เสียงนกร้องแว่วเบาๆในสวนยามเช้าจากที่ไกลๆ แสงแดดอ่อนๆเริ่มทอประกายบนยอดไม้ แต่ความเงียบสงบกลับตัดกับภาพของชายหนุ่มที่ถูกจับตรึงไว้กับพื้น ใบไม้สั่นไหวตามแรงลมแรงที่เคยเกิดขึ้น ทว่าบรรยากาศโดยภายในกลับขัดแย้งกับสภาพอากาศโดยรอบ
เมื่อเอเลน่าพยามวิ่งเข้ามาเพื่อดูอาการของเอรอส หนึ่งในจอมเวทย์อาวุโสขวางทางเอเลน่าเอาไว้ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เอรอสด้วยสายตาเคร่งขรึม มุมปากกระตุกเบาๆ สายตานั้นเต็มไปด้วยความระมัดระวัง แววตายังคงลังเลกับใส่สิ่งที่เห็น ก่อนจะหันไปพูดกับเอเลน่าที่อยู่ตรงหน้า
"ท่านเอเลน่า เรายังไม่อาจเชื่อว่าเป็นคนเดียวกับที่ท่านรู้จัก จนกว่าจะพิสูจน์ให้แน่ชัด…" เสียงนั้นเย็นชาและเด็ดขาด
เอเลน่าชะงักไปชั่วครู่ เธอกลืนน้ำลายลงคอแล้วปรับสีหน้าจากความอ่อนโยนเป็นเยือกเย็น ริมฝีปากบิดเป็นรอยยิ้มเล็กๆด้วยความเสแสร้ง
"นี่คือวิธีที่พวกคุณปฏิบัติต่อคู่หมั้นของฉันหรอ?"เธอกล่าวอย่างเด็ดขาด แววตามุ่งมั่นแสดงถึงการตัดสินใจที่จะไม่ยอมอ่อนข้อใดๆ
ชายทั้งสามคนสบตากันอย่างลังเล ในที่สุดลูกน้องของเขา ก็ยอมปล่อยเอรอสจากการจับกุม เอรอสพยายามลุกแต่ แต่ด้วยสภาพของร่างกายนี้ทำให้เขาร่วงลงไปกับพื้นอีกรอบ ทำให้เอเลน่ารีบเข้าไปประคองร่างชายหนุ่มขึ้นมา เขาทรุดลงกับเธออย่างอ่อนแรง ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผล ทำให้เขาส่งเสียงครางไปด้วยความเจ็บปวดเบาๆ
"เกิดอะไรขึ้นกับนาย?" เอเลน่าถามเบาๆ แววตาเธอเต็มไปด้วยความห่วงใย
เอรอสในร่างอาร์วินแสร้งยิ้มอย่างอ่อนแรง
"มันค่อนข้างยากที่จะพูดในตอนนี้..." เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหวเล็กน้อย ทำให้ดูเหมือนว่าความเจ็บปวด และ ความเหนื่อยล้าได้พรากเรี่ยวแรงไปหมด
แต่ในขณะที่เอเลน่ามองไปที่เขา เธอก็สะดุดกับดวงตาของเขาที่ผิดแปลกไปจากเดิม
"ทำไมดวงตาของนายถึงเป็นสีเทา?" เอเลน่าถามด้วยความสับสน เธอจำได้ว่าอาร์วินมีดวงตาสีน้ำเงินเข้มเสมอ และสีของดวงตานี้ ยังคล้ายกับคนที่เธอเคยรู้จัก และ ไม่อยากนึกถึง
"นั่นแหละ" หนึ่งในจอมเวทย์อาวุโสฉวยโอกาส
"เขาอาจจะไม่ใช่ท่านอาร์วิน อาจเป็นตัวปลอมก็ได้"
เอเลน่าชะงักไป ใจเธอสั่นคลอนกับความคิดนี้ แต่เมื่อมองชายตรงหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลและความเหนื่อยล้า เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสาร เอรอสรีบคว้าช่วงเวลาแห่งความลังเลนั้น
"ผมถูกลักพาตัวไปขังไว้ในคุกที่พวกท่านแอบซ่อนไว้!" เขาหอบหายใจ พยายามทำให้เสียงของเขาสั่นอย่างจงใจ
"พวกมันทรมานผมจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่โชคดีที่ประตูแห่งการทดสอบถูกเปิดออก ผมถึงได้ผ่านมันมา และได้รับความช่วยเหลือจนหนีออกมาได้..." เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาสั่นเครือ ราวกับบาดแผลที่เกือบคร่าชีวิตยังคงฝังลึก ทว่าในแววตากลับมีรอยยิ้มบิดเบี้ยวซ่อนเร้น มองผู้อาวุโสทั้งสองด้วยสายตาอันเต็มไปด้วยความขมขื่น
"แล้วทำไมพวกท่านถึงยังกล้าสงสัยผม ในเมื่อผมถูกขังอยู่ในคุกของพวกท่านจนแทบเน่าตาย โดยที่ไม่มีใครแม้แต่จะรับรู้!" เขาตะโกนใส่ทั้งคู่ด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด แม้ร่างกายจะสั่นสะท้านจากบาดแผลและความอ่อนล้าที่แทรกซึมลึก เขารู้ว่าตัวเองทุ่มสุดแรงเพื่อแสดงในครั้งนี้ กระทั่งเมื่อความเจ็บปวดในช่องอกทะลักออกมาเป็นเลือดคำหนึ่ง เขาก็เพียงฝืนยืนตัวตรง รักษาท่าทีดุดันไม่ให้สั่นไหว หวังเพียงให้พวกเขารับรู้ถึงบาดแผลและความสิ้นหวังที่เขาต้องเผชิญ
เอเลน่ายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง มองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้า ความสับสน และ สงสัยแฝงอยู่ในแววตา ดวงตาสีเทานั้นดูผิดแปลกไปจากที่เธอเคยรู้จัก มันทำให้เธอไม่อาจแน่ใจว่าเขาเป็นคนเดียวกับคู่หมั้นของเธอจริงๆ แต่เมื่อเห็นบาดแผลที่ทารุณบนร่างของเขา เธอก็ห้ามใจตัวเองไม่ให้ลังเล และ ตัดสินใจอย่างแน่วแน่
"เราจะกลับคฤหาสน์ หวังว่าพวกท่านคงไม่มีข้อโต้แย้ง?"เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ขณะมองจอมเวทย์อาวุโสทั้งสามด้วยสายตาท้าทาย ก่อนจะค่อยๆประคองร่างเอรอสขึ้นมา ชายทั้งสามได้แต่มองสบตากันอย่างขัดใจ แต่ไม่มีใครกล้าขัดขวางเธอ
ถึงแม้ใบหน้าของเอเลน่าจะดูมั่นคงแน่วแน่ แต่ภายในใจยังคงเต็มไปด้วยความว้าวุ่น และข้อสงสัย ดวงตาสีเทาของเอรอสทำให้เธอนึกถึงใครบางคนที่เธอพยายามลืม แต่เธอก็เลือกที่จะเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการรักษาชีวิตของเขา ก่อนที่บาดแผลจะย่ำแย่ลงไปกว่านี้
เธอพยุงร่างอ่อนแรงของเอรอสขึ้นอย่างระมัดระวัง ขณะที่พาเขาค่อยๆเดินห่างจากชายทั้งสาม ผู้อาวุโสได้แต่ยืนมองอย่างขัดใจ
เมื่อออกจากสายตาพวกเขาไป เอรอสแสยะยิ้มบางๆ ที่ซ่อนอยู่ใต้ความเหนื่อยล้า ทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามแผนที่เขาวางไว้ แม้จะเรื่องเหนือความคาดหมายเขาอยู่บ้างก็ตาม
หลังจากที่เอเลน่าพยุงเอรอสจนลับสายตาไป บรรยากาศเงียบสงบของเช้าตรู่ใกล้แปดโมงก็กลับคืนมาอีกครั้ง แสงแดดอ่อนสาดส่องผ่านหมอกที่ยังคลอเคลียอยู่รอบต้นไม้ใหญ่ เงาเคลื่อนไหวไปตามจังหวะลม ราวกับจะซ่อนบางสิ่งไว้ในความเงียบสงัดนั้น จอมเวทย์อาวุโสทั้งสองยืนนิ่งท่ามกลางแสงเช้าที่ค่อยๆเจิดจ้า มองหน้ากันด้วยสีหน้าสับสน แววตาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
"เป็นไปได้ยังไง?" จอมเวทย์คนแรกเอ่ยขึ้น ขมวดคิ้วแน่นพลางจับมือตัวเองเบาๆ ราวกับพยายามควบคุมความสงสัยที่คุกรุ่นอยู่ภายใน
"ข้าตรวจสอบพลังเวทย์ของมันแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติที่จะบอกว่ามันเป็นตัวปลอม"
อีกคนพยักหน้าอย่างหนักใจ พลางถอนหายใจออกมาเงียบๆแสงแดดส่องกระทบใบหน้าที่มีริ้วรอยแสดงความกังวลชัดเจน ดวงตาเหลือบมองไปยังทิศทางที่เอเลน่าและเอรอสเพิ่งหายไป น้ำเสียงที่เขาพูดเบาๆ แต่หนักแน่น
"ข้าก็คิดเช่นนั้น... หากมันหนีไปได้โดยเราไม่ทันเห็น... หรือไม่ก็..."เขาหยุดไปครู่หนึ่ง คำพูดขาดหายกลางคัน ราวกับบางสิ่งทำให้ต้องหยุดคิดใหม่อีกครั้ง แววตาฉายแววหวาดระแวง
"เราอาจพลาดอะไรบางอย่างงั้นหรือ?" จอมเวทย์คนแรกกล่าวเสียงเครียดหนัก ขมวดคิ้วลึกจนเห็นชัด สายตาครุ่นคิดแต่ก็ยังมีความไม่สบายใจฉายอยู่
"เป็นไปไม่ได้" เขาพึมพำ แต่สายตากลับจ้องไปทางเอเลน่าจากไปอย่างไร้ความมั่นใจ "พวกเราตรวจสอบแล้วว่ามีร่องรอยของคนๆ เดียวที่ออกไป" แม้คำพูดจะแน่วแน่ แต่ความสงสัยยังคงวาบในดวงตา
"หรือว่ามันจะใช้สิ่งของที่ได้รับจากแม่มดในการหลบหนี โดยที่เราไม่สังเกตเห็น?" คำพูดนี้ทำให้บรรยากาศรอบตัวหนักอึ้งยิ่งขึ้น ราวกับเงามืดบางอย่างแฝงอยู่ใต้แสงแดดที่กำลังทอแสงอ่อนๆ
จอมเวทย์คนที่กล่าวถึงความสงสัยนี้ ถอนหายใจเงียบๆ พร้อมกับกระชับผ้าคลุมให้แน่นขึ้น น้ำเสียงที่ตอบออกมาเต็มไปด้วยความลึกลับและแฝงด้วยความไม่แน่ใจ
"เป็นไปไม่ได้—ไม่เคยมีใครผ่านการทดสอบพร้อมกันมาก่อน"
“วงเวทย์เข้าเขตแดนหายไปแล้ว นี่เป็นหลักฐานชัดเจนว่าการทดสอบได้สิ้นสุดลง...” จอมเวทย์คนแรกกล่าวพลางสูดหายใจลึก ราวกับพยายามรวบรวมความคิดให้มั่นคง แต่แววตาไหววูบ
“และแม้ว่าจะไม่อยากจะยอมรับ...แต่ก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ทรงพลังแฝงอยู่ในตัวมัน” น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่หนักแน่น สายตาเหม่อมองไกลออกไปขณะที่นิ้วมือกำเข้าหากันแน่น
อีกคนได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกระชับผ้าคลุมแน่นขึ้นเล็กน้อย สีหน้าฉายแววสงสัยระคนกังวล
“หรือบางที...มันอาจยังซ่อนตัวอยู่ในคุกของเราก็เป็นได้” เขาพูดออกมาแผ่วเบา ราวกับคำพูดนั้นทำให้เขาหนักอึ้งกว่าเดิม
คำพูดของจอมเวทย์อาวุโสทำให้บรรยากาศรอบตัวพวกเขาดูเงียบงันยิ่งขึ้น ทุกสิ่งดูเหมือนจะหยุดนิ่ง สายตาของเขาไล่ไปตามเงาที่ทอดตัวบนพื้น ราวกับพยายามมองหาบางสิ่งที่อาจแฝงตัวอยู่ในอากาศว่างเปล่า ใบหน้าที่เคยเคร่งขรึมบัดนี้เริ่มเผยร่องรอยความกลัวที่ปิดบังเอาไว้ไม่มิด
“เราต้องตรวจสอบทุกอย่างให้แน่ใจ” จอมเวทย์คนแรกกล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ขึ้น ดวงตายังคงเต็มไปด้วยความกังวลลึกๆ ที่ยากจะปิดบัง
“หากมีใครซ่อนตัวอยู่ในคุกนั้นจริงๆ เราต้องจับมันให้ได้”
"ข้าจะรายงานเรื่องนี้กับท่านผู้นำทันที" อีกคนตอบรับด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด ขณะที่เขากวาดตามองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง ราวกับกลัวว่าจะมีใครซ่อนตัวอยู่ในเงามืดและกำลังลอบฟัง
ทั้งคู่ต่างไม่พูดอะไรต่อ พวกเขาพยักหน้าให้กันเป็นสัญญาณก่อนจะหันหลัง เดินไปในทิศทางที่ต่างกัน ทิ้งไว้เพียงเสียงฝีเท้าเงียบๆ ที่ค่อยๆ ห่างออกไปในอากาศเช้าที่ยิ่งกระจ่างขึ้น เงาของพวกเขาทอดยาวไปบนพื้นดิน ราวกับความลับและความสงสัยที่ยังคงวนเวียนอยู่ในบรรยากาศ
แสงสีส้มของยามเย็นสาดเข้ามาในห้อง ส่องผ่านหน้าต่างบานเล็กที่เปิดไว้เพียงบางส่วน ความสงบเงียบของช่วงเวลาพลบค่ำถูกทำลายด้วยเสียงหอบหายใจแผ่วเบาของชายที่นอนนิ่งบนเตียง เอรอสลืมตาขึ้นช้าๆ ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง ราวกับทุกอวัยวะต่างกรีดร้องพร้อมกัน หัวใจของเขาเต้นอย่างเชื่องช้าและหนักอึ้ง ราวกับย้ำเตือนให้รู้ว่าอาการบาดเจ็บนั้นยังคงฝังลึกอยู่ทุกวินาทีเขาพยายามขยับตัว ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง แต่ทันทีที่เปลี่ยนท่าทาง ความเจ็บปวดจากอวัยวะภายใน ก็เริ่มปะทุขึ้นเหมือนไฟลุกโหมทำให้เขาหยุดชะงักในทันที เขากัดฟันแน่นเพื่อข่มเสียงครางไม่ให้เล็ดรอดออกมา มือข้างหนึ่งกดลงบนหน้าท้อง หวังบรรเทาความเจ็บปวด แต่กลับไม่มีอะไรดีขึ้น เหงื่อเย็นไหลซึมลงตามกรอบหน้าผาก จนทำให้ผมของเขาชื้นไปหมด ร่างกายนี้ อยู่ในสภาพย่ำแย่กว่าที่เขาคาดคิดเมื่อเอรอสเหลือบสายตาไปที่กระจกบานเล็กข้างเตียง ภาพสะท้อนที่ปรากฏคือใบหน้าของ อาร์วิน มันดูซีดขาว และ ไร้ชีวิตจนทำให้รู้สึกน่าสังเวช เขาจ้องมันอยู่ชั่วครู่ ราวกับกำลังประเมินสภาพตัวเอง ก่อนพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแห้งผาก“หนักกว่าที่คิด...”ความหงุดหงิดพลุ่งพล่านในใจ เพราะ
เอเลน่านั่งเงียบอยู่ข้างเตียงในห้องที่แสงเทียนสลัวๆ กำลังเต้นรำไปตามแรงลมที่ลอดผ่านเข้ามา บรรยากาศรอบตัวราวกับหยุดนิ่ง ไม่มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงลมหายใจเบาๆ ของเธอ ใบหน้าที่เธอคุ้นเคย แต่มีบางสิ่งที่แปลกไป—บางสิ่งที่เธอไม่สามารถอธิบายได้ ความปั่นป่วนในใจกลับค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นทีละน้อยรอยยิ้มอบอุ่นของอาร์วิน และความอ่อนโยนในแววตาของเขาทำให้เธอเคยรู้สึกปลอดภัยเสมอ แต่ครั้งนี้... เธอเริ่มสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ต่างไป มันอาจเป็นเพียงความเครียดจากสถานการณ์รอบตัวหรือความเหนื่อยล้าที่สะสม แต่ไม่ว่าสิ่งใดในตอนนี้ ตัวเขาดูจะไม่เหมือนเดิม ถึงแม้ใบหน้าของเขายังคงเหมือนอาร์วินทุกประการ ยกเว้นเพียงสีของดวงตาที่ไม่ใช่ฟ้าอมเงินอีกต่อไป ตอนนี้มันกลายเป็นสีเทานิ่งเรียบ—สีที่แตกต่างจากความทรงจำของเธอ คล้ายกับใครบางคนที่เธอรู้จักเอเลน่าถอนหายใจเบาๆ พลางบีบจดหมายในมือแน่นขึ้น จดหมายที่นำพาความทรงจำอันเจ็บปวดเกี่ยวกับการถูกไล่ล่าโดย "จอมเชือด" ภาพเหตุการณ์นั้นยังคงแจ่มชัดในหัวเธอ เลือดที่หลั่งไหล และ เสียงฝีเท้าของผู้ไล่ล่าเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจลืมได้การได้เจอกับอาร์วินอีกครั้ง แม้เขาจะบาดเจ็บสาหั
หลังจากที่เอเลน่าเรียกอัศวินและสาวใช้ไปดูแลอาร์วิน เธอก็ตั้งใจที่จะกลับห้อง พลางยกมือขึ้นแตะขมับเบาๆด้วยอาการเหนื่อยล้าตลอดทั้งวัน แต่แล้ว ขณะที่เธอเดินผ่านทางเดินที่ทอดยาวเชื่อมระหว่างห้องโถงหลักกับสวนในคฤหาสน์ เสียงสนทนาของกลุ่มอัศวินที่ยืนเฝ้าอยู่ใกล้ๆก็แว่วเข้าหู“รู้เรื่องที่ท่านอาร์วินสูญเสียวงแหวนมานาไปรึยัง?”หนึ่งในอัศวินเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่ไม่เบาพอที่จะหลุดรอดจากการได้ยินของเธอเอเลน่าชะงักฝีเท้า หัวใจเต้นแรงขณะที่เธอพยายามทำท่าเดินผ่านไปอย่างเรียบเฉย แต่ความกังวลกลับเพิ่มขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอีกคนหนึ่งตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ได้ยินจากสาวใช้แล้ว บาดแผลสาหัสแทบจะกลายเป็นคนพิการ หนำซ้ำยังสูญเสียวงแหวนมานาไปอีก”“ท่านผู้อาวุโสคงไม่ปล่อยเอาไว้หรอก ถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ตระกูลอาจจะเสื่อมเสียชื่อเสียงเอาได้”“บางที… อาจถึงขั้นขับออกจากตระกูล” เสียงนั้นราบเรียบแต่กลับแฝงความเย็นยะเยือกไว้ จนเอเลน่ารู้สึกเหมือนเงามืดคืบคลานเข้ามารอบตัว“การอยู่ในตระกูลโดยไร้วงแหวนมานา ก็เป็นได้แค่ตัวภาระเปล่าๆ ดีซะอีกที่ยังเมตตาให้มีชีวิตอยู่"หลังจากนั้นเขาดูครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมา
เอรอสในร่างของเรย์นาร์คเดินลึกเข้าไปในเขตตอนใต้ของเมือง เขาคลุมผ้าคลุมศีรษะให้มิดชิดเพื่อซ่อนใบหน้า ดวงตาคมกวาดมองรอบๆ อย่างระมัดระวัง แสงไฟจากร้านค้าและแสงเทียนสลัวๆ ตามตรอกซอกซอยสะท้อนให้เห็นบรรยากาศที่มืดมน ราวกับโลกอีกใบที่ซ่อนตัวอยู่ข้างใต้เมืองอันศิวิไลซ์ ถนนเต็มไปด้วยฝุ่นคละคลุ้ง และมีกลิ่นเหม็นอับจากของไม่พึงประสงค์วางเรียงรายอยู่ในแผงลอย เหล่าพ่อค้าแม่ค้ากำลังลักลอบขายของต้องห้ามอย่างลับๆ เสียงการเจรจาต่อรองดังขึ้นเป็นระยะ เติมเต็มบรรยากาศแห่งนี้ไปด้วยความรู้สึกทะแม่งๆ แต่สำหรับที่นี้ มันเป็นเรื่องปกติเอรอสแทรกตัวเข้าไปในฝูงชนอย่างแนบเนียน เดินลัดเลาะผ่านตรอกซอยที่สลับซับซ้อนจนกระทั่งมาถึงร้านขายของจิปาถะตามจุด จากสายตาคนทั่วไป ร้านนี้ดูธรรมดาๆ เหมือนร้านขายของทั่วไป แต่นี่เป็นเพียงฉากบังหน้าขององค์กรเขาเท่านั้น ภายในสถานที่แห่งนี้ มีทางเข้าที่เชื่อมไปถึงฐานทัพขององค์กรที่เขาอยู่เมื่อเขาเดินเข้ามา กลิ่นธูปหอมอ่อนๆ ลอยตลบอบอวลไปทั่วร้าน บนชั้นวางสินค้าถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ มีผลิตภัณฑ์มากมายที่องค์กรของเขาผลิตขึ้น วางปะปนอยู่กับสินค้าประเภทอื่นๆ สินค้าของพวกเขามีราคา
เอรอสยืนคุยกับกลุ่มสมาชิกอยู่ที่โถงทางเดิน บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการหยอกล้อระหว่างพวกเขา“จะว่าไปพี่ใหญ่ พี่มาประชุมงั้นหรอ?” หนึ่งในสมาชิกถามพลางยิ้มกว้างเอรอสทำหน้างงเล็กน้อย ก่อนที่จะคำถามออกมา“ประชุม? เรื่องอะไร?”ชายวัยกลางคนทำสีหน้าเบื่อหน่ายเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสริมขึ้นมา“เฮ้อ ก็เรื่องของโบสถ์นั้นแหละ แม่หนูนั้นยังดื้อด้าน ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเราดีๆเลยเนี่ยสิ”ชายวัยกลางคนทำท่าปวดหัว และ เบื่อหน่ายพอสมควร เอรอสถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้น โบสถ์ที่พวกเขาเคยพยายามจะให้เป็นพันธมิตรทางการค้าเพิ่งถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา แต่เพียงไม่กี่เดือนก่อน นักบวชระดับสูงคนหนึ่งถูกจับเพราะยักยอกเงินบริจาค แถมยังไปกู้หนี้จากองค์กรอื่นมาใช้จ่ายส่วนตัว ปล่อยให้โบสถ์ต้องเผชิญหนี้สินมหาศาลจนสาขาหลักตัดความช่วยเหลือ สถานการณ์ของโบสถ์จึงเสี่ยงล่มสลายเต็มทีแม้การที่นักบวชคนนั้นยักยอกเงินจะเป็นผลจากแผนของพวกเขา แต่การที่เขากลับไปกู้ยืมเงินจากองค์กรอื่นโดยไม่บอก แถมยังชิงฆ่าตัวตายเพื่อหนีความผิดกลับทำให้เรื่องราวยุ่งยากยิ่งกว่าเดิม อำนาจทั้งหมดตกไปอยู่ในมือผ
เอรอสนั่งนิ่ง มองจดหมายที่อยู่ในมืออย่างเงียงงัน หัวใจของเขารู้สึกหนักอึ้ง แม้ใบหน้าจะดูสงบนิ่งไร้อารมณ์ แต่ภายในกลับสับสนวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม เขาหันไปยังคาร์ลีนก่อนจะพูดออกมา“สนามประลองจะเริ่มเมื่อไหร่?” เอรอสเอ่ยถาม น้ำเสียงต่ำและหนักแน่น สะท้อนความถึงมุ่งมั่นที่กำลังถูกสั่นคลอนอยู่ลึกๆคาร์ลีนช้อนตามองเขา ความสงสัยปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในแววตาของเธอ“อีกห้าวัน... พวกมันต้องเวลาในการโปรโมทงาน และ ดึงดูดความสนใจจากชนชั้นสูงทุกระดับ”คำตอบของเธอทำให้เอรอสถึงกับนิ่งไป เสียงของคาร์ลีนค่อยๆเลือนหายไปในความคิดของเขา เขานึกถึงวงแหวนมานาที่ถูกทำลายในเขตแดน ในช่วงที่เขากำลังถูกครอบงำ ส่งผลให้พลังเวทของเขาลดน้อยลง จนแทบจะใช้งานอะไรไม่ได้ การฟื้นฟูวงแหวนมานาในเวลาสั้นๆมันมีวิธีอยู่ ถึงแม้ว่าลึกๆแล้ว เขาจะไม่อยากใช้มันก็ตาม"คงต้องใช้วิธีนั้นแล้วสินะ…” เอรอสคิดอย่างฝืนใจ แม้จะรู้ดีว่านี่คือการข้ามเส้นในสิ่งที่ไม่ควรทำ ความหวาดหวั่นบางอย่างแทรกซึมในใจจนรู้สึกถึงมันได้ชัดเจนเอรอสคิดอย่างฝืนใจ แม้จะรู้ดีว่าจะเป็นการข้ามเส้นในสิ่งที่ไม่ควรทำคาร์ลีนมองเขาด้วยความสงสัย คิ้วของเธอขมวดแน่นขึ้น“ดูเหมือน
แต่ทันทีที่เห็นเธอ เขาก็ต้องหยุดชะงักไปชั่วขณะ ดวงตาสีฟ้าสุกไสวของเธอ สะท้อนแสงอ่อนโยนคล้ายแสงจันทร์ในตอนกลางคืน ชวนให้ละสายตาไม่ได้ ผมยาวสีฟ้าระยับเหมือนเกลียวคลื่นในมหาสมุทรที่โอบรับประกายระยิบระยับของดวงดาว ทุกการเคลื่อนไหวของเธอให้ความรู้สึกที่สงบเยือกเย็น และยังแฝงความลึกลับไว้ลึกๆ ราวกับมีบางสิ่งซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังเอรอสพยายามดึงตัวเองกลับมาให้หลุดจากความตะลึงนั้น พลางปรับสีหน้าให้เรียบเฉยเหมือนเดิม สายตาเยือกเย็นของเขาประสานกับหญิงสาวแปลกหน้าที่ดูมีท่าทีเป็นมิตรและอบอุ่นเกินไป จนทำให้เขารู้สึกแปลกใจและเริ่มระแวดระวัง พร้อมกับตั้งคำถามถึงแรงจูงใจที่แท้จริงของเธอในใจ“สวัสดี ฉันเป็นผู้สืบสวนที่เพิ่งย้ายมาเมื่อไม่นานมานี้.. ยินดีที่รู้จัก”เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่มั่นใจ รอยยิ้มอ่อนๆ แฝงด้วยความเป็นมิตรยังคงประดับอยู่บนใบหน้า ท่าทีที่เธอแสดงออกทำให้เธอดูเหมือนคนที่เข้าถึงได้ง่าย แต่ในสายตาของเอรอส ความมีเสน่ห์เย้ายวนที่เธอแผ่ออกมานั้นกลับทำให้เขารู้สึกระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม“ฉันกำลังตามสืบเรื่องกลุ่มคนที่รีดไถเงินในแถวนี้อยู่... เธอพอจะรู้อะไรบ้างไหม?”เอรอสหรี่ตามองเธอด้วย
ในดันเจี้ยนร้างที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงหายใจแผ่วเบาของคาร์ลิน และ เอรอสที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเรย์ราร์คยืนห่างกันเล็กน้อย แสงสลัวจากเพดานหินเหนือศีรษะทำให้พื้นที่ๆดูรกร้างแห่งนี้ มีบรรยกาศที่ชวนขนลุก และ น่าหวาดกลัว แต่เอรอสกลับยืนนิ่งสงบ ไม่แสดงท่าทีวิตกใดๆเขามองดูคาร์ลินที่ยืนพยายามควบคุมมานา และ สร้างเขตแดนด้วยสีหน้าครุ่นคิด เอรอสยื่นมือออกมาแตะแขนเธอเบาๆ สอนให้เธอหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ แล้วควบคุมมานาอย่างประณีตที่สุด“ผ่อนคลาย แล้วค่อยๆโฟกัสที่พื้นที่รอบ เชื่อมต่อความรู้สึก ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของมัน” เขาเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงมั่นคง และผ่อนคลาย “อย่ากดดันตัวเอง ค่อยๆปล่อยให้มานาของเธอขยายออกไปทีละนิด”คาร์ลินหลับตาลง พยายามทำตามคำแนะนำของเขาอย่างตั้งใจ รู้สึกถึงมานาที่เริ่มขยายออกเป็นวงเล็กๆ รอบตัว เสียงของเขาช่วยเสริมความมั่นใจให้แก่เธอมากขึ้น เธอเริ่มสร้างเขตแดนขึ้นมาได้ทีละน้อย จนเริ่มเห็นเขตแดนเป็นรูปวงกลมรอบตัวเธอทีละนิด โดยมีเอรอสคอยดูแลอยู่ไม่ห่างเอรอสยืนอมองดูคาร์ลินที่กำลังพยายามสร้างเขตแดนด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม เขายืนเงียบๆอยู่ข้างๆเธอ ดวงตาสะท้อนความทรงจำที่ชัดเจนขึ
ใต้ดินที่มืดมิดและอับชื้น กลิ่นดินและสนิมเหล็กตลบอบอวลเหมือนกลิ่นความตาย กรงขังที่ทำจากเหล็กเส้นเก่าๆ ถูกสร้างไว้ตามผนังของคุกโบราณแห่งนี้ แสงจากรูเล็กๆบนเพดานสูงเปิดให้เห็นเพียงเศษเสี้ยวของท้องฟ้าด้านบน เป็นแสงที่ไม่เพียงพอจะทำให้พื้นที่รอบตัวสว่าง แต่เพียงพอที่จะเตือนให้เธอจำได้ว่ายังมีโลกภายนอกเธอนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของกรง ดวงตาสีฟ้าอ่อนจ้องมองแสงที่ลอดผ่านลงมา ราวกับหวังว่ามันจะพาเธอหลุดพ้นจากกรงแห่งนี้ ผมสีดำยุ่งเหยิงของเธอห้อยปิดหน้าซีดเซียวที่ครั้งหนึ่งเคยดูสดใส แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนเธอถูกกักขังในฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่นเธอจำได้ถึงคืนที่ทุกอย่างพังทลาย หมู่บ้านเล็กๆ ที่เคยสงบสุขกลายเป็นนรกบนดินเมื่อกลุ่มโจรบุกเข้ามา เพลิงไฟโหมกระหน่ำ เสียงกรีดร้องของผู้คน เสียงไม้ลั่นดังขณะบ้านพังถล่ม ทุกสิ่งดูเหมือนภาพฝันร้ายที่เธอไม่มีวันลืม สิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้คือเสียงแม่ตะโกนเรียกเธอท่ามกลางควันไฟ แล้วความมืดก็เข้าครอบงำสองเดือนก่อน เธอยังอยู่บนเรือทาส ลอยกลางทะเลอันกว้างใหญ่ เสียงน้ำทะเลซัดกระแทกกับไม้กระดานดังแผ่วเบา แต่สำหรับเด็กสาวไร้ชื่อ เสียงนี้เหมือนเพลงบรรเลงแห่งความสิ้นหวัง แสงจัน
ห้องลับใต้ดิน คลินิกหลังจากตกลงแผนการทั้งหมด พวกเขาเดินลงไปยังห้องทดลองใต้ดินของคลินิก โจชัวถือกล่องที่ใส่อุปกรณ์และแก่นเวทย์สีดำไว้ในมือ ขณะที่เอรอสเดินตามหลังมาเงียบๆ ความเงียบครอบงำบรรยากาศ มีเพียงเสียงฝีเท้าของทั้งสองที่ดังก้องในทางเดินแคบเมื่อมาถึงห้องทดลองใต้ดิน ประตูเหล็กบานหนาถูกปิดอย่างแน่นหนา โจชัวเปิดสวิตช์ไฟ เผยให้เห็นเครื่องมือและอุปกรณ์มากมายที่จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ โต๊ะกลางห้องมีเตียงหินสำหรับการผ่าตัด โจชัววางกล่องลงก่อนหันไปมองเอรอส“ฉันต้องถามอีกครั้ง” โจชัวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะทำตอนนี้? อย่างน้อยถ้ามีเวลาเตรียมตัวอีกสักวัน…”เอรอสส่ายหัว “ไม่จำเป็น เริ่มลงมือกันเถอะ” น้ำเสียงหนักแน่นแต่แฝงความกดดันโจชัวถอนหายใจยาว “ก็ได้… ถ้างั้นขึ้นไปนอนบนเตียง ผมจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อน”เอรอสปีนขึ้นไปนอนบนเตียงหิน เย็นเยียบจากพื้นหินแผ่ซ่านผ่านร่างกาย แต่เขากลับไม่ใส่ใจ สายตาจับจ้องไปยังเพดานห้อง ขณะที่โจชัวจัดเตรียมเครื่องมือ มีดเวทย์เรืองแสงสีฟ้า และแก่นเวทย์สีดำที่ยังคงเปล่งประกายลึกลับ“ถึงจะมั่นใจในฝีมือ” โจชัวพูดขึ้นขณะเตรียมเครื่องมือ “แต่
“ไหนบอกว่านัดไว้แล้วไง ทำไมเขาบอกว่าไม่รู้เรื่อง?” ไอลีนหันมากระซิบถามอาร์วินด้วยสีหน้าไม่สบายใจอาร์วินยิ้มบางๆ ก่อนจะหันไปมองโจชัวที่ยังคงจับจ้องพวกเขาด้วยสายตานิ่งสงบ แฝงแววประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ"จำไม่ได้แล้วเหรอว่าเราเคยเดินทางด้วยกันตั้งเป็นเดือน? ตอนนั้นฉันต้องพกงานวิจัยของนายติดตัวไปด้วยตลอด เพราะกลัวว่านายจะสติหลุดแล้วเผลอทำลายมันไปซะเอง ตอนนี้ยังเก็บไว้อยู่ใช่ไหม? หรือว่าเผลอทำหายไปแล้ว?"คำพูดของอาร์วินทำให้โจชัวชะงักไปเล็กน้อย แววตาของเขาที่เดิมดูระวังตัว กลับฉายแววสงสัยปนระลึกอะไรบางอย่าง“งานวิจัย...” เขาทวนคำเบาๆคล้ายจะนึกย้อนถึงอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในความทรงจำ ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆราวกับจับทิศทางได้แล้ว“อ้อ คุณนี่เอง” โจชัวเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง รอยยิ้มบางๆปรากฏบนใบหน้า“จำได้แล้วครับ ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะ”อาร์วินพยักหน้าเล็กน้อย ท่าทางดูเหมือนสบายๆ แต่ในแววตากลับมีอะไรบางอย่างที่อ่านยาก“ใช่ ไม่ได้เจอกันตั้งแต่ตอนนั้นเลย ฉันก็สงสัยอยู่ว่านายจะยังจำฉันได้อยู่หรือเปล่า”“จะลืมได้ยังไงล่ะครับ ผมไม่ทีทางลืมหรอกครับ” โจชัวตอบ พลางหัวเราะเบาๆอาร์วินเอน
ไอลีนถือสมุดบันทึกเวทมนตร์เล่มเล็กไว้ในมือ ขณะเดินไปตามทางเดินในคฤหาสน์ที่เงียบสงบ ผมยาวสีดำสนิทของเธอถูกมัดรวบไว้หลวมๆด้านหลัง ปลายเส้นผมพลิ้วไหวไปตามจังหวะก้าวเดิน เธอสวมชุดคลุมสีม่วงอ่อนที่มีสัญลักษณ์เวทมนตร์สะท้อนแสงจันทร์เล็กน้อย ผ้าคลุมบางเบาดูสง่างามแต่คล่องตัวพอสำหรับการเคลื่อนไหวในยามค่ำคืน มืออีกข้างถือคทาไม้เนื้อแข็งที่ถูกแกะสลักอย่างประณีต ปลายคทาประดับด้วยคริสตัลสีใสที่เปล่งแสงเรืองรองจางๆ ราวกับกักเก็บพลังเวทไว้ภายในแสงจากโคมไฟติดผนังทอดเงาสะท้อนบนพื้นหินเย็นเยียบ เสียงฝีเท้าของเธอเบาบางจนแทบไม่ได้ยิน เธอสูดลมหายใจลึกขณะหยุดยืนอยู่ที่หน้าต่างบานใหญ่ จับจ้องไปยังเงาร่างหนึ่งที่เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังอยู่ด้านล่างของคฤหาสน์ร่างนั้นคืออาร์วิน เขาสวมชุดข้ารับใช้ในที่ดูเรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้าน เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวคาดด้วยเสื้อกั๊กสีดำเข้ารูปและกางเกงสีน้ำตาลเข้มที่พับปลายไว้เล็กน้อย หมวกแบนทรงกลมที่มียอดยกขึ้นนิดหน่อยปกปิดเส้นผมสีทองที่ยุ่งเล็กน้อย แว่นตาสีน้ำตาลอมแดงช่วยบดบังสายตาของเขาจากผู้พบเห็น ดวงตาสีเทาอันลึกลับถูกซ่อนเร้นไว้ราวกับต้องการปิดบังตัวตนเขาก้าวเดินอย่างเ
เอเลน่านั่งอยู่บนเตียง จ้องมองอาร์วินที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย ดวงตาสีเทาที่มองมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความลึกที่อธิบายไม่ได้ มีบางสิ่งในแววตานั้นที่ทำให้หัวใจเธอสั่นไหว แต่เธออ่านมันไม่ออกบรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด เสียงลมเบาๆ จากหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ดังก้องในห้องที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของผ้าปูที่นอนใต้ฝ่ามือ พยายามดึงสติกลับมา แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนถูกตรึงด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นอาร์วินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา"เอเลน่า... ฉันไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน แต่ฉันจะพยายามเล่าให้เธอฟัง"เสียงของเขานุ่มลึก แต่สั่นเครือเล็กน้อย เธอรู้ว่าเขากำลังแบกรับอะไรบางอย่างที่หนักหนา ทว่าในใจของเธอเองก็เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้จบ เอเลน่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงให้เขาพูดต่อ แม้ในใจจะปั่นป่วนจนแทบระเบิดอาร์วินถอนหายใจยาว เสียงนั้นเหมือนลมหายใจที่พยายามปลดปล่อยความกดดันบางอย่าง"ตอนที่ฉันถูกจับอยู่ในคุก... ฉ
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ เอเลน่าค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆ กลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันที่ไม่อยากตื่นจากมันเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งหลับพิงเก้าอี้อยู่ ใบหน้าสงบนิ่งในเงามืด เส้นผมสีทองของเขาดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เอเลน่าจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ช่วงเวลานี้เผยให้เห็นอีกด้านของเขา—ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนเร้นก่อนหน้า ทำให้เธอโล่งใจเล็กน้อย ดวงตาของเธอสบเข้ากับใบหน้าอ่อนล้าของเขา ความรู้สึกปะปนกันระหว่างความสับสนและความอบอุ่นไหลเวียนในอก“อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆเหมือนจะยืนยันว่าเขาอยู่ตรงนี้จริงๆ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อเหลือบมองตัวเองที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เตียงของเธอ แต่เป็นของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงข
เอรอสก้าวออกจากป่าทึบในรูปลักษณ์ของอาร์วิน สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านตัวเขาอย่างแผ่วเบา แสงจันทร์ยังคงสลัวทำให้เห็นเงาของคฤหาสน์ตระกูลวัลธอเรนลางๆ อยู่ไม่ไกล จุดที่เขามุ่งหน้าไปคือบริเวณใต้หน้าต่างห้องพักของเขาเองก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เขาเคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อนชายแปลกหน้าที่เอรอสช่วยเหลือไว้ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาวราวกับหยิบยกมาจากยุคโบราณ ชายคนนี้ดูเหมือนนักเดินทางที่หลงยุค เขาอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เอรอสจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวันแทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยมาให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ
คลินิกของโจชัว ตั้งอยู่ในเขตสามัญชน ตัวอาคารหินสีซีดดูเรียบง่ายแฝงความล้าสมัย ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึก หน้าต่างกระจกสีชั้นล่างสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไป ลวดลายบนกระจกดูเหมือนจะพร่ามัวในแสงสลัว คลินิกนี้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนโรงพยาบาล แต่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยประมาณสิบคน เหมาะสำหรับการดูแลแบบส่วนตัวยามตีสี่ ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ ความเงียบรอบตัวแทบจะทำให้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วงกระทบพื้น เอรอสยืนพิงกำแพงใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ตรงข้ามคลินิก แม้ลมหนาวจะพัดแรง แต่ร่างกายของเอรอสกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาต่อความเย็น ราวกับความหนาวนั้นไม่อาจแตะต้องเขาได้ ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยังหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท นั่นเป็นห้องทำงานของโจชัว ซึ่งเขาใช้สำหรับจัดการเอกสารในช่วงกลางวัน แต่ในยามนี้ ไม่มีแสงไฟส่องลอดออกมา“ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่…” เขาพึมพำเสียงเบา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงนั้นแทบชัดเจนในสายลม เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียง กระโดดขึ้นเกาะขอบหน้าต่างชั้นสอง เสียงลมแผ่วเบาและใบไม้ไหวกลบการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาสีแดงสังเกตการณ์ในห้องอีกครั้งเพื่อยืนยันว่
คาร์ลีนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้ในดันเจี้ยนที่ผสานเขากับเขตแดนของเธอ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ความสัมพันธ์ลึกลับนี้ ทำให้คาร์ลีนรับรู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอเรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของชายที่มีฉายาว่า จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มาเนิ่นนาน แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากของเขาโดยตรงเธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับคำพูดนั้นหนักเกินกว่าจะเปล่งออกมาดวงตาสีม่วงเข้มของเธอสะท้อนแสงจากโคมไฟ เธอนั่งนิ่งราวกับขบคิด แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ ความหนักใจเหมือนสายลมหนาวที่แผ่วผ่านกลับถูกเติมเต็มด้วยความหวังอันเปราะบาง เธออยากให้เขามาหา อยากได