม่ใช่สิ่งธรรมดา แต่คือ “ชิ้นส่วนร่างกายของไรอัส” จอมปราชญ์ผู้ล่วงลับ ผู้ใดที่ครอบครองจะได้รับพลังอำนาจเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้
ข่าวลือดังกล่าวดูเหมือนถูกจงใจแพร่กระจาย นักเวทย์หลายคนที่เคยเฉยเมยต่อการทดสอบกลับให้ความสนใจอย่างกระตือรือร้น ทั้งที่ในตอนแรกไม่มีใครรู้แม้แต่ว่าของรางวัลคืออะไร หรือรูปแบบการทดสอบเป็นเช่นไร ทุกอย่างถูกปิดเป็นความลับ
แต่เมื่อข่าวลือเริ่มแพร่ไป เหล่าอาจารย์ในหอคอยเวทมนตร์กลับนิ่งเงียบ ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธใดๆ ความเงียบงันนั้นยิ่งทำให้ข่าวลือดูน่าเชื่อถือขึ้น คล้ายกับมีใครบางคนอยู่เบื้องหลังและกำลังชักใยทุกสิ่งให้เป็นไปตามที่ต้องการ
ความผิดปกตินั้นทำให้เอเลน่าไม่อาจมองข้าม เธอและไอริสจึงตัดสินใจจะสืบหาความจริงที่ซ่อนอยู่ให้ลึกกว่านี้
ตอนแรกเอเลน่าก็แค่ตั้งใจจะกลับไปพักที่ห้องของตัวเอง แต่แล้วความกังวลที่เธอเก็บไว้ในใจเกี่ยวกับอาร์วินกลับพลุ่งพล่านจนเธอเปลี่ยนใจ
ระหว่างทางไปยังห้องของเขา ภาพของดวงตาสีน้ำเงินเข้มของอาร์วิน—สีที่เหมือนกับท้องฟ้าตอนกลางคืน—ผุดขึ้นในความคิด ดวงตาคู่นั้นเคยเปี่ยมไปด้วยความสงบนิ่งและลึกซึ้ง แต่สิ่งที่เธอเห็นเมื่อไม่นานมานี้กลับไม่ใช่เช่นนั้นอีกต่อไป มันเปลี่ยนไปเป็นสีเทาเย็นเยียบ ราวกับหมอกที่ปกคลุมท้องฟ้าหลังพายุ
ความเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้เธอใจสั่น ราวกับได้เห็นภาพซ้อนของใครบางคน ดวงตาที่ครั้งหนึ่งเคยสดใสกลับกลายเป็นสีเทาหม่นคล้ายกับ... "ไม่... มันจะเป็นไปได้ยังไง?"
มันคล้ายกับดวงตาของใครบางคน คนที่เคยมีบทบาทในชีวิตของเธอในช่วงเวลาที่ทุกอย่างดูมืดมน ความเชื่อมโยงที่เธอไม่อาจทำความเข้าใจได้เพิ่มความสับสนในใจยิ่งขึ้น
เมื่อเธอผลักประตูเข้าไปในห้องของอาร์วิน กลิ่นเครื่องหอมที่อบอวลเป็นกลิ่นดอกไม้ที่คุ้นเคย นุ่มนวลและผ่อนคลาย แต่กลับแทรกซึมเข้ามาลึกจนผิดธรรมชาติ ราวกับมันถูกปรับให้รุนแรงเกินกว่าที่ควรจะเป็น ทุกลมหายใจที่สูดเข้าไปเหมือนถูกชักนำเข้าสู่ความฝันที่ไม่อาจตื่นได้ ราวกับทุกอณูของอากาศถูกแต่งแต้มด้วยกลิ่นนั้นจนแน่นหนา
ภายในห้อง เธอเห็นอัศวินในชุดเกราะเบายืนพิงกำแพงใกล้กับประตูที่เธอเข้ามา ท่าทางหลับสนิทโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เมดอีกคนก็นั่งหลับอยู่ที่มุมห้อง ใบหน้าผ่อนคลายเหมือนคนที่กำลังหลับฝันดี สภาพของพวกเขาดูผิดธรรมชาติอย่างน่าประหลาด
“นี่มันอะไรกัน…” เธอกระซิบเบาๆ ความรู้สึกไม่สบายใจพุ่งขึ้นในอก
กลิ่นนั้นทำให้ดวงตาของเธอเริ่มพล่ามัว ทุกก้าวที่เดินเข้าไปเหมือนต้องแบกน้ำหนักที่มองไม่เห็น ร่างกายเธอหนักอึ้งจนแทบจะล้มลง ความเหนื่อยล้าจากความง่วงงุนกัดกินสติของเธอทีละน้อย
สายตาของเธอจับจ้องไปยังเตียงของอาร์วิน ผ้าห่มสีเข้มถูกพาดคลุมจนดูเหมือนมีบางสิ่งขดตัวอยู่ข้างใต้ เธอหยุดนิ่ง ความรู้สึกกังวลวิ่งวาบในอก
“อาร์วิน?” เธอเอ่ยเรียกเสียงเบา
แต่สิ่งที่เธอเห็นกลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ใต้ผ้าห่มนั้นยังคงนิ่งสนิท ราวกับไร้ซึ่งชีวิต นั่นยิ่งทำให้หัวใจของเธอกระตุกวูบ ความกังวลเพิ่มพูนจนแทบหยุดหายใจ
เธอพยายามก้าวไปใกล้เตียง แม้ทุกย่างก้าวจะยากลำบากและร่างกายเหมือนจะล้มพับในทุกวินาที ดวงตาเริ่มพร่ามัวจนแทบจะโฟกัสสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้
กลิ่นหอมที่รุนแรงจนแทบหยุดหายใจยังคงทำให้ความคิดของเธอว้าวุ่น เธอยกมือขึ้นใช้เวทมนตร์ลมพุ่งกระแทกหน้าต่างห้องที่ปิดสนิท เสียงกระจกเปิดออกดังขึ้นพร้อมสายลมที่พัดผ่านเข้ามา แม้กลิ่นจะเจือจางลง แต่ฤทธิ์ของมันยังคงหลงเหลืออยู่ในร่างกายของเธอ เปลือกตาหนักอึ้ง ร่างกายเหมือนถูกถ่วงด้วยน้ำหนักที่มองไม่เห็น ขณะที่ปลายนิ้วชาเล็กน้อย และความคิดเริ่มพร่ามัวราวกับกำลังจมลงสู่ห้วงนิทราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เธอพยายามเดินไปถึงปลายเตียงอย่างทุลักทุเล ใกล้เข้ามา... ใกล้จนเธอสามารถเอื้อมมือไปสัมผัสได้ แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ดึงผ้าห่มขึ้น ร่างกายของเธอก็อ่อนแรงเกินไป
สติของเธอดับวูบลงพร้อมกับความมืดที่กลืนกินทุกสิ่งรอบตัว และ เมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอพบตัวเองอยู่ที่นี่—บนเตียงของเขา ขณะที่เขานั่งหลับอยู่ใกล้ๆ
เอเลน่าจ้องมองอาร์วินที่นั่งหลับพิงเก้าอี้ ใบหน้าของเขานิ่งสงบในเงามืด แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้าที่เห็นได้ชัด เธอยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง หัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อยเมื่อความคิดพลุ่งพล่านพยายามหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา
“หรือว่า…เขาเป็นคนพาฉันมานอนบนเตียง?”
ความคิดนั้นทำให้ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวอีกครั้ง
เธอพยายามขยับตัวโดยไม่ให้เสียงใดๆรบกวนความเงียบสงบภายในห้อง เอเลน่ายืดมือออกไปช้าๆปลายนิ้วของเธอสัมผัสเส้นผมสีทองอ่อนของเขาอย่างแผ่วเบา ความนุ่มละมุนของเส้นผมที่ม้วนเล็กน้อยตามธรรมชาติทำให้เธออดไม่ได้ที่จะลูบปลายผมของเขาเบาๆราวกับพยายามยืนยันว่า เขาอยู่ตรงนี้จริงๆ
แต่แล้ว...
“ตื่นแล้วงั้นหรอ?”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ทำให้เอเลน่าชะงัก มือของเธอหยุดนิ่งกลางอากาศ หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก เมื่อรู้ตัวว่ามือของเธอยังคงสัมผัสกับเส้นผมนุ่มละมุนของเขา เธอรีบชักมือกลับด้วยความประหม่า แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น สายตาสีเทาของอาร์วินสบเข้ากับเธออีกครั้ง
ดวงตาสีเทาของเขาสบตาเธอ รอยยิ้มบางๆปรากฏบนใบหน้าที่ดูอ่อนล้าแต่กลับแฝงไว้ด้วยความรู้สึกผิดแปลก เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกต่างไปจากเดิม
“ฉัน…แค่กำลังจะ...” เอเลน่าพูดตะกุกตะกัก ความอายแล่นขึ้นมาจนทำให้เธอแทบไม่กล้าสบตาเขา แม้ในใจจะรู้สึกแปลกๆก็ตาม
“ไม่ต้องลุกก็ได้” อาร์วินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงความอบอุ่น “เธอต้องพักอีกสักหน่อย ดูเหมือนตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอจะเหนื่อยมามาก จำเป็นต้องพักอีกสักหน่อย”
เอเลน่าขมวดคิ้วเล็กน้อย “เมื่อคืน…ฉันหลับไปได้ยังไง?”
อาร์วินเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะตอบเบาๆ “กลิ่นเครื่องหอมในห้องนี้...มันแรงไปหน่อย ฉันคิดว่ามันอาจจะทำให้เธอหมดสติ”
เอเลน่าเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย “แล้วคนอื่นล่ะ?”
“ไม่ต้องห่วง” อาร์วินตอบ ขณะพยุงตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความยากลำบาก ร่างกายของเขายังคงไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ก็ยังมีความพยายามอย่างเต็มกำลัง เขาหยิบชามารินจากมุมโต๊ะและยื่นให้เธอ “พวกเขาแค่รู้สึกสับสนเล็กน้อย ฉันบอกให้พวกเขากลับห้องไปพักแล้วหน่ะ”
เอเลน่ารับแก้วชามาไว้ในมือ แต่ไม่ได้ดื่มทันที เธอเงียบไปชั่วขณะ หัวใจของเธอยังรู้สึกหนักอึ้งกับสิ่งที่ไม่อาจพูดออกมา เธอมองดูอาร์วินนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ ร่างกายของเขาดูเหนื่อยล้าหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สีหน้าของเขาสงบนิ่ง แต่สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่างที่เก็บซ่อนเอาไว้
เธออยากถามเขา—เกี่ยวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับสิ่งที่เขาต้องเจอและสิ่งที่เขาต้องเผชิญ แต่กลับกลืนคำถามเหล่านั้นลงไปในลำคอ รู้สึกว่ามันอาจยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม
“นาย…อาการเป็นยังไงบ้าง?” เธอถามออกไปในที่สุด เสียงของเธอเบาและแฝงความห่วงใย
อาร์วินเหลือบตามองเธอ ก่อนจะคลี่ยิ้มจางๆ ที่ไม่ได้ช่วยปิดบังความเหน็ดเหนื่อยในแววตา เขาก้มลงมองมือของตัวเอง เหมือนกำลังใช้ความคิดบางอย่าง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ก็ดีขึ้น... ถึงมันจะยังไม่ดีมากก็ตาม”
เอเลน่าพยักหน้าเล็กน้อย ความกังวลในใจของเธอคลี่คลายลง แต่ก็ยังไม่หมดสิ้น ราวกับไม่สามารถสลัดคำถามนั้นออกจากหัวไปได้
“ฉัน…” เธอเริ่มพูด ก่อนจะหยุดลง หายใจเข้าลึก รวบรวมความกล้าอีกครั้ง “ฉันรู้ว่ามันอาจจะไม่เหมาะนัก ที่จะถามอะไรแบบนี้ในตอนที่นายเพิ่งผ่านเรื่องเลวร้ายมา…”
เธอหยุดเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของเขา แต่อาร์วินยังคงนั่งนิ่ง เหมือนเปิดโอกาสให้เธอพูดต่อ
“มันมีหลายเรื่องที่ฉันอยากจะถามนาย แต่…” เธอลดสายตาลงมองแก้วชาที่อุ่นในมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “เรื่องที่สำคัญกว่านั้น—ฉันอยากรู้... นายได้รับอะไรจากการทดสอบนั้น?”
อาร์วินหันมองเอเลน่า ก่อนจะยิ้มให้เธออย่างอึดอัด "ขอโทษด้วย มันเป็นความลับเฉพาะฝ่าย ไม่สามารถบอกได้"
เอเลน่าพยักหน้า แต่สีหน้าของเธอกลับเต็มไปด้วยความมั่นใจ "ฉันรู้เกี่ยวกับการทดสอบนั้นแล้ว แล้วก็รู้ด้วยว่าของรางวัลอาจจะเป็นชิ้นส่วนร่างกายของจอมปราชญ์ไรอัส"
อาร์วินชะงัก ริมฝีปากของเขาขมวดเล็กน้อย ก่อนที่จะหันมองไปที่เอเลน่าอีกครั้ง เขาหยุดคิดไปชั่วขณะก่อนจะพูดออกมา "รู้มาจากไอริสสิน่ะ? เธอคนนั้นไม่เข้าใจรึไงว่าถ้าข้อมูลหลุดออกไป มันจะกระทบขนาดไหน?"
เอเลน่าจ้องเขาไม่ละสายตา "แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นถ้ารู้แล้ว?"
"ถ้ารู้แล้วก็ไม่เป็นอะไร" อาร์วินพูดเสียงต่ำ แล้วเขาก็ถอนหายใจ "ฟังแล้วก็อย่าไปบอกใครล่ะ แล้วก็ห้ามบอกด้วยว่าเธอรู้มาจากไอริส ไม่งั้นไอริสได้เดือดร้อนแน่ๆ"
อาร์วินหยุดพูดชั่วขณะ ก่อนที่จะปลดกระดุมเสื้อออกช้าๆ เสียงกระดุมที่หลุดจากร่องก็ดังขึ้นในความเงียบ เขาเผยให้เห็นรอยแผลที่ยังหลงเหลืออยู่บริเวณหัวใจ ซึ่งดูเหมือนจะยังไม่หายสนิทเต็มที่ รอยแผลเป็นเหมือนเครื่องหมายของการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีวันลบเลือน
เขายกมือขึ้นทาบบนแผลกลางอกช้าๆ ราวกับกำลังสัมผัสถึงบางสิ่งที่มองไม่เห็น เสียงทุ้มแผ่วเบาหลุดออกมาพร้อมกับลมหายใจเหนื่อยล้า
“สิ่งที่ฉันได้รับ...คือส่วนของหัวใจ ส่วนที่สามารถบรรจุและสร้างพลังเวทได้มหาศาล” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ดวงตาที่เคยแน่วแน่ฉายแววหม่นหมอง “ตอนนี้ต้องใช้เวลาปรับตัวอีกสักพัก...กว่าจะฟื้นคืนวงแหวนกลับมาได้ เพราะมันหายไปพร้อมกับหัวใจเดิมของฉัน”
เอเลน่าจ้องมองไปที่แผลนั้น แสงเรืองรองจางๆ บนผิวเนื้อสะท้อนออกมาเหมือนแสงแห่งชีวิตใหม่ ทว่าในใจเธอกลับเต็มไปด้วยคำถาม เธอหันมาสบตาเขา สายตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
“แล้ว...ดวงตาของนายล่ะ?” เธอถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าคำถามนี้จะกระตุกบางสิ่งในใจของเขา
“มันเปลี่ยนไปได้ยังไง?”
อาร์วินเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับคำถามนั้นบีบให้เขาจมลึกลงไปในความทรงจำที่ไม่อยากจดจำ เขาถอนหายใจยาว ก่อนเลื่อนมือขึ้นสัมผัสดวงตาของตัวเองอย่างแผ่วเบา
“เธอจำคนที่ชื่อว่า เอรอส ได้ไหม?”
ชื่อที่หลุดออกมาจากปากเขาทำให้หัวใจของเอเลน่าราวกับหยุดเต้น ใบหน้าของเธอซีดลงในทันที “จำได้...เขาทำไม?”
อาร์วินหันมามองเธอ ดวงตาที่เปลี่ยนไปของเขาสะท้อนความรู้สึกบางอย่างที่ซ่อนลึก เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยความหมายที่ไม่อาจคาดเดา
“เขา...ก็อยู่ในการทดสอบนั้นด้วย” น้ำเสียงของเขาเจือความขมขื่นเล็กน้อย ราวกับว่าเพียงแค่เอ่ยชื่อ ความทรงจำบางอย่างก็พุ่งกลับมาในหัวใจของเขา
เอเลน่านั่งอยู่บนเตียง จ้องมองอาร์วินที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย ดวงตาสีเทาที่มองมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความลึกที่อธิบายไม่ได้ มีบางสิ่งในแววตานั้นที่ทำให้หัวใจเธอสั่นไหว แต่เธออ่านมันไม่ออกบรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด เสียงลมเบาๆ จากหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ดังก้องในห้องที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของผ้าปูที่นอนใต้ฝ่ามือ พยายามดึงสติกลับมา แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนถูกตรึงด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นอาร์วินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา"เอเลน่า... ฉันไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน แต่ฉันจะพยายามเล่าให้เธอฟัง"เสียงของเขานุ่มลึก แต่สั่นเครือเล็กน้อย เธอรู้ว่าเขากำลังแบกรับอะไรบางอย่างที่หนักหนา ทว่าในใจของเธอเองก็เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้จบ เอเลน่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงให้เขาพูดต่อ แม้ในใจจะปั่นป่วนจนแทบระเบิดอาร์วินถอนหายใจยาว เสียงนั้นเหมือนลมหายใจที่พยายามปลดปล่อยความกดดันบางอย่าง"ตอนที่ฉันถูกจับอยู่ในคุก... ฉ
ภายในห้องทำงานแผนกสืบสวนของกิลด์นักผจญภัย ความเงียบอันแผ่ปกคลุมบรรยากาศทั่วทั้งห้อง แม้แสงอาทิตย์จะส่องลอดหน้าต่างบานใหญ่เข้ามา แต่กลับไม่ได้ช่วยให้ห้องนี้รู้สึกอบอุ่นแม้แต่น้อย เงาไม้ สลับกับ แสงสลัวของห้อง สร้างความรู้สึกกดดันและขัดแย้งกับความสงบที่ควรมี เสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากมุมห้อง ขุนนางร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาด้วยท่าทีดุดันราวกับจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า น้ำเสียงดุดันของเขาก้องกังวาน ดั่งพายุที่พร้อมจะถาโถมลงมา“นี่พวกแกทำอะไรกันอยู่!!” เสียงเขาดังลั่นเหมือนฟ้าผ่ากลางห้อง ดวงตาแดงก่ำจากความโกรธจับจ้องไปยังชายวัยกลางคนผู้จัดการแผนกสืบสวน ซึ่งยืนก้มหน้าอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าของผู้จัดการแสดงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อย มือกำหมัดแน่นเพื่อระงับความหวาดกลัวที่ตีตื้นขึ้นมา“ขออภัยจริงๆ ครับท่าน เรากำลังพยายามเต็มที่ในการตามหาตัวลูกชายของท่าน เราจะเร่งหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยเร็วที่สุด…” เขาพูดเสียงแผ่ว แต่ยังคงพยายามรักษาท่าทีสุภาพ ในแววตาของเขามีแต่ความวิตกกังวลขุนนางชายหันขวับมามองด้วยแววตาเย็นชา ร่างของเขาสูงใหญ่ และ ทรงอำนาจราวกับจะบดขยี้ชายเบื้องหน้าด้วยสายตาเพี
เด็กชายเดินโซเซผ่านช่องแคบในกำแพงหินออกมา หลังจากการต่อสู้ในความมืด เขาพบกับแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ทาบลงบนใบหน้า ความอุ่นและความสว่างของแสงทำให้เขาต้องหยีตา แต่ไม่นาน เขาก็เริ่มมองเห็นภาพรอบตัวอย่างชัดเจนตรงหน้าเขาเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งชายและหญิงหลากหลายวัย ท่าทางของพวกเขาเคร่งเครียด สายตาจับจ้องไปยังกลุ่มนักผจญภัยและเจ้าหน้าที่ที่ยืนปรึกษากันด้วยสีหน้าวิตกกังวล ดูเหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นการปรากฏตัวของเขา ซึ่งดูเล็กและไร้เสียงในท่ามกลางความโกลาหลนี้ขณะที่เด็กชายพยายามก้าวไปข้างหน้า ร่างกายที่อ่อนล้าก็ค่อยๆสูญเสียพละกำลัง ความเหนื่อยล้ากดทับเขา ราวกับไม่อาจพยุงตัวได้อีกต่อไป ในที่สุด ขาของเขาอ่อนแรงจนต้องทรุดลงกับพื้น เสียงเบาๆ ของเขาที่กระแทกพื้นเรียกความสนใจจากฝูงชน บรรยากาศเคร่งเครียดหยุดลงชั่วขณะ ผู้คนเริ่มหันมามองที่เขา ทันใดนั้น เด็กหญิงคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มประชาชนร้องออกมาด้วยความตกใจ"นั่นเขาใช่ไหม!?" เธอพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นสะท้าน ก่อนจะรีบแหวกฝูงชนเข้ามาหาเด็กชายเด็กหญิงในชุดเสื้อผ้าที่ดูหรูหรา วิ่งเข้ามาใกล้เขา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและเป็นห่วง ดวงตาสีเขียวมรก
เอรอสเดินกลับเข้ามาในห้องหลังจากอาบน้ำเสร็จ เขาเปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบชุดที่เหมาะสมสำหรับการทำงานในฐานะผู้สืบสวนออกมา สายตากวาดมองตรวจสอบเครื่องแบบสีดำเรียบที่ถูกออกแบบให้ดูคล่องตัวและเหมาะสมกับภารกิจภาคสนาม เสื้อเชิ้ตสีดำสนิทตัดเย็บเรียบร้อยพอดีตัว เสริมด้วยเสื้อโค้ทยาวที่ชายเสื้อถึงสะโพก ซึ่งมีซับในที่สามารถกันอากาศหนาวได้ แม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็ยังมีกระเป๋าเล็กๆ ซ่อนอยู่หลายจุดสำหรับเก็บเครื่องมือที่จำเป็น กระดุมสีดำล้วนเรียงรายตลอดเสื้อทำให้ชุดนี้ดูสะอาดตาและไม่หวือหวาเกินไป ไม่มีหมวกเพิ่มมาให้ยุ่งยาก ชุดนี้ให้ความรู้สึกทะมัดทะแมง พร้อมรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันได้ทันทีหลังจากสวมใส่เรียบร้อย เขารู้สึกถึงความกระฉับกระเฉงและมั่นใจขึ้น เอรอสเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำขวดออกมาดื่มแก้กระหาย แต่เมื่อสัมผัสกับขวดกลับพบว่าอุณหภูมิของมันอุ่นกว่าปกติ น้ำดื่มไม่ได้เย็นตามที่ควรจะเป็น เขาเลิกคิ้วสงสัย ก่อนจะตรวจดูภายในตู้เย็นเล็กๆ และพบช่องเล็กๆ ที่เป็นแหล่งพลังงานของมันเอรอสเปิดช่องนั้นออกมา ข้างในมีแก่นมานาขนาดเล็กจิ๋วที่เคยเปล่งแสงสีเหลืองอ่อนให้พลังงานตู้เย็น แต่ตอนนี้กลับซีดจางจนเกือบไ
เอรอสยังคงก้าวยาวไปตามถนนสายที่คุ้นเคย พลางคิดในใจถึงอำนาจและผู้ทรงอิทธิพลที่มีบทบาทครอบงำเมืองนี้ รู้ดีว่าเบื้องหลังความสงบสุขที่เห็นจากภายนอก เมืองนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลสำคัญสามตระกูลใหญ่ ซึ่งแต่ละตระกูลมีอิทธิพลและอำนาจแตกต่างกันไป และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเมืองอันดับแรก ตระกูลวัลธอเรน ตระกูลผู้สูงส่งและยิ่งใหญ่ที่สุด แม้อำนาจของพวกเขาจะไม่รุ่งเรืองเหมือนเมื่อครั้งในอดีต แต่ก็ยังคงมีอิทธิพลอย่างมากและค้ำจุนเมืองนี้ไว้ ตระกูลนี้สืบทอดพลังแห่งสายลมมาเป็นเวลานาน พลังที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การควบคุมธรรมชาติ แต่ยังแฝงด้วยการเชื่อมโยงถึงจิตวิญญาณและความสง่างามบางอย่างที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ วัลธอเรนเป็นตระกูลที่เคยปกครองเมืองด้วยความสงบและยุติธรรม แต่เหตุการณ์ในอดีตได้สั่นคลอนอำนาจและทำให้ฐานอำนาจของตระกูลนี้อ่อนแอลงไปเล็กน้อย กระนั้นพวกเขาก็ยังมีอิทธิพลอยู่ และได้รับการยอมรับในฐานะผู้ครองอำนาจอันดับหนึ่งจากนั้นก็เป็น ตระกูลดราโกร์น ตระกูลที่มีเชื้อสายของมังกรโบราณอันเก่าแก่ บุคคลในตระกูลดราโกร์นมีเอกลักษณ์ชัดเจน ผมสีแดงดุจเปลวเพลิงที่เป็นเหมือนตราสัญลักษณ์ พวกเขาได้รับ
ในชั่วพริบตา วงเวทขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเบื้องหน้า มันแผ่กระจายแสงสีแดงเข้มออกมาอย่างน่ากลัว พลังเวทที่แผ่ซ่านออกมากดทับทุกสิ่งรอบตัวจนบิดเบือนมานาในบรรยากาศกลายเป็นพายุหมุน เส้นอักขระซับซ้อนที่เคลื่อนที่บนวงเวทบ่งบอกถึงความรุนแรงและบ้าคลั่ง แม้เอรอสจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของมันโดยตรง แต่ความรู้สึกเย็นวาบที่วิ่งผ่านร่างบอกเขาว่า วงเวทนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายเขาโดยเฉพาะ"บางอย่าง...กำลังจะมา" เอรอสพึมพำเบาๆ ขณะที่พยายามรวบรวมสมาธิแต่ก่อนที่เขาจะเตรียมพร้อมได้เต็มที่ ศรเวทสีเงินก็พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันเร็วราวกับฉีกอากาศออกเป็นเสี่ยงๆ เขาไม่ทันได้เห็นมันอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ สัญชาตญาณของเขาบังคับให้ยกแขนขึ้นป้องกัน แต่ศรนั้นพุ่งทะลุผ่านแขนของเขาไปอย่างง่ายดาย ราวกับว่าแขนของเขาไร้ความหมายต่อพลังนั้นไม่มีแรงกระแทก ไม่มีความรู้สึกจากการสัมผัสเนื้อหนัง—แค่ความเจ็บปวดที่เกิดจากพลังบางอย่างที่ลึกกว่าร่างกาย ศรเวทนั้นพุ่งเข้าปักกลางอกของเขาอย่างแม่นยำ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านราวกับคลื่นพลังที่แทรกซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา เอรอสทรุดลงกับพื้นทันที ร่างกายแทบจะตอบสนองไม่ได้ ควา
เอรอสเดินงัวเงียผ่านซอกซอยในย่านเมืองหลวง หลังจากที่ไปพบกับกลุ่มผู้เสียหายที่เพิ่งถูกพบตัวไม่นาน หลายคนให้ความร่วมมือกับเขาด้วยท่าทางอ่อนล้า เหมือนยังไม่สามารถดึงสติกลับมาได้เต็มที่ บางคนแม้จะมองเห็นเขาอยู่ตรงหน้า แต่ก็เหมือนสายตาล่องลอยออกไปที่อื่นขณะที่เอรอสคุยกับพวกเขา เขาสังเกตได้ว่าความทรงจำที่ขาดหายไปนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ช่วงเวลาที่พวกเขาหายตัวไปเท่านั้น แต่ยังมีบางส่วนของเหตุการณ์ก่อนการหายตัวที่ดูเหมือนจะถูกลบออกไปด้วย ผู้เสียหายแต่ละคนต่างจำเหตุการณ์หรือสถานการณ์ก่อนหน้าของตัวเองได้เพียงลางๆ ราวกับว่ามีบางสิ่งที่ทำให้พวกเขาสูญเสียช่วงเวลาสำคัญของตัวเองไปแม้ว่าการสอบปากคำจะไม่ได้ให้ข้อมูลใหม่ๆ ที่สำคัญ แต่เอรอสยังพอจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง—ร่องรอยของมานาที่ดูแปลกประหลาด แผ่กระจายอำนาจและพลังที่ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของโลก ในนั้นมีความรู้สึกอันรุนแรงบางอย่างที่เขาสัมผัสได้ชัดเจน ราวกับเป็นอำนาจที่สามารถหักล้างทุกกฎที่เคยรู้จักหนึ่งในตัวตนที่เขานึกถึงก็คือแม่มด ผู้ที่ลือกันว่าเป็นผู้เดียวที่มีพลังสามารถดัดแปลงและฝืนกฏเกณฑ์ของโลกได้ เอรอสจดบันทึกข้อมูลนี้ไว้ในใจ พลางเดินเปร
เอรอสพยายามเพ่งมองรอบตัว แม้จะรู้ว่าทุกสิ่งถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา แต่บางอย่างในสายตาของเขาเริ่มเปลี่ยนไป ทุกย่างก้าวดูเหมือนจะถอยห่างจากโลกความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเขาเต้นแรง แต่ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้น—มันคือความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่อาจอธิบายได้ขณะที่เขายกมือขึ้นเพื่อฝ่าหมอกหนานั้น สายตาเขาก็เหลือบเห็นบางสิ่งที่ผิดแปลกไปที่มือทั้งสองข้างของตัวเอง"นี่มันอะไรกัน…" เขาพึมพำมือทั้งสองข้างของเขาดูเล็กลง นิ้วเรียวยาวที่เคยหยาบกร้านจากการทำงาน และ รอยถลอกมากมาย กลับเปลี่ยนไปเป็นนิ้วมือของเด็กวัยสิบขวบ แขนที่เคยแข็งแรงเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ กลายเป็นแขนเล็กผอมบางของเด็กชาย ราวกับร่างกายทั้งหมดของเขาถูกย้อนกลับไปในวัยที่เขาไม่อาจจดจำได้อย่างแจ่มชัดเมื่อเขาก้มมองตัวเอง ชุดที่เคยเป็นเสื้อโค้ทสีดำเข้ม และกางเกงขายาวก็เปลี่ยนไปเป็นเสื้อผ้าแบบเด็กในยุคนั้น เสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดกับกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลอ่อน รองเท้าหนังเก่าที่ดูเรียบง่ายแต่เหมาะกับเด็กในวัยนั้น"นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกับตัวฉัน…" เอรอสพูดเสียงแผ่วก่อนที่เขาจะทันตั้งคำถามไปมากกว่านี้ เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นจากข้างหลัง เมื่อหันกลับ
เอเลน่านั่งอยู่บนเตียง จ้องมองอาร์วินที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย ดวงตาสีเทาที่มองมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความลึกที่อธิบายไม่ได้ มีบางสิ่งในแววตานั้นที่ทำให้หัวใจเธอสั่นไหว แต่เธออ่านมันไม่ออกบรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด เสียงลมเบาๆ จากหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ดังก้องในห้องที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของผ้าปูที่นอนใต้ฝ่ามือ พยายามดึงสติกลับมา แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนถูกตรึงด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นอาร์วินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา"เอเลน่า... ฉันไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน แต่ฉันจะพยายามเล่าให้เธอฟัง"เสียงของเขานุ่มลึก แต่สั่นเครือเล็กน้อย เธอรู้ว่าเขากำลังแบกรับอะไรบางอย่างที่หนักหนา ทว่าในใจของเธอเองก็เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้จบ เอเลน่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงให้เขาพูดต่อ แม้ในใจจะปั่นป่วนจนแทบระเบิดอาร์วินถอนหายใจยาว เสียงนั้นเหมือนลมหายใจที่พยายามปลดปล่อยความกดดันบางอย่าง"ตอนที่ฉันถูกจับอยู่ในคุก... ฉ
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ เอเลน่าค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆ กลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันที่ไม่อยากตื่นจากมันเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งหลับพิงเก้าอี้อยู่ ใบหน้าสงบนิ่งในเงามืด เส้นผมสีทองของเขาดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เอเลน่าจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ช่วงเวลานี้เผยให้เห็นอีกด้านของเขา—ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนเร้นก่อนหน้า ทำให้เธอโล่งใจเล็กน้อย ดวงตาของเธอสบเข้ากับใบหน้าอ่อนล้าของเขา ความรู้สึกปะปนกันระหว่างความสับสนและความอบอุ่นไหลเวียนในอก“อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆเหมือนจะยืนยันว่าเขาอยู่ตรงนี้จริงๆ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อเหลือบมองตัวเองที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เตียงของเธอ แต่เป็นของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงข
เอรอสก้าวออกจากป่าทึบในรูปลักษณ์ของอาร์วิน สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านตัวเขาอย่างแผ่วเบา แสงจันทร์ยังคงสลัวทำให้เห็นเงาของคฤหาสน์ตระกูลวัลธอเรนลางๆ อยู่ไม่ไกล จุดที่เขามุ่งหน้าไปคือบริเวณใต้หน้าต่างห้องพักของเขาเองก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เขาเคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อนชายแปลกหน้าที่เอรอสช่วยเหลือไว้ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาวราวกับหยิบยกมาจากยุคโบราณ ชายคนนี้ดูเหมือนนักเดินทางที่หลงยุค เขาอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เอรอสจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวันแทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยมาให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ
คลินิกของโจชัว ตั้งอยู่ในเขตสามัญชน ตัวอาคารหินสีซีดดูเรียบง่ายแฝงความล้าสมัย ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึก หน้าต่างกระจกสีชั้นล่างสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไป ลวดลายบนกระจกดูเหมือนจะพร่ามัวในแสงสลัว คลินิกนี้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนโรงพยาบาล แต่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยประมาณสิบคน เหมาะสำหรับการดูแลแบบส่วนตัวยามตีสี่ ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ ความเงียบรอบตัวแทบจะทำให้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วงกระทบพื้น เอรอสยืนพิงกำแพงใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ตรงข้ามคลินิก แม้ลมหนาวจะพัดแรง แต่ร่างกายของเอรอสกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาต่อความเย็น ราวกับความหนาวนั้นไม่อาจแตะต้องเขาได้ ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยังหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท นั่นเป็นห้องทำงานของโจชัว ซึ่งเขาใช้สำหรับจัดการเอกสารในช่วงกลางวัน แต่ในยามนี้ ไม่มีแสงไฟส่องลอดออกมา“ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่…” เขาพึมพำเสียงเบา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงนั้นแทบชัดเจนในสายลม เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียง กระโดดขึ้นเกาะขอบหน้าต่างชั้นสอง เสียงลมแผ่วเบาและใบไม้ไหวกลบการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาสีแดงสังเกตการณ์ในห้องอีกครั้งเพื่อยืนยันว่
คาร์ลีนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้ในดันเจี้ยนที่ผสานเขากับเขตแดนของเธอ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ความสัมพันธ์ลึกลับนี้ ทำให้คาร์ลีนรับรู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอเรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของชายที่มีฉายาว่า จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มาเนิ่นนาน แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากของเขาโดยตรงเธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับคำพูดนั้นหนักเกินกว่าจะเปล่งออกมาดวงตาสีม่วงเข้มของเธอสะท้อนแสงจากโคมไฟ เธอนั่งนิ่งราวกับขบคิด แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ ความหนักใจเหมือนสายลมหนาวที่แผ่วผ่านกลับถูกเติมเต็มด้วยความหวังอันเปราะบาง เธออยากให้เขามาหา อยากได
เอรอสค่อยๆตื่นขึ้นในห้องประชุมท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ มีเพียงแสงริบหรี่ที่ส่องลอดเข้ามาจากขอบประตู ร่องรอยของเวทมนตร์เก่าก่อนยังคงอบอวลอยู่ในอากาศจางๆ แม้แสงจากเทียนเวทมนตร์ที่เคยให้ความสว่างจะดับไปจากการตัดการเชื่อมต่อกับเวทมนตร์ทำให้บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกและว่างเปล่า แต่กลิ่นอายของพลังที่เหลืออยู่ยังคงสร้างแรงกดดันให้ผู้ที่อยู่ภายในเล็กน้อยเขาขยับตัวกึ่งลุกกึ่งนั่งจากเก้าอี้ที่ดูเหมือนจะทำให้เขาหลับไปลึกเกินคาด โต๊ะยาวตรงหน้าเขามีแฟ้มเอกสารเล็กๆวางไว้อยู่ ดูเหมือนจะเป็นเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะรับปากจะจัดการให้เขาหยิบแฟ้มเอกสารที่วางไว้บนโต๊ะมาตรวจสอบ ใช้มือสีคล้ำที่มีกล้ามเนื้อชัดเจนลูบเส้นผมสีเทาของตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกความกระปรี้กระเปร่า สายตาสีแดงฉานของเขากวาดมองไปทั่วห้องเล็กๆที่ยังคงอบอวลด้วยบรรากาศที่ชวนให้รู้สึกพิศวง พลางเหลือบมองเวลาที่บอกเขาว่านี้เป็นเวลาตี 1 ดูเหมือนเขาจะเผลอหลับไปแค่ชั่วโมงเดียว ยังดีที่เสียเวลาแค่นั้นหลังจากตรวจดูเอกสารครู่หนึ่งโดยที่ไม่มีใจความสำคัญอะไรที่ทำให้เขาต้องรีบร้อนเป็นพิเศษ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ และก้าวออกจาก
เสียงกระซิบแห่งเวทมนตร์ แผ่วเบา แต่ทรงพลัง ดังก้องอยู่ในอากาศอันเย็นเยียบ ริบบิ้นสีดำ ที่ราวกับเงาแห่งความมืดจากอีกโลกหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า มันเคลื่อนไหวดั่งมีชีวิต เลื้อยวนรอบร่างของ เอรอส ซ้อนชั้นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับงูพิษที่กำลังจู่โจมเหยื่อ ความแน่นหนาของริบบิ้นทำให้แม้แต่ลมหายใจยังรู้สึกตึงเครียด แขนขาถูกตรึงแน่น ริบบิ้นเลื้อยขึ้นสูง ปิดริมฝีปาก และบดบังดวงตาของเขาไว้อย่างมิดชิด ไม่ว่าจะดิ้นรนหรือใช้พลังทั้งหมดที่มี พันธนาการเหล่านั้นยังคงรัดแน่น น้ำหนักของเวทมนตร์ที่โอบล้อมร่างเขาเหมือนโซ่ตรวนหนักอึ้งที่ไม่มีวันปลดได้จอมเวทย์ผู้ร่ายมนตรามองดูภาพตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา รอยยิ้มที่มุมปากของเขา แฝงความพอใจอย่างปิดไม่มิด ในขณะที่อีกคนหนึ่งในกลุ่มของเขาเดินเข้ามาใกล้ กระชากคอเสื้อของเอรอสอย่างรุนแรง พร้อมๆกับลากเขาไปกับพื้น ราวกับเป็นเพียงสิ่งของไร้ค่าไม่ไกลออกไป ไอลีน ยืนตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างขณะมองสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไปได้ ก่อนที่วิ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความแน่วแน่ แล้วตะโกนเสียงดังลั่น"หยุดเดี๋ยวนี้! คุณตั้งใจจะพาเขาไปที่ไหน?"น้ำเสียง
เมื่อเอรอสเฝ้ามองไอลีนอยู่นาน สีหน้าเย็นชาของเขาเริ่มแสดงความไม่พอใจออกมาเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ"ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ช่วยหลบไปหน่อย"เขาเบี่ยงตัวไปด้านข้าง เตรียมเดินผ่าน แต่ก่อนที่เขาจะก้าวออกไป ไอลีนก็ยื่นมือออกมาคว้าข้อมือเขาไว้ ดวงตาของเธอที่เคยลังเลกลับแน่วแน่ขึ้น"ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว" ไอลีนพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามเก็บความกังวลเอรอสหยุดชะงัก แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นไม่พอใจชัดเจนยิ่งขึ้น เขาหันไปมองรอบๆ เห็นสายตาของเด็กบางคนที่อาจกำลังแอบมองอยู่จากหน้าต่าง และหญิงชราที่ครัวกำลังหันมามองเช่นกันหลังจากที่ประเมินสถานการณ์ เขาเลื่อนสายตาไปยังมุมโล่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก"ตามมา" เขาเอ่ยสั้นๆก่อนจะดึงมือออกจากการเกาะกุมของเธอ และเดินนำไปยังที่ที่เขาเลือกไว้ไอลีนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินตามเขาไป ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ สายลมอ่อนๆพัดผ่านเบาๆ ท่ามกลางความเงียบที่อึดอัด ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน เอรอสกอดอกและเอนตัวพิงต้นไม้ สายตาของเขาจ้องมองเธออย่างเย็นชา"พูดมา จะพูดอะไรก็รีบพูด" เขาเร่งด้วยน้ำเสียงที่ราวกับไม่สนใจ แต่ก
บรรยากาศในห้องทำงานของผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าช่างอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก กลิ่นอับของเอกสารเก่าผสมกับกลิ่นบุหรี่จางๆ โอบล้อมพื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองเอกสารและบัญชีการเงิน ผู้อำนวยการนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้หนังเก่าซึ่งดูเหมือนพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชวนให้รู้สึกระแวงมากกว่าสบายใจ"คุณเอรอสใช่ไหม? ฉันได้รับการแจ้งมาว่าคุณต้องการบริจาคเงินให้เหล่าเด็กๆที่คุณหนูไอลีนพามา" เสียงของเขาเนิบนาบ ท่าทางเหมือนพยายามจับจุดอีกฝ่ายเอรอสนั่งนิ่งอยู่ตรงข้าม เขาสูงโปร่งสำหรับเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สายตาสีเทาของเขาเย็นชาและไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ“ใช่ ผมมาที่นี่ บริจาคเงิน ให้เด็กๆที่เพิ่งเข้ามา" เขาเอ่ยเสียงเรียบผู้อำนวยการชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ"อืม น่าชื่นชมจริงๆนะครับ แต่การรับผิดชอบเงินจำนวนมากขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอมาจากครอบครัวไหนหรือ ถึงได้ใจกว้างขนาดนี้?"คำถามนั้นเหมือนมีความนัย แต่เอรอสไม่แสดงอาการใดๆ เขาเพียงหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางมันลงบนโต๊ะ เสียงเหรียญกระทบกันดังชัดเจน"ไม่จำเป็นต้องถาม" เขาตอบสั้นๆน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่น