หน้าหลัก / แฟนตาซี / พันธะสัญญาของผู้กลืนกิน / ตอนที่ 15 เสี้ยวแห่งความหวัง ท่ามกลางความสิ้นหวัง

แชร์

ตอนที่ 15 เสี้ยวแห่งความหวัง ท่ามกลางความสิ้นหวัง

เอรอสยังคงนั่งอยู่ในความเงียบ หัวใจของเขาเต้นช้าลงเมื่อความคิดเยือกเย็นและสิ้นหวังเริ่มแผ่ซ่านไปทั่ว ความจริงที่ว่าเขาอาจหายไปจากโลกนี้โดยไม่มีใครพบเจอ ทำให้ทุกอย่างในห้องขังหนักอึ้งกว่าเดิม แม้เขาพยายามปิดกั้นความคิดเหล่านั้น แต่เงาแห่งความกลัวก็ยังคืบคลานเข้ามา

ความเย็นชาจากพื้นหินและผนังคุกเหมือนซึมลึกเข้ามาในใจ ความสิ้นหวังที่หนักอึ้งขึ้นทุกวินาที แต่ในขณะเดียวกัน เอรอสยังคงบอกตัวเองให้ยืนหยัด และต้องหาทางเอาชีวิตรอด

เขามองไปรอบๆ ห้องขังที่เย็นเยียบ พื้นหินแตกร้าวและมีน้ำซึม กลิ่นอับชื้นชวนให้คิดถึงสถานที่ที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครสนใจ และไร้ทางออก แม้เขาบอกตัวเองว่าไม่กลัว แต่ลึกๆ เขารู้ดีว่าการอยู่ที่นี่นานเกินไปจะกัดกร่อนจิตใจของเขา เหมือนกำแพงหินที่ถูกเวลาบั่นทอนลงเรื่อยๆ

เสียงฝีเท้าของเฟลิเซียยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา แม้ว่าเธอจะเดินจากไปแล้ว สีหน้าของเธอตอนที่บอกว่า “นายจะต้องอยู่ที่นี่... จนกว่าเราจะตัดสินใจ” ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของเอรอส เขาจำได้ถึงความสั่นไหวเล็กน้อยในน้ำเสียงของเธอ ราวกับว่าเธอเองก็ไม่ได้มั่นใจในสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ แต่เธอไม่มีทางช่วยเขาแน่นอน

บานประตูเล็กที่ด้านหน้าคุกเปิดออกเบาๆจากเงาสลัวในห้อง นักเวทย์ผู้หนึ่งก้าวเข้ามา เขาสวมเสื้อคลุมสีเทาหม่นที่มีลวดลายสัญลักษณ์เวทมนตร์ประทับบนผืนผ้า ท่าทางของเขานิ่งเฉย ดวงตาที่ถูกซ่อนอยู่ใต้ฮู้ดมืดสนิท เฝ้าดูเอรอสด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึกเหมือนวัตถุสิ่งหนึ่งที่ไม่มีค่า คล้ายว่าเขาเป็นเพียงเครื่องมือที่ทำตามคำสั่งโดยไม่มีความรู้สึกของตัวเอง

เอรอสเฝ้ามองนักเวทย์ขณะก้าวเข้ามาในห้องขัง ความเยือกเย็นของอีกฝ่ายทำให้เขาต้องตั้งคำถามในใจว่า คนแบบนี้จะเคยมีความคิดของตัวเองบ้างไหม? หรือเป็นเพียงเงา ที่ทำตามคำสั่งอย่างไม่มีข้อกังขา?

เอรอสตัดสินใจท้าทายอีกฝ่ายด้วยคำพูด แม้เสียงของเขาจะแหบแห้งจากการไม่พูดมานาน แต่ก็ยังคงความดุดันไว้ 

“นายคือคนที่พวกมันส่งมาคอยจับตาดูฉันสินะ?” คำพูดถูกส่งออกมาไม่ใช่เพียงเพื่อหยั่งเชิง แต่เพื่อหวังเห็นอะไรบางอย่างในแววตาของนักเวทย์ ทว่า... ไม่มีการตอบสนองใดๆ ร่างในผ้าคลุมสีเทาหม่นยังคงนิ่งสนิทเหมือนหิน ดวงตาใต้ฮู้ดยังคงจ้องมองเขาอย่างไร้ชีวิต

เอรอสหรี่ตาน้อยๆ มือของเขากำแน่นข้างลำตัว พยายามยับยั้งอารมณ์ที่ปะทุขึ้น ทุกครั้งที่เอรอสเอ่ยคำพูดยียวน ราวกับเป็นการปิดบังความสิ้นหวังที่แท้จริงภายในใจ แต่ในส่วนลึกเขากลับรู้สึกถึงแรงกดดันที่มากขึ้น การที่ไม่มีปฏิกิริยาจากนักเวทย์ทำให้ความหวังของเขาเริ่มริบหรี่ขึ้นเรื่อยๆ แม้จะพยายามทำให้ตนเองดูเหมือนเหนือกว่า แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความกังวลที่ยากจะควบคุม

"ฉันเดาว่าเรื่องที่จะปล่อยฉันออกไปจากที่นี่... มันคงไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้สินะ?" เอรอสพูดด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้า แต่แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน เขาพยายามเบี่ยงเบนความสนใจจากความกลัวที่ก่อตัวขึ้นในใจ หวังว่าสิ่งที่เขาพูดอาจทำให้นักเวทย์เผยอารมณ์ออกมาบ้าง

นักเวทย์ไม่ตอบ และเพียงแค่ยกมือขึ้นเล็กน้อย วงเวทย์สีฟ้าอ่อนเริ่มปรากฏขึ้นรอบห้องขัง เส้นแสงที่หมุนวนค่อยๆ สร้างกรอบบางอย่างเหมือนกำแพงล่องหนที่คุมขังเอรอสเพิ่มเติม นักเวทย์ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ เพิ่มเติม เขาเพียงยืนนิ่ง ปราศจากการตอบสนองทางอารมณ์หรือคำพูดใดๆ เสมือนเขาเป็นเพียงหุ่นไร้ชีวิตที่ทำหน้าที่ตามคำสั่งเท่านั้น

เอรอสมองวงเวทย์ที่ก่อตัวขึ้นด้วยความรู้สึกผสมปนเป รู้ดีว่าการเสริมความแข็งแกร่งของคุกนั้นหมายความว่าจะทำให้เขาหลบหนีได้ยากขึ้นไปอีก แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ยิ่งกระตุ้นให้ความต้องการที่จะหลุดพ้นออกมามากขึ้นเรื่อยๆ

"ไม่มีประโยชน์ที่จะหนีจากที่นี่" นักเวทย์พูดขึ้นเป็นครั้งแรก เสียงของเขาเย็นชาและราบเรียบจนไม่สามารถบอกได้ว่าเขารู้สึกเช่นไร “ฉันรู้เรื่องของนายแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องดิ้นรนใดๆ จงอยู่ที่นี่เงียบๆ จนกว่าเบื้องบนจะตัดสินใจเสียเถอะ”

เอรอสที่ได้ยินคำพูดนั้น สบตากับอีกฝ่ายอย่างท้าทาย แม้ในใจเขาจะรู้ดีว่ามันจริง แต่น้ำเสียงเย็นชาที่ฟังเหมือนไม่แยแสต่อสิ่งใด ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกท้าทายให้ลองหลบหนีดูสักครั้ง เขาไม่ได้ตอบกลับในทันที ปล่อยให้ความเงียบครอบงำห้องขังนั้นชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบา

“งานแบบนี้...มันก็น่าเบื่อใช่ไหม?” เอรอสถามขึ้นโดยยังคงจ้องไปยังหน้าต่างเล็กๆบนผนัง ความรู้สึกที่พยายามจะหาทางออกจากความอึดอัดนี้ ทำให้เขาพูดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจนัก

นักเวทย์ที่เฝ้าประตูไม่ตอบในทันที เขาหันไปมองเอรอสด้วยสายตาที่เย็นชาและหางตาน้อยๆ ก่อนจะกลับมายืนนิ่งเช่นเดิม ทิ้งช่วงไปครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น น้ำเสียงของเขาราบเรียบไม่ต่างจากเดิม "เงียบไว้จะดีกว่า"

เอรอสหันกลับมามองนักเวทย์ เห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในดวงตาของอีกฝ่าย แม้จะยังคงเย็นชา แต่มีแววของความรำคาญเล็กน้อยที่เขาจับได้ “แค่ถามนิดเดียวเอง” เอรอสยักไหล่เล็กน้อย ท่าทางไม่ใส่ใจนัก “เฝ้าคนทั้งวันทั้งคืนแบบนี้... ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง?”

นักเวทย์ถอนหายใจเบาๆ เสียงที่เบาบางจนแทบไม่ได้ยิน เขาเหลือบมองเอรอสเพียงครู่เดียวก่อนจะพูดขึ้นด้วยแววตาเฉยชา "มันคือหน้าที่ ไม่เกี่ยวกับความเหนื่อยหรอก ไม่ว่าเบื้องบนจะสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ"

การถอนหายใจนั้นไม่พ้นสายตาของเอรอส แม้มันจะเล็กน้อย แต่ก็เพียงพอให้เขารู้ว่านักเวทย์ผู้นี้ก็เป็นเพียงมนุษย์ที่มีความคิดและความรู้สึก เพียงแต่ถูกฝังกลบด้วยหน้าที่และคำสั่งที่ตนต้องปฏิบัติ เอรอสพยายามหาโอกาส ใช้ความเงียบงันที่ตามมาหลังจากนั้นในการประเมินสถานการณ์และหาจุดอ่อนของอีกฝ่าย

“ก็จริง... แต่นายดูไม่ใช่พวกที่เชื่อฟังคำสั่งโดยไม่ตั้งคำถามนักนี่...” เอรอสยิ้มมุมปาก พยายามสอดแทรกคำพูดที่อาจปลุกเร้าความคิดของอีกฝ่าย แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรได้มากกว่านี้ นักเวทย์ก็ชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาของเขาฉายแววเคร่งเครียดชั่วขณะ เหมือนถูกแทงด้วยคำพูดนั้นโดยไม่ทันตั้งตัว

คำพูดนั้นทำให้เขาต้องคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ฉันมีหน้าที่แค่เฝ้านาย พูดอะไรไปก็ไม่เกี่ยวกับฉันหรอก"

เอรอสหัวเราะเบาๆ รู้สึกสนุกกับการตอบโต้ที่ได้รับ เขายังคงจ้องนักเวทย์อย่างเยาะเย้ย ก่อนจะหันไปมองหน้าต่างเล็กๆอีกครั้ง “งั้นถือว่าฉันพูดคนเดียวก็แล้วกัน...” เขาพูดเบาๆ แต่เพียงพอให้ได้ยินทั่วห้องขัง

"เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับคนรักของเซนริก เวลด์รอสไหม?" เอรอสเอ่ยถามในขณะที่ยังจ้องหน้าต่างอยู่ สายตาเหมือนกำลังคิดบางอย่าง

นักเวทย์ไม่ตอบ ยังคงยืนนิ่งไม่แสดงท่าทีใดๆ เอรอสเหลือบมองเขาเล็กน้อยแล้วพูดต่อ

“บางคนบอกว่าเธอหายตัวไป บางคนบอกว่าเธอตายแล้ว แต่ก็มีบางกลุ่มบอกว่าเซนริกซ่อนเธอไว้ ไม่ให้ใครพบเจอ”

เอรอสหยุดพูด ราวกับรอคอยปฏิกิริยาอะไรบางอย่างจากนักเวทย์ แต่เขายังคงนิ่งเงียบเหมือนเดิม เอรอสหรี่ตาลงเล็กน้อย เห็นเพียงการขยับตัวเล็กน้อยของนักเวทย์ แต่ไม่มีคำตอบใดๆ

“ฉันรู้นะว่าเธอเป็นใคร” เอรอสเอ่ยออกมาช้าๆ น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความท้าทาย ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังนักเวทย์ตรงหน้า ราวกับจ้องทะลุผ่านเกราะแห่งความเย็นชาของอีกฝ่าย ความเงียบคืบคลานเข้ามาในบรรยากาศ แต่ไม่ได้ทำให้เอรอสรู้สึกถดถอย เขาเผยรอยยิ้มที่มุมปาก และเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นจากลำคอของเขา

“อยากรู้ไหม? ข้อมูลสำคัญเลยนะ มีค่ามากทีเดียว” เอรอสยังคงพูดต่อ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความยียวน ราวกับกำลังทดสอบขอบเขตความอดทนของอีกฝ่าย

นักเวทย์ยังคงนิ่งเงียบ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ท่าทางของเขาเย็นชาเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่ไม่แยแสต่อสายลมหนาว แต่เอรอสไม่ได้แปลกใจกับท่าทีเย็นชานั้นแม้แต่น้อย เขาเคยเห็นท่าทางนี้มามากพอที่จะรู้ว่าเบื้องหลังความนิ่งเฉยนั้นมีอะไรซ่อนอยู่

“บางที มันอาจจะมีค่ามากพอจะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างได้... โดยเฉพาะถ้านายคิดจะให้มันกับเรย์น่า คาไลสตร้า” เอรอสเอ่ยชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงที่เจือความยียวน ทว่ามีความชัดเจนในถ้อยคำ เหมือนกับลูกศรที่พุ่งตรงเข้าเป้า

ทันทีที่ชื่อของเรย์น่าดังขึ้น นักเวทย์สะดุดเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะยังคงรักษาท่าทางนิ่งเฉย ไม่หันมาสบตา แต่เอรอสก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆในท่าทางนั้น ร่างของเขาแข็งค้างไปชั่วขณะ เหมือนเงาสะท้อนในกระจกที่ถูกแสงกระทบจนเผยความสั่นไหวบางอย่าง

เอรอสเห็นการสะดุดในท่าทางของนักเวทย์และรอยยิ้มของเขาก็กว้างขึ้นอย่างมีชัย เขารู้ว่าคำพูดของเขาเริ่มเจาะเข้าไปในจิตใจของอีกฝ่าย แม้นักเวทย์จะพยายามปกปิดความรู้สึกของตัวเอง แต่แววตาที่หลุดลอยไปในขณะหนึ่งก็ทำให้เอรอสมั่นใจว่าตนเองกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เหนือกว่า

“เธอไม่ใช่แค่ข่าวลือหรอกนะ...” เอรอสเอ่ยด้วยเสียงเบา แต่ในความนุ่มนวลนั้นกลับแฝงไปด้วยความยั่วยุ เขาเอียงตัวเข้าใกล้ขอบกรงอีกนิด และยิ้มอย่างมีเลศนัย “สนใจรึเปล่า?”

นักเวทย์ยังคงนิ่งเงียบ แต่ในดวงตาของเขากลับเผยให้เห็นความลังเลเล็กๆ ที่ไม่อาจซ่อนจากสายตาของเอรอสได้ แม้เขาจะพยายามคงความสงบเยือกเย็น แต่ก็เห็นได้ชัดว่าคำพูดนั้นกระทบใจเขาไม่น้อย เอรอสจับการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ทันที และนั่นทำให้รอยยิ้มของเขาเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเยาะกว้างขึ้น

"ฉันจะบอกให้ก็ได้" เอรอสเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ราวกับรู้ว่าตนเองกำลังได้เปรียบ “แต่... นายต้องสัญญาก่อน ว่าจะทำตามคำขอของฉัน”

นักเวทย์ยังคงเงียบ แต่ดวงตาของเขาแสดงออกถึงความครุ่นคิดอย่างหนัก ขณะที่เอรอสรอดูปฏิกิริยาอย่างใจจดใจจ่อ เขารู้ดีว่านี่คือช่วงเวลาที่จะชี้ชะตาของทั้งสองฝ่าย

“ฉันแค่ต้องการ 10 วินาทีเท่านั้น... ตอนเปลี่ยนกะเฝ้า นายแค่ถ่วงเวลาไว้สักนิด เท่านั้นพอ” เอรอสกระซิบด้วยรอยยิ้มที่แฝงเจตนาร้าย “รับรอง จะไม่ทำให้นายเดือดร้อนแน่นอน ฉันจะไม่หนีไปตอนนั้นแน่ๆ….”

นักเวทย์ยังคงนิ่ง แววตาที่เคลื่อนไหวเล็กน้อยบ่งบอกถึงการครุ่นคิด เอรอสจับความลังเลนั้นได้ชัดเจน ราวกับเห็นเงาสะท้อนในกระจกที่เริ่มแตกร้าว ทีละเล็กทีละน้อย เขารู้ว่านี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวของเขาในการพลิกสถานการณ์นี้

“แล้วจะว่ายังไงล่ะ?” เอรอสถามพร้อมกับส่งยิ้มเยาะให้ นักเวทย์ยังไม่ตอบ แต่เอรอสมองเห็นการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของมือที่ถือคทา ชั่วขณะหนึ่งที่ความเงียบเข้ามาครอบงำบรรยากาศ ความตึงเครียดในอากาศดูเหมือนจะกดดันทั้งสองฝ่าย

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status