เอรอสยังคงนั่งอยู่ในความเงียบ หัวใจของเขาเต้นช้าลงเมื่อความคิดเยือกเย็นและสิ้นหวังเริ่มแผ่ซ่านไปทั่ว ความจริงที่ว่าเขาอาจหายไปจากโลกนี้โดยไม่มีใครพบเจอ ทำให้ทุกอย่างในห้องขังหนักอึ้งกว่าเดิม แม้เขาพยายามปิดกั้นความคิดเหล่านั้น แต่เงาแห่งความกลัวก็ยังคืบคลานเข้ามา
ความเย็นชาจากพื้นหินและผนังคุกเหมือนซึมลึกเข้ามาในใจ ความสิ้นหวังที่หนักอึ้งขึ้นทุกวินาที แต่ในขณะเดียวกัน เอรอสยังคงบอกตัวเองให้ยืนหยัด และต้องหาทางเอาชีวิตรอด
เขามองไปรอบๆ ห้องขังที่เย็นเยียบ พื้นหินแตกร้าวและมีน้ำซึม กลิ่นอับชื้นชวนให้คิดถึงสถานที่ที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครสนใจ และไร้ทางออก แม้เขาบอกตัวเองว่าไม่กลัว แต่ลึกๆ เขารู้ดีว่าการอยู่ที่นี่นานเกินไปจะกัดกร่อนจิตใจของเขา เหมือนกำแพงหินที่ถูกเวลาบั่นทอนลงเรื่อยๆ
เสียงฝีเท้าของเฟลิเซียยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา แม้ว่าเธอจะเดินจากไปแล้ว สีหน้าของเธอตอนที่บอกว่า “นายจะต้องอยู่ที่นี่... จนกว่าเราจะตัดสินใจ” ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของเอรอส เขาจำได้ถึงความสั่นไหวเล็กน้อยในน้ำเสียงของเธอ ราวกับว่าเธอเองก็ไม่ได้มั่นใจในสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ แต่เธอไม่มีทางช่วยเขาแน่นอน
บานประตูเล็กที่ด้านหน้าคุกเปิดออกเบาๆจากเงาสลัวในห้อง นักเวทย์ผู้หนึ่งก้าวเข้ามา เขาสวมเสื้อคลุมสีเทาหม่นที่มีลวดลายสัญลักษณ์เวทมนตร์ประทับบนผืนผ้า ท่าทางของเขานิ่งเฉย ดวงตาที่ถูกซ่อนอยู่ใต้ฮู้ดมืดสนิท เฝ้าดูเอรอสด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึกเหมือนวัตถุสิ่งหนึ่งที่ไม่มีค่า คล้ายว่าเขาเป็นเพียงเครื่องมือที่ทำตามคำสั่งโดยไม่มีความรู้สึกของตัวเอง
เอรอสเฝ้ามองนักเวทย์ขณะก้าวเข้ามาในห้องขัง ความเยือกเย็นของอีกฝ่ายทำให้เขาต้องตั้งคำถามในใจว่า คนแบบนี้จะเคยมีความคิดของตัวเองบ้างไหม? หรือเป็นเพียงเงา ที่ทำตามคำสั่งอย่างไม่มีข้อกังขา?
เอรอสตัดสินใจท้าทายอีกฝ่ายด้วยคำพูด แม้เสียงของเขาจะแหบแห้งจากการไม่พูดมานาน แต่ก็ยังคงความดุดันไว้
“นายคือคนที่พวกมันส่งมาคอยจับตาดูฉันสินะ?” คำพูดถูกส่งออกมาไม่ใช่เพียงเพื่อหยั่งเชิง แต่เพื่อหวังเห็นอะไรบางอย่างในแววตาของนักเวทย์ ทว่า... ไม่มีการตอบสนองใดๆ ร่างในผ้าคลุมสีเทาหม่นยังคงนิ่งสนิทเหมือนหิน ดวงตาใต้ฮู้ดยังคงจ้องมองเขาอย่างไร้ชีวิต
เอรอสหรี่ตาน้อยๆ มือของเขากำแน่นข้างลำตัว พยายามยับยั้งอารมณ์ที่ปะทุขึ้น ทุกครั้งที่เอรอสเอ่ยคำพูดยียวน ราวกับเป็นการปิดบังความสิ้นหวังที่แท้จริงภายในใจ แต่ในส่วนลึกเขากลับรู้สึกถึงแรงกดดันที่มากขึ้น การที่ไม่มีปฏิกิริยาจากนักเวทย์ทำให้ความหวังของเขาเริ่มริบหรี่ขึ้นเรื่อยๆ แม้จะพยายามทำให้ตนเองดูเหมือนเหนือกว่า แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความกังวลที่ยากจะควบคุม
"ฉันเดาว่าเรื่องที่จะปล่อยฉันออกไปจากที่นี่... มันคงไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้สินะ?" เอรอสพูดด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้า แต่แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน เขาพยายามเบี่ยงเบนความสนใจจากความกลัวที่ก่อตัวขึ้นในใจ หวังว่าสิ่งที่เขาพูดอาจทำให้นักเวทย์เผยอารมณ์ออกมาบ้าง
นักเวทย์ไม่ตอบ และเพียงแค่ยกมือขึ้นเล็กน้อย วงเวทย์สีฟ้าอ่อนเริ่มปรากฏขึ้นรอบห้องขัง เส้นแสงที่หมุนวนค่อยๆ สร้างกรอบบางอย่างเหมือนกำแพงล่องหนที่คุมขังเอรอสเพิ่มเติม นักเวทย์ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ เพิ่มเติม เขาเพียงยืนนิ่ง ปราศจากการตอบสนองทางอารมณ์หรือคำพูดใดๆ เสมือนเขาเป็นเพียงหุ่นไร้ชีวิตที่ทำหน้าที่ตามคำสั่งเท่านั้น
เอรอสมองวงเวทย์ที่ก่อตัวขึ้นด้วยความรู้สึกผสมปนเป รู้ดีว่าการเสริมความแข็งแกร่งของคุกนั้นหมายความว่าจะทำให้เขาหลบหนีได้ยากขึ้นไปอีก แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ยิ่งกระตุ้นให้ความต้องการที่จะหลุดพ้นออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
"ไม่มีประโยชน์ที่จะหนีจากที่นี่" นักเวทย์พูดขึ้นเป็นครั้งแรก เสียงของเขาเย็นชาและราบเรียบจนไม่สามารถบอกได้ว่าเขารู้สึกเช่นไร “ฉันรู้เรื่องของนายแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องดิ้นรนใดๆ จงอยู่ที่นี่เงียบๆ จนกว่าเบื้องบนจะตัดสินใจเสียเถอะ”
เอรอสที่ได้ยินคำพูดนั้น สบตากับอีกฝ่ายอย่างท้าทาย แม้ในใจเขาจะรู้ดีว่ามันจริง แต่น้ำเสียงเย็นชาที่ฟังเหมือนไม่แยแสต่อสิ่งใด ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกท้าทายให้ลองหลบหนีดูสักครั้ง เขาไม่ได้ตอบกลับในทันที ปล่อยให้ความเงียบครอบงำห้องขังนั้นชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“งานแบบนี้...มันก็น่าเบื่อใช่ไหม?” เอรอสถามขึ้นโดยยังคงจ้องไปยังหน้าต่างเล็กๆบนผนัง ความรู้สึกที่พยายามจะหาทางออกจากความอึดอัดนี้ ทำให้เขาพูดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจนัก
นักเวทย์ที่เฝ้าประตูไม่ตอบในทันที เขาหันไปมองเอรอสด้วยสายตาที่เย็นชาและหางตาน้อยๆ ก่อนจะกลับมายืนนิ่งเช่นเดิม ทิ้งช่วงไปครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น น้ำเสียงของเขาราบเรียบไม่ต่างจากเดิม "เงียบไว้จะดีกว่า"
เอรอสหันกลับมามองนักเวทย์ เห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในดวงตาของอีกฝ่าย แม้จะยังคงเย็นชา แต่มีแววของความรำคาญเล็กน้อยที่เขาจับได้ “แค่ถามนิดเดียวเอง” เอรอสยักไหล่เล็กน้อย ท่าทางไม่ใส่ใจนัก “เฝ้าคนทั้งวันทั้งคืนแบบนี้... ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง?”
นักเวทย์ถอนหายใจเบาๆ เสียงที่เบาบางจนแทบไม่ได้ยิน เขาเหลือบมองเอรอสเพียงครู่เดียวก่อนจะพูดขึ้นด้วยแววตาเฉยชา "มันคือหน้าที่ ไม่เกี่ยวกับความเหนื่อยหรอก ไม่ว่าเบื้องบนจะสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ"
การถอนหายใจนั้นไม่พ้นสายตาของเอรอส แม้มันจะเล็กน้อย แต่ก็เพียงพอให้เขารู้ว่านักเวทย์ผู้นี้ก็เป็นเพียงมนุษย์ที่มีความคิดและความรู้สึก เพียงแต่ถูกฝังกลบด้วยหน้าที่และคำสั่งที่ตนต้องปฏิบัติ เอรอสพยายามหาโอกาส ใช้ความเงียบงันที่ตามมาหลังจากนั้นในการประเมินสถานการณ์และหาจุดอ่อนของอีกฝ่าย
“ก็จริง... แต่นายดูไม่ใช่พวกที่เชื่อฟังคำสั่งโดยไม่ตั้งคำถามนักนี่...” เอรอสยิ้มมุมปาก พยายามสอดแทรกคำพูดที่อาจปลุกเร้าความคิดของอีกฝ่าย แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรได้มากกว่านี้ นักเวทย์ก็ชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาของเขาฉายแววเคร่งเครียดชั่วขณะ เหมือนถูกแทงด้วยคำพูดนั้นโดยไม่ทันตั้งตัว
คำพูดนั้นทำให้เขาต้องคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ฉันมีหน้าที่แค่เฝ้านาย พูดอะไรไปก็ไม่เกี่ยวกับฉันหรอก"
เอรอสหัวเราะเบาๆ รู้สึกสนุกกับการตอบโต้ที่ได้รับ เขายังคงจ้องนักเวทย์อย่างเยาะเย้ย ก่อนจะหันไปมองหน้าต่างเล็กๆอีกครั้ง “งั้นถือว่าฉันพูดคนเดียวก็แล้วกัน...” เขาพูดเบาๆ แต่เพียงพอให้ได้ยินทั่วห้องขัง
"เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับคนรักของเซนริก เวลด์รอสไหม?" เอรอสเอ่ยถามในขณะที่ยังจ้องหน้าต่างอยู่ สายตาเหมือนกำลังคิดบางอย่าง
นักเวทย์ไม่ตอบ ยังคงยืนนิ่งไม่แสดงท่าทีใดๆ เอรอสเหลือบมองเขาเล็กน้อยแล้วพูดต่อ
“บางคนบอกว่าเธอหายตัวไป บางคนบอกว่าเธอตายแล้ว แต่ก็มีบางกลุ่มบอกว่าเซนริกซ่อนเธอไว้ ไม่ให้ใครพบเจอ”
เอรอสหยุดพูด ราวกับรอคอยปฏิกิริยาอะไรบางอย่างจากนักเวทย์ แต่เขายังคงนิ่งเงียบเหมือนเดิม เอรอสหรี่ตาลงเล็กน้อย เห็นเพียงการขยับตัวเล็กน้อยของนักเวทย์ แต่ไม่มีคำตอบใดๆ
“ฉันรู้นะว่าเธอเป็นใคร” เอรอสเอ่ยออกมาช้าๆ น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความท้าทาย ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังนักเวทย์ตรงหน้า ราวกับจ้องทะลุผ่านเกราะแห่งความเย็นชาของอีกฝ่าย ความเงียบคืบคลานเข้ามาในบรรยากาศ แต่ไม่ได้ทำให้เอรอสรู้สึกถดถอย เขาเผยรอยยิ้มที่มุมปาก และเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นจากลำคอของเขา
“อยากรู้ไหม? ข้อมูลสำคัญเลยนะ มีค่ามากทีเดียว” เอรอสยังคงพูดต่อ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความยียวน ราวกับกำลังทดสอบขอบเขตความอดทนของอีกฝ่าย
นักเวทย์ยังคงนิ่งเงียบ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ท่าทางของเขาเย็นชาเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่ไม่แยแสต่อสายลมหนาว แต่เอรอสไม่ได้แปลกใจกับท่าทีเย็นชานั้นแม้แต่น้อย เขาเคยเห็นท่าทางนี้มามากพอที่จะรู้ว่าเบื้องหลังความนิ่งเฉยนั้นมีอะไรซ่อนอยู่
“บางที มันอาจจะมีค่ามากพอจะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างได้... โดยเฉพาะถ้านายคิดจะให้มันกับเรย์น่า คาไลสตร้า” เอรอสเอ่ยชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงที่เจือความยียวน ทว่ามีความชัดเจนในถ้อยคำ เหมือนกับลูกศรที่พุ่งตรงเข้าเป้า
ทันทีที่ชื่อของเรย์น่าดังขึ้น นักเวทย์สะดุดเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะยังคงรักษาท่าทางนิ่งเฉย ไม่หันมาสบตา แต่เอรอสก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆในท่าทางนั้น ร่างของเขาแข็งค้างไปชั่วขณะ เหมือนเงาสะท้อนในกระจกที่ถูกแสงกระทบจนเผยความสั่นไหวบางอย่าง
เอรอสเห็นการสะดุดในท่าทางของนักเวทย์และรอยยิ้มของเขาก็กว้างขึ้นอย่างมีชัย เขารู้ว่าคำพูดของเขาเริ่มเจาะเข้าไปในจิตใจของอีกฝ่าย แม้นักเวทย์จะพยายามปกปิดความรู้สึกของตัวเอง แต่แววตาที่หลุดลอยไปในขณะหนึ่งก็ทำให้เอรอสมั่นใจว่าตนเองกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เหนือกว่า
“เธอไม่ใช่แค่ข่าวลือหรอกนะ...” เอรอสเอ่ยด้วยเสียงเบา แต่ในความนุ่มนวลนั้นกลับแฝงไปด้วยความยั่วยุ เขาเอียงตัวเข้าใกล้ขอบกรงอีกนิด และยิ้มอย่างมีเลศนัย “สนใจรึเปล่า?”
นักเวทย์ยังคงนิ่งเงียบ แต่ในดวงตาของเขากลับเผยให้เห็นความลังเลเล็กๆ ที่ไม่อาจซ่อนจากสายตาของเอรอสได้ แม้เขาจะพยายามคงความสงบเยือกเย็น แต่ก็เห็นได้ชัดว่าคำพูดนั้นกระทบใจเขาไม่น้อย เอรอสจับการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ทันที และนั่นทำให้รอยยิ้มของเขาเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเยาะกว้างขึ้น
"ฉันจะบอกให้ก็ได้" เอรอสเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ราวกับรู้ว่าตนเองกำลังได้เปรียบ “แต่... นายต้องสัญญาก่อน ว่าจะทำตามคำขอของฉัน”
นักเวทย์ยังคงเงียบ แต่ดวงตาของเขาแสดงออกถึงความครุ่นคิดอย่างหนัก ขณะที่เอรอสรอดูปฏิกิริยาอย่างใจจดใจจ่อ เขารู้ดีว่านี่คือช่วงเวลาที่จะชี้ชะตาของทั้งสองฝ่าย
“ฉันแค่ต้องการ 10 วินาทีเท่านั้น... ตอนเปลี่ยนกะเฝ้า นายแค่ถ่วงเวลาไว้สักนิด เท่านั้นพอ” เอรอสกระซิบด้วยรอยยิ้มที่แฝงเจตนาร้าย “รับรอง จะไม่ทำให้นายเดือดร้อนแน่นอน ฉันจะไม่หนีไปตอนนั้นแน่ๆ….”
นักเวทย์ยังคงนิ่ง แววตาที่เคลื่อนไหวเล็กน้อยบ่งบอกถึงการครุ่นคิด เอรอสจับความลังเลนั้นได้ชัดเจน ราวกับเห็นเงาสะท้อนในกระจกที่เริ่มแตกร้าว ทีละเล็กทีละน้อย เขารู้ว่านี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวของเขาในการพลิกสถานการณ์นี้
“แล้วจะว่ายังไงล่ะ?” เอรอสถามพร้อมกับส่งยิ้มเยาะให้ นักเวทย์ยังไม่ตอบ แต่เอรอสมองเห็นการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของมือที่ถือคทา ชั่วขณะหนึ่งที่ความเงียบเข้ามาครอบงำบรรยากาศ ความตึงเครียดในอากาศดูเหมือนจะกดดันทั้งสองฝ่าย
ในยามที่ดวงจันทร์หลบซ่อนอยู่หลังม่านหมอกหนา ความเงียบเยือกเย็นปกคลุมทั่วบริเวณเหมือนกับผืนโลกถูกแช่แข็ง เสียงลมหวีดหวิวผ่านทางเดินแคบๆ ของอุโมงค์ใต้ดินรกร้าง บรรยากาศอึมครึมที่ไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิตอื่นเพิ่มความรู้สึกอึดอัดเข้าไปอีกเสียงฝีเท้าหนักแน่นของยามคนใหม่สะท้อนก้องภายในอุโมงค์ เสียงนั้นเชื่องช้า หนักหน่วงเหมือนพลังงานในตัวเขาเหลือเพียงน้อยนิด ราวกับเขาถูกถ่วงด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงานมายาวนานจนไม่ใส่ใจความรวดเร็วอีกแล้ว เขายกมือขึ้นลูบเคราที่เริ่มยาวและหยาบ พลางหาวเบาๆ ความง่วงค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่จิตใจถึงกระนั้นเขายังคงก้าวเดินต่อไปตามหน้าที่ จนมาถึงหน้าห้องขัง เหลียวมองเห็นยามหนุ่มคนหนึ่งยืนพิงกำแพงหินเย็นเยียบด้วยท่าทางเงียบขรึม“มาช้าจัง” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงแววความสงสัยในน้ำเสียง ดวงตาของเขาจ้องอีกฝ่ายอย่างคมกริบ“ตีสามตรงขนาดนี้ ยังจะเรียกว่าช้าอีกรึ??” ชายแก่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ ขณะยักไหล่อย่างไม่คิดมากชายแก่เดินเข้าไปใกล้ประตูเหล็กหนาที่กั้นหน้าห้องขัง มองมันอย่างเชื่องช้า ดวงตาแสดงถึงความชินชาในการทำงานแบบนี้มา
ในห้องขังอับทึบและเย็นเยียบ ความเงียบงันครอบงำทุกซอกมุม มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของชายแก่ที่ถูกปีศาจเข้าสิงร่าง เขายืนนิ่งไม่ขยับ ราวกับถูกแช่แข็งไว้ในความมืด ดวงตาสีแดงฉานที่สะท้อนแสงจากช่องระบายอากาศเพียงเล็กน้อย เป็นเครื่องหมายเดียวที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของบางสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์เสียงประตูเหล็กหนาหนักที่ถูกปิดด้วยกุญแจและเวทมนตร์ป้องกันเริ่มขยับ มันเปิดออกอย่างช้าๆ ราวกับไม่มีแรงต้านทาน เสียงโลหะเสียดสีกันเบาๆ ดังขึ้นและสะท้อนก้องไปตามผนังหิน บรรยากาศไม่เป็นธรรมชาตินี้ทำให้ทั้งห้องดูอึดอัดและน่าขนลุกยิ่งขึ้นเอรอสยืนอยู่ตรงกรงขังของตนเอง แววตาของเขาเยือกเย็นและจับจ้องชายแก่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างนิ่งงัน ราวกับคาดการณ์ไว้ว่าสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้น เขาก้าวออกจากกรงขังโดยไม่รีบร้อน ชายชรายืนที่อยู่ปล่อยเขาไปโดยไม่ทำอะไร เขาที่ถูกควบคุมจิตใจไม่ได้แสดงท่าทางหรือมีท่าทีใดๆที่จะต่อต้าน หรือ ขัดขวาง เอรอสจึงเดินผ่านไปอย่างราบรื่นเมื่อเอรอสก้าวผ่านไป เขาเหลือบมองชายแก่อยู่ชั่วครู่ก่อนพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า "ขั้นแรกเสร็จแล้ว..."“ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะทำตามสัญญา”ปีศาจกล่าวพลางเสกมีด และ ถ้วยเ
เอรอสก้าวออกจากห้องขังอย่างช้าๆท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด เขากวาดสายตาสำรวจรอบๆด้วยความระมัดระวัง ความเย็นเยียบและเงียบงันของคุกใต้ดินทำให้เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าที่แฝงอยู่ ไม่มีเสียงฝีเท้าของผู้คุม หรือแม้แต่เสียงสนทนาของผู้ใด สถานที่นี้ดูเหมือนถูกละเลย หรือแทบไม่มีนักโทษถูกนำมาคุมขังเท่าที่ควรจะเป็นเอรอสสันนิษฐานว่า คุกแห่งนี้อาจมีนักโทษเพียงน้อยนิด หรือบางทีอาจมีเพียงบางคนที่ถูกขังไว้อย่างลับๆ สิ่งที่ทำให้เขามั่นใจมากขึ้นคือ วงเวทย์ที่เคยสลักบนแผ่นหลังของเขา ซึ่งเคยทำหน้าที่บอกตำแหน่งของเขาต่อหอคอย ตอนนี้มันถูกย้ายไปยังร่างของชายชราที่เข้ามาเฝ้าเขาแทน ขณะนี้ชายชราคนนั้นนอนสลบอยู่บนพื้น ไร้สติ ราวกับหมดแรงจากการถูกครอบงำโดยปีศาจเอรอสคิดได้ในทันที ภายในหกชั่วโมงต่อจากนี้ จะไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ที่เกิดขึ้น เขายังมีเวลาสำรวจสถานที่แห่งนี้ต่อไป บางทีรุ่นพี่ไอลีนอาจถูกกักขังอยู่ที่นี่ แม้ว่าชายชราคนนั้นจะบอกว่า เขาไม่เห็นเธอที่นี่ก็ตาม... แต่เพื่อความแน่ใจ การสำรวจให้ทั่วก่อนเป็นสิ่งจำเป็นเอรอสเดินสำรวจไปตามทางเดินแคบๆท่ามกลางความเงียบสงัด ความมืดที่ปกคลุมทุกซอกทุกมุมร
เอรอสค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้ร่างของอาร์วินที่นอนนิ่งอยู่กับพื้น กลิ่นอับชื้นในห้องลับผสานกับกลิ่นเลือดและเหงื่อรุนแรงทำให้บรรยากาศยิ่งกดดัน ดวงตาของเขาสำรวจไปทั่วร่างกายของชายผู้ที่เคยหายตัวไป อาร์วิน แคร์นัส—ชายหนุ่มที่มีความมั่นใจ นัยน์ตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจกลับเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ดูอ่อนแอเกินกว่าจะลุกขึ้นได้ ใบหน้าซีดเซียวราวกับคนที่ขาดสารอาหารมานานเอรอสนั่งลงข้างๆเขา มือหนึ่งจับที่คอเพื่อตรวจสอบชีพจรที่เต้นแผ่วเบา เอรอสเคยพบเห็นเขาบ่อยๆในตอนที่เขามารับงานปราบมอนเตอร์ในกิล แต่นี่คือครั้งแรกที่เอรอสเห็นอาร์วินในสภาพที่เปราะบางเช่นนี้"เกิดอะไรขึ้นกับนาย..." เขาพึมพำเบาๆ พลางสำรวจบาดแผลตามร่างกายของอาร์วินใกล้ๆบนแขนและขาของอาร์วินเต็มไปด้วยรอยช้ำสีน้ำเงินและดำ บ่งบอกถึงการถูกทุบตีและทำร้ายอย่างรุนแรง ที่แผ่นหลังมีรอยบาดลึกและรอยแส้ที่ขีดข่วนเป็นแผลเก่าและใหม่สลับกันไป บาดแผลเหล่านี้ไม่ได้มาจากการถูกซ้อมเพียงอย่างเดียว แต่บางรอยมีลักษณะผิดธรรมชาติ เหมือนถูกทำร้ายด้วยเวทมนตร์บางอย่าง ร่องรอยที่เอรอสเห็นได้จากบาดแผลเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว"นี่มัน.….สายเกินไปแล้
ดวงตาสีเทาของเอรอสหรี่ลงเล็กน้อยขณะที่เขามองอาร์วิน ความประหลาดใจผุดขึ้นในใจ แม้ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน ความคิดวนเวียนในหัว—“อาร์วินรู้ได้ยังไง?” ทั้งที่รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปแทบจะสิ้นเชิง…อาร์วินเงยหน้ามองเอรอส แม้ร่างกายอ่อนแรงจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงจะพูด ดวงตาสีฟ้าของเขากลับพยายามสื่อความจริงบางอย่างที่ถูกปิดซ่อนเอาไว้ ราวกับต้องการบอกเอรอสถึงสิ่งที่เขาแบกรับมาตลอด แสงสีฟ้าค่อยๆ เปล่งประกายออกมาจากดวงตา ภาพความทรงจำพรั่งพรูเข้าสู่จิตใจของเอรอสอย่างไม่ทันตั้งตัวความทรงจำหนักอึ้งของอาร์วินยังคงปะทุอยู่ในหัวใจ ภาพเหตุการณ์ในอดีตฉายชัดขึ้นทุกวินาที—ช่วงเวลาวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความกดดัน ตระกูลของเขากำลังล่มสลายหลังการสูญเสียผู้นำในสงคราม อาร์วินต้องกลายเป็นผู้นำตระกูลตั้งแต่เด็ก รับผิดชอบในการรักษาชื่อเสียงและสถานะของตระกูล ท่ามกลางตระกูลรอบข้างที่จ้องจะเล่นงานพวกเขาทุกครั้งที่มีโอกาสเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของอาร์วินเกิดขึ้นในคืนหนึ่ง ขณะที่เขากำลังสำรวจตรอกซอยในเมืองเงียบสงัด สายตาของเขาเหลือบไปเห็นเด็กสาวในชุดหรูหรากำลังถูกชายปริศนาฉุดกระชากออกมาจากที่ซ่อน และ ตั้งใจจะทำร้ายเธอ
ภายในโกดังเก็บของที่อึมครึม แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ยังอ่อนแรงค่อย ๆ ส่องผ่านหน้าต่างบานเดียวที่ฝุ่นจับหนา ทำให้ภายในโกดังยังคงมืดสลัว เงาของลังไม้ที่วางซ้อนกันสูงบดบังพื้นที่บางส่วน แต่เงาเหล่านั้นกลับเป็นข้อได้เปรียบที่เอรอสใช้ให้เกิดประโยชน์เขาหลบซ่อนตัวในเงามืด ดวงตาจับจ้องไปยังประตู มือกำแน่นข้างลำตัว ความกดดันค่อยๆ เพิ่มขึ้นพร้อมเสียงสัญญาณเตือนภัยที่ดังไม่หยุดยั้ง เหมือนจะคอยย้ำเตือนถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะทันใดนั้น เสียงบานประตูเหล็กของโกดังตรงหน้าดังขึ้น ก้องสะท้อนท่ามกลางความเงียบ เสียงคล้ายโลหะกระทบกันเมื่อวงเวทย์ที่ปิดผนึกไว้ถูกปลดออก เสียงนั้นเป็นเหมือนเสียงเตือนให้เอรอสตระหนักถึงอันตรายที่เข้ามาใกล้ จนบรรยากาศภายในโกดังยิ่งอึดอัดกว่าเดิม เขาตั้งสมาธิอีกครั้ง พลางรู้สึกถึงสัมผัสมานาที่เริ่มกลับมาบางส่วนแล้ว แต่ยังไม่มากพอที่จะรู้จำนวนคนที่เข้ามา ทำให้เขาประหม่าเล็กน้อยไม่นานนัก จอมเวทย์แปลกหน้าสองคนพุ่งเข้ามาภายในโกดังด้วยความระมัดระวัง พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างช่ำชองและสำรวจทุกจุดราวกับคุ้นเคยกับสถานที่นี้เป็นอย่างดีเอรอสยังคงนิ่ง หลบตัวอยู่ในเงาอย่างสมบูรณ์แบบ เ
เสียงนกร้องแว่วเบาๆในสวนยามเช้าจากที่ไกลๆ แสงแดดอ่อนๆเริ่มทอประกายบนยอดไม้ แต่ความเงียบสงบกลับตัดกับภาพของชายหนุ่มที่ถูกจับตรึงไว้กับพื้น ใบไม้สั่นไหวตามแรงลมแรงที่เคยเกิดขึ้น ทว่าบรรยากาศโดยภายในกลับขัดแย้งกับสภาพอากาศโดยรอบเมื่อเอเลน่าพยามวิ่งเข้ามาเพื่อดูอาการของเอรอส หนึ่งในจอมเวทย์อาวุโสขวางทางเอเลน่าเอาไว้ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เอรอสด้วยสายตาเคร่งขรึม มุมปากกระตุกเบาๆ สายตานั้นเต็มไปด้วยความระมัดระวัง แววตายังคงลังเลกับใส่สิ่งที่เห็น ก่อนจะหันไปพูดกับเอเลน่าที่อยู่ตรงหน้า "ท่านเอเลน่า เรายังไม่อาจเชื่อว่าเป็นคนเดียวกับที่ท่านรู้จัก จนกว่าจะพิสูจน์ให้แน่ชัด…" เสียงนั้นเย็นชาและเด็ดขาดเอเลน่าชะงักไปชั่วครู่ เธอกลืนน้ำลายลงคอแล้วปรับสีหน้าจากความอ่อนโยนเป็นเยือกเย็น ริมฝีปากบิดเป็นรอยยิ้มเล็กๆด้วยความเสแสร้ง"นี่คือวิธีที่พวกคุณปฏิบัติต่อคู่หมั้นของฉันหรอ?"เธอกล่าวอย่างเด็ดขาด แววตามุ่งมั่นแสดงถึงการตัดสินใจที่จะไม่ยอมอ่อนข้อใดๆชายทั้งสามคนสบตากันอย่างลังเล ในที่สุดลูกน้องของเขา ก็ยอมปล่อยเอรอสจากการจับกุม เอรอสพยายามลุกแต่ แต่ด้วยสภาพของร่างกายนี้ทำให้เขาร่วงลงไปกับพื้นอีกรอบ
แสงสีส้มของยามเย็นสาดเข้ามาในห้อง ส่องผ่านหน้าต่างบานเล็กที่เปิดไว้เพียงบางส่วน ความสงบเงียบของช่วงเวลาพลบค่ำถูกทำลายด้วยเสียงหอบหายใจแผ่วเบาของชายที่นอนนิ่งบนเตียง เอรอสลืมตาขึ้นช้าๆ ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง ราวกับทุกอวัยวะต่างกรีดร้องพร้อมกัน หัวใจของเขาเต้นอย่างเชื่องช้าและหนักอึ้ง ราวกับย้ำเตือนให้รู้ว่าอาการบาดเจ็บนั้นยังคงฝังลึกอยู่ทุกวินาทีเขาพยายามขยับตัว ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง แต่ทันทีที่เปลี่ยนท่าทาง ความเจ็บปวดจากอวัยวะภายใน ก็เริ่มปะทุขึ้นเหมือนไฟลุกโหมทำให้เขาหยุดชะงักในทันที เขากัดฟันแน่นเพื่อข่มเสียงครางไม่ให้เล็ดรอดออกมา มือข้างหนึ่งกดลงบนหน้าท้อง หวังบรรเทาความเจ็บปวด แต่กลับไม่มีอะไรดีขึ้น เหงื่อเย็นไหลซึมลงตามกรอบหน้าผาก จนทำให้ผมของเขาชื้นไปหมด ร่างกายนี้ อยู่ในสภาพย่ำแย่กว่าที่เขาคาดคิดเมื่อเอรอสเหลือบสายตาไปที่กระจกบานเล็กข้างเตียง ภาพสะท้อนที่ปรากฏคือใบหน้าของ อาร์วิน มันดูซีดขาว และ ไร้ชีวิตจนทำให้รู้สึกน่าสังเวช เขาจ้องมันอยู่ชั่วครู่ ราวกับกำลังประเมินสภาพตัวเอง ก่อนพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแห้งผาก“หนักกว่าที่คิด...”ความหงุดหงิดพลุ่งพล่านในใจ เพราะ