เอรอสลืมตาตื่นขึ้นในความมืด ห่างจากจุดที่เขาหายตัวไปก่อนหน้านี้เล็กน้อย เสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านซากอาคารที่พังทลาย แสงจันทร์ที่ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ ทำให้บรรยากาศรอบตัวดูน่าอึดอัด และ เย็นยะเยือก กลิ่นเหม็นอับจากเศษซากจากกองขยะที่สุมกระจายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้
แต่เอรอสไม่ได้ใส่ใจสิ่งเหล่านั้น.. เพราะสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขามากที่สุดในตอนนี้ คือความจริงที่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และ ความเจ็บปวดในร่างกายที่ยังคงเหลืออยู่บ้างเล็กน้อย
เขานอนนิ่งไปกับพื้นถนนสักพัก ก่อนจะเลื่อนมือไปแตะที่หน้าอก ในตำแหน่งที่มีรอยฉีกขาด รอยแผลเป็นเล็กๆยังคงมีอาการเจ็บแปลบหลงเหลืออยู่ เป็นเครื่องยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน
“จอมเวทย์ในตำนาน...หรอ?” เอรอสพึมพำถึงจิตวิญญาณของไรอัสที่ติดมากับหัวใจ ตอนนี้จิตวิญญาณนั้นสงบนิ่ง ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับไม่มีเจตจำนงเป็นของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่ปกติ จิตวิญญาณของเขาที่เคยฉีกขาดค่อยๆ ผสาน และหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติ
แต่ถึงแม้มันจะหลอมรวมกัน ก็ยังรู้สึกถึงการแบ่งแยกได้อย่างชัดเจน เหมือนกับน้ำทะเลสองสายที่มาบรรจบกันแต่ยังคงรักษาความแตกต่าง
“มิน่าล่ะ ถึงได้บอกว่าต้องใช้เวลาเป็นสิบปี” เขาคิดในใจอย่างครุ่นคิด วิญญาณนั้นไม่สามารถผสานเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจิตวิญญาณเหล่านั้นจะถูกครอบงำหรือถูกทำลาย แม้แต่ปีศาจเองก็ทำได้เพียงกักขังจิตวิญญาณและค่อยๆ ซึมซับไอวิญญาณที่หลุดออกมาเท่านั้น
แต่สำหรับเขา มันไม่ใช่อย่างนั้น จิตวิญญาณของเขาราวกับทารกแรกเกิดที่พร้อมจะดูดซับทุกสิ่ง ทุกประสบการณ์และความรู้สึก เขาสามารถต้านทานการรุกรานจากจิตวิญญาณอื่นที่แฝงอยู่ในตัวได้ แต่เมื่อวิญญาณของเขาฉีกขาด กำแพงที่เคยกั้นขวางระหว่างทั้งสองก็พังทลายลง แม้ว่าตอนนี้จะมีจิตวิญญาณของไรอัสมาช่วยอุดช่องโหว่ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความจริงนั้นเปลี่ยนไป
“ก็แค่เปลี่ยนว่าใครจะเข้ามาครอบงำตัวฉันแค่นั้น” เอรอสคิดในใจ เขาค่อยๆ ขยับร่างกายที่อ่อนล้าให้ยืนขึ้น ฝุ่นละอองฟุ้งกระจายจากเศษหินและซากปรักหักพัง เสียงเสื้อผ้าครูดกับพื้นทำให้บรรยากาศเงียบสงัดราวกับที่นี่ไม่มีชีวิตอื่นใดนอกจากเขา แม้ความเป็นจริงจะไม่ใช่แบบนั้นก็ตาม
ไกลออกไปพอสมควร เขาสัมผัสได้ถึงดวงตาหลายสิบคู่ที่กำลังแอบมองเขาจากซากบ้านเรือนที่ถูกทิ้งร้าง หากเขาตื่นช้าไปอีกนิด คงโดนพวกมันขโมยของไปแล้ว เขาพยายามเดินออกห่างจากสถานที่นั้นอย่างรวดเร็ว พยายามทำตัวให้ดูสงบมากที่สุด
เอรอสเดินไปตามถนนในเมืองอัลเธอเรียน ความเร่งรีบที่แฝงอยู่ในทุกก้าวไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากนัก แต่เขารับรู้ได้ถึงสายตาที่จับจ้องมาที่เขาและเสียงกระซิบจากผู้คนรอบข้าง
“หมอนั่นแปลกๆ... อยู่ๆ ก็โผล่มาจากความว่างเปล่า...น่าสงสัยชะมัด” เสียงกระซิบแผ่วเบาดังมาจากกลุ่มคนที่ยืนอยู่ข้างทาง
“ไปแจ้งหอคอยดีไหม? เราอาจได้รางวัลก็ได้นะ” อีกคนหนึ่งตอบ
"ข้าจะไปแจ้งให้หอคอยทราบเอง พวกแกตามมันไป อย่าให้โดนจับได้" เสียงนี้ชัดเจนกว่าคนอื่น เป็นสัญญาณให้รู้ว่ามีคนตั้งใจสะกดรอยตามเขา
เอรอสรู้ตัวทันที—พวกมันกำลังตามเขาอยู่ หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น แต่เขายังคงรักษาความสงบไว้ ไม่แสดงออกให้เห็นถึงความตื่นตระหนก การวิ่งหนีทันทีคงเป็นทางเลือกที่ผิด เพราะในเวลานี้ มีสายตานับไม่ถ้วนกำลังจับจ้องเขาอยู่ เขาไม่อาจเสี่ยงใช้พลังหรือแปลงร่างหนีได้
พวกชาวเมืองเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้กับหอคอยแห่งอัลเธอเรียน ข้อตกลงลับๆ ระหว่างหอคอยกับประชาชนทำให้ใครก็ตามที่รายงานข้อมูลหรือสิ่งน่าสงสัยจะได้รับรางวัลตอบแทนเป็นหินเวทย์ แม้จะเป็นหินเวทย์ที่พลังงานถูกใช้ไปแล้ว แต่มันก็ยังคงมีคุณค่าในชีวิตประจำวันสำหรับผู้คนทั่วไป หินเวทย์ที่เหลือมานาเพียงเล็กน้อยสามารถนำมาใช้ทำงานเล็กๆ น้อยๆหรือเป็นแหล่งพลังงานชั่วคราว แม้จะไม่ได้มีพลังเพียงพอสำหรับการร่ายเวทมนตร์ขั้นสูง แต่ก็ยังเป็นของล้ำค่าสำหรับชาวเมือง
เขาเร่งฝีเท้าขึ้นอีกเล็กน้อย พยายามให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด เสียงฝีเท้าของผู้สะกดรอยตามเริ่มใกล้เข้ามา แต่เอรอสยังคงรักษาความสงบไว้ เขาต้องหาทางหลบหนี—แต่ไม่ใช่ตอนนี้
“ใจเย็นไว้” เอรอสบอกกับตัวเอง ขณะเร่งก้าวไปข้างหน้า แม้จังหวะหัวใจจะเต้นถี่ขึ้น แต่ภายนอกเขายังคงดูนิ่งสงบ เขาเดินเข้าสู่เขตที่มีผู้คนมากขึ้น เสียงพูดคุยรอบตัวเริ่มแทรกเข้ามาในความคิด
“ได้ยินไหม? มีคนเห็น ‘นักเชือด’ ในเมืองเมื่อไม่นานมานี้”
“เขากลับมาแล้วงั้นเหรอ? ฉันไม่ชอบเรื่องแบบนี้เลย!”
“มันเล็งแต่พวกที่มีตำแหน่งสูงเท่านั้น...รีบกลับบ้านกันดีกว่า”
เอรอสพยายามแทรกตัวผ่านฝูงชน ทุกสายตาที่จ้องมาเหมือนคอยจับผิด ราวกับพวกเขารู้ว่าอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล แม้จะรับรู้ถึงแรงกดดันนั้น เขาก็ยังคงสงบ เขารู้ดี—เขาไม่อาจเสี่ยงเปลี่ยนร่างตอนนี้ได้—สายตานับไม่ถ้วนกำลังจับจ้องเขาอยู่ หากเปลี่ยนเป็นมันในสถานการณ์นี้ มันคงยิ่งเป็นการดึงความสนใจให้เพิ่มขึ้นไปอีก ซึ่งมันจะทำให้เขาเคลื่อนไหวในอนาคตได้ลำบากขึ้น
เขารีบฝ่าฝูงชนมุ่งหน้ากลับไปยังห้องพักโดยเร็วที่สุด ตราบใดที่เขายังไม่รู้ว่าพวกหอคอยเวทมนตร์ต้องการอะไรจากเขา การเปิดเผยว่าตัวเองมีหัวใจของไรอัสอยู่ในมือถือเป็นเรื่องอันตรายเกินไป
เมื่อเขาแน่ใจว่าสลัดพวกสะกดรอยได้ เอรอสก็หันไปยังเส้นทางเงียบที่เต็มไปด้วยผนังเก่าและสกปรก สถานที่ที่แทบไม่มีใครสนใจ แต่แล้วสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นโปสเตอร์เก่าแปะอยู่บนผนัง มันเป็นภาพของหญิงสาวผมสีทองถือดาบด้วยท่าทางสง่างาม
“เอเลน่า...” เอรอสพึมพำชื่อที่แสนคุ้นเคย พร้อมกับอ่านข้อความในโปสเตอร์
“ขอแสดงความยินดีแก่ เอเลน่า วัลธอเรน อัศวินเวทย์ที่เลื่อนระดับวงแหวนมานาเป็น 4 วง ในวัยที่อายุน้อยที่สุดในทวีป”
"เธอจะเป็นความภาคภูมิใจให้แก่เมืองของเรา และเป็นลูกสาวที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของไลออน วัลธอเรน ผู้ล่วงลับ พวกเราจะจดจำเขาไว้ในความทรงจำตลอดไป"
เอรอสยืนนิ่ง ความคิดย้อนกลับไปถึงคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับเอเลน่า รวมถึงกล่องที่เต็มไปด้วยความทรงจำของพวกเขาทั้งสาม เขาเผลอทำมันหลุดมือไปตอนที่โดนเวทมนตร์ของผู้หญิงคนนั้นเล่นงาน...น่าเสียดายที่ไม่ได้พกมันกลับมาด้วย
ความทรงจำเก่าๆ เริ่มผุดขึ้นในใจของเขา...ย้อนกลับไปเมื่อแปดปีก่อน ในวันที่นักฆ่าโจมตีคฤหาสน์วัลธอเรน ภาพเอเลน่าปลุกพลังสายเลือดเป็นครั้งแรกยังชัดเจนในใจ ช่วงเวลาที่ทั้งสองต้องเผชิญหน้ากับความตาย แต่ว่าตอนนี้...เธอกลายเป็นอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่น ส่วนเขา...ได้เลือกเส้นทางที่แตกต่างออกไป
เอรอสสะดุดคิดขึ้นมาได้ถึงคำสัญญาที่เคยให้ไว้ สัญญาที่จะช่วยทำให้ความฝันของเอเลน่าเป็นจริง แต่ตอนนี้มันผ่านมานานแล้ว…
“...เรื่องมันผ่านไปแล้ว...ฉันออกจากตระกูลมาแล้วด้วย”
แม้จะบอกตัวเองอย่างนั้น แต่ความรู้สึกผูกพันในอดีตก็ยังคงฝังลึกอยู่ รวมถึงคำสัญญาที่เคยให้ไว้ แม้ว่าในตอนนี้เอเลน่าจะมีคนคอยช่วยเหลืออยู่แล้วก็ตาม…
“...จะช่วยสักหน่อยก็แล้วกัน ถึงมันจะไม่อยู่ในแผนของฉันก็เถอะ” เอรอสถอนสายตาจากโปสเตอร์ แล้วเดินต่อไป
เอรอสคิดถึงเป้าหมายของเอเลน่า เป้าหมายที่ชัดเจนในใจของเธอคือการเป็นอัศวินชั้นสูงเพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นของผู้คนในเมือง เขายังจำเธอในสภาพก่อนหน้านี้ได้ ร่างกายของเธอ มีการรั่วไหลของมานา ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาในอนาคต ความพยายามอันหนักหน่วงของเธออาจถูกมองว่าเป็นการทุ่มเทอย่างจริงจัง แต่เอรอสรู้ดีว่าผลลัพธ์ที่ได้มา อาจจะทำให้ตัวเธอเองพังทลายในอนาคต
“แต่เอเลน่า...ความคิดแบบนั้นมันยังตื้นไป” เขาพึมพำอย่างขมขื่น การพยายามเรียกคืนความเชื่อมั่นโดยการกลบปัญหาไม่ใช่หนทางที่ยั่งยืน เขาหยุดเดินชั่วครู่ หัวสมองทำงานอย่างหนัก ขณะคิดถึงวิธีที่เขาจะดำเนินการต่อไป
“ฉันจะจัดการทุกอย่างด้วยวิธีของฉันเอง...ไว้หลังจากนี้ ค่อยไปหาพวกนั้นแล้วกัน”
คำสัญญาในใจดังก้องอยู่ตลอดเวลา เขาเดินต่อไป สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่เคยจางหายไปเมื่อนานมาแล้ว
เขาก้าวเดินต่อไป ท่ามกลางความเงียบที่ค่อยๆแทรกซึมเข้ามาในจิตใจ พร้อมกับวางแผนอนาคตที่ซับซ้อน แต่ไม่รู้เลยว่าสายตาหลายคู่ของจอมเวทย์ กำลังเฝ้ามองเขาอย่างเงียบงันจากบนอาคารอยู่
เอรอสก้าวผ่านตรอกซอยที่เงียบสงบในยามค่ำคืนของเมืองอัลเธอเรียน แม้ความมืดจะปกคลุม แต่แสงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้าเบื้องบนยังคงสาดส่องให้เห็นเส้นทางอันคดเคี้ยว ท้องฟ้าปลอดโปร่ง มีเพียงก้อนเมฆบางๆ ที่ลอยอยู่ห่างไกลเอรอสย่ำเท้าไปอย่างระมัดระวัง สายลมพัดเบาๆพอให้สัมผัสได้ถึงความเย็นที่ค่อยๆซึมผ่านผิวของเขา เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำที่ปิดบังร่างกายได้เป็นอย่างดี แม้จะซ่อนตัวจากสายตาคนทั่วไปได้ แต่ในใจของเขายังเต้นแรงด้วยความกังวลเมื่อเขามาถึงหอพักที่เขาใช้เป็นที่พักอาศัย มันเป็นอาคารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยก่อน เสื่อมโทรมลงตามกาลเวลา ผนังถูกปกคลุมด้วยรอยแตกและสีที่ซีดลง แต่อาคารนี้ยังคงมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ผู้คนไม่อยากละสายตา สนามหญ้าด้านหน้าถูกดูแลอย่างดี แม้ว่าจะไม่ได้หรูหรา แต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นเอรอสเดินขึ้นไปบนชั้นสองของหอพัก เขาก้าวผ่านประตูเข้ามาโดยไม่รีบร้อนจนเกินไป สายตาของเขากวาดมองไปรอบๆ ตรวจดูทุกมุมทุกซอกที่อาจมีความเคลื่อนไหวใดๆ ที่ผิดปกติภายในห้องพักของเขา เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดเป็นของเรียบง่าย โต๊ะไม้เก่าๆที่มีรอยขีดข่วนจากการใช้งานมาหลายปีถูกวางไว้ตรงกลางห้อง ข้างบนโต๊ะมีกระ
"เป็นอะไรไปล่ะ? ทำไมไม่ตอบ?" เฟลิเซียเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแต่แฝงด้วยความสงสัย เธอยืนมองเอรอสที่ยังไม่ยอมตอบคำถาม ความเงียบนี้ช่างอึดอัดราวกับสายลมหนาวที่พัดผ่านหัวใจ เธอไม่ได้เร่งรัด เพียงจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของเขาอย่างละเอียดเอรอสยืนนิ่ง มือของเขาเริ่มสั่นเล็กน้อย ความเจ็บปวดแปลบที่หน้าอกจากหัวใจของไรอัสเริ่มทวีความรุนแรง มันทำให้ร่างกายของเขารู้สึกว่างเปล่า เหมือนบางอย่างภายในถูกดึงออกไปทีละน้อย ความสามารถการรับรู้ของเขาหายไป ทำให้ต้องตระหนักถึงสถานการณ์อย่างรอบคอบมากขึ้น“พวกเบื้องบนน่ะ ไม่ได้คาดหวังอะไรไว้กับนายเลย……"เธอพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา“คิดแค่ว่าเสียงร้องเรียนของพวกชนชั้นสูงมันน่ารำคาญ ก็เลยกะจะหาคนมารับผิดชอบให้มันจบๆไป”ก่อนจะพูดต่อ เฟลิเซีย มองเอรอสตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับพยายามสำรวจเขาอย่างละเอียด"แต่ดันให้ผลลัพท์เหนือความคาดหมาย….นายหาทางเข้าที่บังเอิญเกิดขึ้นมาแค่เพียงเสี้ยววินาทีได้ยังไง?”เธอเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะถามอย่างคาดคั้น“แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาตรวจสอบเรื่องนั้น ที่สำคัญกว่า.…..นายได้รับอะไรมาจากแม่มด?”เอรอสคิดในใจ "แม่มด? เธอน่ะเหรอ?" ก่อนจะนิ่งคิ
ก่อนหน้านี้เล็กน้อย ที่กิลนักผจญภัย บรรยากาศในห้องหนึ่งค่อยๆ เงียบลง เสียงจานและแก้วที่กระทบกันอย่างต่อเนื่องในมื้ออาหารเริ่มเบาลง สมาชิกในกลุ่มทั้งห้าต่างจมอยู่ในความคิดของตน มีเพียง “ลีน่า” หญิงสาววัย 20 ปี ที่ดูร้อนใจที่สุดลีน่านั่งกุมมือไว้บนตัก ดวงตาสีทองที่ซ่อนอยู่หลังแว่นหนา มองออกไปยังท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง ความกังวลสะท้อนชัดเจนบนใบหน้าเล็กๆ ของเธอ ผมสีน้ำตาลอมแดงที่มักมัดไว้หลังศีรษะ หลุดออกมาบางส่วน เธอเฝ้ามองนอกหน้าต่างอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันสายตากลับไปยังเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ตรงข้าม แต่ไม่มีใครดูเหมือนจะสนใจความกังวลของเธอมากนัก"รุ่นพี่เขาจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรอคะ? ไปตั้งแต่เช้าแล้ว... ตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย…"ลีน่าถามเสียงเบาแต่ชัดเจน น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยราวกับพยายามเก็บซ่อนความกังวลบรรยากาศรอบโต๊ะนิ่งเงียบลงเล็กน้อยจากคำถามของลีน่า เฟรย์ ชายหนุ่มวัยเดียวกัน รูปร่างสูงโปร่ง ผิวซีดแบบขุนนาง เอียงตัวไปข้างหน้าวางข้อศอกลงบนโต๊ะ มือข้างหนึ่งยกแก้วชาขึ้นจิบ ก่อนจะพูดตอบเธอด้วยน้ำเสียงสุขุม“ไม่เป็นไรหรอกลีน่า เขาไม่ใช่คนที่จะตายง่ายๆขนาดนั้น ก็เห็นรอดกลับมาตลอด”เขาพูดด้วยท่
“หยุดสิวะ... หยุด!!!”เอรอสที่ทรุดตัวนั่งอยู่บนพื้น ตะโกนในใจด้วยความอึดอัด ความเหนื่อยล้าที่กดทับร่างทำให้เขาหายใจหอบ สายตาของเขาพร่ามัว เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และความรู้สึกเจ็บปวดที่บีบคั้นราวกับถูกบีบรัดจากภายใน ความทรมานที่รู้สึกนั้นเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหวนี่เป็นครั้งที่สองแล้ว... ครั้งที่สองที่เขาถูกมันคุกคามหนักถึงขนาดนี้น ยิ่งเขาปล่อยให้มันเข้ามาในจิตใจมากเท่าไหร่ ทั้งสองก็ยิ่งเชื่อมต่อกันแน่นแฟ้นขึ้นทุกที เหมือนมีบางอย่างในตัวเขาถูกดึงออกไป... และในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ถูกถ่ายโอนกลับมา แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำก็ตามหลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ผลกระทบที่ยืดเยื้อก็ค่อยๆ จางหาย เอรอสนอนราบลงกับพื้น ถอนหายใจยาวเพื่อระบายความอึดอัดที่ยังหลงเหลืออยู่ เขาไม่สนใจเสื้อผ้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อหรือความอ่อนล้าที่ปกคลุมร่างกาย สิ่งที่เขาสนใจกลับเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามา ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเขา...มันเป็นภาพครอบครัวของเรย์นาร์ค... แม้เพียงเสี้ยวหนึ่งก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงในความทรงจำนั้น เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งและเด็กสาวอายุราว 8 ขวบ ทั้งสองมีผิวสี
แม้ว่าเอรอสจะพยายามรักษาระยะห่างจากเธอ แต่ทุกครั้งที่เกิดอันตรายขึ้น เขากลับปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือเสมอ แม้จะไม่ใช่ตัวตนเดิมก็ตามในช่วงเวลาปกติ เขาก็คอยแนะนำสถานที่สำหรับหาข้อมูล ของใช้ที่จำเป็นสำหรับการทำงาน หรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับคดีที่พวกเขาทำอยู่ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่พวกรุ่นพี่ที่ทำงานมาก่อนหน้านี้ไม่ยอมบอก ทำให้คำแนะนำของเอรอสกลายเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกขอบคุณมาโดยตลอดอย่างไรก็ตาม ภารกิจที่เขาได้รับจากกิลด์ส่วนใหญ่กลับเป็นเพียงงานธรรมดา ไม่เกี่ยวข้องกับแผนกสืบสวนเลย เช่น การส่งจดหมายไปที่เมืองอื่น หาแมวที่หายไป หรือแม้แต่ทำความสะอาดสถานที่บางแห่ง ภารกิจเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นงานที่ไม่สำคัญและไม่มีใครสนใจ นักผจญภัยคนอื่นมักเลือกทำภารกิจที่ท้าทายและมีผลตอบแทนมากกว่าเหตุผลที่เอรอสได้รับภารกิจเหล่านี้มาจากผู้จัดการของกิลด์เอง ผู้จัดการอ้างว่า ‘หน้าตาทางสังคมของกิลด์จะเสียหาย ถ้างานพวกนี้ไม่ถูกจัดการ’ เขามอบงานเหล่านั้นให้เอรอส โดยเจตนาซ่อนความสามารถของเขา เพื่อป้องกันไม่ให้เด่นเกินหน้าลูกชายหรือผู้จัดการเอง แม้ว่าหากจนปัญญาจริงๆ ก็จะตกมาถึงมือเขาเสมอลีน่าที่พยายามรักษาระยะห่างจากผู้
คำพูดของเฟรย์ทำให้บรรยากาศในห้องประชุมเงียบงัน ลีน่ากับโซเฟียสบตากันอย่างเคร่งเครียด หอคอยนักปราชญ์เป็นหนึ่งในองค์กรที่ทรงอำนาจที่สุดในประเทศ มีอิทธิพลเทียบเท่ากับตระกูลขุนนางชั้นสูงและราชวงศ์ เป็นศูนย์กลางขององค์ความรู้และเวทมนตร์ หากใครปรารถนาจะก้าวขึ้นเป็นจอมเวทชั้นแนวหน้า หอคอยนี้คือที่ที่พวกเขาต้องผ่านไป ไม่เพียงแต่ขึ้นชื่อในเรื่องการสอนเวทมนตร์ แต่ยังสร้างนักเวทผู้ทรงพลังมานับไม่ถ้วนการคัดเลือกผู้เข้าสู่หอคอยนั้นแสนเข้มงวด ผู้สมัครต้องมีวงแหวนอย่างน้อยสองวง และอายุไม่เกิน 20 ปี แม้ว่าพวกเขาจะผ่านเงื่อนไขที่กำหนดไว้ได้ การอยู่รอดในหอคอยก็ยังเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่น เพราะภายในนั้นเต็มไปด้วยการแข่งขัน และการต่อสู้เพื่อความเป็นหนึ่ง ที่นั่นยังเป็นสถานที่รวมเหล่าลูกหลานขุนนางที่ทรงอำนาจไว้อย่างมากมาย ทุกย่างก้าวในหอคอยจึงเต็มไปด้วยความอันตรายอยู่เสมอเฟรย์เอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่น “ไม่คิดเลยว่าหอคอยจะเข้ามาเกี่ยวข้อง... มันอันตรายเกินไปที่เราจะยุ่งกับเรื่องนี้”พวกทุกคนเข้าใจถึงความอันตรายของหอคอยเป็นอย่างดี เอรอสได้บอกข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับหอคอย และ เตือนพวกเขาว่าห้ามไปยุ่ง หรือ หาเรื่
ในความมืดมิด เอรอสลืมตาขึ้นมา ท่ามกลางเงาดำไร้ขอบเขต พื้นที่เขาเหยียบย่ำเป็นแอ่งน้ำสีดำสนิท ลึกจนไร้ก้นบึ้ง ทุกสิ่งเงียบงันจนดูเหมือนเวลาได้หยุดลง ความเย็นเฉียบของบรรยากาศนั้นไม่เพียงแค่โอบล้อมร่างกายของเขา แต่ราวกับแทรกซึมลึกเข้าไปในไขกระดูก เย็นจนแสบซ่าน ทรมานจนหัวใจของเขาเต้นรัว เสียงกระซิบแผ่วเบาจากเงามืดดังขึ้นรอบตัวเขา คล้ายกับความคิดแฝงซ่อนอยู่ในหัวของเขาเองที่คอยกัดกร่อน“ยังมีสัญญาที่ยังทำไม่สำเร็จอีกไม่ใช่หรือ? จะยอมแพ้แล้วงั้นหรอ?”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง เมื่อนั้นเอรอสหันไปมอง เขาเห็นตัวเอง... ในอีกรูปแบบหนึ่ง รูปร่างนั้นผ่ายผอม ใบหน้าอิดโรย ความเหนื่อยล้าฉายชัดบนใบหน้าของร่างนั้น แต่ดวงตา และ ท่าทางกลับแน่วแน่ดั่งก้อนหินที่ไม่อาจถูกทำลายเมื่อเอรอสหันมองไปรอบๆ เขาพบว่ามีตัวเองอีกนับสิบยืนล้อมรอบเขาอยู่ บางคนดูมั่นคง เยือกเย็น ราวกับผู้นำที่ยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบพร้อมด้วยชุดเกราะสีเงินที่เปล่งประกาย บางคนสวมเสื้อคลุมสีดำสนิท ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าแต่ท่าทางยังแฝงความเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้ ทั้งหมดล้วนสะท้อนตัวตนของเขาในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกสายตาจับจ้องมาที่เ
เอรอสยังคงนั่งอยู่ในความเงียบ หัวใจของเขาเต้นช้าลงเมื่อความคิดเยือกเย็นและสิ้นหวังเริ่มแผ่ซ่านไปทั่ว ความจริงที่ว่าเขาอาจหายไปจากโลกนี้โดยไม่มีใครพบเจอ ทำให้ทุกอย่างในห้องขังหนักอึ้งกว่าเดิม แม้เขาพยายามปิดกั้นความคิดเหล่านั้น แต่เงาแห่งความกลัวก็ยังคืบคลานเข้ามาความเย็นชาจากพื้นหินและผนังคุกเหมือนซึมลึกเข้ามาในใจ ความสิ้นหวังที่หนักอึ้งขึ้นทุกวินาที แต่ในขณะเดียวกัน เอรอสยังคงบอกตัวเองให้ยืนหยัด และต้องหาทางเอาชีวิตรอดเขามองไปรอบๆ ห้องขังที่เย็นเยียบ พื้นหินแตกร้าวและมีน้ำซึม กลิ่นอับชื้นชวนให้คิดถึงสถานที่ที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครสนใจ และไร้ทางออก แม้เขาบอกตัวเองว่าไม่กลัว แต่ลึกๆ เขารู้ดีว่าการอยู่ที่นี่นานเกินไปจะกัดกร่อนจิตใจของเขา เหมือนกำแพงหินที่ถูกเวลาบั่นทอนลงเรื่อยๆเสียงฝีเท้าของเฟลิเซียยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา แม้ว่าเธอจะเดินจากไปแล้ว สีหน้าของเธอตอนที่บอกว่า “นายจะต้องอยู่ที่นี่... จนกว่าเราจะตัดสินใจ” ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของเอรอส เขาจำได้ถึงความสั่นไหวเล็กน้อยในน้ำเสียงของเธอ ราวกับว่าเธอเองก็ไม่ได้มั่นใจในสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ แต่เธอไม่มีทางช่วยเขาแน่นอนบานประตูเล