หญิงสาวนั่งเงียบอยู่ข้างเตียงในห้องที่มีแสงเทียนสลัวๆสั้นไหวไปตามแรงลมที่ลอดผ่านเข้ามา บรรยากาศรอบตัวราวกับหยุดนิ่ง ไม่มีเสียงใดๆนอกจากเสียงลมหายใจเบาๆระหว่างทั้งสองคน
ใบหน้าที่เธอคุ้นเคย แต่กลับมีบางสิ่งที่แปลกไป—บางสิ่งที่เธอไม่สามารถอธิบายได้ แต่กลับทวีความสงสัยมากขึ้น
รอยยิ้มของชายหนุ่มตรงหน้า และความอ่อนโยนของเขา มักทำให้เธอเคยรู้สึกปลอดภัยเสมอ แต่ครั้งนี้... เธอเริ่มสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ต่างไป
มันอาจเป็นเพียงความเครียดจากสถานการณ์รอบตัวหรือความเหนื่อยล้าที่สะสมตลอดเวลาที่ผ่านมา ใบหน้าของเขายังคงเหมือนเดิมทุกประการ ยกเว้นเพียงสีของดวงตาที่แปลกไป ซึ่งคล้ายกับของใครบางคนที่เธอรู้จัก
เธอถอนหายใจเบาๆ พลางบีบจดหมายในมือแน่นขึ้น ภาพเหตุการณ์นั้นยังคงแจ่มชัดในหัวเธอ เลือดที่หลั่งไหล และ เสียงฝีเท้าของผู้ไล่ล่าเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจลืมได้
การได้เจอกับคู่หมั้นของเธออีกครั้ง ก็เกือบจะเป็นความหวังที่เธอแทบจะถอดใจไปแล้ว แค่ได้อยู่ใกล้เขา เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองได้รับการปกป้อง แม้กระทั่งในยามนี้ที่ทุกอย่างรอบตัวดูสับสน วุ่นวาย การที่มีเขาอยู่ ก็ช่วยคลายความกังวลในใจของเธอได้พอสมควร
เธอสูดหายใจลึก แล้วพิงพนักเก้าอี้เพื่อพักเอาแรง ร่างกายที่อ่อนล้าจากการตระเวณรอบเมืองที่ผ่านมาตลอดหลายวัน ทำให้ดวงตาเธอใกล้จะปิดลง ก่อนที่ความง่วงจะเข้าครอบงำในที่สุด
ในห้วงฝันที่ก่อตัวขึ้น ความทรงจำวัยเด็กของหญิงสาวค่อยๆ หวนกลับไปยังเหตุการณ์ที่ฝังแน่นในจิตใจ—ที่คฤหาสน์ของตระกูล ในวันที่ จอมเชือด บุกเข้ามาเพื่อหมายปลิดชีวิตของเธอ
ทุกสิ่งรอบตัวถูกทำลายจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม เสียงโลหะกระทบกันดังก้องอย่างต่อเนื่อง ชายร่างสูงผู้คลุ้มคลั่งตาสีเลือดจ้องเธอราวกับสัตว์ร้ายที่ถูกปลดปล่อย ความกลัวแผ่กระจายทั่วร่างจนหัวใจเต้นแรงแทบจะขาดอากาศหายใจ
ในวินาทีนั้น พลังในสายเลือดของเธอพลันถูกปลุกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว สายลมรุนแรงพุ่งออกจากตัวเธอ ฟาดฟันใส่ จนร่างสูงตรงหน้าล้มลงไปกองกับพื้น
เธอคิดว่าทุกอย่างสิ้นสุดลงแล้ว แต่ก่อนที่สติจะดับวูบไป ภาพของเด็กหนุ่มผู้เป็นคู่หมั้นกลับปรากฏขึ้นในสายตา เขายืนอยู่ตรงหน้าเธอ แขนของเขากางออกเพื่อปกป้องเธอจากชายผู้บ้าคลั่งคนนั้นที่กำลังฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกโล่งใจที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนพลันเกิดขึ้น...ก่อนที่ทุกสิ่งจะจมลงสู่ความมืดมิด
ภาพในฝันค่อยๆเลือนเปลี่ยนไปอีกสู่เหตุการณ์นึง วันที่นักฆ่าตามล่าเธอ และ คู่หมั้นคนก่อน จนกระทั่งได้พบกับคู่หมั้นของเธอในปัจจุปัน
หลังจากการตรวจสอบสภาพจิตใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาก็ถูกนักฆ่าสะกดรอยตาม เด็กหนุ่มจับมือเธอแน่น พาเธอวิ่งหนีจากนักฆ่าหลายคนที่ตามไล่ล่า สายตาของเขามองมาอย่างเป็นห่วง ก่อนจะพาเธอเข้าไปหลบซ่อนในที่ปลอดภัย
เสียงหายใจของเขาดังอย่างเหน็ดเหนื่อย ขณะที่สายตาจ้องมองย้ำว่าให้เธออยู่นิ่งๆ จากนั้นเขาหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับเหล่านักฆ่าเพียงลำพัง
เด็กหญิงนั่งกอดเข่าอยู่ในมุมมืด ฟังเสียงฝีเท้าของนักฆ่าที่ไล่ตามเด็กหนุ่มห่างออกไปเรื่อยๆ แต่แล้วกลับมีเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งหยุดดังขึ้นตรงหน้า เสียงนั้นหยุดลง เธอรู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นเมื่อเห็นนักฆ่าเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว ความหวาดกลัวโอบล้อมทุกความคิด จนกระทั่งเธอถูกเจอตัว
ในขณะนั้น เด็กชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ เขาโจมตีมือสังหารอย่างไม่ทันตั้งตัว การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็วราวกับฝันร้ายได้สิ้นสุดลง แต่ทันใดนั้น เธอก็เห็นเงารางๆ ของชายผู้บ้าคลั่งกำลังยืนมองเธอจากเงามืด ห่างออกเพียงไม่กี่ก้าว
ความกลัวแทรกซึมเข้าไปในจิตใจของเธออีกครั้ง ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความหวาดผวา ขณะเด็กชายตรงหน้ายืนประชันหน้ากับเขาไม่ไหวติง
เขายกไม้เท้าขึ้น ชี้ไปยังร่างตรงหน้า แม้พลังเวทย์จะหมดลง แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ นั้นทำให้ชายคนนั้นหยุดชะงัก ก่อนที่จะค่อยๆจางหายไปในความมืด ราวกับฝันร้ายที่เลือนลับไป
หญิงสาวยังไม่ทันได้ขอบคุณเด็กชายได้เต็มปาก เธอก็หมดสติไป ก่อนที่จะฟื้นขึ้นมาอยู่ที่คฤหาสน์ของตระกูลพร้อมๆกับเด็กหนุ่มคนนั้น
ในคืนนั้นเอง ด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ เธอที่ทั้งโกรธ และ เสียใจ ก็ได้ทำสิ่งที่ไม่สมควรทำ เธอขับไล่เด็กหนุ่มคนนั้นอย่างไร้เยื่อใย จากการทิ้งเธอไว้เพียงลำพัง แถมยังกลับมาที่ตระกูลคนเดียว ทำให้เขาถูกขับไล่ออกจากตระกูลภายในวันนั้น ความทรงจำของวันนั้นยังคงติดตรึงในใจเธอ
ความสับสนปนเปไปกับความหวาดกลัว ราวกับว่าความจริงและความฝันกำลังทับซ้อนกันจนเธอรู้สึกหายใจไม่ออก ร่างกายเหมือนถูกบีบรัดด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น หัวใจเต้นรัวดังสนั่นในอก ขณะเดียวกันความรู้สึกอบอุ่นจากอาร์วินในความทรงจำก็กลับมาทิ่มแทงจิตใจ ทำให้เธอไม่อาจหนีจากความสับสนนี้ไปได้
จนกระทั่งในที่สุด เธอก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา ท่ามกลางความมืด ใบหน้าของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น มือของเธอกำผ้าห่มแน่น หัวใจยังคงเต้นระรัวอย่างรุนแรง แต่ไม่มีเสียงฝีเท้าหรือใบหน้าของชายผู้บ้าคลั่งอีกต่อไป มีเพียงเสียงลมหายใจของตัวเอง และ เขาที่หลับอยู่เท่านั้น
“อาร์วิน...” เธอกระซิบเสียงเบาๆราวกับพูดกับตัวเอง
ขณะที่เธอกำลังครุ่นคิด เสียงกระซิบเบาๆ ของคู่หมั้นของเธอก็ดังขึ้น ทำให้หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย
ชายหนุ่มค่อยๆลืมตาขึ้น ดวงตาสีเทาของเขามองมาที่เธอด้วยความเงียบสงบ
“ไปพักผ่อนเถอะ” เขาพูดเบาๆ
“เธอไม่จำเป็นต้องเฝ้าฉันทั้งคืน ที่นี่ปลอดภัยดี ไม่มีใครทำอะไรฉันได้หรอก”
คำพูดของเขาทำให้เธอแปลกใจ แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะอ่อนโยนเหมือนที่เคยเป็น แต่บางอย่างในนั้น กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่าง เธอยิ้มบางๆพยายามปกปิดความรู้สึกที่กำลังรุมเร้าในใจ แล้วเลือกจะไปพักผ่อน อย่างที่เขาแนะนำ
“งั้นฉันจะไปบอกให้คนมาเฝ้านายต่อ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูสงบ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสับสนและลังเล
เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่นาน แต่ทว่าขณะที่เธอกำลังเดินออกไปจากห้อง ความรู้สึกแปลกๆ ทำให้เธอหันกลับมามองเขาอีกครั้ง แสงเทียนสลัวๆ ที่สะท้อนอยู่บนใบหน้านั้นที่ดูเงียบสงบ แต่บางอย่างกลับทำให้เธอรู้สึกไม่มั่นใจ ก่อนที่เธอจะเดินออกไปอย่างช้าๆ
เสียงฝีเท้าของเธอที่เดินออกจากห้องเริ่มจางหายไปในความเงียบ ชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง รอจนกระทั่งความเงียบกลับมาปกคลุมที่ห้อง เขาจึงค่อยๆ ขยับร่างกายลุกขึ้นจากเตียง เพื่อเตรียมลอบออกออกไปนอกคฤหาสน์ในคืนนี้
ชายหนุ่มเดินไปที่ตู้สมุนไพรใกล้ๆ ค้นหาเครื่องหอมสมุนไพรที่คิดว่าน่าจะมีอยู่ที่นี้ เป็นผลิตภัณฑ์พิเศษที่องค์กรของเขาทำขาย เครื่องหอมธรรมดาที่ดูไม่ต่างจากของใช้ทั่วไป แต่กลับซ่อนคุณสมบัติพิเศษเอาไว้ มันมีส่วนผสมของสมุนไพรสองชนิดที่ออกฤทธิ์ต่างกันชนิดหนึ่งช่วยให้ง่วงนอน ส่วนอีกชนิดกระตุ้นให้เกิดอาการหลับลึกมากขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพถูกปรับลดลงด้วยสมุนไพรหลายชนิด ที่ผสมให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในการนอนหลับที่ไม่สงบ ซึ่งในขั้นตอนนี้เขาต้องแยกเอาส่วนที่ไม่ต้องการออก เหลือไว้เฉพาะเพียงสองชนิด เพื่อไม่ให้เครื่องหอมมีกลิ่นที่แปลกไปหลังจากที่แยกสมุนไพรทั้งหมดออกจากกัน เขาจึงค่อยๆบดสมุนไพรสองชนิดเข้าด้วยกัน จากนั้นก็เทส่วนผสมกลับเข้าไปในถุงใหม่ที่ยังไม่ถูกแกะออก เท่านี้ฤทธิ์ของมันจะมากขึ้นกว่าปกติ แต่กลิ่นยังคงเดิม ทำให้ยากที่ใครจะจับได้จากนั้นเขาก็นำมันกลับไปวางไว้ที่ตู้สมุนไพรเหมือนเดิม เครื่องหอมถูกจัดเตรียมเรียบร้อย เขาหยิบสมุนไพรส่วนที่เหลือ กินมันเข้าไปเพื่อยับยั้งฤทธิ์การหลับลึก เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองได้รับผลจากมันไปด้วยเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ชายหนุ่มจึงกลับไปนอนลงบนเตี
ชายผิวสีเดินลึกเข้าไปในเขตตอนใต้ของเมือง เขาใช้ผ้าคลุมศีรษะให้มิดชิดเพื่อซ่อนใบหน้า ดวงตาคมกวาดมองรอบๆอย่างระมัดระวัง แสงไฟจากร้านค้าและแสงเทียนสลัวๆ ตามตรอกซอยสะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศที่มืดมน ราวกับโลกอีกใบที่ซ่อนตัวอยู่ภายในเมืองอันศิวิไลซ์ถนนเต็มไปด้วยฝุ่นคละคลุ้ง กลิ่นเหม็นอับจากของไม่พึงประสงค์วางเรียงรายอยู่ในแผงลอย เหล่าพ่อค้าแม่ค้ากำลังลักลอบขายของต้องห้ามอย่างลับๆ เสียงการเจรจาต่อรองดังขึ้นเป็นระยะ เติมเต็มบรรยากาศแห่งนี้ไปด้วยความรู้สึกไม่ชอบมาพากล แต่สำหรับที่นี้ มันเป็นเรื่องปกติชายผิวสีแทรกตัวเข้าไปในฝูงชนอย่างแนบเนียน ลัดเลาะผ่านตรอกซอยที่สลับซับซ้อนจนกระทั่งมาถึงร้านขายของจิปาถะที่ดูธรรมดาแห่งหนึ่ง มันเหมือนร้านทั่วๆไป แต่นี่เป็นเพียงฉากบังหน้าเท่านั้น ภายในที่แห่งนี้ มีโลกอีกใบซ่อนอยู่เมื่อเดินเข้ามา กลิ่นธูปหอมอ่อนๆลอยตลบอบอวลไปทั่วร้าน บนชั้นวางสินค้าถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ มีผลิตภัณฑ์มากมายที่องค์กรผลิตขึ้น วางปะปนอยู่กับสินค้าประเภทอื่นๆ สินค้าพวกนี้มีราคาย่อมเยาและใช้งานได้จริง ทำให้มีอยู่ในบ้านเรือนของผู้คนเป็นจำนวนมาก จึงกลายเป็นเหตุผลให้เขาสามารถหาของใ
ชายร่างสูงใหญ่เดินผ่านทางเดินยาวที่ปกคลุมด้วยความเงียบสงัดของพื้นที่ บรรยากาศภายในบริเวณนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายทรงพลังที่ทั้งหนักอึ้งและน่าเกรงขาม เขาหยุดชั่วครู่หน้าประตูบานใหญ่ของห้องผู้นำองกรณ์ บานประตูไม้สลักลวดลายละเอียดอ่อนแสดงถึงอำนาจและบทบาทสำคัญของเจ้าของห้องในขณะที่เขาก้าวผ่านหน้าประตู ความรู้สึกหนึ่งแผ่ซ่านไปทั่วร่าง คล้ายมีสายตาจับจ้องจากอีกมิติ พลังจากดันเจี้ยนแห่งนี้ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงการเฝ้ามองของเจ้าของที่นี้อย่างชัดเจน แม้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริงๆก็ตาม"ดูเหมือนเธอมีเรื่องที่จะพูดด้วย แต่ก็ลังเลที่จะถามสิน่ะ" เขาคิดในใจ สายตาสีแดงฉานของเขาหันไปมองบานประตูอย่างครุ่นคิด ก่อนที่จะส่ายหัวเบาๆผู้นำของสถานที่แห่งนี้ เป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง เธอเป็นลูกสาวของอดีตผู้นำองกรณ์อาชกรรมขนาดใหญ่ในเมือง แต่ถูกเขาทำลายลงไปเมื่อหลายปีก่อน ในตอนนั้นเธอยังเยาว์วัย แถมยังเป็นลูกของโสเภณีที่องกรณ์จับตัวมาอีก ทำให้เธอมักจะถูกรังแก และ กลั่นแกล้งดูหมิ่นเสมอเธอที่ผ่านความยากลำบากในชีวิตแต่ล่ะวัน ก็ได้มาพบกับเขาในร่างของจอมเชือด ในตอนแรกเธอร้องขอที่จะติดตามเขา แต่ตัวเขาในตอนนั้นปฏิเสธ ไม่อยาก
หญิงสาวเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมสีม่วงอมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้ในสถานที่แห่งนี้ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ทำให้เธอรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวทุกอย่างของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอเรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของมือสังหาร จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มานานแล้ว แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากเขาโดยตรงเธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับเรื่องราวนั้น หนักเกินกว่าจะเล่าออกมาดวงตาสีชมพูอ่อนสะท้อนแสงจากโคมไฟ หญิงสาวนั่งนิ่งราวกับกำลังขบคิดอะไรบาง แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ อยากให้ชายหนุ่มเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเธอ แต่เธอก็รู้ดี เขาก็ยังเป็นตัวเขา—คนที่เลือกจะแบกรับทุกอย่างไว้เพียงลำพัง ไม่ยอมพึ่ง
คลินิกตรงหน้าตั้งอยู่ห่างจากเขตใจกลางเมืองเล็กน้อย ตัวอาคารหินสีซีด ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึก หน้าต่างกระจกสีชั้นล่างสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไป ลวดลายบนกระจกดูเหมือนจะพร่ามัวในแสงสลัว สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยจำนวนนึงยามตีสี่ ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ ความเงียบรอบตัวแทบจะทำให้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วงกระทบพื้น ร่างสูงใหญ่ยืนพิงกำแพงใต้ร่มเงาตรงข้ามกับสถานที่ ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยังหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท เป็นสถานที่ทำงานของเจ้าของสถานที่แห่งนั้น แต่ในยามนี้ ไม่มีแสงไฟส่องลอดออกมา“ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่…” เขาพึมพำเสียงเบา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงนั้นแทบชัดเจนในสายลม เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียง กระโดดขึ้นเกาะขอบหน้าต่างชั้นสอง เสียงลมแผ่วเบาและใบไม้ไหวกลบการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาสีแดงสังเกตการณ์ในห้องอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าไม่มีใครอยู่เมื่อแน่ใจแล้ว เขาดึงจดหมายจากกระเป๋าออกมา มันเป็นเศษกระดาษที่เขาเก็บได้แถวนี้ จดหมายนั้นเขียนด้วยลายมือเร่งรีบ เนื้อความสั้นๆระบุเพียงเวลาและสถานที่ ไม่ได้บอกถึงความต้
ก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อนชายที่เขาช่วยเหลือไว้สวมชุดแปลกๆราวกับมาจากอีกทวีป ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาว ภาษาที่ใช้ ก็ดูเหมือนจะถูกๆผิดๆแต่กลับเต็มไปด้วยสำบัดสำนวนมากมายราวกับจงใจชายคนนั้นอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เขาจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีของคนอื่นมาด้วยเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวันแทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยไปให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าเป็นศาสตร์ลับในดินแดนของตน หนังสือเล่มนี้บันทึกเกี่ยวกับวิธีการปกปิด และ ซ่อนเร้น โดยใช้พลังที่ผสานระหว่างธรรมชาติและเจตจำนงในตอนแรก เขารับหนังสือเ
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆกลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับอยากกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันจนเธอไม่อยากจะลุกออกจากเตียงเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งพิงหลับอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าสงบนิ่งภายใต้เงามืด เส้นผมสีทองของเขาสว่างไสวเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เผยให้เห็นอีกด้านนึงที่เธอคุ้นเคย—ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนอะไรบางอย่างก่อนหน้านี้ ทำให้เธอโล่งใจขึ้นเล็กน้อย “อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อออกมาเบาๆเหมือนจะยืนยันการมีตัวตนอยู่ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อพึ่งรู้สึกตัวว่า ตัวเองนอนอยู่บนเตียงของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย ขณะที่พยายามเรียกความทรงจำที่เลือนรางกลับคืนมาภาพเหตุการณ์เมื่อคืนผุดขึ้นในความทรงจำ จำได้ว่าเธอ และ เพื่อนพูดคุยเกี่ยวกับข่าวลือเรื่องของรางวัลในการทดสอบที่
ความกังวลในใจของเธอคลี่คลายลง แต่ก็ยังไม่หมดสิ้น ราวกับไม่สามารถสลัดคำถามนั้นออกจากหัวไปได้ ก่อนจะหายใจเข้าลึก รวบรวมความกล้าอีกครั้ง“ฉันรู้ว่ามันอาจจะไม่เหมาะที่จะถามอะไรแบบนี้ ในตอนที่นายเพิ่งผ่านเรื่องเลวร้ายมา…”เธอหยุดเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของเขา แต่ชายหนุ่มยังคงนิ่ง เหมือนไม่มีความสับสนใดๆ“มันมีหลายเรื่องที่ฉันอยากจะถามนาย แต่…” เธอลดสายตาลงมองแก้วชาที่อุ่นในมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “เรื่องที่สำคัญกว่านั้น—ฉันอยากรู้... นายได้รับอะไรจากการทดสอบนั้น?”ชายหนุ่มมีท่าทีลำบากใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มตอบอย่างอึดอัด"ขอโทษด้วย มันเป็นความลับเฉพาะฝ่ายนักเวทย์ ไม่สามารถบอกได้""ฉันรู้เกี่ยวกับการทดสอบนั้นแล้ว แล้วก็รู้ด้วยว่าของรางวัลอาจจะเป็นชิ้นส่วนร่างกายของจอมปราชญ์ไรอัส นายไม่จำเป็นต้องปิดบังหรอก"เขาชะงักเล็กน้อย หยุดคิดไปชั่วขณะก่อนจะพูดออกมา"รู้มาจากไอริสสิน่ะ? เธอคนนั้นไม่เข้าใจความละเอียดอ่อนของฝ่ายอัศวิน กับ จอมเวทย์รึไง?""แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นถ้ารู้แล้ว?""ถ้ารู้แล้วก็ไม่เป็นอะไร" เขาพูดเสียงต่ำ แล้วเขาก็ถอนหายใจ"ฟังแล้วก็อย่าไปบอกใครล่ะ แล้วก็ห้ามบอกด้วยว่าเธอรู้มาจากไอริ
"นายจะพาฉันไปไหนเนี่ย?" หญิงสาวถามขึ้น ขณะที่พวกเขาเลี้ยวเข้าตรอกซอยแคบๆแห่งหนึ่ง กลิ่นอายของความวุ่นวายในย่านนี้ ทำให้เธอรู้สึกตื่นตัวมากขึ้น"ฉันไม่ได้พาเธอ เธอตามฉันมาเอง" ชายหนุ่มที่เดินนำหน้าตอบเสียงห้วนๆ แต่ยังไม่หยุดเดิน เขาไม่แม้จะหันมามองด้วยซ้ำก่อนหน้านี้ เขาเคยเป็นคนที่พูดจานุ่มนวล สุภาพ และมีมารยาทเสมอเมื่ออยู่ใกล้เธอ แต่ทุกสิ่งที่เธอรู้จักเกี่ยวกับตัวเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อคมมีดหันมาจ่อที่ตาของเธอ เธอแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คืออาร์วินคนเดิมที่เธอเคยรู้จักแววตาของเขาที่ซ่อนอยู่ใต้เลนส์แว่นสีน้ำตาลอมแดง เต็มไปด้วยความระมัดระวัง เหมือนกับเด็กน้อยที่พึ่งออกจากบ้านเป็นครั้งแรก มันเป็นสายตาที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกถึงความแปลกใจอย่างชัดเจนเธอมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ในขณะที่เขาก้าวเดินอย่างชำนาญ แต่ทุกย่างก้าวกลับเต็มไปด้วยความระแวง เขามองไปรอบตัวเหมือนกับคนที่กำลังหลบหนี หรือไม่ก็เหมือนคนที่สูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป เธอเริ่มสงสัยว่าเขากำลังกลัวอะไรอยู่ หรืออาจจะเป็นเพราะเขาสูญเสียวงแหวนเวทมนตร์ไป ทำให้ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ เลยต้องระวังตัวเป็นพิเศษหญิงสาวหยุดชะงักเมื่ออาร์วินหย
ชายหนุ่มเดินลึกเข้าไปในแนวป่าจนถึงเขตเมือง กลิ่นอายของผู้คนเริ่มแตะจมูกของเธอที่แอบตามมาเงียบๆ เสียงพูดคุยและความเคลื่อนไหวของตลาดกลางคืนแว่วเข้ามา เธอหยุดอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์เขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะเลี้ยวเข้าไปในตรอกแคบระหว่างร้านค้าเล็กๆ“ทำไมต้องแอบมาเข้าเมืองมาในเวลานี้ด้วย น่าสงสัยจริงๆ…” หญิงสาวคิดในใจ ก่อนปรับผ้าคลุมไหล่ให้กระชับและเริ่มตามเขาเข้าไปในตรอกที่ดูคับแคบและอับทึบ มีกลิ่นอับของความชื้นผสมกับกลิ่นไม้เก่าจากกำแพงร้านค้าหญิงสาวที่กวาดสายตาเหลือบมองไปรอบข้าง ก่อนที่จะเห็นเงาของเขาเลี้ยวหายเข้าไปในซอยเล็กๆ เธอเห็นดังนั้น จึบรีบเร่งก้าวตามโดยไม่ลดความระมัดระวัง แต่เมื่อพ้นมุมซอยเข้าไป ร่างสูงของชายหนุ่มก็พุ่งพรวดเข้ามามาจากมุมที่เขาเข้าไป ชายหนุ่มเคลื่อนตัวรวดเร็วจนเธอไม่ทันตั้งตัว เธอถูกผลักชนเข้าติดกับกำแพงผนังด้านหลัง“อึก—!” เสียงร้องสั้นกระชับของเธอดังขึ้นในความเงียบ คทาในมือถูกปัดกระเด็นไปด้วยแรงที่เหนือชั้น ตัวเธอแข็งทื่อเหมือนถูกแช่แข็ง ลมหายใจที่เคยสม่ำเสมอหยุดชะงักทันที ปลายมีดเย็นเฉียบจ่ออยู่ห่างจากดวงตาของเธอเพียงเส้นขน ความหวาดกลัวที่ท่วมท้นทำ
หลังจากที่หญิงสาวหลับไป ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ในความเงียบ ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นไฟไหม้สองจุดในคืนเดียว—หนึ่งคือห้องของเขาเอง สถานที่ที่เคยอบอวลไปด้วยเงาของความทรงจำ ทุกอย่างที่หล่อหลอมเป็นชีวิตของเขาและเธอ หนังสือที่เคยวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ บัดนี้กลายเป็นเถ้าถ่าน เฟอร์นิเจอร์ที่เขาเลือกเองถูกเผาผลาญจนไม่เหลือเค้าเดิม ทุกสิ่งที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของวันคืนที่เคยมีร่วมกัน มอดไหม้ไปพร้อมกับเปลวเพลิง ราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่ตั้งแต่แรก…มือขวาของเขากำแน่นจนข้อกระดูกปูดขึ้นมา เขาบีบมือจนเจ็บ แต่พยายามข่มความรู้สึกโกรธเอาไว้ แม้จะพยายามทำเช่นนั้น แววตากลับยังคงสะท้อนความเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ภายใน เขาหายใจเข้าลึก พยายามประคองสติขณะที่ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวอีกแห่งคือโรงพยาบาลกลางเมือง... สถานที่ๆซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย หากต้องการลบตัวตนของเขาจริงๆ แค่เผาห้องพักก็เพียงพอ แต่ทำไมต้องเผาโรงพยาบาล?เรื่องมันใหญ่เกินไป… หรือทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นตอนที่เกิดเรื่องกับเขาพอดี? แต่ถ้านี้เป็นแผนของใครบางคน แล้วพวกมันจะได้ประโยชน์อะไรจากการกระทำเช่นนี้?ชายหนุ่มนั่งครุ่
ความกังวลในใจของเธอคลี่คลายลง แต่ก็ยังไม่หมดสิ้น ราวกับไม่สามารถสลัดคำถามนั้นออกจากหัวไปได้ ก่อนจะหายใจเข้าลึก รวบรวมความกล้าอีกครั้ง“ฉันรู้ว่ามันอาจจะไม่เหมาะที่จะถามอะไรแบบนี้ ในตอนที่นายเพิ่งผ่านเรื่องเลวร้ายมา…”เธอหยุดเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของเขา แต่ชายหนุ่มยังคงนิ่ง เหมือนไม่มีความสับสนใดๆ“มันมีหลายเรื่องที่ฉันอยากจะถามนาย แต่…” เธอลดสายตาลงมองแก้วชาที่อุ่นในมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “เรื่องที่สำคัญกว่านั้น—ฉันอยากรู้... นายได้รับอะไรจากการทดสอบนั้น?”ชายหนุ่มมีท่าทีลำบากใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มตอบอย่างอึดอัด"ขอโทษด้วย มันเป็นความลับเฉพาะฝ่ายนักเวทย์ ไม่สามารถบอกได้""ฉันรู้เกี่ยวกับการทดสอบนั้นแล้ว แล้วก็รู้ด้วยว่าของรางวัลอาจจะเป็นชิ้นส่วนร่างกายของจอมปราชญ์ไรอัส นายไม่จำเป็นต้องปิดบังหรอก"เขาชะงักเล็กน้อย หยุดคิดไปชั่วขณะก่อนจะพูดออกมา"รู้มาจากไอริสสิน่ะ? เธอคนนั้นไม่เข้าใจความละเอียดอ่อนของฝ่ายอัศวิน กับ จอมเวทย์รึไง?""แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นถ้ารู้แล้ว?""ถ้ารู้แล้วก็ไม่เป็นอะไร" เขาพูดเสียงต่ำ แล้วเขาก็ถอนหายใจ"ฟังแล้วก็อย่าไปบอกใครล่ะ แล้วก็ห้ามบอกด้วยว่าเธอรู้มาจากไอริ
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆกลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับอยากกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันจนเธอไม่อยากจะลุกออกจากเตียงเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งพิงหลับอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าสงบนิ่งภายใต้เงามืด เส้นผมสีทองของเขาสว่างไสวเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เผยให้เห็นอีกด้านนึงที่เธอคุ้นเคย—ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนอะไรบางอย่างก่อนหน้านี้ ทำให้เธอโล่งใจขึ้นเล็กน้อย “อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อออกมาเบาๆเหมือนจะยืนยันการมีตัวตนอยู่ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อพึ่งรู้สึกตัวว่า ตัวเองนอนอยู่บนเตียงของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย ขณะที่พยายามเรียกความทรงจำที่เลือนรางกลับคืนมาภาพเหตุการณ์เมื่อคืนผุดขึ้นในความทรงจำ จำได้ว่าเธอ และ เพื่อนพูดคุยเกี่ยวกับข่าวลือเรื่องของรางวัลในการทดสอบที่
ก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อนชายที่เขาช่วยเหลือไว้สวมชุดแปลกๆราวกับมาจากอีกทวีป ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาว ภาษาที่ใช้ ก็ดูเหมือนจะถูกๆผิดๆแต่กลับเต็มไปด้วยสำบัดสำนวนมากมายราวกับจงใจชายคนนั้นอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เขาจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีของคนอื่นมาด้วยเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวันแทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยไปให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าเป็นศาสตร์ลับในดินแดนของตน หนังสือเล่มนี้บันทึกเกี่ยวกับวิธีการปกปิด และ ซ่อนเร้น โดยใช้พลังที่ผสานระหว่างธรรมชาติและเจตจำนงในตอนแรก เขารับหนังสือเ
คลินิกตรงหน้าตั้งอยู่ห่างจากเขตใจกลางเมืองเล็กน้อย ตัวอาคารหินสีซีด ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึก หน้าต่างกระจกสีชั้นล่างสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไป ลวดลายบนกระจกดูเหมือนจะพร่ามัวในแสงสลัว สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยจำนวนนึงยามตีสี่ ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ ความเงียบรอบตัวแทบจะทำให้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วงกระทบพื้น ร่างสูงใหญ่ยืนพิงกำแพงใต้ร่มเงาตรงข้ามกับสถานที่ ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยังหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท เป็นสถานที่ทำงานของเจ้าของสถานที่แห่งนั้น แต่ในยามนี้ ไม่มีแสงไฟส่องลอดออกมา“ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่…” เขาพึมพำเสียงเบา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงนั้นแทบชัดเจนในสายลม เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียง กระโดดขึ้นเกาะขอบหน้าต่างชั้นสอง เสียงลมแผ่วเบาและใบไม้ไหวกลบการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาสีแดงสังเกตการณ์ในห้องอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าไม่มีใครอยู่เมื่อแน่ใจแล้ว เขาดึงจดหมายจากกระเป๋าออกมา มันเป็นเศษกระดาษที่เขาเก็บได้แถวนี้ จดหมายนั้นเขียนด้วยลายมือเร่งรีบ เนื้อความสั้นๆระบุเพียงเวลาและสถานที่ ไม่ได้บอกถึงความต้
หญิงสาวเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมสีม่วงอมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้ในสถานที่แห่งนี้ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ทำให้เธอรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวทุกอย่างของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอเรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของมือสังหาร จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มานานแล้ว แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากเขาโดยตรงเธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับเรื่องราวนั้น หนักเกินกว่าจะเล่าออกมาดวงตาสีชมพูอ่อนสะท้อนแสงจากโคมไฟ หญิงสาวนั่งนิ่งราวกับกำลังขบคิดอะไรบาง แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ อยากให้ชายหนุ่มเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเธอ แต่เธอก็รู้ดี เขาก็ยังเป็นตัวเขา—คนที่เลือกจะแบกรับทุกอย่างไว้เพียงลำพัง ไม่ยอมพึ่ง
ชายร่างสูงใหญ่เดินผ่านทางเดินยาวที่ปกคลุมด้วยความเงียบสงัดของพื้นที่ บรรยากาศภายในบริเวณนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายทรงพลังที่ทั้งหนักอึ้งและน่าเกรงขาม เขาหยุดชั่วครู่หน้าประตูบานใหญ่ของห้องผู้นำองกรณ์ บานประตูไม้สลักลวดลายละเอียดอ่อนแสดงถึงอำนาจและบทบาทสำคัญของเจ้าของห้องในขณะที่เขาก้าวผ่านหน้าประตู ความรู้สึกหนึ่งแผ่ซ่านไปทั่วร่าง คล้ายมีสายตาจับจ้องจากอีกมิติ พลังจากดันเจี้ยนแห่งนี้ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงการเฝ้ามองของเจ้าของที่นี้อย่างชัดเจน แม้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริงๆก็ตาม"ดูเหมือนเธอมีเรื่องที่จะพูดด้วย แต่ก็ลังเลที่จะถามสิน่ะ" เขาคิดในใจ สายตาสีแดงฉานของเขาหันไปมองบานประตูอย่างครุ่นคิด ก่อนที่จะส่ายหัวเบาๆผู้นำของสถานที่แห่งนี้ เป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง เธอเป็นลูกสาวของอดีตผู้นำองกรณ์อาชกรรมขนาดใหญ่ในเมือง แต่ถูกเขาทำลายลงไปเมื่อหลายปีก่อน ในตอนนั้นเธอยังเยาว์วัย แถมยังเป็นลูกของโสเภณีที่องกรณ์จับตัวมาอีก ทำให้เธอมักจะถูกรังแก และ กลั่นแกล้งดูหมิ่นเสมอเธอที่ผ่านความยากลำบากในชีวิตแต่ล่ะวัน ก็ได้มาพบกับเขาในร่างของจอมเชือด ในตอนแรกเธอร้องขอที่จะติดตามเขา แต่ตัวเขาในตอนนั้นปฏิเสธ ไม่อยาก