เอรอสก้าวช้าๆ เข้าหาชายหนุ่มที่นอนนิ่งกับพื้น กลิ่นอับชื้นผสมเลือดและเหงื่อทำให้บรรยากาศในห้องแคบยิ่งกดดัน ดวงตาสำรวจไปทั่วร่างที่อ่อนแรงจนแทบไม่เหลือเค้าความมั่นใจในอดีต แขนและขาเต็มไปด้วยรอยช้ำและแผลที่บ่งบอกถึงการทรมานอย่างแสนสาหัส
เขานั่งลงข้างๆ สัมผัสชีพจรที่เต้นแผ่วเบา ความเงียบรอบตัวกลับทำให้เสียงหัวใจของเขาดังก้อง เขาเคยเจอชายคนนี้ที่ในที่ทำงานมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นในสภาพที่น่าอดสูเช่นนี้มาก่อน
“นี่มัน... เกิดอะไรขึ้น?” เขาพูดพึมพำด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา จนแทบไม่มีใครได้ยิน
บาดแผลบนร่างสะท้อนถึงความทรมานทั้งกายและใจ ร่างกายซูบผอมจนเห็นโครงกระดูกชัดเจน ราวกับขาดอาหารมานาน รอบตัวมีเพียงกำแพงหินที่ถูกปิดตายอย่างเร่งรีบ ไร้หน้าต่างหรือทางออกอื่น
สายลมบางเบาโชยมาจากกระดุมข้อมือที่ตกหล่น เขาหยิบมันขึ้นมาดู และทันทีที่สัมผัส พลังเวทที่คุ้นเคยก็แผ่ซ่านออกมา
“เอเลน่า...” เขาพึมพำ แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน รีริคชิ้นนี้บรรจุพลังเวทที่เธอฝากไว้ราวกับสัญลักษณ์แห่งความห่วงใย แต่ในสถานที่อับมิดเช่นนี้ สายใยนั้นไม่อาจส่งสัญญาณไปถึง
เขาจับมือของชายที่นอนอยู่ตรงหน้า เพื่อถ่ายพลังเวทย์ให้ช่วยฟื้นฟูร่างกาย แม้จะเป็นเหมือนการเทน้ำลงไปในเหยือกที่ก้นแตกแล้ว แต่มันก็ยังพอเยียวยาความเจ็บปวดของชายตรงหน้าในช่วงเวลาสุดท้ายของชายตรงหน้าได้
หลังถ่ายเทพลังเวทเสร็จ เขาก็เฝ้าดูอย่างเงียบงัน จนกระทั่งเปลือกตาของร่างตรงหน้าค่อยๆกระพริบตอบสนอง ร่างที่นอนนิ่งเริ่มขยับเล็กน้อย
“เอรอส…ใช่ไหม?” เสียงแผ่วเบาดังขึ้น ทำให้เขาชะงัก สายตาเปลี่ยนไปด้วยความสงสัย—ชายคนนี้จำเขาได้อย่างไร ทั้งที่จอนนี้เขายังไม่ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์กลับมาเป็นเหมือนเดิมเลย
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นมองตรงมา แม้ร่างกายยังอ่อนแรง แต่ประกายบางอย่างในดวงตากลับสื่อความหมายที่ลึกซึ้งเกินจะบรรยาย ราวกับว่าเห็นแสงสว่างสุดท้ายของชีวิต
ดวงตาสีแดงหรี่ลงเล็กน้อยขณะที่สบตากับร่างตรงหน้า ความประหลาดใจผุดขึ้นในใจ แม้ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน แต่ความสงสัยก็ยังแฝงอยู่ในแววตาคู่นั้น
ร่างตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมองเขา แม้ร่างกายจะอ่อนล้าจนแทบสิ้นเรี่ยวแรง แต่ดวงตาสีฟ้ากลับฉายแววเจิดจ้า ราวกับเก็บซ่อนคำพูดนับพันที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ย แสงสีฟ้าค่อยๆ แผ่กระจายออกมาจากดวงตาคู่นั้น เงียบงันแต่หนักแน่น ก่อนที่เขาจะทันได้ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ความทรงจำของชายตรงหน้าก็ถาโถมเข้าสู่จิตใจของเขา—ชัดเจน รวดเร็ว และราวกับไร้จุดจบ
ทุกสิ่งรอบตัวค่อยๆเลือนหาย ความเป็นจริงถูกแทนที่ด้วยภาพแห่งอดีตที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ราวกับเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้เฝ้าดู แต่กำลังเป็นชายตรงหน้าจริงๆ ความเจ็บปวด ความหวัง และความสิ้นหวังที่ชายตรงหน้าเคยแบกรับทั้งหมด ไหลบ่ามาสู่หัวใจของเขาในชั่วพริบตาเดียว โลกเงียบสงัด เหลือเพียงเสียงของความทรงจำที่ดังก้องในหัวเขาอย่างชัดเจน...
ในวัยเด็ก อาร์วินเติบโตมาท่ามกลางตระกูลที่เกือบล่มสลายหลังสงคราม การสูญเสียผู้นำทำให้เขาต้องรับหน้าที่ดูแลทุกอย่างในฐานะหัวหน้าตระกูลคนใหม่ แม้จะยังเป็นเพียงเด็ก แต่เขาจำต้องแบกรับความหวังของผู้คน พร้อมทั้งแรงกดดันจากตระกูลคู่แข่งที่พร้อมจะฉวยโอกาสทำลายทุกสิ่งที่เหลืออยู่
คืนหนึ่ง ขณะที่เด็กน้อยกำลังเดินผ่านตรอกมืดในเมืองเงียบสงัด หลังจากที่แอบกลับมาจากการทำงานพิเศษ เขาเหลือบเห็นเด็กสาวในชุดหรูหรากำลังถูกชายปริศนาฉุดกระชากด้วยความรุนแรง เสียงร้องไห้ของเธอกรีดแทงลึกเข้าไปในหัวใจของเขา
ความกลัวกัดกินจิตใจแต่ไม่อาจหยุดยั้งเขาได้ เด็กน้อยร่ายเวทย์เสริมแกร่งให้ร่างกาย แม้ว่าร่างกายในตอนนั้นจะยังทำให้เขาสามารถใช้เวทย์นี้ได้เพียงครั้งเดียวก็ตาม แต่เขาก็พุ่งเข้าไปหาเป้าหมายโดยไม่ลังเล คทาในมือฟาดลงใส่ชายคนนั้นจนเขาล้มลงกับพื้น
ร่างของชายปริศนาทรุดฮวบลง พลังเวทย์ถูกใช้จนหมดสิ้น หัวใจเต้นรัวแข่งกับความอ่อนล้าที่เข้าครอบงำ ความโล่งใจแทรกเข้ามาเพียงชั่ววินาที แต่ทันใดนั้น เด็กน้อยก็สังเกตเห็นเงาร่างอีกคนในมุมมืด ชายผิวคล้ำ ผมสีขาวเทา รูปร่างกำยำ เต็มไปด้วยคราบเลือด แต่จิตวิญญาณกลับแตกต่างจากสิ่งที่เห็น—วิญญาณที่ดูเยาว์วัยกับรูปลักษณ์ที่น่าเกรงขาม—ทำให้เด็กน้อยตกอยู่ในความสับสน
แม้จะอ่อนล้า แต่เด็กน้อยก็ยังยกคทาขึ้นเตรียมพร้อมรับมือ ชายคนนั้นไม่ได้เคลื่อนไหว เพียงจ้องมองเขาเงียบๆ ก่อนจะถอยหลังหายลับไปในเงามืด ทิ้งไว้เพียงคำถามมากมายในใจ ใครกันที่จ้องมองเขาในความมืด? และทำไมดวงตานั้นถึงดูเหมือนกำลังแบกรับบางสิ่งที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้?
จนกระทั่งในภายหลัง ความจริงก็ปรากฏขึ้น เมื่อเขาเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นถูกขับไล่ออกจากตระกูลอย่างไร้ความปราณี ความเข้าใจผิดที่เคยมีทั้งหมดก็ถูกลบออกไปทันที
หลังจากเหตุการณ์นั้น เด็กน้อยที่ได้ช่วยชีวิตลูกสาวของตระกูลใหญ่โดยบังเอิญ ก็ได้หมั้นหมายกับเธออย่างเป็นทางการ การหมั้นครั้งนั้นทำให้ตระกูลของเธอเข้ามาช่วยสนับสนุนตระกูลของเขา จนสถานการณ์ของตระกูลค่อยๆดีขึ้น แต่สิ่งที่แลกมากลับเป็นความรู้สึกผิดที่เด็กน้อยไม่อาจลืมลงได้
เด็กสาวในตอนนั้นเข้าใจมาตลอดว่าคู่หมั้นคนก่อนหนีเอาชีวิตรอดไปคนเดียว แต่ความจริงที่รู้ กลับแตกต่างออกไป เขาไม่ได้ทิ้งเธอ แต่ล่อมือสังหารคนอื่นๆไปจัดการต่างหาก แม้มันจะผิดแผน เพราะดันมีคนนึงไม่ได้ตามเขาไปด้วยก็ตาม
แต่เขาก็ไม่ได้บอกความจริงข้อนี้กับเธอ เพราะคิดว่ามันอาจจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเด็กสาวลง รวมถึงตระกูลของเขา ก็ไม่อาจขาดความช่วยเหลือจากตระกูลของเธอได้ ความกลัวที่จะสูญเสียทุกอย่าง ทำให้เขาเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจมาตลอด ไม่กล้าที่พูดออกไป
“เอรอส…” เสียงชายตรงหน้าเบาราวกระซิบ ปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์ ในความแผ่วเบานั้นกลับแฝงไปด้วยความเสียใจเอาไว้
เอรอสขมวดคิ้ว หัวใจบีบตัวอย่างรุนแรงเมื่อได้ยินชื่อของตัวเองถูกเรียกด้วยน้ำเสียงแบบนั้น สายตาของเขามองลงไปที่ชายตรงหน้า ดวงตาสีฟ้าที่ครั้งหนึ่งเคยแข็งกร้าว ทว่าบัดนี้กลับสั่นไหวอย่างไม่น่าเชื่อ
ลมหายใจของเขาสะดุดลง รู้สึกถึงความหนักอึ้งที่กดทับลงในอก มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน เขาพยายามจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อปลอบโยน แต่คำพูดกลับติดอยู่ในลำคอ เขาทำได้เพียงจ้องมองชายตรงหน้า ราวกับถูกสายตาของอีกฝ่ายตรึงเอาไว้
แววตาของเขาสั่นไหวเต็มไปด้วยความอ้อนวอน ดั่งเปลวเทียนใกล้มอดที่พยายามสู้กับสายลมสุดแรง แววตานั้นไม่ได้มีเพียงความหวัง แต่ยังแบกรับคำขอร้องครั้งสุดท้าย ความหวังสุดท้ายที่จะผลักภาระหนักอึ้งไปยังคนตรงหน้า
ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด ขณะที่เขาใช้แรงทั้งหมดที่เหลืออยู่เงยหน้ามองคนตรงหน้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความสำนึกผิด "เอรอส..." เสียงแผ่วเบาเรียกชื่อเขา ดังก้องในบรรยากาศที่เงียบงัน
"ฉันรู้ว่า...ฉันไม่มีสิทธิ์...แต่ได้โปรด..." เขาไอออกมา เลือดสีแดงเข้มไหลออกจากริมฝีปาก แต่เขายังคงฝืนพูดต่อแม้ลมหายใจจะรวยริน
"ช่วยเอเลน่า...และปกป้องตระกูลของเรา...อย่าให้มันจบสิ้นลงเพราะฉัน..."
สายตาของเขาเบิกกว้าง ราวกับกำลังกลัวความจริงที่เลี่ยงไม่ได้
"ถ้าฉันตาย...แล้วเรื่องนี้ถูกเปิดเผย...ไม่ใช่แค่ตระกูลฉันที่จะจบสิ้น...ตระกูลของเธอ...ของเอเลน่า...ก็จะพังไปด้วย..."
มือที่สั่นเทายกขึ้นเหมือนจะคว้าอะไรบางอย่าง ก่อนจะร่วงลงข้างกาย
"ฉันรู้ว่าฉันมันขี้ขลาด...ฉันไม่ควรจะขออะไรจากนาย..." เขาสูดลมหายใจอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยคำสุดท้าย น้ำเสียงทั้งอ้อนวอนและเจ็บปวด "แต่ได้โปรด…ปกป้องพวกเขา...แทนฉัน..."
ดวงตาของอาร์วินเริ่มพร่ามัว เขาปล่อยลมหายใจออกอย่างแผ่วเบา รอคำตอบที่เขาอาจไม่มีโอกาสได้รับ
ถ้อยคำแผ่วเบานั้นคล้ายละอองลม แต่กลับแทรกซึมลึกลงในหัวใจอีกฝ่าย ราวกับมีดปลายแหลมที่ฝังลึก ไม่อาจดึงออกได้ง่ายๆ ความรู้สึกเดือดพล่านที่ไม่รู้ว่าคือความโกรธ ความเจ็บ หรือความหวาดกลัว บีบแน่นในอกจนเขาหายใจไม่ออก แต่สำหรับเขา...นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะตอบรับเลย
ในใจลึกๆ เขาโกรธ—โกรธที่ครั้งหนึ่งเคยถูกตระกูลทอดทิ้งเหมือนขยะไร้ค่า โกรธที่แม้แต่เธอ...คนที่เขาเคยเชื่อมั่น ก็ยังจะขับไล่ออกไป แล้วตอนนี้เล่า? ทำไมเขาต้องกลับไป? ทำไมภาระนี้ถึงต้องตกมาที่เขา ทั้งๆที่พวกเขาเป็นคนผลักเขาออกมาเองแท้ๆ
เขาควรจะปฏิเสธ—มันเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้ เขาไม่มีเหตุผลที่จะกลับไป ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาต้องยอมก้าวเท้ากลับไปสู่ตระกูลนั้นอีก แต่สายตาที่จ้องมาของอีกฝ่ายกลับทำให้คำว่า "ปฏิเสธ" ติดอยู่แค่ปลายลิ้น เขาทำได้เพียงนิ่งงัน ความลังเลค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาแทนที่
แต่หากใช้เหตุผลล่ะก็ สถานการณ์ตอนนี้ไม่ปลอดภัยเอาซ่ะเลย ตัวตนของ เอรอส...ไม่รู้ว่าหอคอยได้ทำอะไรลงไปบ้าง และถ้าต้องออกไปจากที่นี่โดยใช้ตัวตนของ "จอมเชือด" ผลที่ตามมาย่อมไม่ใช่เรื่องดี มันเสี่ยงเกินไป—อันตรายเกินไป แถมยังเสี่ยงที่จะเปิดเผยพลังที่เขาพยายามซ่อนเร้นด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวตนของอาร์วินสำคัญเกินกว่าที่จะปล่อยให้ตายลงไปได้ ตระกูลวัลธอเรนคือสมดุลของอำนาจ หากมันพังทลาย ตระกูลที่เหลือจะฉวยโอกาสนี้สร้างอิทธิพลมากขึ้น และเมื่อถึงตอนนั้น การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เขาวางแผนไว้จะกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และกระทบต่อเป้าหมายระยะยาวของเขา
เขาหลับตาลง สูดลมหายใจลึกพยายามเรียกสติกลับคืนมา ทั้งความโกรธ ความลังเล และความกดดันถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นที่ไม่มีวันสงบ เขาควรจะเดินจากไป ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง... แต่เมื่อเปิดตาขึ้นมาสบกับแววตาคู่นั้นอีกครั้ง เขากลับพบว่ามันไม่ง่ายเลย—ไม่ง่ายเลยที่จะปล่อยวาง
ดวงตาที่เคยสับสนกลับแน่วแน่ขึ้น เขาไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป ในใจลึกๆเขายังเป็นห่วงเธออยู่ แม้ว่่าในอนาคตเขาอาจจะต้องเสียใจกับทางเลือกนี้ก็ตาม
"ฉันจะจัดการทุกอย่างให้เอง" เขาเอ่ยออกมาในที่สุด น้ำเสียงนั้นแม้จะแข็งกร้าว แต่มันซ่อนความรู้สึกภายในที่บีบคั้นเอาไว้ ความกลัวและภาระหนักที่เขารับรู้ได้ชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้ดีว่าเขาไม่มีทางหันหลังกลับไปอีกแล้ว
ชายตรงหน้ามองเขาด้วยสายตาที่อ่อนแรง แต่ในแววตานั้นกลับมีความสงบเสงี่ยมปรากฏขึ้น ราวกับว่าเขาได้ปล่อยวางสิ่งที่แบกไว้มาอย่างยาวนาน เขายิ้มเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาของเขาจะค่อยๆปิดลง ลมหายใจที่เหลือน้อยนิดค่อยๆ หยุดลงเช่นเดียวกับแสงสุดท้ายในดวงตาของเขา
เขานั่งนิ่ง เสียงคำขอสุดท้ายของชายตรงหน้ายังดังก้องอยู่ในใจ ร่างของอาร์วินยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้า เขามองมันด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง แต่ภายในใจเขารู้ดี—นี่คือสิ่งที่ต้องทำ
ในตอนนั้น หมอกสีดำค่อยๆคืบคลานออกจากร่างกายของเขา ไหลเลื้อยไปตามพื้นหินอย่างเงียบงัน ราวกับสิ่งมีชีวิตที่หล่อหลอมจากความมืดล้วนๆ มันเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ ไม่แน่ชัด—บางคราวคล้ายเงาที่คืบคลานเพื่อโอบล้อม บางครั้งกลับเหมือนมือที่พยายามจะฉุดรั้งทุกสิ่งเข้าสู่ห้วงลึก
หมอกนั้นแผ่ปกคลุมระหว่างพวกเขาทั้งสอง กลืนกินพวกเขาจนเห็นแต่เงาที่เลือนราง ลมหายใจสุดท้ายเลือนหายไปพร้อมกับเงาความมืด ทุกสิ่งถูกดูดกลืนเข้าหาความเงียบงันรอบตัว ราวกับความว่างเปล่าที่ไร้ที่สิ้นสุด
ภายในโกดังเก็บของที่อึมครึม แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ยังอ่อนแรงค่อยๆส่องผ่านหน้าต่างบานเดียวที่ฝุ่นจับหนา ทำให้ภายในโกดังยังคงมืดสลัว ชายหนุ่มผู้หนึ่งหลบซ่อนตัวในเงามืด ดวงตาจับจ้องไปยังประตู มือกำแน่นข้างลำตัว ความกดดันค่อยๆ เพิ่มขึ้นพร้อมเสียงสัญญาณเตือนภัยที่ดังไม่หยุดยั้ง เหมือนจะคอยย้ำเตือนถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะทันใดนั้น เสียงบานประตูเหล็กของโกดังตรงหน้าดังขึ้น ก้องสะท้อนท่ามกลางความเงียบ เสียงคล้ายโลหะกระทบกันเมื่อวงเวทย์ที่ปิดผนึกไว้ถูกปลดออก ไม่นานนัก จอมเวทย์แปลกหน้าสองคนพุ่งเข้ามาภายในโกดังด้วยความระมัดระวัง พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างช่ำชองและสำรวจทุกจุดราวกับคุ้นเคยกับสถานที่นี้เป็นอย่างดีผู้หลบซ่อนยังคงนิ่ง หลบตัวอยู่ในเงาอย่างสมบูรณ์แบบ เขาชะลอลมหายใจ ควบคุมการเต้นของหัวใจให้สงบนิ่งมากที่สุดอย่างมีสติ ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจหมายถึงจุดจบในจังหวะที่จอมเวทย์คนแรกเดินเข้ามาใกล้ ผู้หลบหนีได้พุ่งตัวออกจากเงามืดอย่างเงียบเชียบ มือขวาของเขาคว้าแขนของจอมเวทย์คนนั้น ก่อนจะบิด และ เหวี่ยงมันเต็มแรงจนได้ยินเสียงกระดูกแตกดังกรอบแกรบในอากาศ ใบหน้าของจอมเวทย์บิดเบี้ยวด้วยคว
เสียงนกร้องแว่วเบาๆในสวนยามเช้าจากที่ไกลๆ แสงแดดอ่อนๆเริ่มทอประกายบนยอดไม้ ใบไม้สั่นไหวตามแรงลมแรงที่เคยเกิดขึ้น ทว่าบรรยากาศโดยภายในกลับขัดแย้งกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเอเลน่าพยามวิ่งเข้ามาเพื่อดูอาการของชายหนุ่ม หนึ่งในจอมเวทย์อาวุโสขวางทางเธอเอาไว้ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ร่างที่นอนอยู่ด้วยสายตาเคร่งขรึม มุมปากกระตุกเบาๆ สายตานั้นเต็มไปด้วยความระมัดระวัง แตยังเจือด้วยความลังเลกับสิ่งที่เห็น ก่อนจะหันไปพูดกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า "ท่านเอเลน่า เรายังไม่อาจเชื่อได้ว่าเขาเป็นคนเดียวกับที่ท่านรู้จัก จนกว่าจะพิสูจน์ให้แน่ชัด…" เสียงนั้นเย็นชาและเด็ดขาดหญิงสาวชะงักไปชั่วครู่ เธอกลืนน้ำลายลงคอ ริมฝีปากบิดเป็นรอยยิ้มเล็กๆด้วยความเสแสร้ง"งั้นหรอ? นี่คือวิธีที่พวกคุณปฏิบัติต่อคู่หมั้นของฉันแบบนั้นสิน่ะ? ถ้าหากเป็นเขาจริงๆพวกคุณจะรับผิดชอบยังไง?"เธอกล่าวอย่างเด็ดขาด แววตามุ่งมั่นแสดงถึงการตัดสินใจที่จะไม่ยอมอ่อนข้อใดๆชายทั้งสามคนสบตากันอย่างลังเล ในที่สุดลูกน้องของเขา ก็ยอมปล่อยชายหนุ่มจากการจับกุม เขาพยายามลุกขึ้นยืน แต่ด้วยสภาพของร่างกายนี้ทำให้ร่วงลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง ทำให้หญิงสาวต
แสงสีส้มของยามเย็นสาดเข้ามาในห้อง ส่องผ่านหน้าต่างบานเล็กที่เปิดไว้เพียงบางส่วน ความสงบเงียบของช่วงเวลาพลบค่ำถูกทำลายด้วยเสียงหอบหายใจแผ่วเบาของชายที่นอนนิ่งบนเตียง ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมาช้าๆ ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นไปทั่วทั้งร่าง ราวกับทุกอวัยวะต่างกรีดร้องพร้อมกันเขาพยายามขยับตัว ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง แต่ทันทีที่เปลี่ยนท่าทาง ความเจ็บปวดก็เริ่มปะทุขึ้นอีกครั้ง ทำให้เขาหยุดชะงัก กัดฟันแน่นเพื่อข่มเสียงครางไม่ให้เล็ดรอดออกมา มือข้างหนึ่งกดลงบนหน้าท้อง หวังบรรเทาความเจ็บปวด แต่กลับไม่มีอะไรดีขึ้น เหงื่อเย็นไหลซึมลงตามกรอบหน้าผาก จนทำให้ผมของเขาชื้นไปหมด ร่างกายนี้ อยู่ในสภาพย่ำแย่กว่าที่เขาคาดคิดเมื่อชายหนุ่มเหลือบสายตาไปที่กระจกบานเล็กข้างเตียง ภาพสะท้อนที่ปรากฏคือใบหน้าของ อาร์วิน แคร์นัส มันดูซีดขาว และ ไร้ชีวิตจนทำให้รู้สึกน่าสังเวช เขาจ้องมันอยู่ชั่วครู่ ราวกับกำลังประเมินสภาพตัวเอง ก่อนพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแห้งผาก“อาการแย่กว่าที่คิด...”ความหงุดหงิดพลุ่งพล่านขึ้นในใจ เพราะไม่อาจควบคุมร่างนี้ได้อย่างที่ต้องการสายตาของเขาเหลือบไปเห็นกับกระดุมเม็ดเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง
หญิงสาวนั่งเงียบอยู่ข้างเตียงในห้องที่มีแสงเทียนสลัวๆสั้นไหวไปตามแรงลมที่ลอดผ่านเข้ามา บรรยากาศรอบตัวราวกับหยุดนิ่ง ไม่มีเสียงใดๆนอกจากเสียงลมหายใจเบาๆระหว่างทั้งสองคนใบหน้าที่เธอคุ้นเคย แต่กลับมีบางสิ่งที่แปลกไป—บางสิ่งที่เธอไม่สามารถอธิบายได้ แต่กลับทวีความสงสัยมากขึ้นรอยยิ้มของชายหนุ่มตรงหน้า และความอ่อนโยนของเขา มักทำให้เธอเคยรู้สึกปลอดภัยเสมอ แต่ครั้งนี้... เธอเริ่มสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ต่างไปมันอาจเป็นเพียงความเครียดจากสถานการณ์รอบตัวหรือความเหนื่อยล้าที่สะสมตลอดเวลาที่ผ่านมา ใบหน้าของเขายังคงเหมือนเดิมทุกประการ ยกเว้นเพียงสีของดวงตาที่แปลกไป ซึ่งคล้ายกับของใครบางคนที่เธอรู้จักเธอถอนหายใจเบาๆ พลางบีบจดหมายในมือแน่นขึ้น ภาพเหตุการณ์นั้นยังคงแจ่มชัดในหัวเธอ เลือดที่หลั่งไหล และ เสียงฝีเท้าของผู้ไล่ล่าเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจลืมได้การได้เจอกับคู่หมั้นของเธออีกครั้ง ก็เกือบจะเป็นความหวังที่เธอแทบจะถอดใจไปแล้ว แค่ได้อยู่ใกล้เขา เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองได้รับการปกป้อง แม้กระทั่งในยามนี้ที่ทุกอย่างรอบตัวดูสับสน วุ่นวาย การที่มีเขาอยู่ ก็ช่วยคลายความกังวลในใจของเธอได้พอสมควรเธอสูดห
ชายหนุ่มเดินไปที่ตู้สมุนไพรใกล้ๆ ค้นหาเครื่องหอมสมุนไพรที่คิดว่าน่าจะมีอยู่ที่นี้ เป็นผลิตภัณฑ์พิเศษที่องค์กรของเขาทำขาย เครื่องหอมธรรมดาที่ดูไม่ต่างจากของใช้ทั่วไป แต่กลับซ่อนคุณสมบัติพิเศษเอาไว้ มันมีส่วนผสมของสมุนไพรสองชนิดที่ออกฤทธิ์ต่างกันชนิดหนึ่งช่วยให้ง่วงนอน ส่วนอีกชนิดกระตุ้นให้เกิดอาการหลับลึกมากขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพถูกปรับลดลงด้วยสมุนไพรหลายชนิด ที่ผสมให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในการนอนหลับที่ไม่สงบ ซึ่งในขั้นตอนนี้เขาต้องแยกเอาส่วนที่ไม่ต้องการออก เหลือไว้เฉพาะเพียงสองชนิด เพื่อไม่ให้เครื่องหอมมีกลิ่นที่แปลกไปหลังจากที่แยกสมุนไพรทั้งหมดออกจากกัน เขาจึงค่อยๆบดสมุนไพรสองชนิดเข้าด้วยกัน จากนั้นก็เทส่วนผสมกลับเข้าไปในถุงใหม่ที่ยังไม่ถูกแกะออก เท่านี้ฤทธิ์ของมันจะมากขึ้นกว่าปกติ แต่กลิ่นยังคงเดิม ทำให้ยากที่ใครจะจับได้จากนั้นเขาก็นำมันกลับไปวางไว้ที่ตู้สมุนไพรเหมือนเดิม เครื่องหอมถูกจัดเตรียมเรียบร้อย เขาหยิบสมุนไพรส่วนที่เหลือ กินมันเข้าไปเพื่อยับยั้งฤทธิ์การหลับลึก เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองได้รับผลจากมันไปด้วยเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ชายหนุ่มจึงกลับไปนอนลงบนเตี
ชายผิวสีเดินลึกเข้าไปในเขตตอนใต้ของเมือง เขาใช้ผ้าคลุมศีรษะให้มิดชิดเพื่อซ่อนใบหน้า ดวงตาคมกวาดมองรอบๆอย่างระมัดระวัง แสงไฟจากร้านค้าและแสงเทียนสลัวๆ ตามตรอกซอยสะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศที่มืดมน ราวกับโลกอีกใบที่ซ่อนตัวอยู่ภายในเมืองอันศิวิไลซ์ถนนเต็มไปด้วยฝุ่นคละคลุ้ง กลิ่นเหม็นอับจากของไม่พึงประสงค์วางเรียงรายอยู่ในแผงลอย เหล่าพ่อค้าแม่ค้ากำลังลักลอบขายของต้องห้ามอย่างลับๆ เสียงการเจรจาต่อรองดังขึ้นเป็นระยะ เติมเต็มบรรยากาศแห่งนี้ไปด้วยความรู้สึกไม่ชอบมาพากล แต่สำหรับที่นี้ มันเป็นเรื่องปกติชายผิวสีแทรกตัวเข้าไปในฝูงชนอย่างแนบเนียน ลัดเลาะผ่านตรอกซอยที่สลับซับซ้อนจนกระทั่งมาถึงร้านขายของจิปาถะที่ดูธรรมดาแห่งหนึ่ง มันเหมือนร้านทั่วๆไป แต่นี่เป็นเพียงฉากบังหน้าเท่านั้น ภายในที่แห่งนี้ มีโลกอีกใบซ่อนอยู่เมื่อเดินเข้ามา กลิ่นธูปหอมอ่อนๆลอยตลบอบอวลไปทั่วร้าน บนชั้นวางสินค้าถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ มีผลิตภัณฑ์มากมายที่องค์กรผลิตขึ้น วางปะปนอยู่กับสินค้าประเภทอื่นๆ สินค้าพวกนี้มีราคาย่อมเยาและใช้งานได้จริง ทำให้มีอยู่ในบ้านเรือนของผู้คนเป็นจำนวนมาก จึงกลายเป็นเหตุผลให้เขาสามารถหาของใ
ชายร่างสูงใหญ่เดินผ่านทางเดินยาวที่ปกคลุมด้วยความเงียบสงัดของพื้นที่ บรรยากาศภายในบริเวณนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายทรงพลังที่ทั้งหนักอึ้งและน่าเกรงขาม เขาหยุดชั่วครู่หน้าประตูบานใหญ่ของห้องผู้นำองกรณ์ บานประตูไม้สลักลวดลายละเอียดอ่อนแสดงถึงอำนาจและบทบาทสำคัญของเจ้าของห้องในขณะที่เขาก้าวผ่านหน้าประตู ความรู้สึกหนึ่งแผ่ซ่านไปทั่วร่าง คล้ายมีสายตาจับจ้องจากอีกมิติ พลังจากดันเจี้ยนแห่งนี้ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงการเฝ้ามองของเจ้าของที่นี้อย่างชัดเจน แม้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริงๆก็ตาม"ดูเหมือนเธอมีเรื่องที่จะพูดด้วย แต่ก็ลังเลที่จะถามสิน่ะ" เขาคิดในใจ สายตาสีแดงฉานของเขาหันไปมองบานประตูอย่างครุ่นคิด ก่อนที่จะส่ายหัวเบาๆผู้นำของสถานที่แห่งนี้ เป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง เธอเป็นลูกสาวของอดีตผู้นำองกรณ์อาชกรรมขนาดใหญ่ในเมือง แต่ถูกเขาทำลายลงไปเมื่อหลายปีก่อน ในตอนนั้นเธอยังเยาว์วัย แถมยังเป็นลูกของโสเภณีที่องกรณ์จับตัวมาอีก ทำให้เธอมักจะถูกรังแก และ กลั่นแกล้งดูหมิ่นเสมอเธอที่ผ่านความยากลำบากในชีวิตแต่ล่ะวัน ก็ได้มาพบกับเขาในร่างของจอมเชือด ในตอนแรกเธอร้องขอที่จะติดตามเขา แต่ตัวเขาในตอนนั้นปฏิเสธ ไม่อยาก
หญิงสาวเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมสีม่วงอมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้ในสถานที่แห่งนี้ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ทำให้เธอรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวทุกอย่างของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอเรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของมือสังหาร จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มานานแล้ว แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากเขาโดยตรงเธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับเรื่องราวนั้น หนักเกินกว่าจะเล่าออกมาดวงตาสีชมพูอ่อนสะท้อนแสงจากโคมไฟ หญิงสาวนั่งนิ่งราวกับกำลังขบคิดอะไรบาง แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ อยากให้ชายหนุ่มเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเธอ แต่เธอก็รู้ดี เขาก็ยังเป็นตัวเขา—คนที่เลือกจะแบกรับทุกอย่างไว้เพียงลำพัง ไม่ยอมพึ่ง
"นายจะพาฉันไปไหนเนี่ย?" หญิงสาวถามขึ้น ขณะที่พวกเขาเลี้ยวเข้าตรอกซอยแคบๆแห่งหนึ่ง กลิ่นอายของความวุ่นวายในย่านนี้ ทำให้เธอรู้สึกตื่นตัวมากขึ้น"ฉันไม่ได้พาเธอ เธอตามฉันมาเอง" ชายหนุ่มที่เดินนำหน้าตอบเสียงห้วนๆ แต่ยังไม่หยุดเดิน เขาไม่แม้จะหันมามองด้วยซ้ำก่อนหน้านี้ เขาเคยเป็นคนที่พูดจานุ่มนวล สุภาพ และมีมารยาทเสมอเมื่ออยู่ใกล้เธอ แต่ทุกสิ่งที่เธอรู้จักเกี่ยวกับตัวเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อคมมีดหันมาจ่อที่ตาของเธอ เธอแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คืออาร์วินคนเดิมที่เธอเคยรู้จักแววตาของเขาที่ซ่อนอยู่ใต้เลนส์แว่นสีน้ำตาลอมแดง เต็มไปด้วยความระมัดระวัง เหมือนกับเด็กน้อยที่พึ่งออกจากบ้านเป็นครั้งแรก มันเป็นสายตาที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกถึงความแปลกใจอย่างชัดเจนเธอมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ในขณะที่เขาก้าวเดินอย่างชำนาญ แต่ทุกย่างก้าวกลับเต็มไปด้วยความระแวง เขามองไปรอบตัวเหมือนกับคนที่กำลังหลบหนี หรือไม่ก็เหมือนคนที่สูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป เธอเริ่มสงสัยว่าเขากำลังกลัวอะไรอยู่ หรืออาจจะเป็นเพราะเขาสูญเสียวงแหวนเวทมนตร์ไป ทำให้ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ เลยต้องระวังตัวเป็นพิเศษหญิงสาวหยุดชะงักเมื่ออาร์วินหย
ชายหนุ่มเดินลึกเข้าไปในแนวป่าจนถึงเขตเมือง กลิ่นอายของผู้คนเริ่มแตะจมูกของเธอที่แอบตามมาเงียบๆ เสียงพูดคุยและความเคลื่อนไหวของตลาดกลางคืนแว่วเข้ามา เธอหยุดอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์เขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะเลี้ยวเข้าไปในตรอกแคบระหว่างร้านค้าเล็กๆ“ทำไมต้องแอบมาเข้าเมืองมาในเวลานี้ด้วย น่าสงสัยจริงๆ…” หญิงสาวคิดในใจ ก่อนปรับผ้าคลุมไหล่ให้กระชับและเริ่มตามเขาเข้าไปในตรอกที่ดูคับแคบและอับทึบ มีกลิ่นอับของความชื้นผสมกับกลิ่นไม้เก่าจากกำแพงร้านค้าหญิงสาวที่กวาดสายตาเหลือบมองไปรอบข้าง ก่อนที่จะเห็นเงาของเขาเลี้ยวหายเข้าไปในซอยเล็กๆ เธอเห็นดังนั้น จึบรีบเร่งก้าวตามโดยไม่ลดความระมัดระวัง แต่เมื่อพ้นมุมซอยเข้าไป ร่างสูงของชายหนุ่มก็พุ่งพรวดเข้ามามาจากมุมที่เขาเข้าไป ชายหนุ่มเคลื่อนตัวรวดเร็วจนเธอไม่ทันตั้งตัว เธอถูกผลักชนเข้าติดกับกำแพงผนังด้านหลัง“อึก—!” เสียงร้องสั้นกระชับของเธอดังขึ้นในความเงียบ คทาในมือถูกปัดกระเด็นไปด้วยแรงที่เหนือชั้น ตัวเธอแข็งทื่อเหมือนถูกแช่แข็ง ลมหายใจที่เคยสม่ำเสมอหยุดชะงักทันที ปลายมีดเย็นเฉียบจ่ออยู่ห่างจากดวงตาของเธอเพียงเส้นขน ความหวาดกลัวที่ท่วมท้นทำ
หลังจากที่หญิงสาวหลับไป ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ในความเงียบ ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นไฟไหม้สองจุดในคืนเดียว—หนึ่งคือห้องของเขาเอง สถานที่ที่เคยอบอวลไปด้วยเงาของความทรงจำ ทุกอย่างที่หล่อหลอมเป็นชีวิตของเขาและเธอ หนังสือที่เคยวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ บัดนี้กลายเป็นเถ้าถ่าน เฟอร์นิเจอร์ที่เขาเลือกเองถูกเผาผลาญจนไม่เหลือเค้าเดิม ทุกสิ่งที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของวันคืนที่เคยมีร่วมกัน มอดไหม้ไปพร้อมกับเปลวเพลิง ราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่ตั้งแต่แรก…มือขวาของเขากำแน่นจนข้อกระดูกปูดขึ้นมา เขาบีบมือจนเจ็บ แต่พยายามข่มความรู้สึกโกรธเอาไว้ แม้จะพยายามทำเช่นนั้น แววตากลับยังคงสะท้อนความเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ภายใน เขาหายใจเข้าลึก พยายามประคองสติขณะที่ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวอีกแห่งคือโรงพยาบาลกลางเมือง... สถานที่ๆซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย หากต้องการลบตัวตนของเขาจริงๆ แค่เผาห้องพักก็เพียงพอ แต่ทำไมต้องเผาโรงพยาบาล?เรื่องมันใหญ่เกินไป… หรือทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นตอนที่เกิดเรื่องกับเขาพอดี? แต่ถ้านี้เป็นแผนของใครบางคน แล้วพวกมันจะได้ประโยชน์อะไรจากการกระทำเช่นนี้?ชายหนุ่มนั่งครุ่
ความกังวลในใจของเธอคลี่คลายลง แต่ก็ยังไม่หมดสิ้น ราวกับไม่สามารถสลัดคำถามนั้นออกจากหัวไปได้ ก่อนจะหายใจเข้าลึก รวบรวมความกล้าอีกครั้ง“ฉันรู้ว่ามันอาจจะไม่เหมาะที่จะถามอะไรแบบนี้ ในตอนที่นายเพิ่งผ่านเรื่องเลวร้ายมา…”เธอหยุดเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของเขา แต่ชายหนุ่มยังคงนิ่ง เหมือนไม่มีความสับสนใดๆ“มันมีหลายเรื่องที่ฉันอยากจะถามนาย แต่…” เธอลดสายตาลงมองแก้วชาที่อุ่นในมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “เรื่องที่สำคัญกว่านั้น—ฉันอยากรู้... นายได้รับอะไรจากการทดสอบนั้น?”ชายหนุ่มมีท่าทีลำบากใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มตอบอย่างอึดอัด"ขอโทษด้วย มันเป็นความลับเฉพาะฝ่ายนักเวทย์ ไม่สามารถบอกได้""ฉันรู้เกี่ยวกับการทดสอบนั้นแล้ว แล้วก็รู้ด้วยว่าของรางวัลอาจจะเป็นชิ้นส่วนร่างกายของจอมปราชญ์ไรอัส นายไม่จำเป็นต้องปิดบังหรอก"เขาชะงักเล็กน้อย หยุดคิดไปชั่วขณะก่อนจะพูดออกมา"รู้มาจากไอริสสิน่ะ? เธอคนนั้นไม่เข้าใจความละเอียดอ่อนของฝ่ายอัศวิน กับ จอมเวทย์รึไง?""แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นถ้ารู้แล้ว?""ถ้ารู้แล้วก็ไม่เป็นอะไร" เขาพูดเสียงต่ำ แล้วเขาก็ถอนหายใจ"ฟังแล้วก็อย่าไปบอกใครล่ะ แล้วก็ห้ามบอกด้วยว่าเธอรู้มาจากไอริ
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆกลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับอยากกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันจนเธอไม่อยากจะลุกออกจากเตียงเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งพิงหลับอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าสงบนิ่งภายใต้เงามืด เส้นผมสีทองของเขาสว่างไสวเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เผยให้เห็นอีกด้านนึงที่เธอคุ้นเคย—ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนอะไรบางอย่างก่อนหน้านี้ ทำให้เธอโล่งใจขึ้นเล็กน้อย “อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อออกมาเบาๆเหมือนจะยืนยันการมีตัวตนอยู่ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อพึ่งรู้สึกตัวว่า ตัวเองนอนอยู่บนเตียงของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย ขณะที่พยายามเรียกความทรงจำที่เลือนรางกลับคืนมาภาพเหตุการณ์เมื่อคืนผุดขึ้นในความทรงจำ จำได้ว่าเธอ และ เพื่อนพูดคุยเกี่ยวกับข่าวลือเรื่องของรางวัลในการทดสอบที่
ก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อนชายที่เขาช่วยเหลือไว้สวมชุดแปลกๆราวกับมาจากอีกทวีป ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาว ภาษาที่ใช้ ก็ดูเหมือนจะถูกๆผิดๆแต่กลับเต็มไปด้วยสำบัดสำนวนมากมายราวกับจงใจชายคนนั้นอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เขาจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีของคนอื่นมาด้วยเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวันแทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยไปให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าเป็นศาสตร์ลับในดินแดนของตน หนังสือเล่มนี้บันทึกเกี่ยวกับวิธีการปกปิด และ ซ่อนเร้น โดยใช้พลังที่ผสานระหว่างธรรมชาติและเจตจำนงในตอนแรก เขารับหนังสือเ
คลินิกตรงหน้าตั้งอยู่ห่างจากเขตใจกลางเมืองเล็กน้อย ตัวอาคารหินสีซีด ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึก หน้าต่างกระจกสีชั้นล่างสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไป ลวดลายบนกระจกดูเหมือนจะพร่ามัวในแสงสลัว สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยจำนวนนึงยามตีสี่ ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ ความเงียบรอบตัวแทบจะทำให้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วงกระทบพื้น ร่างสูงใหญ่ยืนพิงกำแพงใต้ร่มเงาตรงข้ามกับสถานที่ ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยังหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท เป็นสถานที่ทำงานของเจ้าของสถานที่แห่งนั้น แต่ในยามนี้ ไม่มีแสงไฟส่องลอดออกมา“ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่…” เขาพึมพำเสียงเบา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงนั้นแทบชัดเจนในสายลม เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียง กระโดดขึ้นเกาะขอบหน้าต่างชั้นสอง เสียงลมแผ่วเบาและใบไม้ไหวกลบการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาสีแดงสังเกตการณ์ในห้องอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าไม่มีใครอยู่เมื่อแน่ใจแล้ว เขาดึงจดหมายจากกระเป๋าออกมา มันเป็นเศษกระดาษที่เขาเก็บได้แถวนี้ จดหมายนั้นเขียนด้วยลายมือเร่งรีบ เนื้อความสั้นๆระบุเพียงเวลาและสถานที่ ไม่ได้บอกถึงความต้
หญิงสาวเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมสีม่วงอมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้ในสถานที่แห่งนี้ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ทำให้เธอรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวทุกอย่างของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอเรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของมือสังหาร จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มานานแล้ว แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากเขาโดยตรงเธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับเรื่องราวนั้น หนักเกินกว่าจะเล่าออกมาดวงตาสีชมพูอ่อนสะท้อนแสงจากโคมไฟ หญิงสาวนั่งนิ่งราวกับกำลังขบคิดอะไรบาง แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ อยากให้ชายหนุ่มเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเธอ แต่เธอก็รู้ดี เขาก็ยังเป็นตัวเขา—คนที่เลือกจะแบกรับทุกอย่างไว้เพียงลำพัง ไม่ยอมพึ่ง
ชายร่างสูงใหญ่เดินผ่านทางเดินยาวที่ปกคลุมด้วยความเงียบสงัดของพื้นที่ บรรยากาศภายในบริเวณนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายทรงพลังที่ทั้งหนักอึ้งและน่าเกรงขาม เขาหยุดชั่วครู่หน้าประตูบานใหญ่ของห้องผู้นำองกรณ์ บานประตูไม้สลักลวดลายละเอียดอ่อนแสดงถึงอำนาจและบทบาทสำคัญของเจ้าของห้องในขณะที่เขาก้าวผ่านหน้าประตู ความรู้สึกหนึ่งแผ่ซ่านไปทั่วร่าง คล้ายมีสายตาจับจ้องจากอีกมิติ พลังจากดันเจี้ยนแห่งนี้ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงการเฝ้ามองของเจ้าของที่นี้อย่างชัดเจน แม้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริงๆก็ตาม"ดูเหมือนเธอมีเรื่องที่จะพูดด้วย แต่ก็ลังเลที่จะถามสิน่ะ" เขาคิดในใจ สายตาสีแดงฉานของเขาหันไปมองบานประตูอย่างครุ่นคิด ก่อนที่จะส่ายหัวเบาๆผู้นำของสถานที่แห่งนี้ เป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง เธอเป็นลูกสาวของอดีตผู้นำองกรณ์อาชกรรมขนาดใหญ่ในเมือง แต่ถูกเขาทำลายลงไปเมื่อหลายปีก่อน ในตอนนั้นเธอยังเยาว์วัย แถมยังเป็นลูกของโสเภณีที่องกรณ์จับตัวมาอีก ทำให้เธอมักจะถูกรังแก และ กลั่นแกล้งดูหมิ่นเสมอเธอที่ผ่านความยากลำบากในชีวิตแต่ล่ะวัน ก็ได้มาพบกับเขาในร่างของจอมเชือด ในตอนแรกเธอร้องขอที่จะติดตามเขา แต่ตัวเขาในตอนนั้นปฏิเสธ ไม่อยาก