เอรอสพยายามเพ่งมองรอบตัว แม้จะรู้ว่าทุกสิ่งถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา แต่บางอย่างในสายตาของเขาเริ่มเปลี่ยนไป ทุกย่างก้าวดูเหมือนจะถอยห่างจากโลกความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเขาเต้นแรง แต่ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้น—มันคือความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่อาจอธิบายได้
ขณะที่เขายกมือขึ้นเพื่อฝ่าหมอกหนานั้น สายตาเขาก็เหลือบเห็นบางสิ่งที่ผิดแปลกไปที่มือทั้งสองข้างของตัวเอง
"นี่มันอะไรกัน…" เขาพึมพำ
มือทั้งสองข้างของเขาดูเล็กลง นิ้วเรียวยาวที่เคยหยาบกร้านจากการทำงาน และ รอยถลอกมากมาย กลับเปลี่ยนไปเป็นนิ้วมือของเด็กวัยสิบขวบ แขนที่เคยแข็งแรงเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ กลายเป็นแขนเล็กผอมบางของเด็กชาย ราวกับร่างกายทั้งหมดของเขาถูกย้อนกลับไปในวัยที่เขาไม่อาจจดจำได้อย่างแจ่มชัด
เมื่อเขาก้มมองตัวเอง ชุดที่เคยเป็นเสื้อโค้ทสีดำเข้ม และกางเกงขายาวก็เปลี่ยนไปเป็นเสื้อผ้าแบบเด็กในยุคนั้น เสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดกับกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลอ่อน รองเท้าหนังเก่าที่ดูเรียบง่ายแต่เหมาะกับเด็กในวัยนั้น
"นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกับตัวฉัน…" เอรอสพูดเสียงแผ่ว
ก่อนที่เขาจะทันตั้งคำถามไปมากกว่านี้ เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นจากข้างหลัง เมื่อหันกลับไป เขาเห็นเด็กสาวสองคน คนหนึ่งมีผมสีทองและรอยยิ้มที่สดใส ส่วนอีกคนมีผมสีขาวบริสุทธิ์ ใบหน้าของเธอดูอ่อนโยนแต่มีบางอย่างในดวงตาที่เขาไม่สามารถมองมันอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสองยืนจับมือกันและมองมาที่เขา
"เอรอส มานี่สิ!" เด็กสาวผมทองพูดอย่างร่าเริง
“พวกเธอเป็นใคร...” เอรอสเอ่ยถาม แต่คำถามของเขาเหมือนล่องลอยไปในความว่างเปล่า
ทั้งสองสาวเดินเข้ามาใกล้และจับมือเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ความอบอุ่นจากมือเล็กๆ เหล่านั้นทำให้เขานึกถึงอะไรบางอย่างในอดีต ภาพของวันที่แดดอ่อนๆ ส่องกระทบใบไม้ ภาพของเสียงหัวเราะที่เคยทำให้ใจสงบ แต่มันดูเลือนรางเกินไป
"ไปเล่นกันเถอะ เอรอส" เด็กสาวผมขาวพูดเบาๆ น้ำเสียงของเธอนุ่มนวล แต่เอรอสสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ไม่ปกติ
พวกเธอจูงเขาเดินผ่านตรอกซอยที่แคบๆที่ค่อยๆกลายเป็นทิวทัศน์ที่ไม่รู้จัก จากตรอกแคบ และ ผนังอิฐเก่า กลายเป็นพื้นดินที่เต็มไปด้วยหญ้าสีเขียวสด บรรยากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นอย่างประหลาด แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดผ่านช่องว่างโดมด้านบน
ตรงหน้าพวกเขาคือ ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มันสูงตระหง่านจนปลายยอดนั้นเหมือนจะสัมผัสกับโดมที่อยู่ด้านบน ลำต้นของมันใหญ่จนต้องใช้หลายคนโอบล้อม ผิวเปลือกไม้หยาบกร้าน แสดงถึงความเก่าแก่ที่อาจมีอายุนับร้อยปี กิ่งก้านที่แผ่กว้างเหมือนแขนขาขนาดยักษ์ทอดเงาปกคลุมพื้นดิน ใบไม้สีเขียวเข้มพริ้วไหวตามลมเบาๆ
เอรอสยืนมองต้นไม้นั้นอย่างครุ่นคิด รู้สึกเหมือนเคยเห็นมาก่อนในความทรงจำที่ไม่ชัดเจน ความรู้สึกอุ่นวาบแทรกซึมเข้ามาในใจ ราวกับว่าต้นไม้นี้เคยเป็นสถานที่ที่มีความหมายต่อเขา
เด็กสาวผมทองหัวเราะเบาๆ พลางชวนให้เขานั่งลงใต้ร่มเงาของต้นไม้
“ที่นี่คือที่ของเธอ จำได้ไหม?”เธอพูดด้วยน้ำเสียงสดใส
เด็กสาวอีกคนที่มีผมสีขาวบริสุทธิ์ยืนอยู่ข้างๆเธอเงียบกว่า ใบหน้าของเธอจับจ้องมาที่เขาอย่างอ่อนโยน แต่ในความอ่อนโยนนั้นกลับมีอะไรบางอย่างที่ดูซับซ้อนและยากจะเข้าใจ
"ฉัน...จำไม่ได้..." เอรอสตอบเสียงแผ่ว ขณะที่พยายามปะติดปะต่อภาพความทรงจำที่ยังพร่าเลือน
เด็กสาวผมขาวยิ้มบาง“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเธอก็จะจำได้เอง” เธอพูด พลางย่อตัวลงนั่งข้างเขา
ทั้งสามนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ ลมเย็นเบาๆ พัดผ่านสร้างความสงบในแบบที่เอรอสไม่เคยสัมผัสมานาน ทว่าทุกสิ่งรอบตัวกลับรู้สึกผิดแปลก เขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะความสงบนี้ดู "สมบูรณ์แบบเกินไป" หรือเพราะบางอย่างในบรรยากาศกำลังบอกเขาว่าทุกสิ่งไม่ใช่ความจริง
เอรอสก้มมองมือตัวเองอีกครั้ง มันยังเล็กเกินกว่าที่เขาควรจะเป็น ร่างกายที่เคยแข็งแรงบัดนี้กลับอ่อนแอเหมือนเด็กชายธรรมดา
"พวกเธอ...เป็นใครกันแน่" เขาถาม ขณะที่ดวงตายังคงจับจ้องไปยังต้นไม้ตรงหน้า
"พวกเราเหรอ?" เด็กสาวผมทองหันมายิ้ม "เราก็เพื่อนของเธอน่ะสิ เพื่อนเก่าที่เธอลืมไป"
คำพูดนั้นเหมือนเสียงสะท้อนที่ก้องอยู่ในหัวเขา มันทั้งอบอุ่นและน่าขบคิดในเวลาเดียวกัน ราวกับว่าคำพูดนั้นไม่ได้เป็นเพียงคำอธิบาย แต่เป็นคำสั่งให้เขาเชื่อในสิ่งที่พวกเธอกล่าว
เขาหันไปมองเด็กสาวผมขาว เธอเพียงมองตอบด้วยสายตาที่ดูนิ่งลึกและยากจะเข้าใจ
ขณะที่เขากำลังพยายามคิด หูของเขาได้ยินเสียงบางอย่างแทรกเข้ามา—เสียงใบไม้สั่นไหว เสียงที่ไม่สอดคล้องกับสายลมที่พัดเบาๆ ความเย็นแปลกประหลาดเริ่มก่อตัวในอากาศ
“มาสิ เอรอส” เด็กสาวทั้งสองพูดพร้อมกัน น้ำเสียงของพวกเธอฟังดูอ่อนโยนเกินจริงจนทำให้เขารู้สึกขนลุก พวกเธอจูงมือเขาเดินเข้าไปใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ทุกย่างก้าวเหมือนกำลังถ่วงเขาไว้ อากาศเริ่มเย็นเยียบจนรู้สึกเหมือนแทรกซึมถึงกระดูก
เอรอสพยายามหยุดเดิน แต่ขาของเขาไม่ตอบสนอง ความสับสนเริ่มกัดกินหัวใจเขา เขาหันมองใบหน้าเด็กสาวผมขาวอีกครั้ง เธอมองตอบด้วยรอยยิ้ม แต่ในดวงตาของเธอมีประกายบางอย่างที่เขาไม่อาจเข้าใจ มันเหมือนเป็นการเตือน...หรือคำสั่ง
เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ฟังดูเหมือนเสียงของคนหลายคนประสานกัน ทั้งสูงต่ำและแผ่วเบา ราวกับมาจากที่ไหนสักแห่งไกลโพ้น
"นี่มันอะไรกัน…" เอรอสพึมพำ แต่เสียงของเขาเบาจนแม้แต่ตัวเขาเองแทบไม่ได้ยิน ก่อนที่ความมืดจะเข้าปกคลุมทุกสิ่ง...
เอรอสค่อยๆได้ยินเสียงบางอย่างที่ดังอยู่ไกลๆราวกับเสียงคลื่นซัดกระทบชายฝั่ง มันเป็นเสียงที่เขาไม่คุ้นเคย แต่กลับฟังดูปลอบโยน ในที่สุด เขาลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตายังพร่ามัวราวกับยังติดอยู่ในห้วงฝันอันยาวนานเขาไม่แน่ใจว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไร รู้เพียงว่าร่างกายที่เคยเล็กและอ่อนแรงกลับรู้สึกหนักแน่น และ มีเรี่ยงแรงขึ้นอีกครั้ง นิ้วมือที่เคยดูเล็กเหมือนของเด็ก ตอนนี้กลับมาเรียวยาวและหยาบกร้าน เขาก้มมองมือตัวเองในความมืด นิ้วที่เคยเปื้อนดิน และ รอยแผลเก่าๆที่คุ้นเคยปรากฏกลับมาอย่างชัดเจนร่างกายของเขากลับมาเป็นปกติ—เป็นร่างของผู้ใหญ่ที่เขาจำได้เขาค่อยๆลุกขึ้นยืน ขาและลำตัวที่กลับมาสมส่วนให้ความรู้สึกมั่นคง เสื้อโค้ทสีดำกับกางเกงขายาวของเขาก็กลับคืนมาแทนที่เสื้อผ้าแบบเด็กที่เขาเห็นในภาพหลอน เอรอสลูบแขนเสื้อเบาๆเพื่อยืนยันว่ามันเป็นของจริง"มันเกิดอะไรขึ้นกัน..." เขาพึมพำ เสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย แต่หนักแน่นกว่าในฝันเขาสูดหายใจลึกและหันมองรอบตัวอีกครั้ง แม้จะยังคงปกคลุมด้วยหมอกสีดำ แต่มีบางสิ่งดึงดูดสายตาของเขาไปที่ใจกลางพื้นที่นั้น โดมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ท่ามกลางความมืดลึกลับ รูปทรงของมันดูเ
แสงสีทองส่องลอดผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งไม้ใหญ่ที่ทอดตัวเหนือศาลาสีขาว หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา ดวงตาสีเงินเข้มของเธอจับจ้องไปที่เบื้องหน้า ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อยราวกับคนที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหล เสียงลมพัดผ่านกิ่งไม้ทำให้ใบไม้สั่นไหว ก่อให้เกิดบรรยากาศอันสงบนิ่งแฝงความลึกลับที่แผ่คลุมทั่วพื้นที่ ศาลาแห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นจุดหนึ่งที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เธอสูดลมหายใจลึก พยายามสงบความรู้สึกประหลาดที่วนเวียนอยู่ในใจในตอนที่คิดว่าทุกอย่างเป็นปกติ เฉกเช่นทุกวันที่ผ่านมา ความคิดที่ยังไม่ตื่นตัวเต็มที่ก็เกิดความสงสัย เมื่อดวงตาของเธอเหลือบไปเห็นเงาของบุคคลที่ไม่คาดคิด—เอรอส ชายที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางแสงที่สะท้อนมาจากใบไม้ ห่างจากเธอเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ราวกับว่าธรรมชาติโดยรอบหยุดนิ่งเพื่อต้อนรับการมาถึงของเขาพริบตานั้น หัวใจของเธอกระตุกด้วยความตกใจ สัญชาติญาณของเธอกำลังกู่ร้องถึงความอันตรายของชายที่อยู่ตรงหน้า เอรอสสามารถลอบผ่านสัมผัสรับรู้ถึงเวทมนตร์ของเธอ และ เข้ามาใกล้โดยไม่ทันตั้งตัว พลังเวทย์ที่สงบอยู่ในกายของเธอพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรุนแรงเหมือนถูกกระตุ้นโดยอารมณ์ที่สั่นไหว ดวงตาสี
หญิงสาวนั่งอยู่บนม้านั่งหินในศาลา ท่าทางดูสงบนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น กรงโลหะที่บรรจุหัวใจสีแดงกำลังส่องแสงริบหรี่จางๆอยู่ข้างๆตัวเธอ ดวงตาสีเงินเข้มของเธอจ้องมองเอรอสตรงหน้า แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกเหมือนสายตานับพันกำลังจับจ้องเขาอยู่รอบทิศทาง ราวกับทุกมุมมองถูกตรวจสอบจนหมดสิ้น นั่นเป็นผลจากพลังเวทย์ของเธอที่แทรกซึมอยู่ในมานาบริเวณโดยรอบบรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือกจนแผ่ซ่านไปถึงกระดูก มวลมานาอันเข้มข้นที่แฝงด้วยพลังเวทย์ของหญิงสาวกดทับบรรยากาศไว้ ราวกับมันกำลังตอบสนองต่อเจตจำนงที่เธอปลดปล่อยเสียงที่เย็นเยียบแต่แฝงความหนักแน่นดังขึ้นขัดความเงียบงัน"นายเข้ามาที่นี่ได้ยังไง?" เธอเอ่ยถาม สายตาของเธอไม่ได้ลดละจากตัวเขา "ยังไม่ถึงเวลาทดสอบเลย..."คำพูดนั้นเหมือนคำเตือนที่ทำให้เอรอสต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น แต่เขายังคงนิ่งเงียบ ความเงียบของเขาไม่ได้ทำให้เธอหงุดหงิด ตรงกันข้าม มันเหมือนทำให้เธอสนใจในตัวเขามากขึ้น"ถ้านายไม่อยากตอบ ฉันก็ไม่บังคับ" เธอกล่าวพลางเอนตัวพิงพนักม้านั่ง รอยยิ้มบางจางปรากฏขึ้นที่มุมปาก"ถึงจะเป็นผู้บุกรุก แต่ฉันจะยอมให้นายถามคำถามก่อนก็ได้ เห็นแก่ความกล้านั้นของนาย"เ
"น่าสนใจใช่ไหม?" หญิงสาวพูดขึ้น เธอสังเกตสีหน้าของเอรอสอย่างพึงพอใจ “แต่ละคนก็มีเรื่องราวและพลังของตัวเอง น่าเสียดายที่ไม่มีใครผ่านการทดสอบได้เลย”เธอพูดอย่างนั้น ก่อนจะสบัดมืออีกครั้ง คริสตัลเหล่านั้นหายไปเบื้องหน้าเขาเพียงชั่วพริบตา ทิ้งไว้เพียงร่องรอยของพื้นดินที่ถูกคริสตัลเหล่านั้นกดทับ แต่เพียงชั่วครู่ พื้นที่เหล่านั้นก็ถูกฟื้นฟูจนกลับมาเหมือนใหม่ รู้สึกได้ถึงมานาโดยรอบกำลังซึมลงสู่พื้นดินอย่างช้าๆ คล้ายหยาดน้ำค้างตอนรุ่งอรุณ อากาศโดยรอบมีกลิ่นหอมจางๆ เหมือนกลิ่นไม้สดใหม่ พื้นที่ที่เคยถูกคริสตัลกดทับกลับมาเรียบเนียนอีกครั้งราวกับเวลาถูกย้อนคืน พื้นที่นั้นฟื้นฟูด้วยตัวเอง ราวกับมีชีวิต มานาที่แทรกซึมลงดินกลับทำหน้าที่โดยไม่ต้องอาศัยพลังเวทย์ของหญิงสาว เอรอสหันกลับไปมอง ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความไม่ไว้ใจ"พวกเขาเข้ารับการทดสอบด้วยตัวเองอย่างนั้นเหรอ?"หญิงสาวเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนตอบอย่างเรียบง่าย "ใช่ พวกเขามาที่นี่ด้วยความสมัครใจ ตั้งแต่พวกเขาก้าวเข้าสู่วงเวทย์ที่สุ่มเกิดขึ้นด้านนอก ในตอนนั้นก็ถือว่าพวกเขาต้องการเข้ารับการทดสอบแล้ว"หญิงสาวยักไหล่เบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรี
เอรอสหยุดพูดไปชั่วครู่หลังจากเอ่ยปากว่าจะเล่าเรื่องให้หญิงสาวฟัง ดวงตาสีเทาหม่นของเขามองลงต่ำ ราวกับกำลังพยายามจับความทรงจำที่กระจัดกระจาย“จริงๆแล้ว...ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งที่ซ่อนอารมณ์บางอย่างลึกลงไป“ที่นี่…มันให้ความรู้สึกแปลกๆ….เหมือนว่าฉันเคยมาที่นี่ แต่ฉันกลับจำอะไรไม่ได้เลย”หญิงสาวมองเขาด้วยความสนใจ ดวงตาสีน้ำเงินของเธอเปล่งประกายด้วยความอยากรู้“แล้วอะไรที่ทำให้นายมั่นใจว่านายเคยมาที่นี่จริงๆ?”เอรอสไม่ได้ตอบในทันที เขาเบือนสายตามองไปรอบๆราวกับพยายามค้นหาเศษเสี้ยวความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ ทันใดนั้น เขาก็หยุดนิ่ง ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังมุมเสาของศาลา รอยขีดเล็กๆบนเนื้อไม้ดึงดูดสายตาเขาอย่างประหลาดเขาเดินเข้าไปใกล้ มือยื่นออกไปแตะเสาเบาๆ รอยขีดสามเส้นเล็กๆที่มีระยะห่างเล็กน้อยกันปรากฏชัดในสายตา แม้จะดูธรรมดา แต่กลับทำให้หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว “นี่มัน…”นิ้วมือของเขาไล้ไปตามรอยขีดนั้น ความหยาบกร้านของเนื้อไม้สะกิดความทรงจำที่เลือนลางให้ชัดเจนขึ้น ดวงตาของเขาเผยแววอารมณ์ที่ซับซ้อน ก่อนจะพึมพำออกมาราวกับพูดกับตัวเอง“เหมือนกับ...ที่ๆเราเค
สายลมที่พัดผ่านต้นไม้ใหญ่นั้นแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่กลับนำพาบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า—กลิ่นอายของอดีตที่หวนคืนมาในทุกลมหายใจเอรอสพลิกสมุดภาพในมืออย่างแผ่วเบา ทุกหน้ากระดาษเหมือนพาเขาดำดิ่งลึกลงไปในความทรงจำ ภาพเลือนรางที่เคยจางหายกลับชัดเจนขึ้น เสียงหัวเราะในวัยเยาว์สะท้อนขึ้นมาในใจ คำสัญญาที่หลงลืมกลับมาก่อตัวอีกครั้ง ทันใดนั้น บรรยากาศรอบตัวกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อยหญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกล หันมามองเขาด้วยสายตาสงสัย "เกิดอะไรขึ้น..." เธอเอ่ยออกมาเบาๆก่อนจะหยุดชะงักเมื่อสายลมรอบๆ ต้นไม้เริ่มพัดไหวเบาๆ เหมือนกำลังแหวกม่านบางๆ เผยให้เห็นบางสิ่งที่อยู่อีกฟากของเวลาและแล้ว...ภาพในสมุดภาพก็เหมือนจะก้าวข้ามหน้ากระดาษเบื้องหน้าของพวกเขาปรากฏเป็นภาพลวงตาที่ไม่อาจอธิบายได้ เด็กชายในชุดเรียบง่ายปรากฏตัวพร้อมเด็กสาวสองคน พวกเขาหัวเราะสดใสราวกับไม่ได้รับรู้ถึงสายตาของผู้ชมจากอนาคต ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยชีวิตชีวาเหมือนมองผ่านหน้าต่างแห่งเวลาหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ เอรอส มองภาพเหล่านั้นอย่างตกตะลึง "นี่มัน..." เธออ้าปากค้าง แต่เสียงของเธอกลับถูกกลืนหายไปกับเสียงหัวเราะแผ่
ในความมืดมิด เอรอสลืมตาขึ้นมา ท่ามกลางเงาดำไร้ขอบเขต พื้นที่เขาเหยียบย่ำเป็นแอ่งน้ำสีดำสนิท ลึกจนไร้ก้นบึ้ง ทุกสิ่งเงียบงันจนดูเหมือนเวลาได้หยุดลง ความเย็นเฉียบของบรรยากาศนั้นไม่เพียงแค่โอบล้อมร่างกายของเขา แต่ราวกับแทรกซึมลึกเข้าไปในไขกระดูก เย็นจนแสบซ่าน ทรมานจนหัวใจของเขาเต้นรัว เสียงกระซิบแผ่วเบาจากเงามืดดังขึ้นรอบตัวเขา คล้ายกับความคิดแฝงซ่อนอยู่ในหัวของเขาเองที่คอยกัดกร่อน“ยังมีสัญญาที่ยังทำไม่สำเร็จอีกไม่ใช่หรือ? จะยอมแพ้แล้วงั้นหรอ?”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง เมื่อนั้นเอรอสหันไปมอง เขาเห็นตัวเอง... ในอีกรูปแบบหนึ่ง รูปร่างนั้นผ่ายผอม ใบหน้าอิดโรย ความเหนื่อยล้าฉายชัดบนใบหน้าของร่างนั้น แต่ดวงตา และ ท่าทางกลับแน่วแน่ดั่งก้อนหินที่ไม่อาจถูกทำลายเมื่อเอรอสหันมองไปรอบๆ เขาพบว่ามีตัวเองอีกนับสิบยืนล้อมรอบเขาอยู่ บางคนดูมั่นคง เยือกเย็น ราวกับผู้นำที่ยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบพร้อมด้วยชุดเกราะสีเงินที่เปล่งประกาย บางคนสวมเสื้อคลุมสีดำสนิท ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าแต่ท่าทางยังแฝงความเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้ ทั้งหมดล้วนสะท้อนตัวตนของเขาในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกสายตาจับจ้องมาที่เ
เอรอสยังคงนั่งอยู่ในความเงียบ หัวใจของเขาเต้นช้าลงเมื่อความคิดเยือกเย็นและสิ้นหวังเริ่มแผ่ซ่านไปทั่ว ความจริงที่ว่าเขาอาจหายไปจากโลกนี้โดยไม่มีใครพบเจอ ทำให้ทุกอย่างในห้องขังหนักอึ้งกว่าเดิม แม้เขาพยายามปิดกั้นความคิดเหล่านั้น แต่เงาแห่งความกลัวก็ยังคืบคลานเข้ามาความเย็นชาจากพื้นหินและผนังคุกเหมือนซึมลึกเข้ามาในใจ ความสิ้นหวังที่หนักอึ้งขึ้นทุกวินาที แต่ในขณะเดียวกัน เอรอสยังคงบอกตัวเองให้ยืนหยัด และต้องหาทางเอาชีวิตรอดเขามองไปรอบๆ ห้องขังที่เย็นเยียบ พื้นหินแตกร้าวและมีน้ำซึม กลิ่นอับชื้นชวนให้คิดถึงสถานที่ที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครสนใจ และไร้ทางออก แม้เขาบอกตัวเองว่าไม่กลัว แต่ลึกๆ เขารู้ดีว่าการอยู่ที่นี่นานเกินไปจะกัดกร่อนจิตใจของเขา เหมือนกำแพงหินที่ถูกเวลาบั่นทอนลงเรื่อยๆเสียงฝีเท้าของเฟลิเซียยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา แม้ว่าเธอจะเดินจากไปแล้ว สีหน้าของเธอตอนที่บอกว่า “นายจะต้องอยู่ที่นี่... จนกว่าเราจะตัดสินใจ” ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของเอรอส เขาจำได้ถึงความสั่นไหวเล็กน้อยในน้ำเสียงของเธอ ราวกับว่าเธอเองก็ไม่ได้มั่นใจในสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ แต่เธอไม่มีทางช่วยเขาแน่นอนบานประตูเล
เอเลน่านั่งอยู่บนเตียง จ้องมองอาร์วินที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย ดวงตาสีเทาที่มองมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความลึกที่อธิบายไม่ได้ มีบางสิ่งในแววตานั้นที่ทำให้หัวใจเธอสั่นไหว แต่เธออ่านมันไม่ออกบรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด เสียงลมเบาๆ จากหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ดังก้องในห้องที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของผ้าปูที่นอนใต้ฝ่ามือ พยายามดึงสติกลับมา แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนถูกตรึงด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นอาร์วินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา"เอเลน่า... ฉันไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน แต่ฉันจะพยายามเล่าให้เธอฟัง"เสียงของเขานุ่มลึก แต่สั่นเครือเล็กน้อย เธอรู้ว่าเขากำลังแบกรับอะไรบางอย่างที่หนักหนา ทว่าในใจของเธอเองก็เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้จบ เอเลน่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงให้เขาพูดต่อ แม้ในใจจะปั่นป่วนจนแทบระเบิดอาร์วินถอนหายใจยาว เสียงนั้นเหมือนลมหายใจที่พยายามปลดปล่อยความกดดันบางอย่าง"ตอนที่ฉันถูกจับอยู่ในคุก... ฉ
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ เอเลน่าค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆ กลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันที่ไม่อยากตื่นจากมันเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งหลับพิงเก้าอี้อยู่ ใบหน้าสงบนิ่งในเงามืด เส้นผมสีทองของเขาดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เอเลน่าจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ช่วงเวลานี้เผยให้เห็นอีกด้านของเขา—ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนเร้นก่อนหน้า ทำให้เธอโล่งใจเล็กน้อย ดวงตาของเธอสบเข้ากับใบหน้าอ่อนล้าของเขา ความรู้สึกปะปนกันระหว่างความสับสนและความอบอุ่นไหลเวียนในอก“อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆเหมือนจะยืนยันว่าเขาอยู่ตรงนี้จริงๆ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อเหลือบมองตัวเองที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เตียงของเธอ แต่เป็นของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงข
เอรอสก้าวออกจากป่าทึบในรูปลักษณ์ของอาร์วิน สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านตัวเขาอย่างแผ่วเบา แสงจันทร์ยังคงสลัวทำให้เห็นเงาของคฤหาสน์ตระกูลวัลธอเรนลางๆ อยู่ไม่ไกล จุดที่เขามุ่งหน้าไปคือบริเวณใต้หน้าต่างห้องพักของเขาเองก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เขาเคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อนชายแปลกหน้าที่เอรอสช่วยเหลือไว้ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาวราวกับหยิบยกมาจากยุคโบราณ ชายคนนี้ดูเหมือนนักเดินทางที่หลงยุค เขาอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เอรอสจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวันแทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยมาให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ
คลินิกของโจชัว ตั้งอยู่ในเขตสามัญชน ตัวอาคารหินสีซีดดูเรียบง่ายแฝงความล้าสมัย ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึก หน้าต่างกระจกสีชั้นล่างสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไป ลวดลายบนกระจกดูเหมือนจะพร่ามัวในแสงสลัว คลินิกนี้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนโรงพยาบาล แต่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยประมาณสิบคน เหมาะสำหรับการดูแลแบบส่วนตัวยามตีสี่ ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ ความเงียบรอบตัวแทบจะทำให้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วงกระทบพื้น เอรอสยืนพิงกำแพงใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ตรงข้ามคลินิก แม้ลมหนาวจะพัดแรง แต่ร่างกายของเอรอสกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาต่อความเย็น ราวกับความหนาวนั้นไม่อาจแตะต้องเขาได้ ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยังหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท นั่นเป็นห้องทำงานของโจชัว ซึ่งเขาใช้สำหรับจัดการเอกสารในช่วงกลางวัน แต่ในยามนี้ ไม่มีแสงไฟส่องลอดออกมา“ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่…” เขาพึมพำเสียงเบา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงนั้นแทบชัดเจนในสายลม เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียง กระโดดขึ้นเกาะขอบหน้าต่างชั้นสอง เสียงลมแผ่วเบาและใบไม้ไหวกลบการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาสีแดงสังเกตการณ์ในห้องอีกครั้งเพื่อยืนยันว่
คาร์ลีนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้ในดันเจี้ยนที่ผสานเขากับเขตแดนของเธอ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ความสัมพันธ์ลึกลับนี้ ทำให้คาร์ลีนรับรู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอเรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของชายที่มีฉายาว่า จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มาเนิ่นนาน แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากของเขาโดยตรงเธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับคำพูดนั้นหนักเกินกว่าจะเปล่งออกมาดวงตาสีม่วงเข้มของเธอสะท้อนแสงจากโคมไฟ เธอนั่งนิ่งราวกับขบคิด แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ ความหนักใจเหมือนสายลมหนาวที่แผ่วผ่านกลับถูกเติมเต็มด้วยความหวังอันเปราะบาง เธออยากให้เขามาหา อยากได
เอรอสค่อยๆตื่นขึ้นในห้องประชุมท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ มีเพียงแสงริบหรี่ที่ส่องลอดเข้ามาจากขอบประตู ร่องรอยของเวทมนตร์เก่าก่อนยังคงอบอวลอยู่ในอากาศจางๆ แม้แสงจากเทียนเวทมนตร์ที่เคยให้ความสว่างจะดับไปจากการตัดการเชื่อมต่อกับเวทมนตร์ทำให้บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกและว่างเปล่า แต่กลิ่นอายของพลังที่เหลืออยู่ยังคงสร้างแรงกดดันให้ผู้ที่อยู่ภายในเล็กน้อยเขาขยับตัวกึ่งลุกกึ่งนั่งจากเก้าอี้ที่ดูเหมือนจะทำให้เขาหลับไปลึกเกินคาด โต๊ะยาวตรงหน้าเขามีแฟ้มเอกสารเล็กๆวางไว้อยู่ ดูเหมือนจะเป็นเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะรับปากจะจัดการให้เขาหยิบแฟ้มเอกสารที่วางไว้บนโต๊ะมาตรวจสอบ ใช้มือสีคล้ำที่มีกล้ามเนื้อชัดเจนลูบเส้นผมสีเทาของตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกความกระปรี้กระเปร่า สายตาสีแดงฉานของเขากวาดมองไปทั่วห้องเล็กๆที่ยังคงอบอวลด้วยบรรากาศที่ชวนให้รู้สึกพิศวง พลางเหลือบมองเวลาที่บอกเขาว่านี้เป็นเวลาตี 1 ดูเหมือนเขาจะเผลอหลับไปแค่ชั่วโมงเดียว ยังดีที่เสียเวลาแค่นั้นหลังจากตรวจดูเอกสารครู่หนึ่งโดยที่ไม่มีใจความสำคัญอะไรที่ทำให้เขาต้องรีบร้อนเป็นพิเศษ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ และก้าวออกจาก
เสียงกระซิบแห่งเวทมนตร์ แผ่วเบา แต่ทรงพลัง ดังก้องอยู่ในอากาศอันเย็นเยียบ ริบบิ้นสีดำ ที่ราวกับเงาแห่งความมืดจากอีกโลกหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า มันเคลื่อนไหวดั่งมีชีวิต เลื้อยวนรอบร่างของ เอรอส ซ้อนชั้นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับงูพิษที่กำลังจู่โจมเหยื่อ ความแน่นหนาของริบบิ้นทำให้แม้แต่ลมหายใจยังรู้สึกตึงเครียด แขนขาถูกตรึงแน่น ริบบิ้นเลื้อยขึ้นสูง ปิดริมฝีปาก และบดบังดวงตาของเขาไว้อย่างมิดชิด ไม่ว่าจะดิ้นรนหรือใช้พลังทั้งหมดที่มี พันธนาการเหล่านั้นยังคงรัดแน่น น้ำหนักของเวทมนตร์ที่โอบล้อมร่างเขาเหมือนโซ่ตรวนหนักอึ้งที่ไม่มีวันปลดได้จอมเวทย์ผู้ร่ายมนตรามองดูภาพตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา รอยยิ้มที่มุมปากของเขา แฝงความพอใจอย่างปิดไม่มิด ในขณะที่อีกคนหนึ่งในกลุ่มของเขาเดินเข้ามาใกล้ กระชากคอเสื้อของเอรอสอย่างรุนแรง พร้อมๆกับลากเขาไปกับพื้น ราวกับเป็นเพียงสิ่งของไร้ค่าไม่ไกลออกไป ไอลีน ยืนตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างขณะมองสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไปได้ ก่อนที่วิ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความแน่วแน่ แล้วตะโกนเสียงดังลั่น"หยุดเดี๋ยวนี้! คุณตั้งใจจะพาเขาไปที่ไหน?"น้ำเสียง
เมื่อเอรอสเฝ้ามองไอลีนอยู่นาน สีหน้าเย็นชาของเขาเริ่มแสดงความไม่พอใจออกมาเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ"ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ช่วยหลบไปหน่อย"เขาเบี่ยงตัวไปด้านข้าง เตรียมเดินผ่าน แต่ก่อนที่เขาจะก้าวออกไป ไอลีนก็ยื่นมือออกมาคว้าข้อมือเขาไว้ ดวงตาของเธอที่เคยลังเลกลับแน่วแน่ขึ้น"ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว" ไอลีนพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามเก็บความกังวลเอรอสหยุดชะงัก แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นไม่พอใจชัดเจนยิ่งขึ้น เขาหันไปมองรอบๆ เห็นสายตาของเด็กบางคนที่อาจกำลังแอบมองอยู่จากหน้าต่าง และหญิงชราที่ครัวกำลังหันมามองเช่นกันหลังจากที่ประเมินสถานการณ์ เขาเลื่อนสายตาไปยังมุมโล่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก"ตามมา" เขาเอ่ยสั้นๆก่อนจะดึงมือออกจากการเกาะกุมของเธอ และเดินนำไปยังที่ที่เขาเลือกไว้ไอลีนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินตามเขาไป ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ สายลมอ่อนๆพัดผ่านเบาๆ ท่ามกลางความเงียบที่อึดอัด ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน เอรอสกอดอกและเอนตัวพิงต้นไม้ สายตาของเขาจ้องมองเธออย่างเย็นชา"พูดมา จะพูดอะไรก็รีบพูด" เขาเร่งด้วยน้ำเสียงที่ราวกับไม่สนใจ แต่ก
บรรยากาศในห้องทำงานของผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าช่างอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก กลิ่นอับของเอกสารเก่าผสมกับกลิ่นบุหรี่จางๆ โอบล้อมพื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองเอกสารและบัญชีการเงิน ผู้อำนวยการนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้หนังเก่าซึ่งดูเหมือนพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชวนให้รู้สึกระแวงมากกว่าสบายใจ"คุณเอรอสใช่ไหม? ฉันได้รับการแจ้งมาว่าคุณต้องการบริจาคเงินให้เหล่าเด็กๆที่คุณหนูไอลีนพามา" เสียงของเขาเนิบนาบ ท่าทางเหมือนพยายามจับจุดอีกฝ่ายเอรอสนั่งนิ่งอยู่ตรงข้าม เขาสูงโปร่งสำหรับเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สายตาสีเทาของเขาเย็นชาและไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ“ใช่ ผมมาที่นี่ บริจาคเงิน ให้เด็กๆที่เพิ่งเข้ามา" เขาเอ่ยเสียงเรียบผู้อำนวยการชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ"อืม น่าชื่นชมจริงๆนะครับ แต่การรับผิดชอบเงินจำนวนมากขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอมาจากครอบครัวไหนหรือ ถึงได้ใจกว้างขนาดนี้?"คำถามนั้นเหมือนมีความนัย แต่เอรอสไม่แสดงอาการใดๆ เขาเพียงหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางมันลงบนโต๊ะ เสียงเหรียญกระทบกันดังชัดเจน"ไม่จำเป็นต้องถาม" เขาตอบสั้นๆน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่น