แสงสีส้มของยามเย็นสาดเข้ามาในห้อง ส่องผ่านหน้าต่างบานเล็กที่เปิดไว้เพียงบางส่วน ความสงบเงียบของช่วงเวลาพลบค่ำถูกทำลายด้วยเสียงหอบหายใจแผ่วเบาของชายที่นอนนิ่งบนเตียง เอรอสลืมตาขึ้นช้าๆ ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง ราวกับทุกอวัยวะต่างกรีดร้องพร้อมกัน หัวใจของเขาเต้นอย่างเชื่องช้าและหนักอึ้ง ราวกับย้ำเตือนให้รู้ว่าอาการบาดเจ็บนั้นยังคงฝังลึกอยู่ทุกวินาที
เขาพยายามขยับตัว ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง แต่ทันทีที่เปลี่ยนท่าทาง ความเจ็บปวดจากอวัยวะภายใน ก็เริ่มปะทุขึ้นเหมือนไฟลุกโหมทำให้เขาหยุดชะงักในทันที เขากัดฟันแน่นเพื่อข่มเสียงครางไม่ให้เล็ดรอดออกมา มือข้างหนึ่งกดลงบนหน้าท้อง หวังบรรเทาความเจ็บปวด แต่กลับไม่มีอะไรดีขึ้น เหงื่อเย็นไหลซึมลงตามกรอบหน้าผาก จนทำให้ผมของเขาชื้นไปหมด ร่างกายนี้ อยู่ในสภาพย่ำแย่กว่าที่เขาคาดคิด
เมื่อเอรอสเหลือบสายตาไปที่กระจกบานเล็กข้างเตียง ภาพสะท้อนที่ปรากฏคือใบหน้าของ อาร์วิน มันดูซีดขาว และ ไร้ชีวิตจนทำให้รู้สึกน่าสังเวช เขาจ้องมันอยู่ชั่วครู่ ราวกับกำลังประเมินสภาพตัวเอง ก่อนพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแห้งผาก
“หนักกว่าที่คิด...”ความหงุดหงิดพลุ่งพล่านในใจ เพราะไม่อาจควบคุมร่างนี้ได้อย่างที่ต้องการ
สายตาของเอรอสเหลือบไปสะดุดกับกระดุมเม็ดเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง อุปกรณ์เวทมนตร์ที่เขาใช้ส่งสัญญาณเรียกเอเลน่ามาตั้งแต่หลบหนีขึ้นมาบนพื้นดิน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้สัญญาณเตือนภัยดังขึ้น สถานการณ์ในตอนนั้นค่อนข้างเสี่ยงมากๆ แต่โชคดีที่เธอยังมาทันเวลา แต่มันจะดีกว่านี้หากเขาหลบหนีออกไปจากเมืองได้ โดยที่ไม่ต้องเจอเธอ
ในขณะที่เขาพยายามรวบรวมสติ เสียงฝีเท้าเบาๆดังขึ้นจากด้านนอก เอรอสหันไปมอง ประตูที่ค่อยๆแง้มเปิดออก เผยให้เห็นร่างของเอเลน่าเดินก้าวเข้ามา เธอยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ดวงตาสีเขียวมรกตของเธอ จ้องมองเขาอย่างละเอียด พยายามจับสังเกตบางสิ่งที่ผิดปกติ ยังคงมีร่องรอยความสงสัยแฝงอยู่ในแววตา แม้เธอจะยังไม่พูดอะไรออกมา แต่บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความอึดอัดที่ยากจะปิดบัง
“นายเป็นยังไงบ้าง? รู้สึกดีขึ้นรึยัง?”เอเลน่าถามเบาๆขณะนั่งลงข้างเตียง น้ำเสียงของเธอฟังดูนุ่มนวล แต่แฝงไปด้วยความไม่สบายใจ
เอรอสพยายามฝืนยิ้ม แม้จะรู้ดีว่ามันดูไม่เป็นธรรมชาติ“ค่อนข้างดีขึ้นแล้ว...”เขาตอบด้วยเสียงที่แหบแห้ง ความเจ็บลึกทำให้ต้องหายใจยาว ก่อนกัดฟันแน่นเมื่อความปวดแผ่ซ่านขึ้นอีกครั้ง
เอเลน่ามองเขาด้วยสายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย“ทำไมตอนนั้นถึงไม่บอกฉันว่าอาการนายไม่ค่อยสู้ดี? ทำไมต้องฝืนตัวเองขนาดนั้นด้วย?”
“ขอโทษ... ฉันแค่ไม่อยากให้เธอต้องกังวล” เอรอสพูดเบา ๆ เสียงแผ่วจนแทบกลืนไปกับอากาศ เขาหลบสายตาเล็กน้อย หวังจะซ่อนความรู้สึกที่ไหววูบอยู่ในใจ—ทั้งความกังวลและความสับสนที่เริ่มกัดกินเขามากขึ้นเรื่อย ๆ
เอเลน่านั่งลงข้างเขา มองด้วยสายตาอ่อนโยน แต่แฝงความไม่แน่ใจเอาไว้ เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนเอื้อมมือไปจับมือของเขา สัมผัสอ่อนโยนนั้น ราวกับต้องการบอกให้เขารู้ว่าเธออยู่ข้างเขาจริงๆ
เอรอสรู้สึกเหมือนมีคามรู้สึกบางอย่างที่ไม่ควรมีเกิดขึ้น หัวใจเต้นแรงโดยไม่รู้ตัว—ความทรงจำและอารมณ์ที่อาร์วินมีต่อเธอ ค่อยๆแทรกเข้ามาในจิตวิญญาณของเขา มันเป็นความรู้สึกอ่อนโยนและอบอุ่น แต่กลับทำให้เขาหวาดหวั่น
“ฉันจะอยู่ข้างนาย จนกว่านายจะดีขึ้น”เอเลน่าบีบมือเขาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและ เต็มไปด้วยความจริงใจ
เอรอสฝืนยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นดูเจื่อนจางเกินกว่าจะหลอกใครได้
“ฉันไม่เป็นไรหรอก... อีกไม่นานฉันก็จะดีขึ้น”เขาพูดราวกับกำลังปลอบทั้งเธอและตัวเอง แต่ในใจลึกๆเขารู้ดีว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ได้เป็นของตัวเขา กำลังเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ และถ้าปล่อยมันเอาไว้ มันอาจนำเขาไปสู่จุดที่ไม่มีวันหวนกลับได้อีก
เอเลน่าจ้องเขาด้วยสายตาสงสัย แววตาของเธอเหมือนกำลังพยายามอ่านความคิดของเขา
“นายดูไม่เป็นตัวเองเลย...” เธอพึมพำเบาๆดวงตายังคงจับจ้องอย่างพินิจพิเคราะห์
เอรอสพยายามฝืนพูดออกมา แม้ความเจ็บปวดจะกัดกินทุกถ้อยคำ“ขอโทษนะ...” เขาพูดด้วยเสียงแผ่วเบา เผลอหยุดหายใจสั้นๆ เพื่อกลั้นความเจ็บ
“ตอนนี้... มันยังเหมือนฝันอยู่เลย…”เขาหอบเบาๆแต่ก็พยายามพูดต่อ
“แม้แต่ตอนนี้...ก็ยังไม่อยากเชื่อ...ว่าจะหนีออกมาได้จริงๆ”เขาฝืนพูดจนจบ ก็ไอออกมาเบาๆ ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาราวกับลึกเข้าไปถึงอวัยวะภายใน แต่เขาพยายามกลั้นเสียงไอเอาไว้ เพื่อไม่ให้ดูอ่อนแอไปมากกว่านี้
เอเลน่ามองเขาด้วยความกังวลา เธอเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปเปิดลิ้นชักข้างเตียง แล้วหยิบโพชั่นฟื้นฟูขวดเล็กออกมาแล้วยื่นให้เขา
"ดื่มนี่เถอะ มันจะช่วยให้อาการนายดีขึ้นบ้าง" เธอกล่าวเบาๆพร้อมเปิดจุกฝาขวดออก แล้วจับขวดไว้ในมือเขา
เอรอสรับโพชั่นมา แม้จะรู้ดีว่ามันไม่ได้มีผลรักษาในทันที และหากดื่มติดต่อกัน ประสิทธิภาพจะลดลง แต่เขาก็ฝืนยกมันขึ้นจิบช้าๆ ความเจ็บที่บรรเทาลงเพียงเล็กน้อยช่วยให้เขาผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง แม้จะยังเจ็บปวดอยู่ก็ตาม
หลังจากดื่มเสร็จ เอรอสสังเกตุเห็นท่าทีของเอเลน่า ที่ยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยว่าเขาใช่อาร์วินตัวจริงรึเปล่า เอรอสจึงตัดสินใจพูดเรื่องขึ้นมาเพื่อเบี่ยงประเด็น
“ฉันถูกลูกชายของตระกูลดราโกร์นกับแบล็คการ์ดจับตัวไปหน่ะ… ครั้งนี้พวกมันเตรียมตัวมาดีจริงๆ” เอรอสพูดขึ้น พยายามปรับน้ำเสียงให้ฟังดูปกติ
เอเลน่าขมวดคิ้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองเมื่อได้ยินชื่อของตระกูลคู่แค้น
“พวกนั้นงั้นเหรอ? คราวนี้ชักจะล้ำเส้นเกินไปแล้ว ถึงขั้นบุกเข้ามาจับตัวนายถึงในคฤหาสน์…”
แต่ตอนนี้เราไม่มีหลักฐานพอจะเอาผิดพวกนั้นได้” เอรอสพูดเสียงเรียบ พยายามปกปิดความจริงที่ว่าอาจมีคนทรยศอยู่ในตระกูลของเธอ
เดิมที อาร์วินเป็นนักเวทย์ที่มีความสามารถสูง พร้อมวงแหวนมานาถึงสามวง แม้จะไม่เทียบเท่าความสามารถของเอเลน่า แต่หากเขาได้รับการสนับสนุนจากคนในตระกูลของเธอ ย่อมไม่มีทางที่เขาจะถูกจับได้
ยิ่งกว่านั้น ในระหว่างการต่อสู้ จู่ๆ มานาในตัวของอาร์วินและอัศวินที่คุ้มกันก็เกิดอาการหนักหน่วงและติดขัด ไม่สามารถร่ายเวทมนตร์ได้ ทำให้เขาพ่ายแพ้ในที่สุด
เอเลน่ากำหมัดแน่น ดวงตาของเธอลุกวาวด้วยความโกรธ “ถ้าไม่มีหลักฐาน ก็ต้องหามันให้ได้! ฉันจะไม่ปล่อยให้พวกนั้นลอยนวลไปได้แน่”
เอรอสยกมือขึ้นเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้เธอใจเย็น“ใจเย็นก่อน... ถ้าเราเผชิญหน้ากับพวกมันในตอนนี้ มีแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลง เราต้องรอโอกาส"
เขาหยุดเล็กน้อยเพื่อให้เธอรับฟัง จากนั้นพูดต่อด้วยน้ำเสียงสงบ
“อย่างน้อย ตอนนี้เราก็ทำให้หอคอยติดหนี้พวกเราได้บ้าง นั่นจะเป็นประโยชน์ต่อเราในอนาคต
เอเลน่าจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจยาวออกมา แม้จะพยักหน้ารับ แต่แววตายังเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่ลดละ“ก็ได้… แต่ฉันจะไม่ยอมให้เรื่องนี้เงียบหายไปนานแน่”
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น พ่อบ้านเข้ามาพร้อมกับจดหมายในมือ เขาก้มศีรษะอย่างนอบน้อม “คุณหนูเอเลน่า มีจดหมายส่งมาครับ”
เอเลน่ารับจดหมายมาอย่างรวดเร็ว เธอก้มมองซองในมืออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยแล้วเหลือบมองไปทางหน้าต่างด้วยแววตาราวกับจะขอเวลาสักครู่นึง
เอรอสรับรู้ถึงความต้องการของเธอ เขาพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมเอ่ยเสียงเรียบ
“ไปเถอะ”
เอเลน่าจึงเดินไปที่หน้าต่าง เธอเปิดซองจดหมายอย่างระมัดระวัง ก่อนค่อยๆ คลี่กระดาษออกอ่าน ใบหน้าเธอเปลี่ยนไปทันที ดวงตาฉายแววตื่นตระหนกเมื่อเห็นข้อความในจดหมาย
เอรอสจ้องมองเธออยู่เงียบๆ พร้อมกับหมุนเวียนมานาที่เหลืออยู่ในร่างกายเล็กน้อยเพื่อเสริมประสิทธิภาพการได้ยิน เขาตั้งสมาธิเต็ม แล้วเงี่ยหูฟังทุกถ้อยคำโดยที่เอเลน่าไม่รู้ตัว
“...บัตรเชิญไปยังสังเวียนใต้ดิน... งานเปิดตัวนักสู้ ลูกสาวของ—จอมเชือด...”
หัวใจเอรอสเต้นรัวแรงขึ้น ในจังหวะนั้น เขาสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวบางอย่างภายในจิตวิญญาณของตน ราวกับว่ามีแรงดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายใน วิญญาณของเรย์นาร์ครู้สึกพยายามจะแทรกทะลุออกมา มันพยายามกดดัน เพื่อครอบงำ และ ควบคุมร่างกายของเขาให้ได้
ความรู้สึกนั้นค่อยๆ เพิ่มความรุนแรงขึ้น เอรอสต้องตั้งสติแน่วแน่ รวบรวมพลังภายในเพื่อระงับ และ ยับยั้งความปรารถนาของเรย์นาร์คที่พยายามคืบคลานออกมา
ขณะเดียวกัน ทางฝั่งของเอเลน่า
เอเลน่าจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง แววตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดระแวง และวิตกกังวล ความทรงจำในอดีตพลันหวนกลับมา—วันที่จอมเชือดบุกเข้ามา และ เกือบจะพรากชีวิตของเธอไป หากในตอนนั้นเธอไม่ปลุกพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวขึ้นมา เธอคงไม่มีชีวิตรอดมาถึงวันนี้ แต่ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความกลัวจากวันนั้นยังคงฝังลึกอยู่ในจิตใจ ราวกับบาดแผลที่ไม่มีวันหายสนิท
เธอก้มลงมองจดหมายในมืออีกครั้ง เข้าใจเจตนาที่ในคำเชิญอย่างชัดเจน—มันต้องการให้เธอและตระกูลของเธอไปเป็นสักขีพยานในผลงานใหม่ของพวกมัน
เอเลน่ากำจดหมายแน่นจนข้อนิ้วซีด ความเย็นจากกระดาษเหมือนซึมลึกเข้าสู่ผิว เธอกลืนน้ำลายฝืดเฝื่อน ข่มความลังเลที่ก่อตัวในใจไม่ให้ปรากฏบนใบหน้า แต่ยิ่งพยายามสงบใจเท่าไร ความหวาดกลัวกลับค่อยๆ แทรกซึมเข้ามา ราวกับเงามืดที่ไม่มีวันเลือนหาย ความรู้สึกนั้นยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อเธอจินตนาการถึงเขา—ชายที่เคยเกือบจะคร่าชีวิตเธอในครั้งนั้น—อาจปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในงานนี้...
เอเลน่านั่งเงียบอยู่ข้างเตียงในห้องที่แสงเทียนสลัวๆ กำลังเต้นรำไปตามแรงลมที่ลอดผ่านเข้ามา บรรยากาศรอบตัวราวกับหยุดนิ่ง ไม่มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงลมหายใจเบาๆ ของเธอ ใบหน้าที่เธอคุ้นเคย แต่มีบางสิ่งที่แปลกไป—บางสิ่งที่เธอไม่สามารถอธิบายได้ ความปั่นป่วนในใจกลับค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นทีละน้อยรอยยิ้มอบอุ่นของอาร์วิน และความอ่อนโยนในแววตาของเขาทำให้เธอเคยรู้สึกปลอดภัยเสมอ แต่ครั้งนี้... เธอเริ่มสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ต่างไป มันอาจเป็นเพียงความเครียดจากสถานการณ์รอบตัวหรือความเหนื่อยล้าที่สะสม แต่ไม่ว่าสิ่งใดในตอนนี้ ตัวเขาดูจะไม่เหมือนเดิม ถึงแม้ใบหน้าของเขายังคงเหมือนอาร์วินทุกประการ ยกเว้นเพียงสีของดวงตาที่ไม่ใช่ฟ้าอมเงินอีกต่อไป ตอนนี้มันกลายเป็นสีเทานิ่งเรียบ—สีที่แตกต่างจากความทรงจำของเธอ คล้ายกับใครบางคนที่เธอรู้จักเอเลน่าถอนหายใจเบาๆ พลางบีบจดหมายในมือแน่นขึ้น จดหมายที่นำพาความทรงจำอันเจ็บปวดเกี่ยวกับการถูกไล่ล่าโดย "จอมเชือด" ภาพเหตุการณ์นั้นยังคงแจ่มชัดในหัวเธอ เลือดที่หลั่งไหล และ เสียงฝีเท้าของผู้ไล่ล่าเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจลืมได้การได้เจอกับอาร์วินอีกครั้ง แม้เขาจะบาดเจ็บสาหั
หลังจากที่เอเลน่าเรียกอัศวินและสาวใช้ไปดูแลอาร์วิน เธอก็ตั้งใจที่จะกลับห้อง พลางยกมือขึ้นแตะขมับเบาๆด้วยอาการเหนื่อยล้าตลอดทั้งวัน แต่แล้ว ขณะที่เธอเดินผ่านทางเดินที่ทอดยาวเชื่อมระหว่างห้องโถงหลักกับสวนในคฤหาสน์ เสียงสนทนาของกลุ่มอัศวินที่ยืนเฝ้าอยู่ใกล้ๆก็แว่วเข้าหู“รู้เรื่องที่ท่านอาร์วินสูญเสียวงแหวนมานาไปรึยัง?”หนึ่งในอัศวินเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่ไม่เบาพอที่จะหลุดรอดจากการได้ยินของเธอเอเลน่าชะงักฝีเท้า หัวใจเต้นแรงขณะที่เธอพยายามทำท่าเดินผ่านไปอย่างเรียบเฉย แต่ความกังวลกลับเพิ่มขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอีกคนหนึ่งตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ได้ยินจากสาวใช้แล้ว บาดแผลสาหัสแทบจะกลายเป็นคนพิการ หนำซ้ำยังสูญเสียวงแหวนมานาไปอีก”“ท่านผู้อาวุโสคงไม่ปล่อยเอาไว้หรอก ถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ตระกูลอาจจะเสื่อมเสียชื่อเสียงเอาได้”“บางที… อาจถึงขั้นขับออกจากตระกูล” เสียงนั้นราบเรียบแต่กลับแฝงความเย็นยะเยือกไว้ จนเอเลน่ารู้สึกเหมือนเงามืดคืบคลานเข้ามารอบตัว“การอยู่ในตระกูลโดยไร้วงแหวนมานา ก็เป็นได้แค่ตัวภาระเปล่าๆ ดีซะอีกที่ยังเมตตาให้มีชีวิตอยู่"หลังจากนั้นเขาดูครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมา
เอรอสในร่างของเรย์นาร์คเดินลึกเข้าไปในเขตตอนใต้ของเมือง เขาคลุมผ้าคลุมศีรษะให้มิดชิดเพื่อซ่อนใบหน้า ดวงตาคมกวาดมองรอบๆ อย่างระมัดระวัง แสงไฟจากร้านค้าและแสงเทียนสลัวๆ ตามตรอกซอกซอยสะท้อนให้เห็นบรรยากาศที่มืดมน ราวกับโลกอีกใบที่ซ่อนตัวอยู่ข้างใต้เมืองอันศิวิไลซ์ ถนนเต็มไปด้วยฝุ่นคละคลุ้ง และมีกลิ่นเหม็นอับจากของไม่พึงประสงค์วางเรียงรายอยู่ในแผงลอย เหล่าพ่อค้าแม่ค้ากำลังลักลอบขายของต้องห้ามอย่างลับๆ เสียงการเจรจาต่อรองดังขึ้นเป็นระยะ เติมเต็มบรรยากาศแห่งนี้ไปด้วยความรู้สึกทะแม่งๆ แต่สำหรับที่นี้ มันเป็นเรื่องปกติเอรอสแทรกตัวเข้าไปในฝูงชนอย่างแนบเนียน เดินลัดเลาะผ่านตรอกซอยที่สลับซับซ้อนจนกระทั่งมาถึงร้านขายของจิปาถะตามจุด จากสายตาคนทั่วไป ร้านนี้ดูธรรมดาๆ เหมือนร้านขายของทั่วไป แต่นี่เป็นเพียงฉากบังหน้าขององค์กรเขาเท่านั้น ภายในสถานที่แห่งนี้ มีทางเข้าที่เชื่อมไปถึงฐานทัพขององค์กรที่เขาอยู่เมื่อเขาเดินเข้ามา กลิ่นธูปหอมอ่อนๆ ลอยตลบอบอวลไปทั่วร้าน บนชั้นวางสินค้าถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ มีผลิตภัณฑ์มากมายที่องค์กรของเขาผลิตขึ้น วางปะปนอยู่กับสินค้าประเภทอื่นๆ สินค้าของพวกเขามีราคา
เอรอสยืนคุยกับกลุ่มสมาชิกอยู่ที่โถงทางเดิน บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการหยอกล้อระหว่างพวกเขา“จะว่าไปพี่ใหญ่ พี่มาประชุมงั้นหรอ?” หนึ่งในสมาชิกถามพลางยิ้มกว้างเอรอสทำหน้างงเล็กน้อย ก่อนที่จะคำถามออกมา“ประชุม? เรื่องอะไร?”ชายวัยกลางคนทำสีหน้าเบื่อหน่ายเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสริมขึ้นมา“เฮ้อ ก็เรื่องของโบสถ์นั้นแหละ แม่หนูนั้นยังดื้อด้าน ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเราดีๆเลยเนี่ยสิ”ชายวัยกลางคนทำท่าปวดหัว และ เบื่อหน่ายพอสมควร เอรอสถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้น โบสถ์ที่พวกเขาเคยพยายามจะให้เป็นพันธมิตรทางการค้าเพิ่งถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา แต่เพียงไม่กี่เดือนก่อน นักบวชระดับสูงคนหนึ่งถูกจับเพราะยักยอกเงินบริจาค แถมยังไปกู้หนี้จากองค์กรอื่นมาใช้จ่ายส่วนตัว ปล่อยให้โบสถ์ต้องเผชิญหนี้สินมหาศาลจนสาขาหลักตัดความช่วยเหลือ สถานการณ์ของโบสถ์จึงเสี่ยงล่มสลายเต็มทีแม้การที่นักบวชคนนั้นยักยอกเงินจะเป็นผลจากแผนของพวกเขา แต่การที่เขากลับไปกู้ยืมเงินจากองค์กรอื่นโดยไม่บอก แถมยังชิงฆ่าตัวตายเพื่อหนีความผิดกลับทำให้เรื่องราวยุ่งยากยิ่งกว่าเดิม อำนาจทั้งหมดตกไปอยู่ในมือผ
เอรอสนั่งนิ่ง มองจดหมายที่อยู่ในมืออย่างเงียงงัน หัวใจของเขารู้สึกหนักอึ้ง แม้ใบหน้าจะดูสงบนิ่งไร้อารมณ์ แต่ภายในกลับสับสนวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม เขาหันไปยังคาร์ลีนก่อนจะพูดออกมา“สนามประลองจะเริ่มเมื่อไหร่?” เอรอสเอ่ยถาม น้ำเสียงต่ำและหนักแน่น สะท้อนความถึงมุ่งมั่นที่กำลังถูกสั่นคลอนอยู่ลึกๆคาร์ลีนช้อนตามองเขา ความสงสัยปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในแววตาของเธอ“อีกห้าวัน... พวกมันต้องเวลาในการโปรโมทงาน และ ดึงดูดความสนใจจากชนชั้นสูงทุกระดับ”คำตอบของเธอทำให้เอรอสถึงกับนิ่งไป เสียงของคาร์ลีนค่อยๆเลือนหายไปในความคิดของเขา เขานึกถึงวงแหวนมานาที่ถูกทำลายในเขตแดน ในช่วงที่เขากำลังถูกครอบงำ ส่งผลให้พลังเวทของเขาลดน้อยลง จนแทบจะใช้งานอะไรไม่ได้ การฟื้นฟูวงแหวนมานาในเวลาสั้นๆมันมีวิธีอยู่ ถึงแม้ว่าลึกๆแล้ว เขาจะไม่อยากใช้มันก็ตาม"คงต้องใช้วิธีนั้นแล้วสินะ…” เอรอสคิดอย่างฝืนใจ แม้จะรู้ดีว่านี่คือการข้ามเส้นในสิ่งที่ไม่ควรทำ ความหวาดหวั่นบางอย่างแทรกซึมในใจจนรู้สึกถึงมันได้ชัดเจนเอรอสคิดอย่างฝืนใจ แม้จะรู้ดีว่าจะเป็นการข้ามเส้นในสิ่งที่ไม่ควรทำคาร์ลีนมองเขาด้วยความสงสัย คิ้วของเธอขมวดแน่นขึ้น“ดูเหมือน
แต่ทันทีที่เห็นเธอ เขาก็ต้องหยุดชะงักไปชั่วขณะ ดวงตาสีฟ้าสุกไสวของเธอ สะท้อนแสงอ่อนโยนคล้ายแสงจันทร์ในตอนกลางคืน ชวนให้ละสายตาไม่ได้ ผมยาวสีฟ้าระยับเหมือนเกลียวคลื่นในมหาสมุทรที่โอบรับประกายระยิบระยับของดวงดาว ทุกการเคลื่อนไหวของเธอให้ความรู้สึกที่สงบเยือกเย็น และยังแฝงความลึกลับไว้ลึกๆ ราวกับมีบางสิ่งซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังเอรอสพยายามดึงตัวเองกลับมาให้หลุดจากความตะลึงนั้น พลางปรับสีหน้าให้เรียบเฉยเหมือนเดิม สายตาเยือกเย็นของเขาประสานกับหญิงสาวแปลกหน้าที่ดูมีท่าทีเป็นมิตรและอบอุ่นเกินไป จนทำให้เขารู้สึกแปลกใจและเริ่มระแวดระวัง พร้อมกับตั้งคำถามถึงแรงจูงใจที่แท้จริงของเธอในใจ“สวัสดี ฉันเป็นผู้สืบสวนที่เพิ่งย้ายมาเมื่อไม่นานมานี้.. ยินดีที่รู้จัก”เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่มั่นใจ รอยยิ้มอ่อนๆ แฝงด้วยความเป็นมิตรยังคงประดับอยู่บนใบหน้า ท่าทีที่เธอแสดงออกทำให้เธอดูเหมือนคนที่เข้าถึงได้ง่าย แต่ในสายตาของเอรอส ความมีเสน่ห์เย้ายวนที่เธอแผ่ออกมานั้นกลับทำให้เขารู้สึกระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม“ฉันกำลังตามสืบเรื่องกลุ่มคนที่รีดไถเงินในแถวนี้อยู่... เธอพอจะรู้อะไรบ้างไหม?”เอรอสหรี่ตามองเธอด้วย
ในดันเจี้ยนร้างที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงหายใจแผ่วเบาของคาร์ลิน และ เอรอสที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเรย์ราร์คยืนห่างกันเล็กน้อย แสงสลัวจากเพดานหินเหนือศีรษะทำให้พื้นที่ๆดูรกร้างแห่งนี้ มีบรรยกาศที่ชวนขนลุก และ น่าหวาดกลัว แต่เอรอสกลับยืนนิ่งสงบ ไม่แสดงท่าทีวิตกใดๆเขามองดูคาร์ลินที่ยืนพยายามควบคุมมานา และ สร้างเขตแดนด้วยสีหน้าครุ่นคิด เอรอสยื่นมือออกมาแตะแขนเธอเบาๆ สอนให้เธอหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ แล้วควบคุมมานาอย่างประณีตที่สุด“ผ่อนคลาย แล้วค่อยๆโฟกัสที่พื้นที่รอบ เชื่อมต่อความรู้สึก ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของมัน” เขาเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงมั่นคง และผ่อนคลาย “อย่ากดดันตัวเอง ค่อยๆปล่อยให้มานาของเธอขยายออกไปทีละนิด”คาร์ลินหลับตาลง พยายามทำตามคำแนะนำของเขาอย่างตั้งใจ รู้สึกถึงมานาที่เริ่มขยายออกเป็นวงเล็กๆ รอบตัว เสียงของเขาช่วยเสริมความมั่นใจให้แก่เธอมากขึ้น เธอเริ่มสร้างเขตแดนขึ้นมาได้ทีละน้อย จนเริ่มเห็นเขตแดนเป็นรูปวงกลมรอบตัวเธอทีละนิด โดยมีเอรอสคอยดูแลอยู่ไม่ห่างเอรอสยืนอมองดูคาร์ลินที่กำลังพยายามสร้างเขตแดนด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม เขายืนเงียบๆอยู่ข้างๆเธอ ดวงตาสะท้อนความทรงจำที่ชัดเจนขึ
ในคืนที่เงียบสงัด แสงจันทร์ที่คล้อยต่ำสะท้อนแสงบนพื้นของอาคารร้าง เสียงลมพัดเอื่อยๆผ่านช่องหน้าต่างแตก และ กำแพงที่เต็มไปด้วยรอยกัดกร่อน เอรอสยืนอยู่บนขอบดาดฟ้าชั้นบนสุด มองลงไปยังเงาร่างบางของหญิงสาวที่กำลังเดินอย่างไม่รีบร้อนในตรอกด้านล่างเธอคือไอลีน ฟรอนเทียร์ หญิงสาวที่มีเส้นผมสีฟ้ายาวทอประกายอ่อนโยนภายใต้แสงจันทร์ ดวงตาคมฉายแววแห่งความมุ่งมั่น ผิวขาวซีดของเธอสะท้อนแสงทำให้ดูราวกับเทพธิดาที่ก้าวเดินท่ามกลางโลกแห่งความมืด แม้จะอยู่คนเดียวในตรอกซอยที่เงียบเหงาและอันตราย แต่ท่าทางของไอลีนกลับนิ่งสงบไร้ร่องรอยความหวาดกลัว ไม่หวั่นไหวแม้เสียงลมแรงพัดผ่าน หรือ เงาแมวดำที่วิ่งตัดหน้าเอรอสเฝ้ามองเธอด้วยสายตาคมกริบ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของเขา การเดินของเธอมั่นคง สง่างาม และ รอบคอบ เธอดูเหมือนกำลังสำรวจบางสิ่งในพื้นที่ร้าง ราวกับต้องการค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ ความเยือกเย็นในท่าทีของเธอสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่ไม่เหมือนใคร ท่ามกลางความมืด เธอเหมือนจะกลายเป็นจุดสว่างที่โดนเด่น ยากจะละสายตาสำหรับเอรอสที่สูญเสียความทรงจำทุกอย่างก่อนเกิดโศกนาฏกรรมเมื่อ 4 ปีก่อน