แชร์

ตอนที่ 2 เงามืดในตรอกสลัม

แสงอาทิตย์สีส้มยามเย็นทอดเงาหม่นลงบนพื้นดินสกปรกของย่านสลัมตอนใต้ของเมือง ตรอกซอกซอยที่คดเคี้ยวคับแคบเช่นนี้ถูกทิ้งร้างมานาน พื้นดินแตกระแหง บ้านเรือนส่วนใหญ่ทำจากไม้เก่า และ หินที่กองกันอย่างไม่เป็นระเบียบ บางหลังทรุดโทรมจวนพัง หลังคามุงกระเบื้องเก่าๆ ผ้าที่ติดอยู่ที่หน้าต่างปลิวไสวตามลม

เสียงแผ่วเบาของมัน ยิ่งเสริมให้บรรยากาศโดยรอบดูเงียบเหงา อ้างว้าง เศษขยะ และ วัตถุเหลือใช้กองอยู่ตามมุมต่างๆ บ่งบอกถึงความเสื่อมโทรมของที่นี่ชัดเจน

เอรอสยืนอยู่หน้าปากซอยหนึ่ง หลังจากใช้เวลาตลอดทั้งวันตระเวนตามหาร่องรอยของมานาที่ตกค้างหลงเหลืออยู่บนตัวผู้เสียหาย แม้มันจะเหลือน้อยจนแทยสัมผัสไม่ได้ แต่ก็เพียงพอที่จะนำพาเขามาถึงสถานที่นี้

มานาที่เขารับรู้ได้คล้ายกับมานาที่ลอยอยู่ในอากาศตรงหน้า แต่มีบางอย่างแปลกประหลาด... มันเย็นเยียบ หนักอึ้ง และ บิดเบี้ยว ผิดธรรมชาติอย่างรุนแรง มันให้รู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก แม้มานานั้นจะสงบนิ่งอยู่ในขณะนี้ แต่ความมืดมิดที่แผ่ออกมาจากมัน ยังคงสร้างความรู้สึกอึดอัด และ ชวนให้ระแวง ราวกับมันรอคอยบางสิ่งที่จะกระตุ้นให้มันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

"ที่นี่สินะ..." เอรอสกระซิบกับตัวเอง เขารู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างที่มาจากมานานั้น

"ก็ดี...หวังว่าจะไม่เสียเวลาเปล่า" เอรอสพึมพำเบาๆ ขณะสูดลมหายใจลึกเพื่อรวบรวมสมาธิ เขาปรับสีหน้าตัวเองให้สงบ ทว่าแววตายังคงฉายแววไม่ไว้ใจ

รายงานที่เขาได้รับกล่าวถึงลูกหลานของเหล่าลูกขุนนางที่ทยอยหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แม้ว่าทุกคนจะกลับมาในสภาพสมบูรณ์ แต่ก็สูญเสียความทรงจำในช่วงเวลาที่หายไปทั้งหมด เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นซุบซิบในหมู่ชาวเมือง แต่ยังไร้คำตอบว่าต้นตอของเหตุการณ์เหล่านี้คืออะไร

"ที่แบบนี้...เหมาะกับการมาเที่ยวเล่นจริงๆ"

เขาพึมพำประชดประชัน พร้อมกับกระชับปลอกคอเสื้อกันลมหนาวที่พัดผ่าน

"คงไม่ใช่ที่ๆคนปกติจะแวะมา ยกเว้นว่า..."

เอรอสพูดเบาๆ ขณะเริ่มก้าวเท้าเข้าสู่ตรอกแคบๆ ที่รายล้อมด้วยความเงียบ เขารู้สึกถึงความเหนื่อยหน่าย ความวุ่นวายจากงานที่น่ารำคาญทำให้เขาไม่มีช่วงเวลาใดที่รู้สึกสงบมานานแล้ว ความหงุดหงิดเริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อเขานึกถึงเหตุผลที่ทำให้ต้องมาอยู่ที่นี่ สองพ่อลูกนั้น ไม่เคยให้ข้อมูลเบาะแสที่เป็นประโยชน์กับเขาเลย เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา พวกมันพยายามกำจัดเขาออกจากงานนี้ให้ได้ เมื่อมีโอกาส

ครั้งนี้ดูเหมือนจะอันตรายกว่าเดิม จากระยะเวลาที่เหลือเพียงสองวัน พวกมันคงพยายามแล้วแต่ล้มเหลว จึงโยนคดีนี้มาให้เขารับมือแทน

“ตามหาสาเหตุ…..แล้วกลับไปรายงาน หวังว่าครั้งนี้จะไม่มีเรื่องวุ่นวายอีกน่ะ”

เขาพึมพำกับตัวเองด้วยความหวังอันริบหรี่ ขณะเดินอย่างระมัดระวังไปตามตรอกแคบๆ

แต่ในช่วงขณะที่เขาก้าวเข้าไปข้างใน มานาที่ลอยอยู่รอบตัวเริ่มเปลี่ยนแปลง มันเริ่มเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ราวกับมีเจตจำนงที่แฝงอยู่บางอย่าง

"นี่มัน...อะไรกัน?" เขาพึมพำเบาๆ พลางมองไปรอบๆ

ความรู้สึกจากมานานั้นดึงดูดเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว เอรอสก้าวตามมันไปโดยไม่รู้ตัว หัวใจของเขาเริ่มเต้นแรงขึ้น ความอยากรู้อยากเห็นชักนำเขาให้เข้าใกล้แหล่งที่มาของพลังนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง...

"...ไม่นะ นี่มัน...ทำไมต้องตอนนี้"

ภาพหลอนเริ่มปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่กลับค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในหัว... ภาพอดีตที่เขาลืมเลือนไปแล้ว เสียงหัวเราะของเด็กสาวที่เคยทำให้หัวใจเขาอบอุ่น

จนกระทั่งบางอย่างเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว—หมอกขาวเริ่มก่อตัวขึ้นจากพื้นรอบๆตัวเขา หมอกนั้นผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนมองไม่เห็นสิ่งใด หมอกที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่คาดคิดนี้ทำให้เอรอสเริ่มรู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในโลกที่ไม่มีทางออก

"เกิดอะไรขึ้นที่นี้" เขาพึมพำเบาๆ ความสับสน และ ความหวั่นไหว เข้ามาแทนที่ความสงบนิ่งที่เคยมี เอรอสพึมพำเสียงเบา พยายามฝืนจิตใจไม่ให้ตื่นตระหนก ขณะก้าวเดินอย่างระมัดระวัง แต่ถึงแม้เขาจะยกมือขึ้นมาเพื่อสัมผัสหมอกที่ปกคลุมรอบตัว มันกลับล่องหนหายไปเมื่อนิ้วมือแตะต้อง หมอกที่จับต้องไม่ได้สร้างความรู้สึกสับสนและความไม่ไว้วางใจให้เขายิ่งขึ้น

"ไม่...ต้องตั้งสติ นี่ไม่ใช่เวลา..." เขาบอกกับตัวเอง พยายามจะเดินต่อไป แต่ทุกย่างก้าวของเขารู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างฉุดรั้งไว้

ทันใดนั้น ภาพเด็กสาวผมสีขาวกลับโผล่ขึ้นในความคิดของเขา เด็กสาวที่เขาไม่เคยจำได้เลย ใบหน้าของเธอเลือนลาง ราวกับเงาที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามาจากไหน หรือ เป็นใคร

ต่อจากนั้น ภาพต้นไม้ใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในจิตใจ ต้นไม้นั้นดูเก่าแก่ และ ทรงพลัง ใบไม้สีเขียวเข้มแผ่กิ่งก้านปกคลุมไปทั่ว สายลมเบาๆ พัดผ่าน ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวดูสงบ และ อบอุ่น แสงแดดอ่อนๆสาดส่องลงมาอย่างนุ่มนวล

ใต้ร่มเงาของต้นไม้นั้น เด็กสาวสองคนกำลังจูงมือเขาเดินไปข้างหน้า เด็กสาวคนหนึ่งคือเอเลน่า เพื่อนสาวในวัยเด็ก ผมสีทองของเธอส่องประกายอ่อนๆ ในแสงแดด รอยยิ้มของเธอทำให้หัวใจของเขาที่เคยเงียบงันกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง

แต่เด็กสาวอีกคนที่อยู่ข้างๆเอเลน่า กลับทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยแต่แปลกแยกในเวลาเดียวกัน ผมสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหิมะปลิวไสวตามสายลม ใบหน้าของเธอยังไม่ชัดเจน เหมือนเงาเลือนลาง

“พวกเราไม่เคยมีเพื่อนผู้หญิงผมสีขาวเลยนะ” คำพูดของเอเลน่าแวบเข้ามาในหัว ขัดแย้งกับภาพที่เขาเห็นในตอนนี้ ความทรงจำในใจของเขากลับทำให้รู้สึกอบอุ่น และ คุ้นเคย แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไม

เอรอสที่กำลังจมอยู่ในภาพของอดีตในความเงียบที่ดูน่าขนลุกนั้น ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าค่อยๆ ดังมาจากด้านหลัง เอรอสรีบหันไปมอง แต่กลับไม่พบใคร รอบตัวมีเพียงแสงสลัวที่ลอดผ่านหมอกซึ่งทำให้บรรยากาศรอบๆ ดูยิ่งน่ากลัวขึ้น

แล้วจู่ๆก็มีเงาเลือนลางของเด็กสามคนวิ่งผ่านตัวเอรอสไปอย่างรวดเร็ว เด็กเหล่านั้นดูไม่สังเกตเห็นเขาเลย หัวใจของเอรอสกระตุกวูบด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่สามารถอธิบายได้

"เด็กนั้นมัน…...." เขาพึมพำเบาๆ พลางจ้องมองไปยังเด็กๆ ที่หายเข้าไปในหมอก

ในขณะที่ความทรงจำเหล่านั้นค่อยๆ ทับถม ความเจ็บปวดเริ่มกัดกินจิตใจ เอรอสเผลอก้าวเท้าเดินตามเด็กเหล่านั้นไปโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่จะรู้ตัวว่าได้ข้ามเขตที่ไม่ควรเข้ามา

"บ้าเอ้ย!" เขาสบถออกมาเมื่อรู้สึกตัวได้ช้าเกินไป

ในพริบตานั้น บรรยากาศรอบตัวเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ความมืดค่อยๆแผ่กระจายเข้ามาจากทุกทิศทาง จนกระทั่งทุกอย่างรอบตัวเอรอสถูกกลืนหายไปในเงามืด ก่อนที่จะรู้สึกตัวอีกครั้ง ในสถานที่ที่ให้ความรู้สึกต่างออกไป

เอรอสพึมพำออกมาด้วยความหงุดหงิด ขณะที่มือของเขาจับสร้อยคอที่สวมอยู่ แล้วดึงมันออกมาดูเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ

"สัมผัสถึงเวทมนตร์ไม่ได้เลย... มันเกิดอะไรขึ้น?" แก่นมานาที่ได้รับมาจากเอเลน่า เพื่อนสมัยเด็ก ไม่มีการตอบสนองใดๆ เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอยู่จริง เขายกแก่นมานาขึ้นมาส่องดูใกล้ๆ และ ตรวจสอบมันอีกครั้งอย่างถี่ถ้วน

"หากไม่ใช่เวทมนตร์ประเภทความทรงจำ… แล้วภาพที่เห็นเมื่อกี้มันคืออะไรกันแน่?" เสียงของเขาเต็มไปด้วยความสับสน และ โมโห ความทรงจำที่ไม่เคยมีอยู่เกี่ยวกับเด็กสาวผมสีเงินที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ทำให้เขารู้สึกว่ามันแปลกประหลาดอย่างมาก

เขาหยุดหายใจลึกๆ พยายามเรียกสติตัวเองกลับมา บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดเกินไป เสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านตรอกมืดที่ไร้ผู้คน ทำให้สถานที่นี้ดูน่ากลัวขึ้นอย่างชัดเจน เงามืดรายล้อมเขาเหมือนกับว่ามันพยายามกดดันให้เขารู้สึกโดดเดี่ยว ราวกับโลกนี้เหลือเพียงเขาเท่านั้น

"อุปกรณ์ส่งสัญญาณก็ใช้งานไม่ได้... ปืนยังโอเค เครื่องบันทึกเสียงใช้งานได้อยู่ โพชั่นยังครบ แต่ม้วนคาถาใช้ไม่ได้เลย... ห่วยแตกจริงๆ" เอรอสบ่นพลางตรวจสอบสัมภาระของเขาด้วยความรอบคอบมากขึ้น

กำแพงที่มองไม่เห็น เหมือนจะกั้นเขาไว้ทุกครั้งที่พยายามเดินออกไปจากเขตนี้ เขาเริ่ิมพยายามทำใจให้สงบ สัมผัสได้ถึงมานาที่หนาแน่น และ แปลกประหลาดลอยอยู่รอบตัวอย่างชัดเจน

"แก่นมานา… อย่างน้อยก็ยังมีอยู่ คงต้องเตรียมตัวเผื่อเจออะไรไม่ดี" เอรอสกล่าวเบาๆ แต่ด้วยน้ำเสียงที่นิ่งกว่าเดิม เขาถอดแก่นมานาสีน้ำเงินที่ใช้ทำให้ศัตรูสลบออกมา และ แทนที่ด้วยแก่นมานาสีแดงซึ่งมีพลังทำลายล้างสูง เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้จัก.

เอรอสเดินสำรวจไปในย่านที่เงียบสงัด ความรู้สึกที่หนาวเย็นราวกับมีบางสิ่งแปลกประหลาดซ่อนอยู่รอบตัวเขา อากาศเย็นชืดผิดปกติ ท้องฟ้าที่เคยมีแสงอาทิตย์ส่องสว่างใกล้ยามเย็น กลับกลายเป็นดำมืดอย่างรวดเร็ว เหมือนหมอกมืดค่อยๆ ปกคลุมเมืองแห่งนี้ ความรู้สึกเหมือนกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังจับจ้องเขาอยู่ตลอดเวลา ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจยิ่งขึ้นทุกที

เขาเดินไปเรื่อยๆ อย่างระมัดระวัง สายตาของเขาจับจ้องไปตามทางเดินที่ทอดยาว สภาพแวดล้อมรอบตัวชวนให้รู้สึกถึงความไม่ปกติ ย่านที่ควรจะมีร่องรอยของชีวิตที่ถูกทิ้ง กลับเงียบเหงา และ ไร้ผู้คน สิ่งที่เขาพบ มีเพียงซากอาคารที่เคยยืนตระหง่าน แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนถูกทิ้งร้างมานานหลายปี ผนังอิฐบางส่วนแตกหัก และ สลายไปอย่างไม่สมเหตุสมผล ราวกับว่าทั้งพื้นนี้ ถูกทิ้งร้างมายาวนาน

เมื่อเขาเดินไปถึงเขตที่เป็นโดมใหญ่ เขาพบว่าที่นี่เต็มไปด้วยความเงียบสงบ แสงอาทิตย์ที่เคยลับขอบฟ้าไปนานกลับส่องลอดผ่านเพดานกระจกบางส่วนที่ยังคงเหลืออยู่ ส่องลงมากระทบกับต้นไม้ใหญ่ที่ยืนเด่นเป็นสง่ากลางโดม เงาอันหนาทึบของกิ่งไม้แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนถูกหยุดนิ่งในห้วงเวลา

เอรอสหยุดยืนอยู่หน้าโดม ทอดสายตาสำรวจไปรอบๆ ความทรงจำที่หลงลืมของเขาเหมือนถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง บรรยากาศโดยรอบชวนให้นึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นความจริงหรือเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่เกิดขึ้นจากจิตใจของเขาเอง สถานที่นี้กลับทำให้เขารู้สึกทั้งคุ้นเคยและแปลกประหลาดในเวลาเดียวกัน

ภายในโดม เขาพบกับศาลาเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ท่ามกลางความเงียบงันนั้น มีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนั่งพิงศาลาอยู่ ผมยาวสีเทาอ่อนของเธอคลอเคลียอยู่รอบใบหน้า ใบหน้าของเธอสงบเสงี่ยมเหมือนคนที่กำลังหลับใหล แต่สิ่งที่สะดุดตาเขา ไม่ใช่เพียงแค่รูปลักษณ์ของเธอ แต่คือกรงเหล็กสีดำที่เธอใช้เป็นหมอนหนุนศีรษะ หัวใจสีแดงฉานที่ยังคงเต้นอยู่ภายในกรงนั้น ถูกพันธนาการด้วยโซ่เงินที่ส่องประกายแวววาวในแสงสลัว

แม้ว่าเธอจะนอนนิ่งอย่างสงบ แต่พลังมานาที่ปกคลุมอยู่รอบตัวของเธอทำให้เอรอสรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่แฝงอยู่ในตัวหญิงสาวคนนี้ มันไม่ใช่พลังที่ธรรมดาเหมือนที่เขาเคยพบเจอ แต่เป็นพลังที่หนักหน่วงจนทำให้เขารู้สึกหวั่นไหว มานาของเธอไม่เหมือนใคร มันมีความเข้มข้น และ ซับซ้อนกว่าทุกคนที่เขาเคยเจอ

เอรอสค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้หญิงสาวอย่างระมัดระวัง ทุกอย่างดูเหมือนปกติ หากไม่นับมานามหาศาลที่แผ่รอบตัวหญิงสาว เขายืนมองอยู่สักพัก ก่อนที่จะก้าวเข้าไปใกล้มากขึ้น สายตาของเขาจับจ้องไปที่หัวใจสีแดงฉานที่เต้นอยู่ภายในกรง

ทันใดนั้น หญิงสาวที่เคยหลับอยู่ค่อยๆขยับตัวเล็กน้อย เอรอสหยุดชะงัก เขามองดูเธอด้วยความระวัง ดวงตาสีเงินอ่อนของเธอค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างช้าๆ ราวกับพื่งตื่นจากการหลับไหลยาวนาน

 

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status