ในความมืดมิด เอรอสลืมตาขึ้นมา ท่ามกลางเงาดำไร้ขอบเขต พื้นที่เขาเหยียบย่ำเป็นแอ่งน้ำสีดำสนิท ลึกจนไร้ก้นบึ้ง ทุกสิ่งเงียบงันจนดูเหมือนเวลาได้หยุดลง ความเย็นเฉียบของบรรยากาศนั้นไม่เพียงแค่โอบล้อมร่างกายของเขา แต่ราวกับแทรกซึมลึกเข้าไปในไขกระดูก เย็นจนแสบซ่าน ทรมานจนหัวใจของเขาเต้นรัว เสียงกระซิบแผ่วเบาจากเงามืดดังขึ้นรอบตัวเขา คล้ายกับความคิดแฝงซ่อนอยู่ในหัวของเขาเองที่คอยกัดกร่อน
“ยังมีสัญญาที่ยังทำไม่สำเร็จอีกไม่ใช่หรือ? จะยอมแพ้แล้วงั้นหรอ?”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง เมื่อนั้นเอรอสหันไปมอง เขาเห็นตัวเอง... ในอีกรูปแบบหนึ่ง รูปร่างนั้นผ่ายผอม ใบหน้าอิดโรย ความเหนื่อยล้าฉายชัดบนใบหน้าของร่างนั้น แต่ดวงตา และ ท่าทางกลับแน่วแน่ดั่งก้อนหินที่ไม่อาจถูกทำลาย
เมื่อเอรอสหันมองไปรอบๆ เขาพบว่ามีตัวเองอีกนับสิบยืนล้อมรอบเขาอยู่ บางคนดูมั่นคง เยือกเย็น ราวกับผู้นำที่ยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบพร้อมด้วยชุดเกราะสีเงินที่เปล่งประกาย บางคนสวมเสื้อคลุมสีดำสนิท ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าแต่ท่าทางยังแฝงความเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้ ทั้งหมดล้วนสะท้อนตัวตนของเขาในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขาเหมือนดวงตาของเหยี่ยวที่ไม่เคยละสายตาจากเหยื่อ หนึ่งในนั้นร้องตะโกนเสียงดังจนก้องสะท้อนในเงามืดที่ไร้ขอบเขต
“พวกเรายังมีสัญญาที่ยังทำไว้ไม่สำเร็จอีกมาก จะทิ้งมันไปงั้นหรือ?”
เสียงนี้มาจากตัวเขาอีกคนหนึ่งที่สวมผ้าคลุมสีแดงสด ดวงตาของร่างนั้นเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น ใบหน้าบ่งบอกถึงความดุดันราวกับแม่ทัพที่ยืนหยัดท่ามกลางการศึกโดยไม่ยอมถอยแม้แต่วินาทีเดียว
เอรอสเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันที่หนักอึ้ง มันเหมือนกับกำแพงที่บีบอัดรอบตัวเขาจนแทบหายใจไม่ออก ทุกเสียงที่ดังก้องท่วมท้นอยู่ในหัวของเขา มันดังจนปวดร้าว ร่างกายของเขาถอยหลังไปอย่างช้าๆ พยายามที่จะหลบหนีจากแรงกดดันเหล่านั้น แต่ขาของเขากลับหยุดนิ่ง ราวกับถูกตรึงอยู่กับพื้น แรงกดดันจากสายตาของตัวเองที่ยืนล้อมรอบทำให้เขาขยับไม่ได้ เสียงเหล่านั้นยังคงดังขึ้น ก้องอยู่ในจิตใจราวกับเสียงสะท้อนที่ไม่มีวันหายไป
“เจ้าคิดว่าจะหนีไปได้งั้นหรือ?”
เสียงใหม่ดังขึ้นจากด้านหน้า เอรอสหันไปเจอกับตัวเองในร่างที่สูงโปร่ง สวมชุดที่เปื้อนฝุ่นและเลือดจากการต่อสู้ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผล รอยช้ำ แต่ดวงตากลับคมกริบราวกับมีดที่พร้อมเฉือนทุกสิ่ง
“ยังมีชีวิตอีกมากที่รอการช่วยเหลือ ยังมีชีวิตที่รอการปกป้อง เจ้าจะทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปจริงๆหรือ?”
ทุกเสียงสะท้อนในจิตใจของเขาอย่างหนักหน่วง ร่างกายของเขาสั่นระริก พยายามจะหาคำตอบให้กับตัวเอง แต่มันเหมือนกับถูกบีบรัดจนแทบไม่เหลือทางหายใจ เขามองไปรอบๆ อีกครั้ง และพบว่าร่างเหล่านั้นไม่ใช่เพียงภาพลวงตา แต่เป็นส่วนหนึ่งของเขาเอง ทุกคำสัญญาที่เคยให้ไว้ ทุกความรับผิดชอบ ทุกชีวิตที่เขาเคยยึดถือ—พวกมันคือพันธนาการที่ไม่มีทางปลดได้
"เดินต่อไป เอรอส! อย่าหยุดอยู่แค่นี้! เจ้ายังมีชีวิตที่ต้องรักษา สัญญาที่ต้องทำให้ลุล่วง อย่าทิ้งมันไว้เบื้องหลัง!"
เสียงนั้นก้องมาจากตัวเขาที่สวมผ้าคลุมสีเทา ยาวถึงพื้น น้ำเสียงของมันดุดันเหมือนพายุที่โหมกระหน่ำ แรงกระตุ้นนี้ทำให้เอรอสรู้สึกถึงพลังที่ดึงเขาให้ลุกขึ้นต่อสู้อีกครั้ง แม้ว่าในใจเขาจะเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่เสียงของตัวตนเหล่านั้นก็กระตุ้นให้เขาต้องเดินต่อไป
"เจ้าจะหยุดไม่ได้!"
เสียงสุดท้ายดังขึ้นจากตัวเขาในร่างที่แข็งแกร่งกว่าทุกคนในนั้น ดวงตาของมันเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่มีวันแตกสลาย ผ้าคลุมสีแดงปลิวสะบัดด้วยแรงลมที่ไม่มีที่มา เสียงนั้นไม่ใช่เพียงคำเตือน แต่เป็นคำประกาศเจตจำนงที่ไม่ยอมให้เขาหยุด ความมุ่งมั่นนี้กลายเป็นพลังที่ดึงเขาให้ลุกขึ้นต่อสู้
เอรอสกัดฟันแน่น น้ำตาไหลอาบแก้ม เขาไม่อาจหลบหนีตัวตนเหล่านี้ได้ เพราะพวกมันคือส่วนหนึ่งของเขา และเขาไม่สามารถละทิ้งสิ่งที่เคยสัญญาไว้ได้
เอรอสลืมตาขึ้น ภาพตรงหน้าคือกำแพงหินเย็นเฉียบและซี่กรงเหล็กปิดกั้นอิสรภาพ กลิ่นอับชื้นคลุ้งทั่วบริเวณ บรรยากาศในคุกนั้นเงียบสงัด จนเหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง แต่เสียงฝันร้ายยังคงก้องในหัวของเขา เขาขยับตัว ความเจ็บปวดจากการถูกทรมานคอยเตือนถึงความจริงอันโหดร้าย สายตาของเขาจับจ้องไปยังแสงเล็ก ๆ ที่ลอดผ่านหน้าต่าง ทุกอย่างในที่นี่ราวกับบีบคั้นเขาให้ไม่มีทางหนี
“อีกแล้วเหรอวะ...” เขาพึมพำเบาๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและขุ่นเคือง เขาเอนตัวพิงกำแพง ปล่อยลมหายใจหนัก ๆ ออกมาเพื่อคลายความอึดอัดจากฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเขาไม่หยุด
เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากด้านนอก เอรอสหันไปมองทันที เฟลิเซียยืนอยู่ที่นั่น เธอเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ดวงตาจ้องมองเขาอย่างเยือกเย็น แต่ลึกๆ ยังมีแววสับสนซ่อนอยู่
“ตื่นแล้วสินะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ราวกับพยายามเก็บกดบางอย่างไว้
“นายคงสงสัยว่าจะเจอกับอะไรต่อไปใช่ไหม?”
เอรอสไม่ตอบ สายตาของเขาจับจ้องไปที่เธออย่างระมัดระวัง ความเงียบของเฟลิเซียและแววตาที่ซ่อนความรู้สึกนั้นทำให้เขารู้สึกถึงสิ่งที่ไม่ปกติ เธอพิงกำแพงและกอดอก ราวกับกำลังแบกรับภาระที่หนักหน่วง ดวงตาของเธอแม้จะยังเย็นชา แต่ก็แฝงไว้ด้วยความลังเลที่เอรอสสังเกตเห็นได้ชัดเจน
“นายคงสงสัยว่าจะเจอกับอะไรต่อไปใช่ไหม?”
เอรอสไม่ได้ตอบอะไร สายตาของเขาจ้องตรงไปที่เฟลิเซียด้วยความระมัดระวัง เขาพยายามประเมินสถานการณ์รอบตัว แต่ความเงียบของเธอและสายตาที่ดูเหมือนซ่อนความรู้สึกไว้ทำให้เขาเริ่มสังเกตถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ
เฟลิเซียก้าวเข้ามาใกล้กรงเหล็ก แต่ยังคงรักษาระยะห่าง เธอพิงกำแพงอย่างเหนื่อยล้า ราวกับแบกรับบางอย่างที่หนักเกินกว่าจะปล่อยวางได้ ดวงตาของเธอแม้จะยังเย็นชา แต่ก็แฝงไว้ด้วยความกังวลเล็กน้อย
“ไม่ต้องห่วง... ในตอนนี้เรายังไม่คิดจะทำอะไรกับนาย” เธอเอ่ยเบา ๆ แต่แววตาดูเหมือนกำลังชั่งใจ น้ำเสียงนั้นแม้จะพยายามนิ่งเฉย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความอึดอัด
“เราจะรอให้ผู้นำของเรากลับมาก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำยังไงกับนายดี”
เอรอสรับฟังคำพูดของเธอ หายใจลึกเพื่อพยายามรวบรวมสติ แต่ความรู้สึกในคำพูดของเฟลิเซียทำให้เขาเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันและความไม่แน่นอนที่เธอเองก็คงรับรู้ได้เช่นกัน
“นายมีเวลาทั้งคืน คิดให้ดีว่าจะพูดอะไรออกมา” เธอกล่าวต่อ น้ำเสียงยังคงเย็นชา แต่ไม่มีร่องรอยของความพึงพอใจหรือการเยาะเย้ยในคำพูดเหมือนที่เขาคาดไว้ในตอนแรก มันฟังดูเหมือนคนที่ไม่อยากพูดคำนี้ออกมาเลย
เอรอสเงียบเขาจ้องมองเธออย่างสงบ แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยความคิดที่วิ่งวนอยู่ตลอดเวลา เขาสังเกตเห็นบางอย่างในท่าทางของเฟลิเซีย เธอเหมือนกำลังพยายามซ่อนอะไรบางอย่างไว้
เฟลิเซียกำหมัดเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเธอมองตรงไปที่กำแพง ราวกับกำลังต่อสู้กับความคิดบางอย่างในใจ
“เขตแดนของห้องขังนี้ถูกเชื่อมต่อกับสายธารมานา ต่อให้มีอะไรก็ตามที่อยู่ในตัวนายจะดูดกลืนมานามากแค่ไหน... มันก็ไม่พังหรอก” น้ำเสียงของเธอยังคงจริงจัง แต่แฝงความรู้สึกเหมือนต้องพูดตามหน้าที่
“และที่สำคัญ... นายไม่มีที่ให้กลับไปหรอก” เธอกล่าวอย่างราบเรียบ แต่ดวงตาของเธอเริ่มหลบเลี่ยง ไม่กล้าสบตากับเอรอสเหมือนเดิม
“จากที่นายตามสืบเรื่องของพวกเรามาตลอด ก็น่าจะพอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น... ใช่ไหม?” น้ำเสียงของเธออ่อนลงเล็กน้อย ราวกับรู้สึกผิดในสิ่งที่ต้องบอก
เอรอสขบฟันแน่น ความคิดต่าง ๆ ถาโถมเข้ามา เขาหลับตาลงช้า ๆ ปล่อยให้กระแสความคิดไหลบ่าเข้ามาไม่หยุด
“พวกมันต้องวางแผนจัดฉาก ทำให้ฉันกลายเป็นผู้ต้องหาในสายตาคนอื่น แล้วแสร้งว่าจับตัวฉันไว้ หรือไม่ก็...”
เขาคิดถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งที่น่าสะพรึงจนร่างกายสั่นสะท้าน ความหวาดกลัวก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
“พวกมันอาจทำให้คนอื่นเชื่อว่าฉันตายไปแล้ว...”
เสียงความคิดของเขาดังก้องในหัว หนักหน่วงและกรีดผ่านความสับสน ทิ้งไว้เพียงความเยียบเย็นของความสิ้นหวัง ราวกับตัวตนของเขาถูกลบออกไปจากโลกนี้ ไม่มีที่ให้ยืน ไม่มีที่ให้กลับไปอีกต่อไป
เอรอสยังคงนั่งอยู่ในความเงียบ หัวใจของเขาเต้นช้าลงเมื่อความคิดเยือกเย็นและสิ้นหวังเริ่มแผ่ซ่านไปทั่ว ความจริงที่ว่าเขาอาจหายไปจากโลกนี้โดยไม่มีใครพบเจอ ทำให้ทุกอย่างในห้องขังหนักอึ้งกว่าเดิม แม้เขาพยายามปิดกั้นความคิดเหล่านั้น แต่เงาแห่งความกลัวก็ยังคืบคลานเข้ามาความเย็นชาจากพื้นหินและผนังคุกเหมือนซึมลึกเข้ามาในใจ ความสิ้นหวังที่หนักอึ้งขึ้นทุกวินาที แต่ในขณะเดียวกัน เอรอสยังคงบอกตัวเองให้ยืนหยัด และต้องหาทางเอาชีวิตรอดเขามองไปรอบๆ ห้องขังที่เย็นเยียบ พื้นหินแตกร้าวและมีน้ำซึม กลิ่นอับชื้นชวนให้คิดถึงสถานที่ที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครสนใจ และไร้ทางออก แม้เขาบอกตัวเองว่าไม่กลัว แต่ลึกๆ เขารู้ดีว่าการอยู่ที่นี่นานเกินไปจะกัดกร่อนจิตใจของเขา เหมือนกำแพงหินที่ถูกเวลาบั่นทอนลงเรื่อยๆเสียงฝีเท้าของเฟลิเซียยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา แม้ว่าเธอจะเดินจากไปแล้ว สีหน้าของเธอตอนที่บอกว่า “นายจะต้องอยู่ที่นี่... จนกว่าเราจะตัดสินใจ” ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของเอรอส เขาจำได้ถึงความสั่นไหวเล็กน้อยในน้ำเสียงของเธอ ราวกับว่าเธอเองก็ไม่ได้มั่นใจในสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ แต่เธอไม่มีทางช่วยเขาแน่นอนบานประตูเล
ในยามที่ดวงจันทร์หลบซ่อนอยู่หลังม่านหมอกหนา ความเงียบเยือกเย็นปกคลุมทั่วบริเวณเหมือนกับผืนโลกถูกแช่แข็ง เสียงลมหวีดหวิวผ่านทางเดินแคบๆ ของอุโมงค์ใต้ดินรกร้าง บรรยากาศอึมครึมที่ไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิตอื่นเพิ่มความรู้สึกอึดอัดเข้าไปอีกเสียงฝีเท้าหนักแน่นของยามคนใหม่สะท้อนก้องภายในอุโมงค์ เสียงนั้นเชื่องช้า หนักหน่วงเหมือนพลังงานในตัวเขาเหลือเพียงน้อยนิด ราวกับเขาถูกถ่วงด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงานมายาวนานจนไม่ใส่ใจความรวดเร็วอีกแล้ว เขายกมือขึ้นลูบเคราที่เริ่มยาวและหยาบ พลางหาวเบาๆ ความง่วงค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่จิตใจถึงกระนั้นเขายังคงก้าวเดินต่อไปตามหน้าที่ จนมาถึงหน้าห้องขัง เหลียวมองเห็นยามหนุ่มคนหนึ่งยืนพิงกำแพงหินเย็นเยียบด้วยท่าทางเงียบขรึม“มาช้าจัง” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงแววความสงสัยในน้ำเสียง ดวงตาของเขาจ้องอีกฝ่ายอย่างคมกริบ“ตีสามตรงขนาดนี้ ยังจะเรียกว่าช้าอีกรึ??” ชายแก่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ ขณะยักไหล่อย่างไม่คิดมากชายแก่เดินเข้าไปใกล้ประตูเหล็กหนาที่กั้นหน้าห้องขัง มองมันอย่างเชื่องช้า ดวงตาแสดงถึงความชินชาในการทำงานแบบนี้มา
ในห้องขังอับทึบและเย็นเยียบ ความเงียบงันครอบงำทุกซอกมุม มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของชายแก่ที่ถูกปีศาจเข้าสิงร่าง เขายืนนิ่งไม่ขยับ ราวกับถูกแช่แข็งไว้ในความมืด ดวงตาสีแดงฉานที่สะท้อนแสงจากช่องระบายอากาศเพียงเล็กน้อย เป็นเครื่องหมายเดียวที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของบางสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์เสียงประตูเหล็กหนาหนักที่ถูกปิดด้วยกุญแจและเวทมนตร์ป้องกันเริ่มขยับ มันเปิดออกอย่างช้าๆ ราวกับไม่มีแรงต้านทาน เสียงโลหะเสียดสีกันเบาๆ ดังขึ้นและสะท้อนก้องไปตามผนังหิน บรรยากาศไม่เป็นธรรมชาตินี้ทำให้ทั้งห้องดูอึดอัดและน่าขนลุกยิ่งขึ้นเอรอสยืนอยู่ตรงกรงขังของตนเอง แววตาของเขาเยือกเย็นและจับจ้องชายแก่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างนิ่งงัน ราวกับคาดการณ์ไว้ว่าสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้น เขาก้าวออกจากกรงขังโดยไม่รีบร้อน ชายชรายืนที่อยู่ปล่อยเขาไปโดยไม่ทำอะไร เขาที่ถูกควบคุมจิตใจไม่ได้แสดงท่าทางหรือมีท่าทีใดๆที่จะต่อต้าน หรือ ขัดขวาง เอรอสจึงเดินผ่านไปอย่างราบรื่นเมื่อเอรอสก้าวผ่านไป เขาเหลือบมองชายแก่อยู่ชั่วครู่ก่อนพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า "ขั้นแรกเสร็จแล้ว..."“ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะทำตามสัญญา”ปีศาจกล่าวพลางเสกมีด และ ถ้วยเ
เอรอสก้าวออกจากห้องขังอย่างช้าๆท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด เขากวาดสายตาสำรวจรอบๆด้วยความระมัดระวัง ความเย็นเยียบและเงียบงันของคุกใต้ดินทำให้เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าที่แฝงอยู่ ไม่มีเสียงฝีเท้าของผู้คุม หรือแม้แต่เสียงสนทนาของผู้ใด สถานที่นี้ดูเหมือนถูกละเลย หรือแทบไม่มีนักโทษถูกนำมาคุมขังเท่าที่ควรจะเป็นเอรอสสันนิษฐานว่า คุกแห่งนี้อาจมีนักโทษเพียงน้อยนิด หรือบางทีอาจมีเพียงบางคนที่ถูกขังไว้อย่างลับๆ สิ่งที่ทำให้เขามั่นใจมากขึ้นคือ วงเวทย์ที่เคยสลักบนแผ่นหลังของเขา ซึ่งเคยทำหน้าที่บอกตำแหน่งของเขาต่อหอคอย ตอนนี้มันถูกย้ายไปยังร่างของชายชราที่เข้ามาเฝ้าเขาแทน ขณะนี้ชายชราคนนั้นนอนสลบอยู่บนพื้น ไร้สติ ราวกับหมดแรงจากการถูกครอบงำโดยปีศาจเอรอสคิดได้ในทันที ภายในหกชั่วโมงต่อจากนี้ จะไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ที่เกิดขึ้น เขายังมีเวลาสำรวจสถานที่แห่งนี้ต่อไป บางทีรุ่นพี่ไอลีนอาจถูกกักขังอยู่ที่นี่ แม้ว่าชายชราคนนั้นจะบอกว่า เขาไม่เห็นเธอที่นี่ก็ตาม... แต่เพื่อความแน่ใจ การสำรวจให้ทั่วก่อนเป็นสิ่งจำเป็นเอรอสเดินสำรวจไปตามทางเดินแคบๆท่ามกลางความเงียบสงัด ความมืดที่ปกคลุมทุกซอกทุกมุมร
เอรอสค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้ร่างของอาร์วินที่นอนนิ่งอยู่กับพื้น กลิ่นอับชื้นในห้องลับผสานกับกลิ่นเลือดและเหงื่อรุนแรงทำให้บรรยากาศยิ่งกดดัน ดวงตาของเขาสำรวจไปทั่วร่างกายของชายผู้ที่เคยหายตัวไป อาร์วิน แคร์นัส—ชายหนุ่มที่มีความมั่นใจ นัยน์ตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจกลับเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ดูอ่อนแอเกินกว่าจะลุกขึ้นได้ ใบหน้าซีดเซียวราวกับคนที่ขาดสารอาหารมานานเอรอสนั่งลงข้างๆเขา มือหนึ่งจับที่คอเพื่อตรวจสอบชีพจรที่เต้นแผ่วเบา เอรอสเคยพบเห็นเขาบ่อยๆในตอนที่เขามารับงานปราบมอนเตอร์ในกิล แต่นี่คือครั้งแรกที่เอรอสเห็นอาร์วินในสภาพที่เปราะบางเช่นนี้"เกิดอะไรขึ้นกับนาย..." เขาพึมพำเบาๆ พลางสำรวจบาดแผลตามร่างกายของอาร์วินใกล้ๆบนแขนและขาของอาร์วินเต็มไปด้วยรอยช้ำสีน้ำเงินและดำ บ่งบอกถึงการถูกทุบตีและทำร้ายอย่างรุนแรง ที่แผ่นหลังมีรอยบาดลึกและรอยแส้ที่ขีดข่วนเป็นแผลเก่าและใหม่สลับกันไป บาดแผลเหล่านี้ไม่ได้มาจากการถูกซ้อมเพียงอย่างเดียว แต่บางรอยมีลักษณะผิดธรรมชาติ เหมือนถูกทำร้ายด้วยเวทมนตร์บางอย่าง ร่องรอยที่เอรอสเห็นได้จากบาดแผลเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว"นี่มัน.….สายเกินไปแล้
ดวงตาสีเทาของเอรอสหรี่ลงเล็กน้อยขณะที่เขามองอาร์วิน ความประหลาดใจผุดขึ้นในใจ แม้ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน ความคิดวนเวียนในหัว—“อาร์วินรู้ได้ยังไง?” ทั้งที่รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปแทบจะสิ้นเชิง…อาร์วินเงยหน้ามองเอรอส แม้ร่างกายอ่อนแรงจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงจะพูด ดวงตาสีฟ้าของเขากลับพยายามสื่อความจริงบางอย่างที่ถูกปิดซ่อนเอาไว้ ราวกับต้องการบอกเอรอสถึงสิ่งที่เขาแบกรับมาตลอด แสงสีฟ้าค่อยๆ เปล่งประกายออกมาจากดวงตา ภาพความทรงจำพรั่งพรูเข้าสู่จิตใจของเอรอสอย่างไม่ทันตั้งตัวความทรงจำหนักอึ้งของอาร์วินยังคงปะทุอยู่ในหัวใจ ภาพเหตุการณ์ในอดีตฉายชัดขึ้นทุกวินาที—ช่วงเวลาวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความกดดัน ตระกูลของเขากำลังล่มสลายหลังการสูญเสียผู้นำในสงคราม อาร์วินต้องกลายเป็นผู้นำตระกูลตั้งแต่เด็ก รับผิดชอบในการรักษาชื่อเสียงและสถานะของตระกูล ท่ามกลางตระกูลรอบข้างที่จ้องจะเล่นงานพวกเขาทุกครั้งที่มีโอกาสเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของอาร์วินเกิดขึ้นในคืนหนึ่ง ขณะที่เขากำลังสำรวจตรอกซอยในเมืองเงียบสงัด สายตาของเขาเหลือบไปเห็นเด็กสาวในชุดหรูหรากำลังถูกชายปริศนาฉุดกระชากออกมาจากที่ซ่อน และ ตั้งใจจะทำร้ายเธอ
ภายในโกดังเก็บของที่อึมครึม แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ยังอ่อนแรงค่อย ๆ ส่องผ่านหน้าต่างบานเดียวที่ฝุ่นจับหนา ทำให้ภายในโกดังยังคงมืดสลัว เงาของลังไม้ที่วางซ้อนกันสูงบดบังพื้นที่บางส่วน แต่เงาเหล่านั้นกลับเป็นข้อได้เปรียบที่เอรอสใช้ให้เกิดประโยชน์เขาหลบซ่อนตัวในเงามืด ดวงตาจับจ้องไปยังประตู มือกำแน่นข้างลำตัว ความกดดันค่อยๆ เพิ่มขึ้นพร้อมเสียงสัญญาณเตือนภัยที่ดังไม่หยุดยั้ง เหมือนจะคอยย้ำเตือนถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะทันใดนั้น เสียงบานประตูเหล็กของโกดังตรงหน้าดังขึ้น ก้องสะท้อนท่ามกลางความเงียบ เสียงคล้ายโลหะกระทบกันเมื่อวงเวทย์ที่ปิดผนึกไว้ถูกปลดออก เสียงนั้นเป็นเหมือนเสียงเตือนให้เอรอสตระหนักถึงอันตรายที่เข้ามาใกล้ จนบรรยากาศภายในโกดังยิ่งอึดอัดกว่าเดิม เขาตั้งสมาธิอีกครั้ง พลางรู้สึกถึงสัมผัสมานาที่เริ่มกลับมาบางส่วนแล้ว แต่ยังไม่มากพอที่จะรู้จำนวนคนที่เข้ามา ทำให้เขาประหม่าเล็กน้อยไม่นานนัก จอมเวทย์แปลกหน้าสองคนพุ่งเข้ามาภายในโกดังด้วยความระมัดระวัง พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างช่ำชองและสำรวจทุกจุดราวกับคุ้นเคยกับสถานที่นี้เป็นอย่างดีเอรอสยังคงนิ่ง หลบตัวอยู่ในเงาอย่างสมบูรณ์แบบ เ
เสียงนกร้องแว่วเบาๆในสวนยามเช้าจากที่ไกลๆ แสงแดดอ่อนๆเริ่มทอประกายบนยอดไม้ แต่ความเงียบสงบกลับตัดกับภาพของชายหนุ่มที่ถูกจับตรึงไว้กับพื้น ใบไม้สั่นไหวตามแรงลมแรงที่เคยเกิดขึ้น ทว่าบรรยากาศโดยภายในกลับขัดแย้งกับสภาพอากาศโดยรอบเมื่อเอเลน่าพยามวิ่งเข้ามาเพื่อดูอาการของเอรอส หนึ่งในจอมเวทย์อาวุโสขวางทางเอเลน่าเอาไว้ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เอรอสด้วยสายตาเคร่งขรึม มุมปากกระตุกเบาๆ สายตานั้นเต็มไปด้วยความระมัดระวัง แววตายังคงลังเลกับใส่สิ่งที่เห็น ก่อนจะหันไปพูดกับเอเลน่าที่อยู่ตรงหน้า "ท่านเอเลน่า เรายังไม่อาจเชื่อว่าเป็นคนเดียวกับที่ท่านรู้จัก จนกว่าจะพิสูจน์ให้แน่ชัด…" เสียงนั้นเย็นชาและเด็ดขาดเอเลน่าชะงักไปชั่วครู่ เธอกลืนน้ำลายลงคอแล้วปรับสีหน้าจากความอ่อนโยนเป็นเยือกเย็น ริมฝีปากบิดเป็นรอยยิ้มเล็กๆด้วยความเสแสร้ง"นี่คือวิธีที่พวกคุณปฏิบัติต่อคู่หมั้นของฉันหรอ?"เธอกล่าวอย่างเด็ดขาด แววตามุ่งมั่นแสดงถึงการตัดสินใจที่จะไม่ยอมอ่อนข้อใดๆชายทั้งสามคนสบตากันอย่างลังเล ในที่สุดลูกน้องของเขา ก็ยอมปล่อยเอรอสจากการจับกุม เอรอสพยายามลุกแต่ แต่ด้วยสภาพของร่างกายนี้ทำให้เขาร่วงลงไปกับพื้นอีกรอบ