แสงสีส้มของยามเย็นสาดเข้ามาในห้อง ส่องผ่านหน้าต่างบานเล็กที่เปิดไว้เพียงบางส่วน ความสงบเงียบของช่วงเวลาพลบค่ำถูกทำลายด้วยเสียงหอบหายใจแผ่วเบาของชายที่นอนนิ่งบนเตียง ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมาช้าๆ ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นไปทั่วทั้งร่าง ราวกับทุกอวัยวะต่างกรีดร้องพร้อมกัน
เขาพยายามขยับตัว ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง แต่ทันทีที่เปลี่ยนท่าทาง ความเจ็บปวดก็เริ่มปะทุขึ้นอีกครั้ง ทำให้เขาหยุดชะงัก กัดฟันแน่นเพื่อข่มเสียงครางไม่ให้เล็ดรอดออกมา มือข้างหนึ่งกดลงบนหน้าท้อง หวังบรรเทาความเจ็บปวด แต่กลับไม่มีอะไรดีขึ้น เหงื่อเย็นไหลซึมลงตามกรอบหน้าผาก จนทำให้ผมของเขาชื้นไปหมด ร่างกายนี้ อยู่ในสภาพย่ำแย่กว่าที่เขาคาดคิด
เมื่อชายหนุ่มเหลือบสายตาไปที่กระจกบานเล็กข้างเตียง ภาพสะท้อนที่ปรากฏคือใบหน้าของ อาร์วิน แคร์นัส มันดูซีดขาว และ ไร้ชีวิตจนทำให้รู้สึกน่าสังเวช เขาจ้องมันอยู่ชั่วครู่ ราวกับกำลังประเมินสภาพตัวเอง ก่อนพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแห้งผาก
“อาการแย่กว่าที่คิด...”ความหงุดหงิดพลุ่งพล่านขึ้นในใจ เพราะไม่อาจควบคุมร่างนี้ได้อย่างที่ต้องการ
สายตาของเขาเหลือบไปเห็นกับกระดุมเม็ดเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง รีริคที่เขาใช้ส่งสัญญาณเรียกเอเลน่ามาตั้งแต่หลบหนีขึ้นมาบนพื้นดิน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้สัญญาณเตือนภัยดังขึ้น สถานการณ์ในตอนนั้นค่อนข้างเสี่ยงมากๆ แต่โชคดีที่เธอยังมาทันเวลา แต่มันจะดีกว่านี้หากเขาสามารถหลบหนีออกไปจากเมืองได้ โดยที่ไม่ถูกเจอตัว
ในขณะที่เขากำลังรวบรวมความคิด เสียงฝีเท้าเบาๆดังขึ้นจากด้านนอก ชายหนุ่มหันไปมองประตูที่ค่อยๆแง้มเปิดออก เผยให้เห็นร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งเดินก้าวเข้ามา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล ดวงตาสีเขียวมรกตของเธอ จ้องมองเขาอย่างละเอียด พยายามจับสังเกตบางสิ่งที่ผิดปกติ แม้ว่าเธอจะไม่พูดถึงมันก็ตาม
“นายเป็นยังไงบ้าง? รู้สึกดีขึ้นรึยัง?”หญิงสาวถามเบาๆขณะนั่งลงข้างเตียง น้ำเสียงของเธอฟังดูนุ่มนวล แต่แฝงไปด้วยความไม่สบายใจ ชายหนุ่มพยายามฝืนยิ้ม แม้จะรู้ดีว่ามันดูไม่เป็นธรรมชาติ
“ค่อนข้างดีขึ้นแล้ว...”เขาตอบด้วยเสียงที่แหบแห้ง ความเจ็บลึกทำให้ต้องหายใจยาว ก่อนกัดฟันแน่นเมื่อความปวดแผ่ซ่านขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวมองเขาด้วยสายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย
“ทำไมต้องโกหกกันด้วยหล่ะ? แค่เห็นก็รู้แล้วว่าสภาพของนายในตอนนี้ย่ำแย่อยู่แล้ว”
“ขอโทษ... ฉันแค่ไม่อยากให้เธอต้องกังวล” ชายหนุ่มพูดเบาๆ เสียงแผ่วจนแทบกลืนไปกับอากาศ เขาหลบสายตาเล็กน้อย หวังจะซ่อนความรู้สึกที่ไหววูบอยู่ในใจ—ทั้งความกังวลและความสับสนที่เริ่มกัดกินเขามากขึ้นเรื่อยๆ
หญิงสาวนั่งลงบนเตียงข้างเขา เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนเอื้อมมือไปจับมือของเขา สัมผัสอ่อนโยนนั้น ราวกับต้องการบอกให้เขารู้ว่าเธออยู่ข้างๆเขาจริงๆ
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ควรมีเกิดขึ้น หัวใจเต้นแรงโดยไม่รู้ตัว—ความทรงจำและอารมณ์ที่อาร์วินมีต่อเธอ ค่อยๆแทรกเข้ามาในจิตวิญญาณของเขา มันเป็นความรู้สึกอ่อนโยนและอบอุ่น แต่กลับทำให้เขาหวาดหวั่น
“ฉันจะอยู่ข้างนาย จนกว่านายจะดีขึ้น”หญิงสาวบีบมือเขาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและ เต็มไปด้วยความจริงใจ ชายหนุ่มฝืนยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นดูเจื่อนจางเกินกว่าจะหลอกใครได้
“ฉันไม่เป็นไรหรอก... อีกไม่นานฉันก็จะดีขึ้น”เขาพูดราวกับกำลังปลอบทั้งเธอและตัวเอง แต่ในใจลึกๆรู้ดีว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ได้เป็นของตัวเขา กำลังเติบโตขึ้นอย่างช้าๆโดยที่เขาไม่ต้องการ
หญิงสาวจ้องเขาด้วยความสงสัย แววตาของเธอเหมือนกำลังพยายามอ่านความคิดของเขา
“นายดูไม่เป็นตัวเองเลย...” เธอพึมพำเบาๆดวงตายังคงจับจ้องอย่างพินิจพิเคราะห์
ชายหนุ่มพยายามฝืนพูดออกมา แม้ความเจ็บปวดจะกัดกินทุกถ้อยคำ
“ขอโทษนะ...” เขาพูดด้วยเสียงแผ่วเบา เผลอหยุดหายใจสั้นๆ เพื่อกลั้นความเจ็บปวด
“ตอนนี้... มันยังเหมือนฝันอยู่เลย…”เขาหอบเบาๆแต่ก็พยายามพูดต่อ
“แม้แต่ตอนนี้...ก็ยังไม่อยากเชื่อ...ว่าจะหนีออกมาได้จริงๆ”เขาฝืนพูดจนจบ ก็ไอออกมาเบาๆ ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาราวกับกรีดลึกเข้าไปถึงอวัยวะภายใน แต่เขาพยายามกลั้นเสียงเอาไว้ เพื่อไม่ให้ดูอ่อนแอไปมากกว่านี้
หญิงสาวมองเขาด้วยความกังวล เธอเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปเปิดลิ้นชักข้างเตียง แล้วหยิบโพชั่นฟื้นฟูขวดเล็กออกมาแล้วยื่นให้เขา
"ดื่มนี่เถอะ มันจะช่วยให้อาการนายดีขึ้นบ้าง" เธอกล่าวเบาๆพร้อมเปิดจุกฝาขวดออก แล้วยื่นมันมาให้เขา
ชายหนุ่มรับโพชั่นมาแล้วฝืนยกมันขึ้นจิบช้าๆ ความเจ็บที่บรรเทาลงเพียงเล็กน้อยช่วยให้เขาผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง แม้จะยังเจ็บปวดอยู่ก็ตาม
หลังจากดื่มเสร็จ ชายหนุ่มสังเกตุเห็นท่าทีของเธอ ที่ยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยว่าเขาใช่คู่หมั้นของเธอจริงๆรึเปล่า เขาจึงตัดสินใจพูดเรื่องอื่นขึ้นมาเพื่อเบี่ยงประเด็น
“ขอโทษด้วยน่ะ… ครั้งนี้พวกมันเตรียมตัวมาดีจริงๆ ฉันถึงถูกพวกมันจับตัวไปซ่ะได้” ชายหนุ่มพูดขึ้น พยายามปรับน้ำเสียงให้ฟังดูปกติ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า
"มันไม่ใช่ความผิดของนาย พวกที่ลักพาตัวนายไปต่างหากที่ีผิด อย่าโทษตัวเองเลย แล้วนายรู้ไหมว่าเป็นใคร"
"ขอโทษด้วย ฉันไม่เห็นใบหน้าของพวกเขา พวกเขาปกปิดตัวตนอย่างมิดชิด ทำให้ฉันไม่รู้ว่าพวกนั้นเป็นใคร”
เขาพูดพูดโกหกด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบอย่างหน้าตาเฉย หญิงสาวตรงหน้านั้นไร้เดียงสาเกินไป เธออาจจะทำอะไรไม่ยั้งคิด แล้วทำให้ชื่อเสียงตระกูลตัวเองตกต่ำลง จนกระทบกับแผนการของเขาได้ เพราะงั้นการโกหกจึงถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
หญิงสาวกำหมัดแน่น ดวงตาของเธอลุกวาวด้วยความโกรธ “ถ้าไม่รู้ว่าเป็นใคร ก็ต้องหามันให้เจอ! ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้พวกนั้นลอยนวลไปได้แน่”
“ใจเย็นก่อน….. อย่างน้อยตอนนี้ก็ทำให้หอคอยติดหนี้พวกเราได้บ้าง นั่นจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเราในอนาคต"
หญิงสาวจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจยาวออกมา แม้จะพยักหน้ารับ แต่แววตายังเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่ลดละ
“ก็ได้… แต่ฉันจะไม่ปล่อยพวกมันไปแน่”
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น พ่อบ้านเข้ามาพร้อมกับจดหมายในมือ เขาก้มศีรษะอย่างนอบน้อม
“คุณหนู มีจดหมายมาส่งมาครับ”
หญิงสาวรับจดหมายมาอย่างรวดเร็ว เธอก้มมองซองในมืออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยแล้วเหลือบมองไปทางหน้าต่างด้วยแววตาราวกับจะขอเวลาสักครู่นึง
ชายหนุ่มรับรู้ถึงความต้องการของเธอ เขาพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมเอ่ยเสียงเรียบ
“ไปเถอะ”
หญิงสาวจึงเดินไปที่หน้าต่าง เธอเปิดซองจดหมายอย่างระมัดระวัง ก่อนค่อยๆ คลี่กระดาษออกอ่าน ใบหน้าเธอเปลี่ยนไปทันที ดวงตาฉายแววตื่นตระหนกเมื่อเห็นข้อความในจดหมาย
ชายหนุ่มจ้องมองเธออยู่เงียบๆ พร้อมกับหมุนเวียนพลังเวทย์ที่เหลืออยู่ในร่างกายเล็กน้อยเพื่อเสริมประสิทธิภาพการได้ยิน เขาตั้งสมาธิเต็ม แล้วเงี่ยหูฟังทุกถ้อยคำโดยที่หญิงสาวไม่รู้ตัว
“...บัตรเชิญไปยังสังเวียนใต้ดิน... งานเปิดตัวนักสู้ ลูกสาวของ—จอมเชือด...”
หัวใจชายหนุ่มเต้นรัวแรงขึ้น ในจังหวะนั้นเขาสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวบางอย่างภายในจิตวิญญาณของตน ราวกับพยายามจะแทรกทะลุออกมา มันพยายามครอบงำ และ ควบคุมร่างกายของเขาให้ได้ เขาจึงต้องตั้งสติ รวบรวมจิตวิญญาณที่อยู่ภายในเพื่อกดทับมันไว้
ขณะเดียวกัน ทางฝั่งของเอเลน่า
หญิงสาวจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง แววตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดระแวง และวิตกกังวล ความทรงจำในอดีตพลันหวนกลับมา—วันที่จอมเชือดบุกเข้ามา และ เกือบจะพรากชีวิตของเธอไป
หากในตอนนั้นเธอไม่ปลุกพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวขึ้นมา เธอคงไม่มีชีวิตรอดมาถึงวันนี้ แต่ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความกลัวจากวันนั้นยังคงฝังลึกอยู่ในจิตใจ ราวกับบาดแผลที่ไม่มีวันหายสนิท
เธอก้มลงมองจดหมายในมืออีกครั้งด้วยความลังเล ความเย็นจากกระดาษเหมือนซึมลึกเข้าสู่ผิว เธอกลืนน้ำลายฝืดเฝื่อน ข่มความลังเลที่ก่อตัวในใจไม่ให้ปรากฏบนใบหน้า แต่ยิ่งพยายามสงบใจเท่าไร ความหวาดกลัวกลับค่อยๆ แทรกซึมเข้ามา ความรู้สึกนั้นยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อเธอจินตนาการถึงเขา—ชายที่เคยเกือบจะคร่าชีวิตเธอในครั้งนั้น—อาจปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในงานนี้...
หญิงสาวนั่งเงียบอยู่ข้างเตียงในห้องที่มีแสงเทียนสลัวๆสั้นไหวไปตามแรงลมที่ลอดผ่านเข้ามา บรรยากาศรอบตัวราวกับหยุดนิ่ง ไม่มีเสียงใดๆนอกจากเสียงลมหายใจเบาๆระหว่างทั้งสองคนใบหน้าที่เธอคุ้นเคย แต่กลับมีบางสิ่งที่แปลกไป—บางสิ่งที่เธอไม่สามารถอธิบายได้ แต่กลับทวีความสงสัยมากขึ้นรอยยิ้มของชายหนุ่มตรงหน้า และความอ่อนโยนของเขา มักทำให้เธอเคยรู้สึกปลอดภัยเสมอ แต่ครั้งนี้... เธอเริ่มสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ต่างไปมันอาจเป็นเพียงความเครียดจากสถานการณ์รอบตัวหรือความเหนื่อยล้าที่สะสมตลอดเวลาที่ผ่านมา ใบหน้าของเขายังคงเหมือนเดิมทุกประการ ยกเว้นเพียงสีของดวงตาที่แปลกไป ซึ่งคล้ายกับของใครบางคนที่เธอรู้จักเธอถอนหายใจเบาๆ พลางบีบจดหมายในมือแน่นขึ้น ภาพเหตุการณ์นั้นยังคงแจ่มชัดในหัวเธอ เลือดที่หลั่งไหล และ เสียงฝีเท้าของผู้ไล่ล่าเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจลืมได้การได้เจอกับคู่หมั้นของเธออีกครั้ง ก็เกือบจะเป็นความหวังที่เธอแทบจะถอดใจไปแล้ว แค่ได้อยู่ใกล้เขา เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองได้รับการปกป้อง แม้กระทั่งในยามนี้ที่ทุกอย่างรอบตัวดูสับสน วุ่นวาย การที่มีเขาอยู่ ก็ช่วยคลายความกังวลในใจของเธอได้พอสมควรเธอสูดห
ชายหนุ่มเดินไปที่ตู้สมุนไพรใกล้ๆ ค้นหาเครื่องหอมสมุนไพรที่คิดว่าน่าจะมีอยู่ที่นี้ เป็นผลิตภัณฑ์พิเศษที่องค์กรของเขาทำขาย เครื่องหอมธรรมดาที่ดูไม่ต่างจากของใช้ทั่วไป แต่กลับซ่อนคุณสมบัติพิเศษเอาไว้ มันมีส่วนผสมของสมุนไพรสองชนิดที่ออกฤทธิ์ต่างกันชนิดหนึ่งช่วยให้ง่วงนอน ส่วนอีกชนิดกระตุ้นให้เกิดอาการหลับลึกมากขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพถูกปรับลดลงด้วยสมุนไพรหลายชนิด ที่ผสมให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในการนอนหลับที่ไม่สงบ ซึ่งในขั้นตอนนี้เขาต้องแยกเอาส่วนที่ไม่ต้องการออก เหลือไว้เฉพาะเพียงสองชนิด เพื่อไม่ให้เครื่องหอมมีกลิ่นที่แปลกไปหลังจากที่แยกสมุนไพรทั้งหมดออกจากกัน เขาจึงค่อยๆบดสมุนไพรสองชนิดเข้าด้วยกัน จากนั้นก็เทส่วนผสมกลับเข้าไปในถุงใหม่ที่ยังไม่ถูกแกะออก เท่านี้ฤทธิ์ของมันจะมากขึ้นกว่าปกติ แต่กลิ่นยังคงเดิม ทำให้ยากที่ใครจะจับได้จากนั้นเขาก็นำมันกลับไปวางไว้ที่ตู้สมุนไพรเหมือนเดิม เครื่องหอมถูกจัดเตรียมเรียบร้อย เขาหยิบสมุนไพรส่วนที่เหลือ กินมันเข้าไปเพื่อยับยั้งฤทธิ์การหลับลึก เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองได้รับผลจากมันไปด้วยเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ชายหนุ่มจึงกลับไปนอนลงบนเตี
ชายผิวสีเดินลึกเข้าไปในเขตตอนใต้ของเมือง เขาใช้ผ้าคลุมศีรษะให้มิดชิดเพื่อซ่อนใบหน้า ดวงตาคมกวาดมองรอบๆอย่างระมัดระวัง แสงไฟจากร้านค้าและแสงเทียนสลัวๆ ตามตรอกซอยสะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศที่มืดมน ราวกับโลกอีกใบที่ซ่อนตัวอยู่ภายในเมืองอันศิวิไลซ์ถนนเต็มไปด้วยฝุ่นคละคลุ้ง กลิ่นเหม็นอับจากของไม่พึงประสงค์วางเรียงรายอยู่ในแผงลอย เหล่าพ่อค้าแม่ค้ากำลังลักลอบขายของต้องห้ามอย่างลับๆ เสียงการเจรจาต่อรองดังขึ้นเป็นระยะ เติมเต็มบรรยากาศแห่งนี้ไปด้วยความรู้สึกไม่ชอบมาพากล แต่สำหรับที่นี้ มันเป็นเรื่องปกติชายผิวสีแทรกตัวเข้าไปในฝูงชนอย่างแนบเนียน ลัดเลาะผ่านตรอกซอยที่สลับซับซ้อนจนกระทั่งมาถึงร้านขายของจิปาถะที่ดูธรรมดาแห่งหนึ่ง มันเหมือนร้านทั่วๆไป แต่นี่เป็นเพียงฉากบังหน้าเท่านั้น ภายในที่แห่งนี้ มีโลกอีกใบซ่อนอยู่เมื่อเดินเข้ามา กลิ่นธูปหอมอ่อนๆลอยตลบอบอวลไปทั่วร้าน บนชั้นวางสินค้าถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ มีผลิตภัณฑ์มากมายที่องค์กรผลิตขึ้น วางปะปนอยู่กับสินค้าประเภทอื่นๆ สินค้าพวกนี้มีราคาย่อมเยาและใช้งานได้จริง ทำให้มีอยู่ในบ้านเรือนของผู้คนเป็นจำนวนมาก จึงกลายเป็นเหตุผลให้เขาสามารถหาของใ
ชายร่างสูงใหญ่เดินผ่านทางเดินยาวที่ปกคลุมด้วยความเงียบสงัดของพื้นที่ บรรยากาศภายในบริเวณนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายทรงพลังที่ทั้งหนักอึ้งและน่าเกรงขาม เขาหยุดชั่วครู่หน้าประตูบานใหญ่ของห้องผู้นำองกรณ์ บานประตูไม้สลักลวดลายละเอียดอ่อนแสดงถึงอำนาจและบทบาทสำคัญของเจ้าของห้องในขณะที่เขาก้าวผ่านหน้าประตู ความรู้สึกหนึ่งแผ่ซ่านไปทั่วร่าง คล้ายมีสายตาจับจ้องจากอีกมิติ พลังจากดันเจี้ยนแห่งนี้ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงการเฝ้ามองของเจ้าของที่นี้อย่างชัดเจน แม้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริงๆก็ตาม"ดูเหมือนเธอมีเรื่องที่จะพูดด้วย แต่ก็ลังเลที่จะถามสิน่ะ" เขาคิดในใจ สายตาสีแดงฉานของเขาหันไปมองบานประตูอย่างครุ่นคิด ก่อนที่จะส่ายหัวเบาๆผู้นำของสถานที่แห่งนี้ เป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง เธอเป็นลูกสาวของอดีตผู้นำองกรณ์อาชกรรมขนาดใหญ่ในเมือง แต่ถูกเขาทำลายลงไปเมื่อหลายปีก่อน ในตอนนั้นเธอยังเยาว์วัย แถมยังเป็นลูกของโสเภณีที่องกรณ์จับตัวมาอีก ทำให้เธอมักจะถูกรังแก และ กลั่นแกล้งดูหมิ่นเสมอเธอที่ผ่านความยากลำบากในชีวิตแต่ล่ะวัน ก็ได้มาพบกับเขาในร่างของจอมเชือด ในตอนแรกเธอร้องขอที่จะติดตามเขา แต่ตัวเขาในตอนนั้นปฏิเสธ ไม่อยาก
หญิงสาวเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมสีม่วงอมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้ในสถานที่แห่งนี้ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ทำให้เธอรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวทุกอย่างของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอเรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของมือสังหาร จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มานานแล้ว แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากเขาโดยตรงเธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับเรื่องราวนั้น หนักเกินกว่าจะเล่าออกมาดวงตาสีชมพูอ่อนสะท้อนแสงจากโคมไฟ หญิงสาวนั่งนิ่งราวกับกำลังขบคิดอะไรบาง แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ อยากให้ชายหนุ่มเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเธอ แต่เธอก็รู้ดี เขาก็ยังเป็นตัวเขา—คนที่เลือกจะแบกรับทุกอย่างไว้เพียงลำพัง ไม่ยอมพึ่ง
คลินิกตรงหน้าตั้งอยู่ห่างจากเขตใจกลางเมืองเล็กน้อย ตัวอาคารหินสีซีด ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึก หน้าต่างกระจกสีชั้นล่างสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไป ลวดลายบนกระจกดูเหมือนจะพร่ามัวในแสงสลัว สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยจำนวนนึงยามตีสี่ ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ ความเงียบรอบตัวแทบจะทำให้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วงกระทบพื้น ร่างสูงใหญ่ยืนพิงกำแพงใต้ร่มเงาตรงข้ามกับสถานที่ ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยังหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท เป็นสถานที่ทำงานของเจ้าของสถานที่แห่งนั้น แต่ในยามนี้ ไม่มีแสงไฟส่องลอดออกมา“ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่…” เขาพึมพำเสียงเบา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงนั้นแทบชัดเจนในสายลม เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียง กระโดดขึ้นเกาะขอบหน้าต่างชั้นสอง เสียงลมแผ่วเบาและใบไม้ไหวกลบการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาสีแดงสังเกตการณ์ในห้องอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าไม่มีใครอยู่เมื่อแน่ใจแล้ว เขาดึงจดหมายจากกระเป๋าออกมา มันเป็นเศษกระดาษที่เขาเก็บได้แถวนี้ จดหมายนั้นเขียนด้วยลายมือเร่งรีบ เนื้อความสั้นๆระบุเพียงเวลาและสถานที่ ไม่ได้บอกถึงความต้
ก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อนชายที่เขาช่วยเหลือไว้สวมชุดแปลกๆราวกับมาจากอีกทวีป ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาว ภาษาที่ใช้ ก็ดูเหมือนจะถูกๆผิดๆแต่กลับเต็มไปด้วยสำบัดสำนวนมากมายราวกับจงใจชายคนนั้นอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เขาจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีของคนอื่นมาด้วยเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวันแทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยไปให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าเป็นศาสตร์ลับในดินแดนของตน หนังสือเล่มนี้บันทึกเกี่ยวกับวิธีการปกปิด และ ซ่อนเร้น โดยใช้พลังที่ผสานระหว่างธรรมชาติและเจตจำนงในตอนแรก เขารับหนังสือเ
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆกลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับอยากกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันจนเธอไม่อยากจะลุกออกจากเตียงเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งพิงหลับอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าสงบนิ่งภายใต้เงามืด เส้นผมสีทองของเขาสว่างไสวเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เผยให้เห็นอีกด้านนึงที่เธอคุ้นเคย—ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนอะไรบางอย่างก่อนหน้านี้ ทำให้เธอโล่งใจขึ้นเล็กน้อย “อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อออกมาเบาๆเหมือนจะยืนยันการมีตัวตนอยู่ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อพึ่งรู้สึกตัวว่า ตัวเองนอนอยู่บนเตียงของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย ขณะที่พยายามเรียกความทรงจำที่เลือนรางกลับคืนมาภาพเหตุการณ์เมื่อคืนผุดขึ้นในความทรงจำ จำได้ว่าเธอ และ เพื่อนพูดคุยเกี่ยวกับข่าวลือเรื่องของรางวัลในการทดสอบที่
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่
โพรงหินขนาดมหึมาขยายตัวออกเป็นชั้น ๆ ลดหลั่นลงไปในความมืด เสาหินโบราณตั้งเรียงรายตามระเบียงทางเดินสูงต่ำ ราวกับขั้นบันไดแห่งอารยธรรมที่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาแต่แทนที่สถานที่แห่งนี้จะเป็นเพียงซากโบราณสถานที่รกร้าง กลับมีเหล็กกล้าสนิมเขรอะ ปราการคุมขัง และกรงเหล็กที่แขวนห้อยอยู่ตามแนวผนัง บ่งบอกว่ามันได้ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นคุกใต้ดินอันโหดร้ายและในตอนนี้—มันเป็นเพียงซากปรักหักพังที่เปรอะไปด้วยเลือดเสียงฝีเท้าก้องสะท้อนจากกำแพงหินขรุขระ ขณะที่เหล่าผู้ช่วยเหลือนำกลุ่มทาสเด็กที่รอดชีวิตฝ่าความเงียบสงัดออกไปจากสถานที่แห่งนี้ เปลวไฟริบหรี่สาดเงาทอดยาวไปตามพื้นหินที่เต็มไปด้วยรอยแตกและคราบสีแดงฉาน"อย่าหันไปมองรอบๆ มุ่งหน้าต่อไป" เสียงกระซิบดังขึ้นเป็นระยะๆจากเหล่าผู้นำทางเด็กหลายคนก้มหน้าลง มองเพียงเงาของตัวเองที่ทอดยาวบนพื้นหินเย็นเยียบ แต่ความอยากรู้อยากเห็น และกลิ่นเลือดคาวคลุ้งที่อบอวล ทำให้บางคนอดไม่ได้ที่จะเหลือบตาไปมองรอบด้านร่างของผู้คุมถูกแขวนคว่ำอยู่กับเสาหิน ศพของพวกเขาถูกแทงทะลุด้วยหอกและดาบ บางร่างถูกทิ้งกระจัดกระจายอยู่บนบันไดหินที่ทอดยาวลงไปสู่ระดับลึกกว่า เลือดไหลเป็นทา
เสียงฝีเท้าของผู้คุมหยุดชะงักกะทันหัน ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่เพียงชั่วพริบตาแล้วร่างนั้นก็พุ่งผ่านเธอไปรวดเร็วเกินกว่าสายตาจะมองทัน—ราวกับสายลมสีดำที่พัดผ่านไปเงียบงันเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นก่อนเด็กสาวจะทันหันไปมอง ขวานสีทองตวัดฟาดลงอย่างไร้ความลังเล เสียงเนื้อฉีกสะท้อนก้องในอากาศ ลำคอของชายคนแรกถูกกรีดขาดสะบั้น เลือดพุ่งเป็นสายสาดกระเซ็นลงบนกำแพงหินเย็นเฉียบ ก่อนร่างนั้นจะทรุดลงราวกับหุ่นเชิดที่ขาดด้าย ร่างนั้นปรากฏตัวกลางวงศัตรู ราวกับปีศาจที่โผล่ออกมาจากความมืดเหล่าผู้คุมที่เหลือแข็งค้าง—ลมหายใจขาดห้วงในอก พวกมันพึ่งเริ่มตระหนักถึงภัยที่กำลังกลืนกินแต่ไม่ทันแล้วชายสองคนที่อยู่ใกล้สุดตั้งสติได้ก่อน เงื้อดาบหมายจะสังหาร ทว่าเสียงโลหะเฉือนเนื้อดังกึกก้องก่อนที่พวกมันจะฟันลง ขวานสีทองพุ่งเป็นแนวเฉียง ตัดทะลุร่างทั้งสอง รอยแผลฉีกลึกถึงกระดูก เลือดร้อนๆ กระเซ็นเปรอะเต็มพื้นหินเสียงร่ายมนตร์ดังขึ้นจากพวกด้านหลัง—แต่เขาเร็วกว่าพวกมันขวานถูกเหวี่ยงออกไปด้วยพลังและความแม่นยำ ปักเข้ากลางอกของนักเวทย์คนหนึ่งเต็มแรง เสียงเนื้อฉีกกระชากดังก้องในอากาศ ร่างนั้นทรุดลง มือขาวซีดสั่
เมื่อเรือเดินทางมาถึงชายฝั่ง เธอถูกส่งตัวไปยังสถานที่ที่เรียกว่า "ตลาดทาส" ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นสถานกักกันที่มืดมิดและสกปรก เด็กๆ ถูกแบ่งแยกออกเป็นกลุ่มตามอายุและรูปลักษณ์ เด็กสาวถูกประเมินเหมือนสิ่งของ มีการตรวจสอบรูปร่าง ผิวพรรณ และความบริสุทธิ์เธอถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเด็กสาวอายุ 8-12 ปีที่ยัง "บริสุทธิ์" พวกมันบอกว่าเด็กกลุ่มนี้มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดทาส เพราะสามารถขายให้กับคนร่ำรวยที่ต้องการเด็กสำหรับงานรับใช้ หรือในบางกรณี…สำหรับความต้องการที่เลวร้ายกว่าเธอต้องทำงานหนักทุกวัน ล้างจาน ขัดพื้น และทำความสะอาดห้องขังของตัวเองและคนอื่นๆ อาหารที่ได้รับมีเพียงขนมปังแข็งและน้ำเปล่า เสียงคร่ำครวญแผ่วเบาจากกรงขังข้างๆ ดังขึ้นตลอดเวลา เด็กคนอื่นๆ ในคุกนี้ต่างมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง บางคนถึงกับซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ร่างกายของพวกเขาผอมแห้งจนดูเหมือนเงาของตัวเอง สายตาที่เคยแวววาวนั้นมืดมิด ราวกับดวงตาเหล่านั้นตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงเธอเองก็รู้สึกถึงความกลัวที่แทรกซึมอยู่ในทุกวินาทีของการมีชีวิตที่นี่ ข่าวลือที่ได้ยินมาเกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งที่เคยพยายามหลบหนีแต่ถูกจับได้ยังคงวนเวี
ห้องทำงานของโจชัวยังคงเต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด แสงจากโคมไฟด้านบนส่องวูบไหวไปตามผนังห้องที่เรียงรายด้วยชั้นหนังสือสูงตระหง่าน เงาของเฟอร์นิเจอร์ทอดยาวอย่างบิดเบี้ยว ราวกับมีบางสิ่งกำลังคืบคลานในความมืดโจชัวยืนพิงโต๊ะทำงาน มือข้างหนึ่งกำปากกาแน่นจนปลายเล็บซีดขาว ส่วนอีกข้างวางทับลงบนหนังสือเวทมนตร์เก่าๆที่เปิดค้างไว้ หน้าเอกสารเต็มไปด้วยสัญลักษณ์และสูตรเวทที่ซับซ้อนซึ่งสะท้อนแสงแวววาวตรงหน้าของเขา—ชายวัยกลางคน ผิวสีแทน ผมสีเทา ดวงตาสีแดงฉาน กำลังยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงัน เรย์นาร์ค ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนมาก่อน ราวกับเงาที่โผล่จากความมืด ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มขุนนาง แต่พริบตาเดียวก็เปลี่ยนกลับมาเป็นรูปลักษณ์ที่เขาเคยเจอในอดีตโจชัวมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจแต่ก็ยังคงระแวดระวัง"นี่มันอะไรกัน? รูปลักษณ์ก่อนหน้านี้คืออะไร? คุณเปลี่ยนร่างได้งั้นเหรอ?"เรย์นาร์คไม่ได้ตอบในทันที เขาเพียงมองมา สายตาของเขาเยือกเย็นแต่แฝงไปด้วยแรงกดดันที่หนักอึ้ง ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะดังขึ้น"ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อตอบคำถามของนาย"น้ำเสียงเรียบเฉยของเขาเหมือนมือที่กดลงบนไห
โจชัวถือถาดที่วางชาและขนมอบสดใหม่ เขาก้าวเข้ามาในห้องพยาบาลอย่างเงียบเชียบ ภายในห้องนั้นมีเพียงอาร์วินและไอลีนที่กำลังรออยู่ อาร์วินนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ริมเตียง ท่าทีเฉยชา แต่นัยน์ตาของเขาดูคมกริบราวกับจับสังเกตทุกสิ่งรอบตัว ในขณะที่ไอลีนยังคงรักษามารยาทสมบูรณ์แบบ นั่งหลังตรง มือวางบนตักอย่างสง่างาม"ชาร้อนและขนมอบสดใหม่ครับ" โจชัวกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ ก่อนจะวางถาดลงบนโต๊ะเล็กๆ ตรงกลางห้อง"ผมโจชัว เป็นหมอเวทย์ที่นี่ ยินดีที่ได้พบ" เขากล่าวแนะนำตัว ก่อนหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งข้างไอลีน "แล้วคุณคือ...?"อาร์วินสบตาเขาด้วยแววตาเรียบเฉย ก่อนตอบเสียงเรียบ "ขอผมแนะนำตัว อาร์วิน แคร์นัส ส่วนนี้ไอลีน ตอนนี้น่าจะกำลังคุ้มกันผมอยู่""น่าจะ อะไรของนาย" ไอลีนหันไปแย้งเบาๆ ก่อนจะยิ้มสุภาพ แต่ดวงตายังคงแฝงความระแวงเล็กน้อย"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณโจชัว ฉันเป็นนักเวทย์ฝึกหัดของตระกูลวัลธอเรน และกำลังให้การคุ้มครองเขาอยู่ค่ะ""ยินดีเช่นกันครับ คุณไอลีน" โจชัวตอบรับ ก่อนที่สายตาของเขาจะเหลือบมองไปยังอาร์วิน ซึ่งกำลังหยิบขนมขึ้นมากัดโดยไม่ลังเลขนมที่ดูปกติกลับมีรสขมจัด แต่ชายหนุ่มกลับกินมันได้อ
"นายจะพาฉันไปไหนเนี่ย?" หญิงสาวถามขึ้น ขณะที่พวกเขาเลี้ยวเข้าตรอกซอยแคบๆแห่งหนึ่ง กลิ่นอายของความวุ่นวายในย่านนี้ ทำให้เธอรู้สึกตื่นตัวมากขึ้น"ฉันไม่ได้พาเธอ เธอตามฉันมาเอง" ชายหนุ่มที่เดินนำหน้าตอบเสียงห้วนๆ แต่ยังไม่หยุดเดิน เขาไม่แม้จะหันมามองด้วยซ้ำก่อนหน้านี้ เขาเคยเป็นคนที่พูดจานุ่มนวล สุภาพ และมีมารยาทเสมอเมื่ออยู่ใกล้เธอ แต่ทุกสิ่งที่เธอรู้จักเกี่ยวกับตัวเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อคมมีดหันมาจ่อที่ตาของเธอ เธอแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คืออาร์วินคนเดิมที่เธอเคยรู้จักแววตาของเขาที่ซ่อนอยู่ใต้เลนส์แว่นสีน้ำตาลอมแดง เต็มไปด้วยความระมัดระวัง เหมือนกับเด็กน้อยที่พึ่งออกจากบ้านเป็นครั้งแรก มันเป็นสายตาที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกถึงความแปลกใจอย่างชัดเจนเธอมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ในขณะที่เขาก้าวเดินอย่างชำนาญ แต่ทุกย่างก้าวกลับเต็มไปด้วยความระแวง เขามองไปรอบตัวเหมือนกับคนที่กำลังหลบหนี หรือไม่ก็เหมือนคนที่สูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป เธอเริ่มสงสัยว่าเขากำลังกลัวอะไรอยู่ หรืออาจจะเป็นเพราะเขาสูญเสียวงแหวนเวทมนตร์ไป ทำให้ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ เลยต้องระวังตัวเป็นพิเศษหญิงสาวหยุดชะงักเมื่ออาร์วินหย
ชายหนุ่มเดินลึกเข้าไปในแนวป่าจนถึงเขตเมือง กลิ่นอายของผู้คนเริ่มแตะจมูกของเธอที่แอบตามมาเงียบๆ เสียงพูดคุยและความเคลื่อนไหวของตลาดกลางคืนแว่วเข้ามา เธอหยุดอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์เขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะเลี้ยวเข้าไปในตรอกแคบระหว่างร้านค้าเล็กๆ“ทำไมต้องแอบมาเข้าเมืองมาในเวลานี้ด้วย น่าสงสัยจริงๆ…” หญิงสาวคิดในใจ ก่อนปรับผ้าคลุมไหล่ให้กระชับและเริ่มตามเขาเข้าไปในตรอกที่ดูคับแคบและอับทึบ มีกลิ่นอับของความชื้นผสมกับกลิ่นไม้เก่าจากกำแพงร้านค้าหญิงสาวที่กวาดสายตาเหลือบมองไปรอบข้าง ก่อนที่จะเห็นเงาของเขาเลี้ยวหายเข้าไปในซอยเล็กๆ เธอเห็นดังนั้น จึบรีบเร่งก้าวตามโดยไม่ลดความระมัดระวัง แต่เมื่อพ้นมุมซอยเข้าไป ร่างสูงของชายหนุ่มก็พุ่งพรวดเข้ามามาจากมุมที่เขาเข้าไป ชายหนุ่มเคลื่อนตัวรวดเร็วจนเธอไม่ทันตั้งตัว เธอถูกผลักชนเข้าติดกับกำแพงผนังด้านหลัง“อึก—!” เสียงร้องสั้นกระชับของเธอดังขึ้นในความเงียบ คทาในมือถูกปัดกระเด็นไปด้วยแรงที่เหนือชั้น ตัวเธอแข็งทื่อเหมือนถูกแช่แข็ง ลมหายใจที่เคยสม่ำเสมอหยุดชะงักทันที ปลายมีดเย็นเฉียบจ่ออยู่ห่างจากดวงตาของเธอเพียงเส้นขน ความหวาดกลัวที่ท่วมท้นทำ