เอรอสค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้ร่างของอาร์วินที่นอนนิ่งอยู่กับพื้น กลิ่นอับชื้นในห้องลับผสานกับกลิ่นเลือดและเหงื่อรุนแรงทำให้บรรยากาศยิ่งกดดัน ดวงตาของเขาสำรวจไปทั่วร่างกายของชายผู้ที่เคยหายตัวไป อาร์วิน แคร์นัส—ชายหนุ่มที่มีความมั่นใจ นัยน์ตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจกลับเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ดูอ่อนแอเกินกว่าจะลุกขึ้นได้ ใบหน้าซีดเซียวราวกับคนที่ขาดสารอาหารมานาน
เอรอสนั่งลงข้างๆเขา มือหนึ่งจับที่คอเพื่อตรวจสอบชีพจรที่เต้นแผ่วเบา เอรอสเคยพบเห็นเขาบ่อยๆในตอนที่เขามารับงานปราบมอนเตอร์ในกิล แต่นี่คือครั้งแรกที่เอรอสเห็นอาร์วินในสภาพที่เปราะบางเช่นนี้
"เกิดอะไรขึ้นกับนาย..." เขาพึมพำเบาๆ พลางสำรวจบาดแผลตามร่างกายของอาร์วินใกล้ๆ
บนแขนและขาของอาร์วินเต็มไปด้วยรอยช้ำสีน้ำเงินและดำ บ่งบอกถึงการถูกทุบตีและทำร้ายอย่างรุนแรง ที่แผ่นหลังมีรอยบาดลึกและรอยแส้ที่ขีดข่วนเป็นแผลเก่าและใหม่สลับกันไป บาดแผลเหล่านี้ไม่ได้มาจากการถูกซ้อมเพียงอย่างเดียว แต่บางรอยมีลักษณะผิดธรรมชาติ เหมือนถูกทำร้ายด้วยเวทมนตร์บางอย่าง ร่องรอยที่เอรอสเห็นได้จากบาดแผลเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว
"นี่มัน.….สายเกินไปแล้ว"เอรอสคิดในใจ พลางเงียบไปครู่หนึ่ง เขาพยายามหาเหตุผลว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
นอกจากบาดแผลที่น่ากลัวแล้ว ร่างของอาร์วินยังดูซูบผอมจนเห็นโครงกระดูกชัดเจน เขาเหมือนคนที่ถูกกักขังและไม่ได้รับอาหารมาเป็นเวลานาน ร่างกายของเขาขาดสารอาหารจนแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรง
เอรอสพยายามใช้พลังเวทของตัวเองเล็กน้อยเพื่อประคองชีพจรของอาร์วินไม่ให้ขาดหาย ก่อนที่ดวงตาของเขาจะหันไปเห็นสิ่งที่สำคัญกว่านั้น—แผ่นหลังของอาร์วินบริเวณที่ควรจะมีวงเวทย์สลักอยู่—ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ผู้ถูกจองจำในหอคอยเวทมนตร์ที่ทุกคนที่นี้ควรมี—กลับว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยของการสลักเวทย์ใดๆ ซึ่งเป็นไปได้แค่อย่างเดียว… อาร์วินไม่ได้ถูกจับโดยหอคอย เขาถูกนำมาที่นี่โดยคนอื่น และถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่ผ่านการพิจารณาคดี หรือ กฎระเบียบใดๆของพวกนั้น
"ไม่ใช่ฝีมือของหอคอยงั้นหรือ... แล้วใครทำแบบนี้กับเขา?" เอรอสคิดพลางตั้งข้อสงสัยในใจ เมื่อสำรวจร่างของอาร์วินเสร็จแล้ว เอรอสหันไปมองรอบๆห้องที่พวกเขาอยู่ ห้องนี้ดูเหมือนจะเป็นห้องขังเล็กๆที่ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงกำแพงหินทึบทั้งสี่ด้าน และไม่มีทางออกอื่นนอกจากทางที่เขาเพิ่งพังกำแพงเข้ามา สิ่งที่น่าสงสัยคือ กำแพงที่เขาเพิ่งทลายลงดูเหมือนถูกสร้างอย่างเร่งรีบ มันถูกปิดทับอย่างหยาบๆ ราวกับใครบางคนต้องการซ่อนห้องนี้โดยเร็วที่สุด
เอรอสชายตาสำรวจพื้นที่รอบๆ เห็นรอยหินบางส่วนที่ถูกย้ายมาปิดทับอย่างไม่เป็นระเบียบ บางก้อนยังดูเหมือนเพิ่งถูกก่อขึ้นใหม่ ทั้งที่ส่วนอื่นของคุกนั้นเก่าแก่และเต็มไปด้วยรอยสึกกร่อน
"ห้องนี้ถูกซ่อนเอาไว้... ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น?" เอรอสตั้งคำถามกับตัวเอง ขณะที่ถ่ายเทพลังเวทย์ให้กับอาร์วิน
ในขณะที่เอรอสกำลังใช้ความคิดอยู่ จู่ๆร่างกายของอาร์วิน ก็เริ่มสั่นสะท้านเล็กน้อย ร่างกายที่ถูกทรมานจนอ่อนแรงขยับโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่แขนของเขาจะกระตุกอย่างแรง ทันใดนั้น กระดุมข้อมือที่ติดอยู่ก็หลุดกระเด็นออกมาและกระทบพื้นด้วยเสียงแผ่วเบา
เอรอสสะดุ้งเล็กน้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น สายตาของเขาจับจ้องไปที่กระดุมข้อมือที่หลุดออกจากร่างอาร์วิน มันไม่ได้แค่เป็นกระดุมธรรมดา ขณะที่มันนอนนิ่งอยู่บนพื้น มีกระแสลมอ่อนๆพัดออกมาเป็นระลอกเล็กๆ
บรรยากาศภายในห้องยิ่งกดดัน สายลมที่เป่าออกมาจากกระดุมทำให้เอรอสรู้สึกถึงบางสิ่งที่คุ้นเคย เขาก้มลงหยิบกระดุมขึ้นมาอย่างระวัง และในวินาทีนั้นเอง เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่ถูกบรรจุไว้ในกระดุม มันเป็นพลังเวทที่เขารู้จักดี—สายลมที่อบอุ่น และ อ่อนโยน
“เอเลน่า…” เอรอสพึมพำชื่อเธอออกมาเบาๆ ความรู้สึกบางอย่างท่วมท้นในใจ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน นี่ไม่ใช่แค่กระดุมข้อมือธรรมดา—มันเป็นเครื่องหมายของความผูกพัน และ ความห่วงใยที่เอเลน่ามีต่ออาร์วิน
ขณะที่เอรอสมองกระดุมในมือ ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในใจ กระดุมข้อมือนี้ เป็นสิ่งที่เอเลน่ามอบให้กับอาร์วินเพื่อเป็นของแทนใจ มันเต็มไปด้วยพลังเวทย์ที่เธอใส่ลงไปอย่างมุ่งมั่น แม้จะไม่ใช่สิ่งของที่สามารถป้องกันอันตรายใดๆได้ แต่มันสามารถนำทางเจ้าของพลังมาหาคนที่สวมกระดุมเม็ดนี้ได้ หากอยู่ไม่ไกลเกินไป
อย่างไรก็ตามแต่ ในสถานที่ห่างไกลเช่นนี้ พลังเวทย์ในกระดุมกลับไม่สามารถส่งสัญญาณไปถึงเอเลน่าได้เลย สายลมที่กระดุมเม็ดนี้ปล่อยออกมาครั้งสุดท้ายกลับสูญเปล่า เหมือนกับความพยายามที่จะเอื้อมผ่านความยากลำบาก แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็สายเกินไป
เอรอสมองกระดุมในมือด้วยความรู้สึกหลากหลาย ก่อนที่จะวางมันไว้ข้างๆกับอาร์วิน เขาพยายามตรวจดูว่าอาร์วินได้สติรึยัง หลังจากที่เขาถ่ายเทพลังเวทย์ไปให้ แม้จะดูเหมือนกับการเทน้ำในแก้วที่แตกไปแล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ยังพอยืดชีวิตไปได้เล็กน้อย
เอรอสจ้องมองร่างของอาร์วินที่นอนนิ่งอยู่ขณะที่ถ่ายพลังเวทย์ แม้ในตอนแรกจะไม่มีการตอบสนองใดๆนอกจากชักกระตุก ใบหน้าดูซีดเซียว ดวงตาล่องลอย ไม่มีการโฟกัสใดๆ ราวกับเขาได้หลงทางในความมืดลึกที่ไม่อาจหวนคืน
แม้รู้ดีว่าร่างกายของอาร์วินได้แตกสลายและยากจะฟื้นฟูได้เต็มที่ แต่เอรอสยังคงไม่ยอมแพ้ เขาค่อยๆส่งพลังเวททีละน้อยเพื่อยื้อชีวิตของอาร์วินกลับมาทีละนิด สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ดวงตาที่ดูไร้สติเป็นเวลานาน ก่อนจะสังเกตเห็นบางอย่างที่แตกต่าง
ดวงตาของอาร์วินเริ่มกระพริบเล็กน้อย เขาเคลื่อนไหวตาช้าๆ ราวกับเพิ่งพยายามค้นหาทางกลับสู่ความรู้สึกตัว แม้จะยังเลือนลาง แต่การตอบสนองเล็กน้อยนี้ก็เป็นสัญญาณแรกของการฟื้นตัว
เอรอสโน้มตัวเข้ามาใกล้ขึ้น สำรวจดวงตาที่เคยว่างเปล่าค่อยๆเริ่มมีการโฟกัสทีละน้อย แสงริบหรี่ภายในแววตานั้นเริ่มฉายออกมา แม้ร่างกายของเขายังคงอ่อนแออย่างมาก แต่ภายในจิตใจของอาร์วินดูเหมือนกำลังค่อยๆฟื้นจากความมืดมิด
เอรอสพึมพำกับตัวเองเบาๆ ด้วยความโล่งใจ “นายได้สติแล้วหรอ?”
ทันใดนั้น อาร์วินพูดขึ้นเสียงแผ่ว ราวกับความทรงจำที่ลางเลือนกำลังค่อยๆ กลับคืนมา “เอรอส...เหรอ?”
เอรอสชะงัก ดวงตาเขาหรี่ลงเล็กน้อยขณะที่มองอาร์วิน ความประหลาดใจค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจ แต่ไม่ถึงกับแสดงออกอย่างชัดเจน เขาคิดในใจ—อาร์วินรู้ได้ยังไง? เขาไม่ควรจำได้ โดยเฉพาะในรูปลักษณ์นี้...
แววตาของอาร์วินยังคงสั่นไหว ราวกับว่าเขาเห็นแสงสว่างสุดท้ายของชีวิต เอรอสจับตามองอย่างเงียบงัน คำถามในใจลอยวนไปมา—อาร์วินรู้มาตลอดอย่างนั้นหรือ? หรือเป็นเพียงการละเมอที่บังเอิญบ่งบอกความจริงที่ถูกฝังอยู่ลึกสุดในจิตวิญญาณกันแน่...
ดวงตาสีเทาของเอรอสหรี่ลงเล็กน้อยขณะที่เขามองอาร์วิน ความประหลาดใจผุดขึ้นในใจ แม้ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน ความคิดวนเวียนในหัว—“อาร์วินรู้ได้ยังไง?” ทั้งที่รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปแทบจะสิ้นเชิง…อาร์วินเงยหน้ามองเอรอส แม้ร่างกายอ่อนแรงจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงจะพูด ดวงตาสีฟ้าของเขากลับพยายามสื่อความจริงบางอย่างที่ถูกปิดซ่อนเอาไว้ ราวกับต้องการบอกเอรอสถึงสิ่งที่เขาแบกรับมาตลอด แสงสีฟ้าค่อยๆ เปล่งประกายออกมาจากดวงตา ภาพความทรงจำพรั่งพรูเข้าสู่จิตใจของเอรอสอย่างไม่ทันตั้งตัวความทรงจำหนักอึ้งของอาร์วินยังคงปะทุอยู่ในหัวใจ ภาพเหตุการณ์ในอดีตฉายชัดขึ้นทุกวินาที—ช่วงเวลาวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความกดดัน ตระกูลของเขากำลังล่มสลายหลังการสูญเสียผู้นำในสงคราม อาร์วินต้องกลายเป็นผู้นำตระกูลตั้งแต่เด็ก รับผิดชอบในการรักษาชื่อเสียงและสถานะของตระกูล ท่ามกลางตระกูลรอบข้างที่จ้องจะเล่นงานพวกเขาทุกครั้งที่มีโอกาสเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของอาร์วินเกิดขึ้นในคืนหนึ่ง ขณะที่เขากำลังสำรวจตรอกซอยในเมืองเงียบสงัด สายตาของเขาเหลือบไปเห็นเด็กสาวในชุดหรูหรากำลังถูกชายปริศนาฉุดกระชากออกมาจากที่ซ่อน และ ตั้งใจจะทำร้ายเธอ
ภายในโกดังเก็บของที่อึมครึม แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ยังอ่อนแรงค่อย ๆ ส่องผ่านหน้าต่างบานเดียวที่ฝุ่นจับหนา ทำให้ภายในโกดังยังคงมืดสลัว เงาของลังไม้ที่วางซ้อนกันสูงบดบังพื้นที่บางส่วน แต่เงาเหล่านั้นกลับเป็นข้อได้เปรียบที่เอรอสใช้ให้เกิดประโยชน์เขาหลบซ่อนตัวในเงามืด ดวงตาจับจ้องไปยังประตู มือกำแน่นข้างลำตัว ความกดดันค่อยๆ เพิ่มขึ้นพร้อมเสียงสัญญาณเตือนภัยที่ดังไม่หยุดยั้ง เหมือนจะคอยย้ำเตือนถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะทันใดนั้น เสียงบานประตูเหล็กของโกดังตรงหน้าดังขึ้น ก้องสะท้อนท่ามกลางความเงียบ เสียงคล้ายโลหะกระทบกันเมื่อวงเวทย์ที่ปิดผนึกไว้ถูกปลดออก เสียงนั้นเป็นเหมือนเสียงเตือนให้เอรอสตระหนักถึงอันตรายที่เข้ามาใกล้ จนบรรยากาศภายในโกดังยิ่งอึดอัดกว่าเดิม เขาตั้งสมาธิอีกครั้ง พลางรู้สึกถึงสัมผัสมานาที่เริ่มกลับมาบางส่วนแล้ว แต่ยังไม่มากพอที่จะรู้จำนวนคนที่เข้ามา ทำให้เขาประหม่าเล็กน้อยไม่นานนัก จอมเวทย์แปลกหน้าสองคนพุ่งเข้ามาภายในโกดังด้วยความระมัดระวัง พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างช่ำชองและสำรวจทุกจุดราวกับคุ้นเคยกับสถานที่นี้เป็นอย่างดีเอรอสยังคงนิ่ง หลบตัวอยู่ในเงาอย่างสมบูรณ์แบบ เ
เสียงนกร้องแว่วเบาๆในสวนยามเช้าจากที่ไกลๆ แสงแดดอ่อนๆเริ่มทอประกายบนยอดไม้ แต่ความเงียบสงบกลับตัดกับภาพของชายหนุ่มที่ถูกจับตรึงไว้กับพื้น ใบไม้สั่นไหวตามแรงลมแรงที่เคยเกิดขึ้น ทว่าบรรยากาศโดยภายในกลับขัดแย้งกับสภาพอากาศโดยรอบเมื่อเอเลน่าพยามวิ่งเข้ามาเพื่อดูอาการของเอรอส หนึ่งในจอมเวทย์อาวุโสขวางทางเอเลน่าเอาไว้ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เอรอสด้วยสายตาเคร่งขรึม มุมปากกระตุกเบาๆ สายตานั้นเต็มไปด้วยความระมัดระวัง แววตายังคงลังเลกับใส่สิ่งที่เห็น ก่อนจะหันไปพูดกับเอเลน่าที่อยู่ตรงหน้า "ท่านเอเลน่า เรายังไม่อาจเชื่อว่าเป็นคนเดียวกับที่ท่านรู้จัก จนกว่าจะพิสูจน์ให้แน่ชัด…" เสียงนั้นเย็นชาและเด็ดขาดเอเลน่าชะงักไปชั่วครู่ เธอกลืนน้ำลายลงคอแล้วปรับสีหน้าจากความอ่อนโยนเป็นเยือกเย็น ริมฝีปากบิดเป็นรอยยิ้มเล็กๆด้วยความเสแสร้ง"นี่คือวิธีที่พวกคุณปฏิบัติต่อคู่หมั้นของฉันหรอ?"เธอกล่าวอย่างเด็ดขาด แววตามุ่งมั่นแสดงถึงการตัดสินใจที่จะไม่ยอมอ่อนข้อใดๆชายทั้งสามคนสบตากันอย่างลังเล ในที่สุดลูกน้องของเขา ก็ยอมปล่อยเอรอสจากการจับกุม เอรอสพยายามลุกแต่ แต่ด้วยสภาพของร่างกายนี้ทำให้เขาร่วงลงไปกับพื้นอีกรอบ
แสงสีส้มของยามเย็นสาดเข้ามาในห้อง ส่องผ่านหน้าต่างบานเล็กที่เปิดไว้เพียงบางส่วน ความสงบเงียบของช่วงเวลาพลบค่ำถูกทำลายด้วยเสียงหอบหายใจแผ่วเบาของชายที่นอนนิ่งบนเตียง เอรอสลืมตาขึ้นช้าๆ ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง ราวกับทุกอวัยวะต่างกรีดร้องพร้อมกัน หัวใจของเขาเต้นอย่างเชื่องช้าและหนักอึ้ง ราวกับย้ำเตือนให้รู้ว่าอาการบาดเจ็บนั้นยังคงฝังลึกอยู่ทุกวินาทีเขาพยายามขยับตัว ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง แต่ทันทีที่เปลี่ยนท่าทาง ความเจ็บปวดจากอวัยวะภายใน ก็เริ่มปะทุขึ้นเหมือนไฟลุกโหมทำให้เขาหยุดชะงักในทันที เขากัดฟันแน่นเพื่อข่มเสียงครางไม่ให้เล็ดรอดออกมา มือข้างหนึ่งกดลงบนหน้าท้อง หวังบรรเทาความเจ็บปวด แต่กลับไม่มีอะไรดีขึ้น เหงื่อเย็นไหลซึมลงตามกรอบหน้าผาก จนทำให้ผมของเขาชื้นไปหมด ร่างกายนี้ อยู่ในสภาพย่ำแย่กว่าที่เขาคาดคิดเมื่อเอรอสเหลือบสายตาไปที่กระจกบานเล็กข้างเตียง ภาพสะท้อนที่ปรากฏคือใบหน้าของ อาร์วิน มันดูซีดขาว และ ไร้ชีวิตจนทำให้รู้สึกน่าสังเวช เขาจ้องมันอยู่ชั่วครู่ ราวกับกำลังประเมินสภาพตัวเอง ก่อนพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแห้งผาก“หนักกว่าที่คิด...”ความหงุดหงิดพลุ่งพล่านในใจ เพราะ
เอเลน่านั่งเงียบอยู่ข้างเตียงในห้องที่แสงเทียนสลัวๆ กำลังเต้นรำไปตามแรงลมที่ลอดผ่านเข้ามา บรรยากาศรอบตัวราวกับหยุดนิ่ง ไม่มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงลมหายใจเบาๆ ของเธอ ใบหน้าที่เธอคุ้นเคย แต่มีบางสิ่งที่แปลกไป—บางสิ่งที่เธอไม่สามารถอธิบายได้ ความปั่นป่วนในใจกลับค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นทีละน้อยรอยยิ้มอบอุ่นของอาร์วิน และความอ่อนโยนในแววตาของเขาทำให้เธอเคยรู้สึกปลอดภัยเสมอ แต่ครั้งนี้... เธอเริ่มสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ต่างไป มันอาจเป็นเพียงความเครียดจากสถานการณ์รอบตัวหรือความเหนื่อยล้าที่สะสม แต่ไม่ว่าสิ่งใดในตอนนี้ ตัวเขาดูจะไม่เหมือนเดิม ถึงแม้ใบหน้าของเขายังคงเหมือนอาร์วินทุกประการ ยกเว้นเพียงสีของดวงตาที่ไม่ใช่ฟ้าอมเงินอีกต่อไป ตอนนี้มันกลายเป็นสีเทานิ่งเรียบ—สีที่แตกต่างจากความทรงจำของเธอ คล้ายกับใครบางคนที่เธอรู้จักเอเลน่าถอนหายใจเบาๆ พลางบีบจดหมายในมือแน่นขึ้น จดหมายที่นำพาความทรงจำอันเจ็บปวดเกี่ยวกับการถูกไล่ล่าโดย "จอมเชือด" ภาพเหตุการณ์นั้นยังคงแจ่มชัดในหัวเธอ เลือดที่หลั่งไหล และ เสียงฝีเท้าของผู้ไล่ล่าเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจลืมได้การได้เจอกับอาร์วินอีกครั้ง แม้เขาจะบาดเจ็บสาหั
หลังจากที่เอเลน่าเรียกอัศวินและสาวใช้ไปดูแลอาร์วิน เธอก็ตั้งใจที่จะกลับห้อง พลางยกมือขึ้นแตะขมับเบาๆด้วยอาการเหนื่อยล้าตลอดทั้งวัน แต่แล้ว ขณะที่เธอเดินผ่านทางเดินที่ทอดยาวเชื่อมระหว่างห้องโถงหลักกับสวนในคฤหาสน์ เสียงสนทนาของกลุ่มอัศวินที่ยืนเฝ้าอยู่ใกล้ๆก็แว่วเข้าหู“รู้เรื่องที่ท่านอาร์วินสูญเสียวงแหวนมานาไปรึยัง?”หนึ่งในอัศวินเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่ไม่เบาพอที่จะหลุดรอดจากการได้ยินของเธอเอเลน่าชะงักฝีเท้า หัวใจเต้นแรงขณะที่เธอพยายามทำท่าเดินผ่านไปอย่างเรียบเฉย แต่ความกังวลกลับเพิ่มขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอีกคนหนึ่งตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ได้ยินจากสาวใช้แล้ว บาดแผลสาหัสแทบจะกลายเป็นคนพิการ หนำซ้ำยังสูญเสียวงแหวนมานาไปอีก”“ท่านผู้อาวุโสคงไม่ปล่อยเอาไว้หรอก ถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ตระกูลอาจจะเสื่อมเสียชื่อเสียงเอาได้”“บางที… อาจถึงขั้นขับออกจากตระกูล” เสียงนั้นราบเรียบแต่กลับแฝงความเย็นยะเยือกไว้ จนเอเลน่ารู้สึกเหมือนเงามืดคืบคลานเข้ามารอบตัว“การอยู่ในตระกูลโดยไร้วงแหวนมานา ก็เป็นได้แค่ตัวภาระเปล่าๆ ดีซะอีกที่ยังเมตตาให้มีชีวิตอยู่"หลังจากนั้นเขาดูครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมา
เอรอสในร่างของเรย์นาร์คเดินลึกเข้าไปในเขตตอนใต้ของเมือง เขาคลุมผ้าคลุมศีรษะให้มิดชิดเพื่อซ่อนใบหน้า ดวงตาคมกวาดมองรอบๆ อย่างระมัดระวัง แสงไฟจากร้านค้าและแสงเทียนสลัวๆ ตามตรอกซอกซอยสะท้อนให้เห็นบรรยากาศที่มืดมน ราวกับโลกอีกใบที่ซ่อนตัวอยู่ข้างใต้เมืองอันศิวิไลซ์ ถนนเต็มไปด้วยฝุ่นคละคลุ้ง และมีกลิ่นเหม็นอับจากของไม่พึงประสงค์วางเรียงรายอยู่ในแผงลอย เหล่าพ่อค้าแม่ค้ากำลังลักลอบขายของต้องห้ามอย่างลับๆ เสียงการเจรจาต่อรองดังขึ้นเป็นระยะ เติมเต็มบรรยากาศแห่งนี้ไปด้วยความรู้สึกทะแม่งๆ แต่สำหรับที่นี้ มันเป็นเรื่องปกติเอรอสแทรกตัวเข้าไปในฝูงชนอย่างแนบเนียน เดินลัดเลาะผ่านตรอกซอยที่สลับซับซ้อนจนกระทั่งมาถึงร้านขายของจิปาถะตามจุด จากสายตาคนทั่วไป ร้านนี้ดูธรรมดาๆ เหมือนร้านขายของทั่วไป แต่นี่เป็นเพียงฉากบังหน้าขององค์กรเขาเท่านั้น ภายในสถานที่แห่งนี้ มีทางเข้าที่เชื่อมไปถึงฐานทัพขององค์กรที่เขาอยู่เมื่อเขาเดินเข้ามา กลิ่นธูปหอมอ่อนๆ ลอยตลบอบอวลไปทั่วร้าน บนชั้นวางสินค้าถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ มีผลิตภัณฑ์มากมายที่องค์กรของเขาผลิตขึ้น วางปะปนอยู่กับสินค้าประเภทอื่นๆ สินค้าของพวกเขามีราคา
เอรอสยืนคุยกับกลุ่มสมาชิกอยู่ที่โถงทางเดิน บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการหยอกล้อระหว่างพวกเขา“จะว่าไปพี่ใหญ่ พี่มาประชุมงั้นหรอ?” หนึ่งในสมาชิกถามพลางยิ้มกว้างเอรอสทำหน้างงเล็กน้อย ก่อนที่จะคำถามออกมา“ประชุม? เรื่องอะไร?”ชายวัยกลางคนทำสีหน้าเบื่อหน่ายเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสริมขึ้นมา“เฮ้อ ก็เรื่องของโบสถ์นั้นแหละ แม่หนูนั้นยังดื้อด้าน ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเราดีๆเลยเนี่ยสิ”ชายวัยกลางคนทำท่าปวดหัว และ เบื่อหน่ายพอสมควร เอรอสถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้น โบสถ์ที่พวกเขาเคยพยายามจะให้เป็นพันธมิตรทางการค้าเพิ่งถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา แต่เพียงไม่กี่เดือนก่อน นักบวชระดับสูงคนหนึ่งถูกจับเพราะยักยอกเงินบริจาค แถมยังไปกู้หนี้จากองค์กรอื่นมาใช้จ่ายส่วนตัว ปล่อยให้โบสถ์ต้องเผชิญหนี้สินมหาศาลจนสาขาหลักตัดความช่วยเหลือ สถานการณ์ของโบสถ์จึงเสี่ยงล่มสลายเต็มทีแม้การที่นักบวชคนนั้นยักยอกเงินจะเป็นผลจากแผนของพวกเขา แต่การที่เขากลับไปกู้ยืมเงินจากองค์กรอื่นโดยไม่บอก แถมยังชิงฆ่าตัวตายเพื่อหนีความผิดกลับทำให้เรื่องราวยุ่งยากยิ่งกว่าเดิม อำนาจทั้งหมดตกไปอยู่ในมือผ