แสงอาทิตย์สีส้มยามเย็นทอดเงาหม่นลงบนพื้นดินสกปรกของย่านสลัมตอนใต้ของเมือง ตรอกซอกซอยที่คดเคี้ยวคับแคบเช่นนี้ถูกทิ้งร้างมานาน พื้นดินแตกระแหง บ้านเรือนส่วนใหญ่ทำจากไม้เก่า และ หินที่กองกันอย่างไม่เป็นระเบียบ บางหลังทรุดโทรมจวนพัง หลังคามุงกระเบื้องเก่าๆ ผ้าที่ติดอยู่ที่หน้าต่างปลิวไสวตามลม
เสียงแผ่วเบาของมัน ยิ่งเสริมให้บรรยากาศโดยรอบดูเงียบเหงา อ้างว้าง เศษขยะ และ วัตถุเหลือใช้กองอยู่ตามมุมต่างๆ บ่งบอกถึงความเสื่อมโทรมของที่นี่ชัดเจน
เอรอสยืนอยู่หน้าปากซอยหนึ่ง หลังจากใช้เวลาตลอดทั้งวันตระเวนตามหาร่องรอยของมานาที่ตกค้างหลงเหลืออยู่บนตัวผู้เสียหาย แม้มันจะเหลือน้อยจนแทยสัมผัสไม่ได้ แต่ก็เพียงพอที่จะนำพาเขามาถึงสถานที่นี้
มานาที่เขารับรู้ได้คล้ายกับมานาที่ลอยอยู่ในอากาศตรงหน้า แต่มีบางอย่างแปลกประหลาด... มันเย็นเยียบ หนักอึ้ง และ บิดเบี้ยว ผิดธรรมชาติอย่างรุนแรง มันให้รู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก แม้มานานั้นจะสงบนิ่งอยู่ในขณะนี้ แต่ความมืดมิดที่แผ่ออกมาจากมัน ยังคงสร้างความรู้สึกอึดอัด และ ชวนให้ระแวง ราวกับมันรอคอยบางสิ่งที่จะกระตุ้นให้มันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
"ที่นี่สินะ..." เอรอสกระซิบกับตัวเอง เขารู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างที่มาจากมานานั้น
"ก็ดี...หวังว่าจะไม่เสียเวลาเปล่า" เอรอสพึมพำเบาๆ ขณะสูดลมหายใจลึกเพื่อรวบรวมสมาธิ เขาปรับสีหน้าตัวเองให้สงบ ทว่าแววตายังคงฉายแววไม่ไว้ใจ
รายงานที่เขาได้รับกล่าวถึงลูกหลานของเหล่าลูกขุนนางที่ทยอยหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แม้ว่าทุกคนจะกลับมาในสภาพสมบูรณ์ แต่ก็สูญเสียความทรงจำในช่วงเวลาที่หายไปทั้งหมด เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นซุบซิบในหมู่ชาวเมือง แต่ยังไร้คำตอบว่าต้นตอของเหตุการณ์เหล่านี้คืออะไร
"ที่แบบนี้...เหมาะกับการมาเที่ยวเล่นจริงๆ"
เขาพึมพำประชดประชัน พร้อมกับกระชับปลอกคอเสื้อกันลมหนาวที่พัดผ่าน
"คงไม่ใช่ที่ๆคนปกติจะแวะมา ยกเว้นว่า..."
เอรอสพูดเบาๆ ขณะเริ่มก้าวเท้าเข้าสู่ตรอกแคบๆ ที่รายล้อมด้วยความเงียบ เขารู้สึกถึงความเหนื่อยหน่าย ความวุ่นวายจากงานที่น่ารำคาญทำให้เขาไม่มีช่วงเวลาใดที่รู้สึกสงบมานานแล้ว ความหงุดหงิดเริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อเขานึกถึงเหตุผลที่ทำให้ต้องมาอยู่ที่นี่ สองพ่อลูกนั้น ไม่เคยให้ข้อมูลเบาะแสที่เป็นประโยชน์กับเขาเลย เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา พวกมันพยายามกำจัดเขาออกจากงานนี้ให้ได้ เมื่อมีโอกาส
ครั้งนี้ดูเหมือนจะอันตรายกว่าเดิม จากระยะเวลาที่เหลือเพียงสองวัน พวกมันคงพยายามแล้วแต่ล้มเหลว จึงโยนคดีนี้มาให้เขารับมือแทน
“ตามหาสาเหตุ…..แล้วกลับไปรายงาน หวังว่าครั้งนี้จะไม่มีเรื่องวุ่นวายอีกน่ะ”
เขาพึมพำกับตัวเองด้วยความหวังอันริบหรี่ ขณะเดินอย่างระมัดระวังไปตามตรอกแคบๆ
แต่ในช่วงขณะที่เขาก้าวเข้าไปข้างใน มานาที่ลอยอยู่รอบตัวเริ่มเปลี่ยนแปลง มันเริ่มเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ราวกับมีเจตจำนงที่แฝงอยู่บางอย่าง
"นี่มัน...อะไรกัน?" เขาพึมพำเบาๆ พลางมองไปรอบๆ
ความรู้สึกจากมานานั้นดึงดูดเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว เอรอสก้าวตามมันไปโดยไม่รู้ตัว หัวใจของเขาเริ่มเต้นแรงขึ้น ความอยากรู้อยากเห็นชักนำเขาให้เข้าใกล้แหล่งที่มาของพลังนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง...
"...ไม่นะ นี่มัน...ทำไมต้องตอนนี้"
ภาพหลอนเริ่มปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่กลับค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในหัว... ภาพอดีตที่เขาลืมเลือนไปแล้ว เสียงหัวเราะของเด็กสาวที่เคยทำให้หัวใจเขาอบอุ่น
จนกระทั่งบางอย่างเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว—หมอกขาวเริ่มก่อตัวขึ้นจากพื้นรอบๆตัวเขา หมอกนั้นผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนมองไม่เห็นสิ่งใด หมอกที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่คาดคิดนี้ทำให้เอรอสเริ่มรู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในโลกที่ไม่มีทางออก
"เกิดอะไรขึ้นที่นี้" เขาพึมพำเบาๆ ความสับสน และ ความหวั่นไหว เข้ามาแทนที่ความสงบนิ่งที่เคยมี เอรอสพึมพำเสียงเบา พยายามฝืนจิตใจไม่ให้ตื่นตระหนก ขณะก้าวเดินอย่างระมัดระวัง แต่ถึงแม้เขาจะยกมือขึ้นมาเพื่อสัมผัสหมอกที่ปกคลุมรอบตัว มันกลับล่องหนหายไปเมื่อนิ้วมือแตะต้อง หมอกที่จับต้องไม่ได้สร้างความรู้สึกสับสนและความไม่ไว้วางใจให้เขายิ่งขึ้น
"ไม่...ต้องตั้งสติ นี่ไม่ใช่เวลา..." เขาบอกกับตัวเอง พยายามจะเดินต่อไป แต่ทุกย่างก้าวของเขารู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างฉุดรั้งไว้
ทันใดนั้น ภาพเด็กสาวผมสีขาวกลับโผล่ขึ้นในความคิดของเขา เด็กสาวที่เขาไม่เคยจำได้เลย ใบหน้าของเธอเลือนลาง ราวกับเงาที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามาจากไหน หรือ เป็นใคร
ต่อจากนั้น ภาพต้นไม้ใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในจิตใจ ต้นไม้นั้นดูเก่าแก่ และ ทรงพลัง ใบไม้สีเขียวเข้มแผ่กิ่งก้านปกคลุมไปทั่ว สายลมเบาๆ พัดผ่าน ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวดูสงบ และ อบอุ่น แสงแดดอ่อนๆสาดส่องลงมาอย่างนุ่มนวล
ใต้ร่มเงาของต้นไม้นั้น เด็กสาวสองคนกำลังจูงมือเขาเดินไปข้างหน้า เด็กสาวคนหนึ่งคือเอเลน่า เพื่อนสาวในวัยเด็ก ผมสีทองของเธอส่องประกายอ่อนๆ ในแสงแดด รอยยิ้มของเธอทำให้หัวใจของเขาที่เคยเงียบงันกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง
แต่เด็กสาวอีกคนที่อยู่ข้างๆเอเลน่า กลับทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยแต่แปลกแยกในเวลาเดียวกัน ผมสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหิมะปลิวไสวตามสายลม ใบหน้าของเธอยังไม่ชัดเจน เหมือนเงาเลือนลาง
“พวกเราไม่เคยมีเพื่อนผู้หญิงผมสีขาวเลยนะ” คำพูดของเอเลน่าแวบเข้ามาในหัว ขัดแย้งกับภาพที่เขาเห็นในตอนนี้ ความทรงจำในใจของเขากลับทำให้รู้สึกอบอุ่น และ คุ้นเคย แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไม
เอรอสที่กำลังจมอยู่ในภาพของอดีตในความเงียบที่ดูน่าขนลุกนั้น ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าค่อยๆ ดังมาจากด้านหลัง เอรอสรีบหันไปมอง แต่กลับไม่พบใคร รอบตัวมีเพียงแสงสลัวที่ลอดผ่านหมอกซึ่งทำให้บรรยากาศรอบๆ ดูยิ่งน่ากลัวขึ้น
แล้วจู่ๆก็มีเงาเลือนลางของเด็กสามคนวิ่งผ่านตัวเอรอสไปอย่างรวดเร็ว เด็กเหล่านั้นดูไม่สังเกตเห็นเขาเลย หัวใจของเอรอสกระตุกวูบด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่สามารถอธิบายได้
"เด็กนั้นมัน…...." เขาพึมพำเบาๆ พลางจ้องมองไปยังเด็กๆ ที่หายเข้าไปในหมอก
ในขณะที่ความทรงจำเหล่านั้นค่อยๆ ทับถม ความเจ็บปวดเริ่มกัดกินจิตใจ เอรอสเผลอก้าวเท้าเดินตามเด็กเหล่านั้นไปโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่จะรู้ตัวว่าได้ข้ามเขตที่ไม่ควรเข้ามา
"บ้าเอ้ย!" เขาสบถออกมาเมื่อรู้สึกตัวได้ช้าเกินไป
ในพริบตานั้น บรรยากาศรอบตัวเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ความมืดค่อยๆแผ่กระจายเข้ามาจากทุกทิศทาง จนกระทั่งทุกอย่างรอบตัวเอรอสถูกกลืนหายไปในเงามืด ก่อนที่จะรู้สึกตัวอีกครั้ง ในสถานที่ที่ให้ความรู้สึกต่างออกไป
เอรอสพึมพำออกมาด้วยความหงุดหงิด ขณะที่มือของเขาจับสร้อยคอที่สวมอยู่ แล้วดึงมันออกมาดูเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ
"สัมผัสถึงเวทมนตร์ไม่ได้เลย... มันเกิดอะไรขึ้น?" แก่นมานาที่ได้รับมาจากเอเลน่า เพื่อนสมัยเด็ก ไม่มีการตอบสนองใดๆ เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอยู่จริง เขายกแก่นมานาขึ้นมาส่องดูใกล้ๆ และ ตรวจสอบมันอีกครั้งอย่างถี่ถ้วน
"หากไม่ใช่เวทมนตร์ประเภทความทรงจำ… แล้วภาพที่เห็นเมื่อกี้มันคืออะไรกันแน่?" เสียงของเขาเต็มไปด้วยความสับสน และ โมโห ความทรงจำที่ไม่เคยมีอยู่เกี่ยวกับเด็กสาวผมสีเงินที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ทำให้เขารู้สึกว่ามันแปลกประหลาดอย่างมาก
เขาหยุดหายใจลึกๆ พยายามเรียกสติตัวเองกลับมา บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดเกินไป เสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านตรอกมืดที่ไร้ผู้คน ทำให้สถานที่นี้ดูน่ากลัวขึ้นอย่างชัดเจน เงามืดรายล้อมเขาเหมือนกับว่ามันพยายามกดดันให้เขารู้สึกโดดเดี่ยว ราวกับโลกนี้เหลือเพียงเขาเท่านั้น
"อุปกรณ์ส่งสัญญาณก็ใช้งานไม่ได้... ปืนยังโอเค เครื่องบันทึกเสียงใช้งานได้อยู่ โพชั่นยังครบ แต่ม้วนคาถาใช้ไม่ได้เลย... ห่วยแตกจริงๆ" เอรอสบ่นพลางตรวจสอบสัมภาระของเขาด้วยความรอบคอบมากขึ้น
กำแพงที่มองไม่เห็น เหมือนจะกั้นเขาไว้ทุกครั้งที่พยายามเดินออกไปจากเขตนี้ เขาเริ่ิมพยายามทำใจให้สงบ สัมผัสได้ถึงมานาที่หนาแน่น และ แปลกประหลาดลอยอยู่รอบตัวอย่างชัดเจน
"แก่นมานา… อย่างน้อยก็ยังมีอยู่ คงต้องเตรียมตัวเผื่อเจออะไรไม่ดี" เอรอสกล่าวเบาๆ แต่ด้วยน้ำเสียงที่นิ่งกว่าเดิม เขาถอดแก่นมานาสีน้ำเงินที่ใช้ทำให้ศัตรูสลบออกมา และ แทนที่ด้วยแก่นมานาสีแดงซึ่งมีพลังทำลายล้างสูง เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้จัก.
เอรอสเดินสำรวจไปในย่านที่เงียบสงัด ความรู้สึกที่หนาวเย็นราวกับมีบางสิ่งแปลกประหลาดซ่อนอยู่รอบตัวเขา อากาศเย็นชืดผิดปกติ ท้องฟ้าที่เคยมีแสงอาทิตย์ส่องสว่างใกล้ยามเย็น กลับกลายเป็นดำมืดอย่างรวดเร็ว เหมือนหมอกมืดค่อยๆ ปกคลุมเมืองแห่งนี้ ความรู้สึกเหมือนกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังจับจ้องเขาอยู่ตลอดเวลา ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจยิ่งขึ้นทุกที
เขาเดินไปเรื่อยๆ อย่างระมัดระวัง สายตาของเขาจับจ้องไปตามทางเดินที่ทอดยาว สภาพแวดล้อมรอบตัวชวนให้รู้สึกถึงความไม่ปกติ ย่านที่ควรจะมีร่องรอยของชีวิตที่ถูกทิ้ง กลับเงียบเหงา และ ไร้ผู้คน สิ่งที่เขาพบ มีเพียงซากอาคารที่เคยยืนตระหง่าน แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนถูกทิ้งร้างมานานหลายปี ผนังอิฐบางส่วนแตกหัก และ สลายไปอย่างไม่สมเหตุสมผล ราวกับว่าทั้งพื้นนี้ ถูกทิ้งร้างมายาวนาน
เมื่อเขาเดินไปถึงเขตที่เป็นโดมใหญ่ เขาพบว่าที่นี่เต็มไปด้วยความเงียบสงบ แสงอาทิตย์ที่เคยลับขอบฟ้าไปนานกลับส่องลอดผ่านเพดานกระจกบางส่วนที่ยังคงเหลืออยู่ ส่องลงมากระทบกับต้นไม้ใหญ่ที่ยืนเด่นเป็นสง่ากลางโดม เงาอันหนาทึบของกิ่งไม้แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนถูกหยุดนิ่งในห้วงเวลา
เอรอสหยุดยืนอยู่หน้าโดม ทอดสายตาสำรวจไปรอบๆ ความทรงจำที่หลงลืมของเขาเหมือนถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง บรรยากาศโดยรอบชวนให้นึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นความจริงหรือเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่เกิดขึ้นจากจิตใจของเขาเอง สถานที่นี้กลับทำให้เขารู้สึกทั้งคุ้นเคยและแปลกประหลาดในเวลาเดียวกัน
ภายในโดม เขาพบกับศาลาเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ท่ามกลางความเงียบงันนั้น มีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนั่งพิงศาลาอยู่ ผมยาวสีเทาอ่อนของเธอคลอเคลียอยู่รอบใบหน้า ใบหน้าของเธอสงบเสงี่ยมเหมือนคนที่กำลังหลับใหล แต่สิ่งที่สะดุดตาเขา ไม่ใช่เพียงแค่รูปลักษณ์ของเธอ แต่คือกรงเหล็กสีดำที่เธอใช้เป็นหมอนหนุนศีรษะ หัวใจสีแดงฉานที่ยังคงเต้นอยู่ภายในกรงนั้น ถูกพันธนาการด้วยโซ่เงินที่ส่องประกายแวววาวในแสงสลัว
แม้ว่าเธอจะนอนนิ่งอย่างสงบ แต่พลังมานาที่ปกคลุมอยู่รอบตัวของเธอทำให้เอรอสรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่แฝงอยู่ในตัวหญิงสาวคนนี้ มันไม่ใช่พลังที่ธรรมดาเหมือนที่เขาเคยพบเจอ แต่เป็นพลังที่หนักหน่วงจนทำให้เขารู้สึกหวั่นไหว มานาของเธอไม่เหมือนใคร มันมีความเข้มข้น และ ซับซ้อนกว่าทุกคนที่เขาเคยเจอ
เอรอสค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้หญิงสาวอย่างระมัดระวัง ทุกอย่างดูเหมือนปกติ หากไม่นับมานามหาศาลที่แผ่รอบตัวหญิงสาว เขายืนมองอยู่สักพัก ก่อนที่จะก้าวเข้าไปใกล้มากขึ้น สายตาของเขาจับจ้องไปที่หัวใจสีแดงฉานที่เต้นอยู่ภายในกรง
ทันใดนั้น หญิงสาวที่เคยหลับอยู่ค่อยๆขยับตัวเล็กน้อย เอรอสหยุดชะงัก เขามองดูเธอด้วยความระวัง ดวงตาสีเงินอ่อนของเธอค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างช้าๆ ราวกับพื่งตื่นจากการหลับไหลยาวนาน
หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นมา ร่างเล็กๆของเธอสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับคนที่สะลืมสะลือ ตื่นจากการหลับไหลในศาลาสีขาวเล็กๆ ท่ามกลางความเงียบสงัด ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งยืนตระหง่านไม่ไกล กิ่งก้านแผ่ขยายอย่างสง่างาม แสงแดดอ่อนส่องลอดผ่านใบไม้สร้างโดมทองอร่ามปกคลุมสถานที่แห่งนี้ ขณะบรรยากาศแฝงความลึกลับ ราวกับสถานที่แห่งนี้ซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้เธอดูเหมือนยังไม่สังเกตเห็นเขา ราวกับว่าไม่มีใครนอกจากตัวเธอในสถานที่นี้ ความเงียบทำให้รู้สึกว่าโลกนี้มีเพียงเธอ ในมุมของเขา เขาไม่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่นานแค่ไหน แต่ดูเหมือนเธอจะเคยชินกับที่นี้ ราวกับอยู่มานานมากแล้วในขณะที่เขายืนห่างเพียงเล็กน้อย สายตาของเธอก็เลื่อนมาหาเขา ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นเข้ามาในจิตใจ เหมือนกับถูกดึงดูดด้วยความสงสัย แต่ก็มีความกดดันแฝง ราวกับเธอสัมผัสถึงความลึกลับที่เขาซ่อนอยู่ หัวใจเขาเต้นแรงเมื่อเธอเริ่มรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา“...นั้นใคร?” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อยแต่แฝงความเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง คำถามของเธอตึงเครียดขึ้น และในวินาทีนั้น พลังมานาที่สะสมในร่างเล็กๆ ของเธอก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรงความรู้สึกที่เคยสงบนิ่งของเขาถูกแทนที่
หญิงสาวหันมามองเขาอีกครั้ง ดวงตาของเธอจับจ้องเอรอสด้วยความนิ่งสงบ แต่แฝงความลึกลับบางอย่าง“ชะตากรรม... นำคุณมาที่นี่” เธอเอ่ยเสียงเบา แต่คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความหมายที่เขายังไม่เข้าใจเอรอสขมวดคิ้วเล็กน้อย ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ“ชะตากรรม? คุณหมายความว่ายังไง... ผมเคยมาที่นี่มาก่อนเหรอ?”หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ ราวกับจะบอกว่าเธอเองก็ไม่ได้มีคำตอบที่ชัดเจน“ฉันไม่รู้... แค่รู้สึกได้ว่าคุณกับที่นี่... มีอะไรบางอย่างเชื่อมโยงกันอยู่ คุณไม่ได้เข้ามาโดยบังเอิญหรอก”เอรอสสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างในใจของเขา เขามองไปรอบๆ ก่อนจะหันกลับมาหาเธอ“แล้วทำไมคุณถึงปล่อยให้ผมอยู่ต่อ?”เขาถามน้ำเสียงยังคงระวังตัว แต่ความสงสัยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆเธอยิ้มบางๆ ราวกับกำลังชั่งใจ“ฉันเองก็อยากรู้... ว่าทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้ บางทีสิ่งที่คุณกำลังตามหา... อาจอยู่ที่นี่ก็ได้” เธอพูดพลางมองไปรอบๆสถานที่แห่งนี้ มันดูเก่าแก่ และ ลึกลับ ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเอรอสพยักหน้าเบาๆ แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าที่นี่มีความหมายบางอย่างมากกว่าที่ตาเห็น“งั้นผมขอสำรวจดูหน่อย เผื่อจะเจออะไรบางอย่าง”
ในชั่วพริบตา วงเวทขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเบื้องหน้า มันแผ่กระจายแสงสีแดงเข้มออกมาอย่างน่ากลัว พลังเวทที่แผ่ซ่านออกมากดทับทุกสิ่งรอบตัวจนบิดเบือนมานาในบรรยากาศกลายเป็นพายุหมุน เส้นอักขระซับซ้อนที่เคลื่อนที่บนวงเวทบ่งบอกถึงความรุนแรงและบ้าคลั่ง แม้เอรอสจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของมันโดยตรง แต่ความรู้สึกเย็นวาบที่วิ่งผ่านร่างบอกเขาว่า วงเวทนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายเขาโดยเฉพาะ"บางอย่าง...กำลังจะมา" เอรอสพึมพำเบาๆ ขณะที่พยายามรวบรวมสมาธิแต่ก่อนที่เขาจะเตรียมพร้อมได้เต็มที่ ศรเวทสีเงินก็พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันเร็วราวกับฉีกอากาศออกเป็นเสี่ยงๆ เขาไม่ทันได้เห็นมันอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ สัญชาตญาณของเขาบังคับให้ยกแขนขึ้นป้องกัน แต่ศรนั้นพุ่งทะลุผ่านแขนของเขาไปอย่างง่ายดาย ราวกับว่าแขนของเขาไร้ความหมายต่อพลังนั้นไม่มีแรงกระแทก ไม่มีความรู้สึกจากการสัมผัสเนื้อหนัง—แค่ความเจ็บปวดที่เกิดจากพลังบางอย่างที่ลึกกว่าร่างกาย ศรเวทนั้นพุ่งเข้าปักกลางอกของเขาอย่างแม่นยำ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านราวกับคลื่นพลังที่แทรกซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา เอรอสทรุดลงกับพื้นทันที ร่างกายแทบจะตอบสนองไม่ได้ คว
เอรอสพยักหน้าช้าๆเมื่อชื่อของ ไรอัส อาร์แคนเทีย ถูกกล่าวถึง ชายผู้เป็นตำนานจอมเวทผู้บุกเบิกเส้นทางเวทมนตร์ ชื่อของเขายังคงเป็นที่เล่าขานแม้เวลาจะผ่านไปนับหมื่นปี สายตาของเอรอสจับจ้องหญิงสาวตรงหน้า ราวกับเขาได้เห็นภาพของชายในตำนานนั้นสะท้อนออกมาผ่านดวงตาของเธอ“หลายหมื่นปีที่แล้ว ไรอัส อาร์แคนเทีย คือชื่อที่ไม่มีใครไม่รู้จัก เขาเป็นจอมเวทที่ปฏิวัติโลกเวทมนตร์ จนทำให้ผู้คนเคารพนับถือเขาด้วยความศรัทธา แต่ทว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่ทำให้เขาหายตัวไป ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่ไหน ตำนานของเขากลับกลายเป็นเครื่องหมายคำถามที่ยังไม่มีใครหาคำตอบได้” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความเศร้า“แล้ว... ประวัติศาสตร์ของไรอัสมีบางส่วนที่ขาดหายไป ไม่มีใครรู้ว่าวาระสุดท้ายของเขาเป็นอย่างไร” เอรอสกล่าว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย “มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้”“ใช่… ไม่มีใครรู้จุดจบของไรอัส... เขาหายตัวไป เหลือเพียงแค่ตำนานที่บอกเล่าถึงความยิ่งใหญ่ แม้ฉันจะรู้ แต่... นั่นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพูดได้” เธอหยุดไปชั่วครู่ ดวงตาของเธอวูบไหว แสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่เก็บซ่อนอยู่ใ
เอรอสลืมตาตื่นขึ้นในความมืด ห่างจากจุดที่เขาหายตัวไปก่อนหน้านี้เล็กน้อย เสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านซากอาคารที่พังทลาย แสงจันทร์ที่ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ ทำให้บรรยากาศรอบตัวดูน่าอึดอัด และ เย็นยะเยือก กลิ่นเหม็นอับจากเศษซากจากกองขยะที่สุมกระจายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้แต่เอรอสไม่ได้ใส่ใจสิ่งเหล่านั้น.. เพราะสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขามากที่สุดในตอนนี้ คือความจริงที่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และ ความเจ็บปวดในร่างกายที่ยังคงเหลืออยู่บ้างเล็กน้อยเขานอนนิ่งไปกับพื้นถนนสักพัก ก่อนจะเลื่อนมือไปแตะที่หน้าอก ในตำแหน่งที่มีรอยฉีกขาด รอยแผลเป็นเล็กๆยังคงมีอาการเจ็บแปลบหลงเหลืออยู่ เป็นเครื่องยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน“จอมเวทย์ในตำนาน...หรอ?” เอรอสพึมพำถึงจิตวิญญาณของไรอัสที่ติดมากับหัวใจ ตอนนี้จิตวิญญาณนั้นสงบนิ่ง ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับไม่มีเจตจำนงเป็นของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่ปกติ จิตวิญญาณของเขาที่เคยฉีกขาดค่อยๆ ผสาน และหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติแต่ถึงแม้มันจะหลอมรวมกัน ก็ยังรู้สึกถึงการแบ่งแยกได้อย่างชัดเจน เหมือนกับน้ำทะเล
เอรอสก้าวผ่านตรอกซอยที่เงียบสงบในยามค่ำคืนของเมืองอัลเธอเรียน แม้ความมืดจะปกคลุม แต่แสงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้าเบื้องบนยังคงสาดส่องให้เห็นเส้นทางอันคดเคี้ยว ท้องฟ้าปลอดโปร่ง มีเพียงก้อนเมฆบางๆ ที่ลอยอยู่ห่างไกลเอรอสย่ำเท้าไปอย่างระมัดระวัง สายลมพัดเบาๆพอให้สัมผัสได้ถึงความเย็นที่ค่อยๆซึมผ่านผิวของเขา เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำที่ปิดบังร่างกายได้เป็นอย่างดี แม้จะซ่อนตัวจากสายตาคนทั่วไปได้ แต่ในใจของเขายังเต้นแรงด้วยความกังวลเมื่อเขามาถึงหอพักที่เขาใช้เป็นที่พักอาศัย มันเป็นอาคารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยก่อน เสื่อมโทรมลงตามกาลเวลา ผนังถูกปกคลุมด้วยรอยแตกและสีที่ซีดลง แต่อาคารนี้ยังคงมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ผู้คนไม่อยากละสายตา สนามหญ้าด้านหน้าถูกดูแลอย่างดี แม้ว่าจะไม่ได้หรูหรา แต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นเอรอสเดินขึ้นไปบนชั้นสองของหอพัก เขาก้าวผ่านประตูเข้ามาโดยไม่รีบร้อนจนเกินไป สายตาของเขากวาดมองไปรอบๆ ตรวจดูทุกมุมทุกซอกที่อาจมีความเคลื่อนไหวใดๆ ที่ผิดปกติภายในห้องพักของเขา เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดเป็นของเรียบง่าย โต๊ะไม้เก่าๆที่มีรอยขีดข่วนจากการใช้งานมาหลายปีถูกวางไว้ตรงกลางห้อง ข้างบนโต๊ะมีกระ
"เป็นอะไรไปล่ะ? ทำไมไม่ตอบ?" เฟลิเซียเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแต่แฝงด้วยความสงสัย เธอยืนมองเอรอสที่ยังไม่ยอมตอบคำถาม ความเงียบนี้ช่างอึดอัดราวกับสายลมหนาวที่พัดผ่านหัวใจ เธอไม่ได้เร่งรัด เพียงจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของเขาอย่างละเอียดเอรอสยืนนิ่ง มือของเขาเริ่มสั่นเล็กน้อย ความเจ็บปวดแปลบที่หน้าอกจากหัวใจของไรอัสเริ่มทวีความรุนแรง มันทำให้ร่างกายของเขารู้สึกว่างเปล่า เหมือนบางอย่างภายในถูกดึงออกไปทีละน้อย ความสามารถการรับรู้ของเขาหายไป ทำให้ต้องตระหนักถึงสถานการณ์อย่างรอบคอบมากขึ้น“พวกเบื้องบนน่ะ ไม่ได้คาดหวังอะไรไว้กับนายเลย……"เธอพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา“คิดแค่ว่าเสียงร้องเรียนของพวกชนชั้นสูงมันน่ารำคาญ ก็เลยกะจะหาคนมารับผิดชอบให้มันจบๆไป”ก่อนจะพูดต่อ เฟลิเซีย มองเอรอสตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับพยายามสำรวจเขาอย่างละเอียด"แต่ดันให้ผลลัพท์เหนือความคาดหมาย….นายหาทางเข้าที่บังเอิญเกิดขึ้นมาแค่เพียงเสี้ยววินาทีได้ยังไง?”เธอเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะถามอย่างคาดคั้น“แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาตรวจสอบเรื่องนั้น ที่สำคัญกว่า.…..นายได้รับอะไรมาจากแม่มด?”เอรอสคิดในใจ "แม่มด? เธอน่ะเหรอ?" ก่อนจะนิ่งคิ
ก่อนหน้านี้เล็กน้อย ที่กิลนักผจญภัย บรรยากาศในห้องหนึ่งค่อยๆ เงียบลง เสียงจานและแก้วที่กระทบกันอย่างต่อเนื่องในมื้ออาหารเริ่มเบาลง สมาชิกในกลุ่มทั้งห้าต่างจมอยู่ในความคิดของตน มีเพียง “ลีน่า” หญิงสาววัย 20 ปี ที่ดูร้อนใจที่สุดลีน่านั่งกุมมือไว้บนตัก ดวงตาสีทองที่ซ่อนอยู่หลังแว่นหนา มองออกไปยังท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง ความกังวลสะท้อนชัดเจนบนใบหน้าเล็กๆ ของเธอ ผมสีน้ำตาลอมแดงที่มักมัดไว้หลังศีรษะ หลุดออกมาบางส่วน เธอเฝ้ามองนอกหน้าต่างอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันสายตากลับไปยังเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ตรงข้าม แต่ไม่มีใครดูเหมือนจะสนใจความกังวลของเธอมากนัก"รุ่นพี่เขาจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรอคะ? ไปตั้งแต่เช้าแล้ว... ตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย…"ลีน่าถามเสียงเบาแต่ชัดเจน น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยราวกับพยายามเก็บซ่อนความกังวลบรรยากาศรอบโต๊ะนิ่งเงียบลงเล็กน้อยจากคำถามของลีน่า เฟรย์ ชายหนุ่มวัยเดียวกัน รูปร่างสูงโปร่ง ผิวซีดแบบขุนนาง เอียงตัวไปข้างหน้าวางข้อศอกลงบนโต๊ะ มือข้างหนึ่งยกแก้วชาขึ้นจิบ ก่อนจะพูดตอบเธอด้วยน้ำเสียงสุขุม“ไม่เป็นไรหรอกลีน่า เขาไม่ใช่คนที่จะตายง่ายๆขนาดนั้น ก็เห็นรอดกลับมาตลอด”เขาพูดด้วยท่