แต่ทันทีที่เห็นเธอ เขาก็ต้องหยุดชะงักไปชั่วขณะ ดวงตาสีฟ้าสุกไสวของเธอ สะท้อนแสงอ่อนโยนคล้ายแสงจันทร์ในตอนกลางคืน ชวนให้ละสายตาไม่ได้ ผมยาวสีฟ้าระยับเหมือนเกลียวคลื่นในมหาสมุทรที่โอบรับประกายระยิบระยับของดวงดาว ทุกการเคลื่อนไหวของเธอให้ความรู้สึกที่สงบเยือกเย็น และยังแฝงความลึกลับไว้ลึกๆ ราวกับมีบางสิ่งซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง
เอรอสพยายามดึงตัวเองกลับมาให้หลุดจากความตะลึงนั้น พลางปรับสีหน้าให้เรียบเฉยเหมือนเดิม สายตาเยือกเย็นของเขาประสานกับหญิงสาวแปลกหน้าที่ดูมีท่าทีเป็นมิตรและอบอุ่นเกินไป จนทำให้เขารู้สึกแปลกใจและเริ่มระแวดระวัง พร้อมกับตั้งคำถามถึงแรงจูงใจที่แท้จริงของเธอในใจ
“สวัสดี ฉันเป็นผู้สืบสวนที่เพิ่งย้ายมาเมื่อไม่นานมานี้.. ยินดีที่รู้จัก”
เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่มั่นใจ รอยยิ้มอ่อนๆ แฝงด้วยความเป็นมิตรยังคงประดับอยู่บนใบหน้า ท่าทีที่เธอแสดงออกทำให้เธอดูเหมือนคนที่เข้าถึงได้ง่าย แต่ในสายตาของเอรอส ความมีเสน่ห์เย้ายวนที่เธอแผ่ออกมานั้นกลับทำให้เขารู้สึกระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม
“ฉันกำลังตามสืบเรื่องกลุ่มคนที่รีดไถเงินในแถวนี้อยู่... เธอพอจะรู้อะไรบ้างไหม?”
เอรอสหรี่ตามองเธอด้วยสายตาเฉยชา แววตาไม่แสดงความสนใจใดๆ ก่อนจะชี้ไปทางกลุ่มอันธพาลที่นอนสลบอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทีเย็นชา
“คงไม่ต้องสืบอะไรอีกแล้ว”เขาพูดเบาๆพลางยักไหล่เล็กน้อยอย่างไม่แยแส
“พวกนั้นคงไม่มากวนใครไปอีกสักพัก"ก่อนจะเว้นช่วงเล็กน้อย ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ จากนั้นเสริมด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“แต่ถ้าพวกมันโดนจับตัวตอนนี้…ก็คงจะเงียบหายไปนานล่ะนะ”พูดเสร็จก็นับเหรียญในถุงของตัวเองต่อ โดยไม่สนใจท่าทางของเธอ
หญิงสาวยังคงยิ้มบาง แม้เห็นท่าทีไม่สนใจของเขา แต่ก็ไม่ยอมแพ้ เธอพูดต่อด้วยน้ำเสียงสุภาพและจริงจัง
“พอดีว่า พวกนั้นขโมยเงินของผู้เสียหายไปหลายคน… เธอพอจะช่วยคืนเงินให้พวกเขาได้ไหม?”
เอรอสหยุดนับเงินไปชั่วครู่ เขาเงยหน้ามองเธอด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะส่ายหัวเบาๆ แล้วก็ยัดเงินใส่กระเป๋าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ตอบคำถามเธอ จากนั้นก็หันหลังเดินเข้าตรอกโดยไม่ใส่ใจ
แม้เขาจะเมินเฉย แต่หญิงสาวก็ยังไม่ยอมแพ้ เธอรีบเดินตาม พยายามชวนเขาคุยต่อ
“เธอพักอยู่แถวนี้เหรอคะ? มาคนเดียวหรือเปล่า?”
เอรอสยังคงเดินต่อไปโดยไม่สนใจเสียงที่ตามมาข้างหลัง หญิงสาวก็ยังไม่ลดละ ยังคงพยายามอย่างหนักในการดึงบทสนทนาออกมา
“เธอจัดการพวกนี้ได้เองทั้งหมดเลยเหรอคะ? หรือแค่วันนี้บังเอิญผ่านมาเจอ?”
เอรอสเหลือบตามองเธอด้วยความหงุดหงิด แต่ไม่ได้ตอบคำถาม เธอเองก็เข้ามาใกล้กว่าเดิม ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“ต้องยอมรับว่าฝีมือเธอไม่เบาเลยนะ จัดการคนพวกนั้นได้หมดทุกคน... น่าสนใจจริงๆ”
เขาหายใจแรงขึ้นเล็กน้อย ท่าทางเริ่มหงุดหงิดแต่ยังพยายามเพิกเฉย เธอพูดต่อด้วยรอยยิ้มที่แฝงความหมายลึกซึ้ง
“ถ้าเราได้ทำงานด้วยกัน ฉันว่าคงช่วยกันได้เยอะเลยนะ ฉันหาข้อมูล เธอลงมือจัดการ หรือ เธอจะทำทั้งสองอย่างก็ได้นะ เดี๋ยวงานเอกสารฉันจัดการเอง”
เอรอสหยุดกึก หันกลับมามองเธอด้วยสายตาแข็งกร้าว ความรำคาญฉายชัดบนหน้า
“ถ้าอยากได้คู่หูนักล่ะก็ ไปหาคนอื่นเถอะ ฉันไม่สนใจ”
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ โดยไม่ได้แสดงท่าทีโกรธหรือเสียใจแม้แต่น้อย เธอยังคงเดินตามราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ก็ได้ ไม่ต้องรีบตัดสินใจหรอกหน่า แต่บอกฉันหน่อยสิว่าเธอฝึกฝนแบบนี้มาจากไหนกัน? หรือเธอทำแบบนี้เป็นงานประจำ?”
เอรอสถอนหายใจหนักๆ หยุดเดิน หันกลับมามองเธอด้วยสายตาเย็นชา แววตาแสดงถึงความเบื่อหน่าย
"ทำไมถึงต้องมายุ่งกับฉัน? ไม่ไปถามพวกที่นอนสลบอยู่ตรงนั้นล่ะ? พวกนั้นต่างหากที่ควรไปสอบปากคำ ไม่ใช่ฉัน” เอรอสพูดเสียงแข็ง ใบหน้าเริ่มแสดงความไม่พอใจ
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“ฉันก็ว่าจะไปถามเหมือนกัน… แต่ดูเหมือนว่าเธอจะรู้เรื่องราวดีกว่าพวกเขานะ”
เธอเฝ้ามองเขาด้วยสายตาท้าทายพลางรอดูว่าเขาจะตอบสนองอย่างไร
เอรอสถอนหายใจยาวด้วยความหงุดหงิด รู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้ช่างเซ้าซี้เสียเหลือเกิน
“ฟังนะ เงินนี่เป็นของฉัน ฉันดักรอพวกมันมานานแล้ว ถ้าเธออยากได้คืนก็ไปเอากับพวกนั้นเอง”เขาตอบเสียงห้วนๆ พลางเร่งฝีเท้าหวังจะเดินหนี
แต่หญิงสาวยังไม่ลดละ เดินตามเขาด้วยท่าทางผ่อนคลาย และ รอยยิ้มที่ยังไม่หายไปไหน
“โอเคๆ ไม่ต้องเล่าทุกอย่างหรอก แต่พวกเขาคงมีพวกอยู่ที่อื่นอีกใช่ไหม? คงไม่หมดแค่นี้หรอกเนาะ?” เธอลองหยั่งเชิงถามอย่างท้าทาย
เอรอสพยายามเพิกเฉย แต่เธอยังไม่ยอมหยุด
“หรือว่าเธอเก่งจนพวกนั้นไม่กล้าโผล่มาอีก?" น้ำเสียงเธอแฝงแววขบขัน "ท่าทางเธอจะเป็นคนมีชื่อเสียงแถวนี้สิน่ะเนี่ย”
เอรอสเหลือบตามองเธอด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนจะหัวเราะในลำคออย่างเยาะเย้ย
“คิดว่าฉันไม่รู้หรือไงว่าเธอต้องการอะไร? อยากได้ข้อมูลพวกมันล่ะสิ? หาเอาเองเถอะ” น้ำเสียงเขาฟังดูเฉียบขาด
หญิงสาวยิ้มบาง ส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ฉันแค่อยากให้ที่นี่ปลอดภัยขึ้นต่างหาก ถ้าเธอช่วยอีกแรง คนแถวนี้อาจจะขอบคุณเธอด้วยซ้ำน่ะ”
“งั้นให้พวกเขาขอบคุณเธอเองเถอะ ฉันไม่เกี่ยว”เอรอสตอบเสียงเรียบ เดินเร่งฝีเท้าไปอีก แต่หญิงสาวยังคงตามไม่ห่าง
“อย่างน้อยก็บอกหน่อยสิ พวกที่เหลืออยู่ที่ไหน? ฉันมั่นใจว่าเธอจะต้องรู้เรื่องราวแถวนี้ดีกว่าใครๆ” เธอยังถามต่อด้วยความไม่ลดละ
เอรอสหยุดกึก หันกลับมามองเธออย่างเหนื่อยหน่าย
“อย่าพยายามลากฉันไปช่วยงานของพวกเธอ ฉันมีเรื่องของฉันเองที่ต้องทำ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเข้มแฝงความชัดเจนว่าไม่ต้องการยุ่งเกี่ยว
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ก่อนยักไหล่ “ก็ได้… ไม่ได้จะบังคับหรอก แต่ถ้าเจออะไรอีก ก็อย่าลืมบอกกันบ้างนะ อนาคตฉันอาจจะช่วยเธอได้”
เอรอสยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก
“ก็ได้ จะไปไหนก็ไป ฉันมีเรื่องต้องทำ” เอรอสหันหลังและก้าวเดินต่อ พยายามเร่งฝีเท้าให้ห่างจากเธอ
หญิงสาวมองตามแผ่นหลังของเขาอย่างสงบ แต่แววตายังคงเจือด้วยความท้าทาย
“แล้วเจอกันใหม่น่ะ... คุณหมาป่าเดียวดาย”
เอรอสชะงักฝีเท้าไปครู่หนึ่ง หันกลับมามองเธอด้วยสายตาไม่เชื่อหูตัวเอง เขาหลุดหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนเดินจากไป ทิ้งให้หญิงสาวยืนยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่คนเดียว
เธอมองตามเขาด้วยความพอใจ ในใจรู้สึกสนุกที่ได้ตั้งชื่อให้เด็กหนุ่มผู้ลึกลับคนนี้ ราวกับเพิ่งได้ตั้งชื่อให้ตุ๊กตาตัวโปรด
ในดันเจี้ยนร้างที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงหายใจแผ่วเบาของคาร์ลิน และ เอรอสที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเรย์ราร์คยืนห่างกันเล็กน้อย แสงสลัวจากเพดานหินเหนือศีรษะทำให้พื้นที่ๆดูรกร้างแห่งนี้ มีบรรยกาศที่ชวนขนลุก และ น่าหวาดกลัว แต่เอรอสกลับยืนนิ่งสงบ ไม่แสดงท่าทีวิตกใดๆเขามองดูคาร์ลินที่ยืนพยายามควบคุมมานา และ สร้างเขตแดนด้วยสีหน้าครุ่นคิด เอรอสยื่นมือออกมาแตะแขนเธอเบาๆ สอนให้เธอหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ แล้วควบคุมมานาอย่างประณีตที่สุด“ผ่อนคลาย แล้วค่อยๆโฟกัสที่พื้นที่รอบ เชื่อมต่อความรู้สึก ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของมัน” เขาเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงมั่นคง และผ่อนคลาย “อย่ากดดันตัวเอง ค่อยๆปล่อยให้มานาของเธอขยายออกไปทีละนิด”คาร์ลินหลับตาลง พยายามทำตามคำแนะนำของเขาอย่างตั้งใจ รู้สึกถึงมานาที่เริ่มขยายออกเป็นวงเล็กๆ รอบตัว เสียงของเขาช่วยเสริมความมั่นใจให้แก่เธอมากขึ้น เธอเริ่มสร้างเขตแดนขึ้นมาได้ทีละน้อย จนเริ่มเห็นเขตแดนเป็นรูปวงกลมรอบตัวเธอทีละนิด โดยมีเอรอสคอยดูแลอยู่ไม่ห่างเอรอสยืนอมองดูคาร์ลินที่กำลังพยายามสร้างเขตแดนด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม เขายืนเงียบๆอยู่ข้างๆเธอ ดวงตาสะท้อนความทรงจำที่ชัดเจนขึ
ในคืนที่เงียบสงัด แสงจันทร์ที่คล้อยต่ำสะท้อนแสงบนพื้นของอาคารร้าง เสียงลมพัดเอื่อยๆผ่านช่องหน้าต่างแตก และ กำแพงที่เต็มไปด้วยรอยกัดกร่อน เอรอสยืนอยู่บนขอบดาดฟ้าชั้นบนสุด มองลงไปยังเงาร่างบางของหญิงสาวที่กำลังเดินอย่างไม่รีบร้อนในตรอกด้านล่างเธอคือไอลีน ฟรอนเทียร์ หญิงสาวที่มีเส้นผมสีฟ้ายาวทอประกายอ่อนโยนภายใต้แสงจันทร์ ดวงตาคมฉายแววแห่งความมุ่งมั่น ผิวขาวซีดของเธอสะท้อนแสงทำให้ดูราวกับเทพธิดาที่ก้าวเดินท่ามกลางโลกแห่งความมืด แม้จะอยู่คนเดียวในตรอกซอยที่เงียบเหงาและอันตราย แต่ท่าทางของไอลีนกลับนิ่งสงบไร้ร่องรอยความหวาดกลัว ไม่หวั่นไหวแม้เสียงลมแรงพัดผ่าน หรือ เงาแมวดำที่วิ่งตัดหน้าเอรอสเฝ้ามองเธอด้วยสายตาคมกริบ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของเขา การเดินของเธอมั่นคง สง่างาม และ รอบคอบ เธอดูเหมือนกำลังสำรวจบางสิ่งในพื้นที่ร้าง ราวกับต้องการค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ ความเยือกเย็นในท่าทีของเธอสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่ไม่เหมือนใคร ท่ามกลางความมืด เธอเหมือนจะกลายเป็นจุดสว่างที่โดนเด่น ยากจะละสายตาสำหรับเอรอสที่สูญเสียความทรงจำทุกอย่างก่อนเกิดโศกนาฏกรรมเมื่อ 4 ปีก่อน
เสียงรองเท้าบูตของไอลีนดังกระทบพื้นในเงามืด แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความมั่นคง เงาของเธอทอดยาวตามผนังซอยแคบ อันธพาลทั้งกลุ่มจ้องมองด้วยสายตาฉงนสงสัย ทันทีที่เห็นอาวุธในมือเธอ บูมเมอแรงสีเงินลวดลายวิจิตรสะท้อนแสงไฟสีฟ้าจางๆ พวกมันถึงกับนิ่งเงียบไปเมื่อเห็นแสงสีฟ้าระยิบระยับที่ปลายอาวุธ อันธพาลคนหนึ่งขมวดคิ้วและกระซิบกับเพื่อนๆด้วยน้ำเสียงประหม่า จนในที่สุดก็อดไม่ได้ต้องพูดออกมา“อย่าบอกนะว่าเธอจะเอาของแบบนั้นมาสู้กับเรา?”เขาหัวเราะเบาๆ แต่สายตายังจับจ้องอย่างหวาดระแวง ขณะที่หนึ่งในแสดงออกด้วยท่าทางงที่เย้ยหยัน"อะไรจ่ะน้องสาว? จะเอาของสิ่งนั้นมาปาใส่พวกเรา?” มันหัวเราะเสียงเยาะขณะที่จ้องมองเธอด้วยสายตาไม่เกรงกลัวไอลีนเพียงแค่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เธอไม่ตอบคำใดๆ ก่อนจะยกสิ่งนั้นขึ้นเล็งไปที่กลุ่มคนตรงหน้า ท่าทางของเธอแน่วแน่ มั่นคง ไร้ความลังเลทันใดนั้น อันธพาลคนหนึ่งที่รู้สึกถึงอันตราย มันพุ่งเข้าใส่เธอด้วยความรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่มือของมันจะสัมผัสตัวเธอ ไอลีนก็เหนี่ยวไก วงแหวนสีฟ้าเรืองแสงพุ่งออกจากปลายอาวุธ กระแทกเข้าที่กลางตัวของชายคนนั้นอย่างจัง ร่างของเขาลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อยก่อนจะล
เอรอสยืนมองไอลีนที่เก็บ Arcane Pulse Gun เข้าที่ ท่าทางของเธอแน่วแน่ แต่สายตากลับแฝงด้วยความเหนื่อยล้า เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงทุ้มสงบ“ยังตามหาพวกรีดไถ่อยู่อีกงั้นเหรอ?”ไอลีนยักไหล่ แววตาฉายความมุ่งมั่น“ใช่สิ จะให้พวกนั้นอยู่เฉย ๆ แล้วทำร้ายคนอื่นไปเรื่อยเหรอ?”ไอลีนปรายตามองเขาด้วยรอยยิ้มล้อเลียน พร้อมเอียงศีรษะเล็กน้อย“แล้วคุณ หมาป่าเดียวดาย มาทำอะไรแถวนี้? มาตามหาฉันหรือไง?”เอรอสถอนหายใจเบาๆ เขาส่ายหัวอย่างระอากับชื่อเล่นที่เธอตั้งให้เขา แม้ในใจจะรู้สึกไม่ชอบใจนัก แต่ก็เลือกที่จะทำสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆกับฉายาที่เธอแกล้งตั้งให้ ก่อนที่จะขยับตัว เอามือไพล่ไว้ด้านหลัง“ใช่ ฉันมาที่นี่เพื่อเตือนเธอ”ไอลีนเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าสงสัยปนฉงน “เตือน? เตือนเรื่องอะไร?”เอรอสถอนหายใจแผ่วเบา เผยให้เห็นถึงน้ำเสียงจริงจังขึ้น “ฉันอยากให้เธอหยุดพาเด็กๆ จากสลัมไปอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าแบบนั้น มันเปล่าประโยชน์”คำพูดนั้นทำให้ไอลีนชะงักไป เธอมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ"คุณหมายความว่าไง? ฉันแค่พาเด็กๆ ไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยกว่า ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย"เอ
เอรอส และ ไอลีนเฝ้ามองเหตุการณ์ในอาคารเก่า จากทางด้านหน้าในระยะไกล เขาใช้กล้องส่องทางไกลแบบตาเดียวที่ดูเก่าโทรม มันมีผ้าพันรอบตัวกล้อง และถูกทาสีทับในหลายชั้นจนพื้นผิวดูขรุขระ และ ซีดเก่า ดูราวกับเป็นของใช้มานาน แต่ไอลีนที่เคยเห็นกล้องแบบนี้มาก่อน กลับรู้ดีว่ากล้องตาเดียวทุกชิ้นต่างมีคุณภาพ และ มีราคาค่อนข้างสูง ไม่น่าจะถูกเจอในสภาพแบบนี้เลนส์ของกล้องก็ดูแปลกตา คล้ายมีชั้นฟิล์มบางๆสีดำด้านเคลือบไว้ ทำให้มันไม่สะท้อนแสงออกมาจากภายในเหมือนกล้องทั่วไป เธออดคิดไม่ได้ว่ากล้องนี้อาจเคยเป็นของมีค่ามาก่อน แต่ด้วยสภาพที่เขาใช้ ผู้อื่นที่มองเห็น คงนึกว่าเป็นของเก่าๆไร้ค่าในขณะที่ทั้งคู่สังเกตสถานการณ์ในนั้น ไอลีนเห็นชายในชุดทหารรักษาการณ์นั่งดื่มกินร่วมกับพวกคนในนั้นอย่างสนุกสนาน ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวในใจของเธอ เพราะสิ่งที่เธอเห็นนั้นแตกต่างจากที่บ้านเกิดของเธออย่างสิ้นเชิงบ้านเกิดของไอลีนเป็นสถานที่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของเธอกับชาวบ้าน และ ผู้ใต้บังคับบัญชาผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น บรรยากาศที่นั่นอบอุ่น เปี่ยมไปด้วยความรัก ความใกล้ชิด ตระกูลของเธอไม่เคยแบ่งแยกชนชั้น หรือ ถือว่าตนสูงส่ง
เอรอสและไอลีนซุ่มดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ จากจุดที่ถูกซุ่มดูอยู่ ใบหน้าไอลีนเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเธอเห็นบอสขององค์กรยืนอยู่กลางห้อง จ้องมองผู้หญิงที่คุกเข่าลงอย่างเย้ยหยัน พลังแผ่พลังกดดันหญิงสาวอย่างหนักหน่วง จนเธอต้องสร้างมานาเบาบางขึ้นมาปกป้องตัวเอง แม้จะใกล้หมดแรงเต็มที แต่เธอก็ยังดิ้นรมไม่ยอมจำนนอยู่แววตาโกรธพลุ่งพล่านในดวงตาของไอลีน เหมือนเธอพร้อมจะพุ่งเข้าไปจัดการในทันที แต่เอรอสที่ยืนอยู่ข้างๆจับสังเกตความเครียดของเธอได้ เขาหันไปมองเธออย่างนิ่งๆ ก่อนเอ่ยเตือนด้วยเสียงเรียบ“นี่เธอกำลังคิดจะทำอะไร?”ไอลีนสบตาเขา แม้จะพยายามสะกดอารมณ์ แต่แววตามุ่งมั่นนั้นบอกชัดเจนว่าเธออยากจะช่วยหญิงสาวคนนั้นให้ได้ ไม่ว่าต้องเสี่ยงแค่ไหน เธอกระชับปืนในมือแน่น ตั้งใจจะลงมือเต็มที่ แต่ก่อนที่เธอจะเคลื่อนไหว เอรอสก็คว้าข้อมือเธอไว้แน่น พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“อย่าไป ถ้าเธอพุ่งเข้าไปตอนนี้ เธอตายแน่ๆ” เขามองเข้าไปในดวงตาเธอเพื่อย้ำให้รู้ถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้น“ผู้ชายคนนั้นมีถึงสามวงแหวน ระดับเธอที่มีแค่วงแหวนเดียวจะทำอะไรเขาได้?”ไอลีนสะบัดข้อมือออกด้วยท่าทางดื้อดึง แววตาเด็ดเดี่ยว “ถ้านายไ
หลังจากเอรอสจัดการลูกสมุนที่ตามล่าเขาจนหมดสิ้น เขาเก็บรวบรวมถุงเงินและของมีค่าทั้งหมดไปซ่อนไว้ในที่ปลอดภัย ก่อนจะย้อนกลับมาที่เดิม จัดแจงให้ร่างกายแนบชิดไปกับเงามืดของต้นไม้ใหญ่ ตาจับจ้องไปที่ไอลีนซึ่งกำลังต่อสู้กับบอสขององค์กรอย่างดุเดือด โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าเขากำลังเฝ้ามองอยู่ใกล้ ๆเอรอสมองตามทุกการเคลื่อนไหวของเธออย่างเงียบงัน ขณะที่ไอลีนพยายามหลบหลีกและโจมตีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าร่างกายจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่แววตาของเธอกลับเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น ท่าทางการต่อสู้ที่ดุดันนั้นทำให้เอรอสรู้สึกทึ่ง รู้สึกถึงความกล้าหาญที่เขาไม่คาดคิดว่าจะพบในตัวเธอ ท่ามกลางความวุ่นวายและเสียงปะทะ เขาแอบมองเธอในความมืด รู้สึกได้ถึงความพยายามอันเด็ดเดี่ยวที่หายากในตัวคนทั่วไปร่างกายของไอลีนดูอ่อนล้าลงเรื่อยๆ หายใจหอบแรง บาดแผลที่แขนและขาดูเหมือนจะทำให้เธอแทบยืนไม่ไหว แต่เธอก็ยังคงยืนหยัด และพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลัง จนกระทั่งเอรอสสังเกตเห็นบางสิ่งบนพื้นใกล้ๆโพชั่นมานาขวดหนึ่งที่ตกอยู่ไม่ไกลจากหญิงสาวที่ไอลีนตั้งใจจะไปช่วย เป็นโพชั่นเดียวที่เขาเอาไว้ให้เธอสามารถฟื้นฟูมานาของตัวเองใยการต่อสู้ แต่ไอลี
เอรอสพุ่งเข้าหามันสุดกำลัง พื้นดินสั่นสะเทือนภายใต้ฝีเท้าหนักของเขา เสียงคำรามต่ำของมันดังก้องราวสัตว์ร้ายที่เฝ้ารอจะเข่นฆ่า เงาดำก่อตัวจากร่างของมัน แผ่พลังเวทย์สีเขียวหม่นรุนแรง จนสั่นคลอนทุกสิ่งรอบข้าง ดิน และ เศษหิน กระจัดกระจายอย่างรุนแรงจนพื้นดินรอบๆแตกออกเป็นริ้วร้าวลึกกลิ่นฝุ่นดินคละคลุ้ง กลบอากาศจนรู้สึกอึดอัด บรรยากาศมืดครึ้มกดดันเหมือนทั้งโลกกำลังถูกกลืนด้วยพลังชั่วร้าย หินยักษ์ผุดขึ้นจากพื้นรอบตัวมันตามแรงเรียกของเวทมนตร์ บรรยากาศโดยรอบบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัวจนราวกับว่าทั้งพื้นที่กำลังจะถล่มลงมามันเหวี่ยงแขนมหึมาขึ้น หินก้อนใหญ่ลอยขึ้นเหนือพื้น แสงเขียวหม่นเรืองรองห่อหุ้มก้อนหินที่หมุนวนรอบตัวมันอย่างเกรี้ยวกราด มันปล่อยเสียงคำรามเบาๆคล้ายหัวเราะอย่างเย้ยหยัน หินพุ่งตรงเข้าใส่เอรอสในพริบตา เอรอสกระโดดหลบอย่างฉิวเฉียด เศษดินและแรงลมจากหินที่พุ่งเฉียดหน้าทำให้เขาต้องหรี่ตา ปัดฝุ่นผงออกจากใบหน้าเอรอสสะบัดขวานทองในมือที่ส่องประกายแสงจันทร์ออกมาเหมือนดวงดาว ขณะฟาดฟันหินที่พุ่งเข้ามาแตกกระจายเป็นเศษเล็กๆ เสียงหินระเบิดดังสะท้อนรอบบริเวณ เศษหินกระเด็นเป็นฝุ่นผงลอยกระจายไปทั่วจนป