โจชัวถือถาดที่วางชาและขนมอบสดใหม่ เขาก้าวเข้ามาในห้องพยาบาลอย่างเงียบเชียบ ภายในห้องนั้นมีเพียงอาร์วินและไอลีนที่กำลังรออยู่ อาร์วินนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ริมเตียง ท่าทีเฉยชา แต่นัยน์ตาของเขาดูคมกริบราวกับจับสังเกตทุกสิ่งรอบตัว ในขณะที่ไอลีนยังคงรักษามารยาทสมบูรณ์แบบ นั่งหลังตรง มือวางบนตักอย่างสง่างาม
"ชาร้อนและขนมอบสดใหม่ครับ" โจชัวกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ ก่อนจะวางถาดลงบนโต๊ะเล็กๆ ตรงกลางห้อง
"ผมโจชัว เป็นหมอเวทย์ที่นี่ ยินดีที่ได้พบ" เขากล่าวแนะนำตัว ก่อนหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งข้างไอลีน "แล้วคุณคือ...?"
อาร์วินสบตาเขาด้วยแววตาเรียบเฉย ก่อนตอบเสียงเรียบ "ขอผมแนะนำตัว อาร์วิน แคร์นัส ส่วนนี้ไอลีน ตอนนี้น่าจะกำลังคุ้มกันผมอยู่"
"น่าจะ อะไรของนาย" ไอลีนหันไปแย้งเบาๆ ก่อนจะยิ้มสุภาพ แต่ดวงตายังคงแฝงความระแวงเล็กน้อย
"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณโจชัว ฉันเป็นนักเวทย์ฝึกหัดของตระกูลวัลธอเรน และกำลังให้การคุ้มครองเขาอยู่ค่ะ"
"ยินดีเช่นกันครับ คุณไอลีน" โจชัวตอบรับ ก่อนที่สายตาของเขาจะเหลือบมองไปยังอาร์วิน ซึ่งกำลังหยิบขนมขึ้นมากัดโดยไม่ลังเล
ขนมที่ดูปกติกลับมีรสขมจัด แต่ชายหนุ่มกลับกินมันได้อย่างง่ายดาย และยังหยิบชิ้นต่อไปโดยไม่มีท่าทีสะดุ้งแม้แต่น้อย
โจชัวหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาเคยเห็นพฤติกรรมแบบนี้มาก่อน—ในอดีตที่ห่างไกลออกไป คนๆหนึ่งที่เคยช่วยชีวิตเขาไว้ คนที่กินขนมรสขมโดยไม่ยี่หระ และรู้ว่าต้องกินกี่ชิ้นถึงจะล้างฤทธิ์บางอย่างที่แฝงอยู่ได้
"คุณ..." โจชัวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำ "เราเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่า?"
อาร์วินหยุดเคี้ยวไปชั่วขณะ ก่อนจะเหลือบตามองเขา "หมายถึงอะไร?"
โจชัวไม่ตอบ แต่สีหน้าเขาฉายแววบางอย่างที่อ่านไม่ออก ก่อนที่ไอลีนจะหยิบขนมขึ้นมากัดบ้าง เธอกัดไปเพียงหนึ่งคำ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ความขมที่คาดไม่ถึงทำให้เธอชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ยังรักษามารยาทพอจะกัดต่ออีกเล็กน้อย ก่อนจะหยิบถ้วยชามาจิบเพื่อล้างรสชาติ
"มีอะไรหรือเปล่า?" อาร์วินถามเสียงเรียบ
"ขม..." ไอลีนตอบสั้นๆ พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย จิบชาอีกครั้งเพื่อกลบรสขมติดลิ้น
"หวานเป็นลม ขมเป็นยา กินๆเข้าไปเถอะ" อาร์วินกล่าวขณะหยิบขนมอีกชิ้นเข้าปากอย่างไม่ใส่ใจ
ไอลีนเหลือบตามองชายหนุ่มอย่างไม่อยากเชื่อ เขากินของขมขนาดนี้ได้โดยไม่สะทกสะท้านเลยหรือ? เธอส่ายหัวเล็กน้อย แต่ยังคงวางตัวสุภาพเช่นเดิม
โจชัวหัวเราะเบาๆ "มันดีต่อสุขภาพนะ ถึงรสชาติจะ...ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ก็เถอะ"
อาร์วินไหวไหล่ "ถ้าคิดว่าเป็นตัวช่วยแก้เลี่ยนหลังอาหารเย็น ก็ไม่เลวนะ"
แต่ทันใดนั้นเอง ไอลีนก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ ความเวียนหัวแล่นเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว เธอกะพริบตาถี่ๆ พยายามปรับโฟกัส แต่ยิ่งทำก็ยิ่งรู้สึกเหมือนแรงโน้มถ่วงกำลังถ่วงตัวเธอลง
‘ทำไม...ฉันรู้สึกง่วงขนาดนี้?’
เธอพยายามจิบชาอีกครั้ง หวังว่ารสหวานจะช่วยให้เธอตื่นตัวขึ้น แต่กลับตรงกันข้าม มันทำให้เปลือกตาของเธอหนักขึ้นทุกที...
รอบข้างเริ่มพร่าเลือน เธอหันไปมองอาร์วิน พยายามจะพูดออกมา แต่เสียงของเธอเบาราวกับลมหายใจ
"อาร์...วิน...ในชา..."
เสียงสนทนาของอาร์วินและโจชัวค่อยๆ ไกลออกไป ราวกับโลกทั้งใบกำลังถูกดูดเข้าสู่ความเงียบ เสียงนาฬิกาที่ติ๊กเป็นจังหวะกลับดังชัดเจนเกินควร ราวกับมันเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงอยู่
"เฮ้? เป็นอะไร? ง่วงนอนแล้วเหรอ?" เสียงของอาร์วินดังขึ้นพร้อมกับมือที่สะกิดเธอเบาๆ แต่เธอไม่ได้ตอบ
ภาพของเขาเริ่มเบลอ เสียงเริ่มเบาหวิว ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง เธอรู้สึกถึงแรงที่ดึงตัวลงไป แต่ไม่มีเสียงกระแทก ไม่มีความเจ็บปวด มีเพียงความเงียบอันลึกลับและน่ากลัวที่ค่อยๆ กลืนกินทุกสิ่ง...
ชายหนุ่มขยับตัวเพียงเล็กน้อยเพื่อตรวจสอบอาการของหญิงสาวที่หมดสติไป เขาคุกเข่าลงข้างร่างของเธอ ปลายนิ้วแตะที่ข้อมือเพื่อจับชีพจร ริมฝีปากของเธอซีดลงเล็กน้อย แต่ลมหายใจยังคงสม่ำเสมอ
“หลับไปแล้วจริงๆ…” เขาพึมพำกับตัวเอง แววตาครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ก่อนจะชะงัก
“อย่าขยับ”
เสียงเรียบเย็นดังก้องในความเงียบ อากาศโดยรอบพลันหนักอึ้งลงชั่วพริบตา ก่อนที่เสียงเสียดสีของโลหะจะสะท้อนก้องไปทั่วห้อง มีดบินกว่าหนึ่งโหลพุ่งขึ้นมาจากเงามืด รายล้อมร่างของชายหนุ่มในชั่วพริบตา แสงไฟจากโคมสะท้อนกับคมมีดเป็นประกายวูบวาบ ให้ความรู้สึกถึงอันตรายที่รอจู่โจมได้ทุกเมื่อ
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นช้าๆ เผชิญกับสายตาที่แฝงไปด้วยความระแวดระวัง
โจชัว ยืนห่างออกไปไม่ไกล แว่นตากรอบเรียบของเขาสะท้อนแสงเรืองรอง ทำให้มองเห็นแววตาภายในได้ไม่ชัดเจน มือข้างหนึ่งของเขายกขึ้นเพียงเล็กน้อย เส้นใยพลังเวทแผ่กระจายออกมาจากปลายนิ้ว ควบคุมมีดบินทั้งหมดราวกับเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย
“คุณเป็นใคร?” น้ำเสียงของโจชัวนิ่งเฉียบ แต่หนักแน่นยิ่งกว่าครั้งแรก “บอกเจตนาของคุณมา ทำไมถึงอ้างตัวเป็นเขา? แล้วเขาอยู่ที่ไหน?”
ชายหนุ่มที่ยังคุกเข่าอยู่ข้างร่างหญิงสาว พลันแค่นหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเต็มที่ นัยน์ตาสีเทาของเขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของโจชัว ราวกับต้องการจับจ้องถึงก้นบึ้งของจิตใจ
“ไม่เจอกันนานเลยนะ” น้ำเสียงนั้นเปี่ยมด้วยความคุ้นเคย แฝงไปด้วยเศษเสี้ยวของอดีตที่ถูกกลืนหายไปตามกาลเวลา “คงจะ… สองปีได้แล้วสินะ?”
โจชัวเบิกตากว้างเล็กน้อย ความสงสัยที่เคยมีถูกแทนที่ด้วยความระแวงฉับพลัน ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไร บางสิ่งบางอย่างก็เกิดขึ้น
อากาศรอบตัวชายหนุ่มสั่นไหว คลื่นพลังอันมองไม่เห็นแผ่กระจายออกมา เงามืดก่อตัวขึ้นรอบร่างของเขาเป็นสายหมอกสีดำสนิท หมอกนั้นม้วนตัวอย่างช้าๆ ก่อนจะทวีความเข้มข้นจนกลืนกินทุกเส้นสายของร่างกาย สิ่งที่เคยเป็นเสื้อผ้าสีทึบของข้ารับใช้ ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นผ้าผืนยาวที่พลิ้วไปตามกระแสพลัง เสื้อผ้าเรียบสะอาดแปรเปลี่ยนเป็นชุดสีกระด้าง เปื้อนฝุ่นของชาวทะเลทราย
ผิวกายที่เคยขาวซีดค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มราวกับถูกแดดแผดเผามานานปี ผมสีทองอ่อนหม่นแสง เปลี่ยนเป็นสีเทาหยาบกร้านเหมือนเถ้าถ่านที่ถูกลมพัดพาไปตามกาลเวลา นัยน์ตาสีเทาเรืองรองภายใต้แว่นตาที่เลือนหายไป ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงสดดุจโลหิตซึ่งฉายประกายราวกับสามารถมองทะลุจิตวิญญาณของผู้คน
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างเงียบงัน ราวกับเป็นเพียงภาพลวงตาที่ค่อยๆ ฉีกกระชากม่านแห่งความจริงออกทีละชั้น เผยให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา
แววตาของโจชัวฉายแววตึงเครียดมากขึ้น ริมฝีปากเม้มแน่นก่อนจะเอ่ยชื่อออกมาเบาๆ
“…คุณ… เรย์นาร์ค?”
เสียงนั้นแฝงไปด้วยแรงกดดันที่ไม่อาจระงับได้
อาร์วิน—หรือเอรอสในรูปลักษณ์เรย์นาร์ค—มองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง ไม่หลงเหลือความเป็นกันเองเช่นเมื่อครู่แม้แต่น้อย
“ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เรื่องยุ่งยาก” เอรอสเอ่ยเสียงราบเรียบ ก้าวลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า “เธอตามฉันมาเอง ฉันไม่มีทางเลือก”
ดวงตาของเขาฉายแววเฉียบคม จับจ้องไปที่มีดบินที่ยังคงลอยวนรอบตัว “ก่อนอื่น… ลดอาวุธลงก่อนได้ไหม?” เสียงของเขาต่ำลงเล็กน้อย แต่แฝงแรงกดดันบางอย่าง “ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง… ว่าตอนนี้ฉันใช้พลังเวทย์ไม่ได้?”
ห้องทำงานของโจชัวยังคงเต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด แสงจากโคมไฟด้านบนส่องวูบไหวไปตามผนังห้องที่เรียงรายด้วยชั้นหนังสือสูงตระหง่าน เงาของเฟอร์นิเจอร์ทอดยาวอย่างบิดเบี้ยว ราวกับมีบางสิ่งกำลังคืบคลานในความมืดโจชัวยืนพิงโต๊ะทำงาน มือข้างหนึ่งกำปากกาแน่นจนปลายเล็บซีดขาว ส่วนอีกข้างวางทับลงบนหนังสือเวทมนตร์เก่าๆที่เปิดค้างไว้ หน้าเอกสารเต็มไปด้วยสัญลักษณ์และสูตรเวทที่ซับซ้อนซึ่งสะท้อนแสงแวววาวตรงหน้าของเขา—ชายวัยกลางคน ผิวสีแทน ผมสีเทา ดวงตาสีแดงฉาน กำลังยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงัน เรย์นาร์ค ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนมาก่อน ราวกับเงาที่โผล่จากความมืด ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มขุนนาง แต่พริบตาเดียวก็เปลี่ยนกลับมาเป็นรูปลักษณ์ที่เขาเคยเจอในอดีตโจชัวมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจแต่ก็ยังคงระแวดระวัง"นี่มันอะไรกัน? รูปลักษณ์ก่อนหน้านี้คืออะไร? คุณเปลี่ยนร่างได้งั้นเหรอ?"เรย์นาร์คไม่ได้ตอบในทันที เขาเพียงมองมา สายตาของเขาเยือกเย็นแต่แฝงไปด้วยแรงกดดันที่หนักอึ้ง ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะดังขึ้น"ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อตอบคำถามของนาย"น้ำเสียงเรียบเฉยของเขาเหมือนมือที่กดลงบนไห
เมื่อเรือเดินทางมาถึงชายฝั่ง เธอถูกส่งตัวไปยังสถานที่ที่เรียกว่า "ตลาดทาส" ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นสถานกักกันที่มืดมิดและสกปรก เด็กๆ ถูกแบ่งแยกออกเป็นกลุ่มตามอายุและรูปลักษณ์ เด็กสาวถูกประเมินเหมือนสิ่งของ มีการตรวจสอบรูปร่าง ผิวพรรณ และความบริสุทธิ์เธอถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเด็กสาวอายุ 8-12 ปีที่ยัง "บริสุทธิ์" พวกมันบอกว่าเด็กกลุ่มนี้มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดทาส เพราะสามารถขายให้กับคนร่ำรวยที่ต้องการเด็กสำหรับงานรับใช้ หรือในบางกรณี…สำหรับความต้องการที่เลวร้ายกว่าเธอต้องทำงานหนักทุกวัน ล้างจาน ขัดพื้น และทำความสะอาดห้องขังของตัวเองและคนอื่นๆ อาหารที่ได้รับมีเพียงขนมปังแข็งและน้ำเปล่า เสียงคร่ำครวญแผ่วเบาจากกรงขังข้างๆ ดังขึ้นตลอดเวลา เด็กคนอื่นๆ ในคุกนี้ต่างมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง บางคนถึงกับซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ร่างกายของพวกเขาผอมแห้งจนดูเหมือนเงาของตัวเอง สายตาที่เคยแวววาวนั้นมืดมิด ราวกับดวงตาเหล่านั้นตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงเธอเองก็รู้สึกถึงความกลัวที่แทรกซึมอยู่ในทุกวินาทีของการมีชีวิตที่นี่ ข่าวลือที่ได้ยินมาเกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งที่เคยพยายามหลบหนีแต่ถูกจับได้ยังคงวนเวี
เสียงฝีเท้าของผู้คุมหยุดชะงักกะทันหัน ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่เพียงชั่วพริบตาแล้วร่างนั้นก็พุ่งผ่านเธอไปรวดเร็วเกินกว่าสายตาจะมองทัน—ราวกับสายลมสีดำที่พัดผ่านไปเงียบงันเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นก่อนเด็กสาวจะทันหันไปมอง ขวานสีทองตวัดฟาดลงอย่างไร้ความลังเล เสียงเนื้อฉีกสะท้อนก้องในอากาศ ลำคอของชายคนแรกถูกกรีดขาดสะบั้น เลือดพุ่งเป็นสายสาดกระเซ็นลงบนกำแพงหินเย็นเฉียบ ก่อนร่างนั้นจะทรุดลงราวกับหุ่นเชิดที่ขาดด้าย ร่างนั้นปรากฏตัวกลางวงศัตรู ราวกับปีศาจที่โผล่ออกมาจากความมืดเหล่าผู้คุมที่เหลือแข็งค้าง—ลมหายใจขาดห้วงในอก พวกมันพึ่งเริ่มตระหนักถึงภัยที่กำลังกลืนกินแต่ไม่ทันแล้วชายสองคนที่อยู่ใกล้สุดตั้งสติได้ก่อน เงื้อดาบหมายจะสังหาร ทว่าเสียงโลหะเฉือนเนื้อดังกึกก้องก่อนที่พวกมันจะฟันลง ขวานสีทองพุ่งเป็นแนวเฉียง ตัดทะลุร่างทั้งสอง รอยแผลฉีกลึกถึงกระดูก เลือดร้อนๆ กระเซ็นเปรอะเต็มพื้นหินเสียงร่ายมนตร์ดังขึ้นจากพวกด้านหลัง—แต่เขาเร็วกว่าพวกมันขวานถูกเหวี่ยงออกไปด้วยพลังและความแม่นยำ ปักเข้ากลางอกของนักเวทย์คนหนึ่งเต็มแรง เสียงเนื้อฉีกกระชากดังก้องในอากาศ ร่างนั้นทรุดลง มือขาวซีดสั่
โพรงหินขนาดมหึมาขยายตัวออกเป็นชั้น ๆ ลดหลั่นลงไปในความมืด เสาหินโบราณตั้งเรียงรายตามระเบียงทางเดินสูงต่ำ ราวกับขั้นบันไดแห่งอารยธรรมที่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาแต่แทนที่สถานที่แห่งนี้จะเป็นเพียงซากโบราณสถานที่รกร้าง กลับมีเหล็กกล้าสนิมเขรอะ ปราการคุมขัง และกรงเหล็กที่แขวนห้อยอยู่ตามแนวผนัง บ่งบอกว่ามันได้ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นคุกใต้ดินอันโหดร้ายและในตอนนี้—มันเป็นเพียงซากปรักหักพังที่เปรอะไปด้วยเลือดเสียงฝีเท้าก้องสะท้อนจากกำแพงหินขรุขระ ขณะที่เหล่าผู้ช่วยเหลือนำกลุ่มทาสเด็กที่รอดชีวิตฝ่าความเงียบสงัดออกไปจากสถานที่แห่งนี้ เปลวไฟริบหรี่สาดเงาทอดยาวไปตามพื้นหินที่เต็มไปด้วยรอยแตกและคราบสีแดงฉาน"อย่าหันไปมองรอบๆ มุ่งหน้าต่อไป" เสียงกระซิบดังขึ้นเป็นระยะๆจากเหล่าผู้นำทางเด็กหลายคนก้มหน้าลง มองเพียงเงาของตัวเองที่ทอดยาวบนพื้นหินเย็นเยียบ แต่ความอยากรู้อยากเห็น และกลิ่นเลือดคาวคลุ้งที่อบอวล ทำให้บางคนอดไม่ได้ที่จะเหลือบตาไปมองรอบด้านร่างของผู้คุมถูกแขวนคว่ำอยู่กับเสาหิน ศพของพวกเขาถูกแทงทะลุด้วยหอกและดาบ บางร่างถูกทิ้งกระจัดกระจายอยู่บนบันไดหินที่ทอดยาวลงไปสู่ระดับลึกกว่า เลือดไหลเป็นทา
เด็กชายเดินโซเซผ่านช่องแคบในกำแพงหินออกมา หลังจากการต่อสู้ในความมืด เขาพบกับแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ทาบลงบนใบหน้า ความอุ่นและความสว่างของแสงทำให้เขาต้องหยีตา แต่ไม่นาน เขาก็เริ่มมองเห็นภาพรอบตัวอย่างชัดเจนตรงหน้าเขาเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งชาย และ หญิงหลากหลายวัย ท่าทางของพวกเขาเคร่งเครียด สายตาจับจ้องไปยังกลุ่มนักผจญภัย และ เจ้าหน้าที่ ที่ยืนปรึกษากันด้วยสีหน้าวิตกกังวล ดูเหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นการปรากฏตัวของเขา ซึ่งดูเล็ก และ ไร้เสียงท่ามกลางความโกลาหลนี้ขณะที่เด็กชายพยายามก้าวไปข้างหน้า ร่างกายที่อ่อนล้าก็ค่อยๆสูญเสียพละกำลัง ความเหนื่อยล้ากดทับเขาราวกับไม่อาจพยุงตัวได้อีกต่อไป ในที่สุด ขาของเขาอ่อนแรงจนต้องทรุดลงกับพื้นเสียงเบาๆของเขาที่กระแทกพื้นเรียกความสนใจจากฝูงชน บรรยากาศเคร่งเครียดหยุดลงชั่วขณะ ผู้คนเริ่มหันมามองที่เขาทันใดนั้น เด็กหญิงคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มประชาชนร้องออกมาด้วยความตกใจ"นั่นเขาใช่ไหม!?" เธอพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นสะท้าน ก่อนจะรีบแหวกฝูงชนเข้ามาหาเด็กชายเด็กหญิงในชุดเสื้อผ้าที่ดูหรูหรา วิ่งเข้ามาใกล้เขา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและเป็นห่วง ดวงตาสีเขี
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ชายหนุ่มเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเครื่องแบบสีดำสนิทออกมา มันเป็นชุดที่ถูกออกแบบมาอย่างประณีต—เสื้อเชิ้ตพอดีตัวเน้นความคล่องตัว และเสื้อโค้ทยาวที่ชายเสื้อจรดสะโพก ด้านในบุซับกันหนาวและมีกระเป๋าลับซ่อนอยู่หลายจุด เหมาะสำหรับเก็บอุปกรณ์สำคัญที่ต้องใช้ในงานเฉพาะทางของเขาเมื่อสวมชุดเรียบร้อย ชายหนุ่มเดินไปที่ตู้เย็น หยิบขวดน้ำขึ้นมาเพื่อดับกระหาย แต่ทันทีที่สัมผัสเขาก็ชะงัก อุณหภูมิของมันอุ่นเกินไป ตู้เย็นไม่ทำงานเหมือนเคยเขาเลิกคิ้ว สายตาคมจ้องไปยังแหล่งพลังงานด้านหลังตู้เย็น ก่อนจะเปิดช่องเล็กๆ ออกมา ข้างในมีแก่นพลังเวทย์ขนาดเล็กที่เคยเปล่งแสงสีเหลืองอ่อน แต่ตอนนี้กลับซีดจางจนแทบไร้สี บ่งบอกว่าพลังงานในนั้นหมดสิ้น“หมดอีกแล้วสินะ...” เขาพึมพำเบาๆ ถอนหายใจก่อนจะเดินไปที่เตียง ยื่นมือไปใต้ฐานเตียงแล้วหยิบแก่นสำรองที่ซ่อนไว้ออกมามือหนึ่งถือแก่นที่ซ่อนเอาไว้ ส่วนอีกมือจับแก่นที่หมดพลังงาน เขาจัดท่าทางให้มั่นคง ระบายลมหายใจยาวช้าๆ ขณะที่เริ่มถ่ายเทพลังเวทย์จากแก่นหนึ่งไปสู่อีกแก่นหนึ่งกระแสพลังงานไหลเวียนจากฝ่ามือของเขาเหมือนน้ำในลำธารสงบ แก่นที่เคยซีดจางค่อยๆ เปลี่ยนสี
ขณะที่ชายหนุ่มก้าวไปตามถนนที่มุ่งหน้าสู่ที่ทำงานอย่างคุ้นเคย ภาพของพวกทาสในรถม้าคันนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ใบหน้าอ่อนล้าของพวกเขาสะท้อนความหมดหวังอย่างเงียบงัน ทว่าเพียงพริบตาเดียวที่เขาได้เห็น มันกลับฝังลึกในความคิดหากย้อนกลับไปเมื่อสี่ปีก่อน รถม้าแบบนี้คงไม่มีทางเข้ามาถึงเมืองได้อย่างแน่นอน พวกเราสองคน เคยร่วมกันตระเวณทำลายเครือข่ายค้าทาสในทวีปจนราบคาบ ทำให้ชื่อเสียง และ ตัวตนของ "จอมเชือด" เป็นที่หวาดกลัว และ โจษจัน จนพวกมันไม่แม้แต่จะกล้าเอาเรือเฉียดเข้ามาในทวีปด้วยซ้ำ แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป นับตั้งแต่ตอนที่เธอหายตัวไปพลังที่เขาใช้สร้างชื่อเสียง และ ความหวาดกลัวนั้นไม่ใช่ของเขาเอง แต่มาจากตัวตนที่เขาเคยใช้พลังกลืนกินเมื่อเกือบสิบปีก่อน ในตอนที่ยังอยู่ในตระกูล แม้เหตุการณ์จะผ่านมานาน แต่จิตวิญญาณของมัน ก็ยังคงติดอยู่ในตัวเขา และทุกครั้งที่เขาใช้พลังนั้น มันก็จะทิ้งร่องรอย และ ความเสียหายไว้ในจิตใจเสมอเมื่อก่อนเธอเป็นเหมือนกำลังใจสำคัญ ทุกครั้งที่เขาเริ่มถูกครอบงำ เธอจะดึงเขากลับมา แต่เมื่อไม่มีเธอ ทุกอย่างก็เหมือนจะพังทลาย พลังนั้นเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกัน มันกลับต่อต
ชายหนุ่มก้าวเข้าสู่ห้องทำงานในแผนกสืบสวน แสงอ่อนจากหน้าต่างสูงเพียงจุดเดียวพาดลงบนพื้นไม้เย็น เงาทอดยาวไปบนความว่างเปล่ารอบตัว เขากวาดสายตามองรอบห้อง—โต๊ะเก้าอี้จัดเรียงอย่างเรียบร้อยแต่ไร้ชีวิต ราวกับมีเขาคนเดียวที่มาที่นี้สายตาเหล่มองนาฬิกาบนฝาผนัง ก่อนจะพึมพำเบาๆ “เรียกมาตั้งแต่เช้า แต่ไม่เห็นโผล่หัวออกมาสักตัว อะไรกันว่ะเนี่ย?” เสียงสะท้อนกลับมากระทบห้องว่างเปล่ามือเอื้อมหยิบลูกบอลแสงสีทองจากกระเป๋าหนัง มันเปล่งแสงสลัวคล้ายจันทร์คืนมืด ก่อนจะถูกวางลงบนแท่นเล็กที่โต๊ะ สัญญาณแสงสีฟ้ากะพริบขึ้นช้าๆ เป็นจังหวะบอกว่าการรายงานตัวเสร็จสมบูรณ์ แต่ความเงียบยังคงปกคลุมทั่วบริเวณโดยรอบชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ก่อนเดินไปตามทางเดินเล็กมุมห้องที่นำไปสู่ห้องทำงานส่วนตัว ห้องนั้นเล็ก และ อับแต่สงบ โต๊ะไม้เก่าเต็มไปด้วยฝุ่นและกองเอกสารที่วางกองกันอยู่ มุมหนึ่งยังมีปากกาดินสอที่เริ่มกร่อนตามกาลเวลา บ่งบอกถึงการถูกทิ้งร้างเขาทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ไม้เสียงดังเอี๊ยดอ๊าด แขนกอดอกแน่น สายตาจ้องเอกสารบนโต๊ะที่ดูเหมือนถูกจัดเตรียมไว้ให้โดยเฉพาะ ภายในรายงานคือข้อมูลการหายตัวไปของจอมเวทย์หนุ่มสาวจากตระกูลขุนนา
โพรงหินขนาดมหึมาขยายตัวออกเป็นชั้น ๆ ลดหลั่นลงไปในความมืด เสาหินโบราณตั้งเรียงรายตามระเบียงทางเดินสูงต่ำ ราวกับขั้นบันไดแห่งอารยธรรมที่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาแต่แทนที่สถานที่แห่งนี้จะเป็นเพียงซากโบราณสถานที่รกร้าง กลับมีเหล็กกล้าสนิมเขรอะ ปราการคุมขัง และกรงเหล็กที่แขวนห้อยอยู่ตามแนวผนัง บ่งบอกว่ามันได้ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นคุกใต้ดินอันโหดร้ายและในตอนนี้—มันเป็นเพียงซากปรักหักพังที่เปรอะไปด้วยเลือดเสียงฝีเท้าก้องสะท้อนจากกำแพงหินขรุขระ ขณะที่เหล่าผู้ช่วยเหลือนำกลุ่มทาสเด็กที่รอดชีวิตฝ่าความเงียบสงัดออกไปจากสถานที่แห่งนี้ เปลวไฟริบหรี่สาดเงาทอดยาวไปตามพื้นหินที่เต็มไปด้วยรอยแตกและคราบสีแดงฉาน"อย่าหันไปมองรอบๆ มุ่งหน้าต่อไป" เสียงกระซิบดังขึ้นเป็นระยะๆจากเหล่าผู้นำทางเด็กหลายคนก้มหน้าลง มองเพียงเงาของตัวเองที่ทอดยาวบนพื้นหินเย็นเยียบ แต่ความอยากรู้อยากเห็น และกลิ่นเลือดคาวคลุ้งที่อบอวล ทำให้บางคนอดไม่ได้ที่จะเหลือบตาไปมองรอบด้านร่างของผู้คุมถูกแขวนคว่ำอยู่กับเสาหิน ศพของพวกเขาถูกแทงทะลุด้วยหอกและดาบ บางร่างถูกทิ้งกระจัดกระจายอยู่บนบันไดหินที่ทอดยาวลงไปสู่ระดับลึกกว่า เลือดไหลเป็นทา
เสียงฝีเท้าของผู้คุมหยุดชะงักกะทันหัน ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่เพียงชั่วพริบตาแล้วร่างนั้นก็พุ่งผ่านเธอไปรวดเร็วเกินกว่าสายตาจะมองทัน—ราวกับสายลมสีดำที่พัดผ่านไปเงียบงันเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นก่อนเด็กสาวจะทันหันไปมอง ขวานสีทองตวัดฟาดลงอย่างไร้ความลังเล เสียงเนื้อฉีกสะท้อนก้องในอากาศ ลำคอของชายคนแรกถูกกรีดขาดสะบั้น เลือดพุ่งเป็นสายสาดกระเซ็นลงบนกำแพงหินเย็นเฉียบ ก่อนร่างนั้นจะทรุดลงราวกับหุ่นเชิดที่ขาดด้าย ร่างนั้นปรากฏตัวกลางวงศัตรู ราวกับปีศาจที่โผล่ออกมาจากความมืดเหล่าผู้คุมที่เหลือแข็งค้าง—ลมหายใจขาดห้วงในอก พวกมันพึ่งเริ่มตระหนักถึงภัยที่กำลังกลืนกินแต่ไม่ทันแล้วชายสองคนที่อยู่ใกล้สุดตั้งสติได้ก่อน เงื้อดาบหมายจะสังหาร ทว่าเสียงโลหะเฉือนเนื้อดังกึกก้องก่อนที่พวกมันจะฟันลง ขวานสีทองพุ่งเป็นแนวเฉียง ตัดทะลุร่างทั้งสอง รอยแผลฉีกลึกถึงกระดูก เลือดร้อนๆ กระเซ็นเปรอะเต็มพื้นหินเสียงร่ายมนตร์ดังขึ้นจากพวกด้านหลัง—แต่เขาเร็วกว่าพวกมันขวานถูกเหวี่ยงออกไปด้วยพลังและความแม่นยำ ปักเข้ากลางอกของนักเวทย์คนหนึ่งเต็มแรง เสียงเนื้อฉีกกระชากดังก้องในอากาศ ร่างนั้นทรุดลง มือขาวซีดสั่
เมื่อเรือเดินทางมาถึงชายฝั่ง เธอถูกส่งตัวไปยังสถานที่ที่เรียกว่า "ตลาดทาส" ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นสถานกักกันที่มืดมิดและสกปรก เด็กๆ ถูกแบ่งแยกออกเป็นกลุ่มตามอายุและรูปลักษณ์ เด็กสาวถูกประเมินเหมือนสิ่งของ มีการตรวจสอบรูปร่าง ผิวพรรณ และความบริสุทธิ์เธอถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเด็กสาวอายุ 8-12 ปีที่ยัง "บริสุทธิ์" พวกมันบอกว่าเด็กกลุ่มนี้มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดทาส เพราะสามารถขายให้กับคนร่ำรวยที่ต้องการเด็กสำหรับงานรับใช้ หรือในบางกรณี…สำหรับความต้องการที่เลวร้ายกว่าเธอต้องทำงานหนักทุกวัน ล้างจาน ขัดพื้น และทำความสะอาดห้องขังของตัวเองและคนอื่นๆ อาหารที่ได้รับมีเพียงขนมปังแข็งและน้ำเปล่า เสียงคร่ำครวญแผ่วเบาจากกรงขังข้างๆ ดังขึ้นตลอดเวลา เด็กคนอื่นๆ ในคุกนี้ต่างมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง บางคนถึงกับซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ร่างกายของพวกเขาผอมแห้งจนดูเหมือนเงาของตัวเอง สายตาที่เคยแวววาวนั้นมืดมิด ราวกับดวงตาเหล่านั้นตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงเธอเองก็รู้สึกถึงความกลัวที่แทรกซึมอยู่ในทุกวินาทีของการมีชีวิตที่นี่ ข่าวลือที่ได้ยินมาเกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งที่เคยพยายามหลบหนีแต่ถูกจับได้ยังคงวนเวี
ห้องทำงานของโจชัวยังคงเต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด แสงจากโคมไฟด้านบนส่องวูบไหวไปตามผนังห้องที่เรียงรายด้วยชั้นหนังสือสูงตระหง่าน เงาของเฟอร์นิเจอร์ทอดยาวอย่างบิดเบี้ยว ราวกับมีบางสิ่งกำลังคืบคลานในความมืดโจชัวยืนพิงโต๊ะทำงาน มือข้างหนึ่งกำปากกาแน่นจนปลายเล็บซีดขาว ส่วนอีกข้างวางทับลงบนหนังสือเวทมนตร์เก่าๆที่เปิดค้างไว้ หน้าเอกสารเต็มไปด้วยสัญลักษณ์และสูตรเวทที่ซับซ้อนซึ่งสะท้อนแสงแวววาวตรงหน้าของเขา—ชายวัยกลางคน ผิวสีแทน ผมสีเทา ดวงตาสีแดงฉาน กำลังยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงัน เรย์นาร์ค ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนมาก่อน ราวกับเงาที่โผล่จากความมืด ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มขุนนาง แต่พริบตาเดียวก็เปลี่ยนกลับมาเป็นรูปลักษณ์ที่เขาเคยเจอในอดีตโจชัวมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจแต่ก็ยังคงระแวดระวัง"นี่มันอะไรกัน? รูปลักษณ์ก่อนหน้านี้คืออะไร? คุณเปลี่ยนร่างได้งั้นเหรอ?"เรย์นาร์คไม่ได้ตอบในทันที เขาเพียงมองมา สายตาของเขาเยือกเย็นแต่แฝงไปด้วยแรงกดดันที่หนักอึ้ง ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะดังขึ้น"ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อตอบคำถามของนาย"น้ำเสียงเรียบเฉยของเขาเหมือนมือที่กดลงบนไห
โจชัวถือถาดที่วางชาและขนมอบสดใหม่ เขาก้าวเข้ามาในห้องพยาบาลอย่างเงียบเชียบ ภายในห้องนั้นมีเพียงอาร์วินและไอลีนที่กำลังรออยู่ อาร์วินนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ริมเตียง ท่าทีเฉยชา แต่นัยน์ตาของเขาดูคมกริบราวกับจับสังเกตทุกสิ่งรอบตัว ในขณะที่ไอลีนยังคงรักษามารยาทสมบูรณ์แบบ นั่งหลังตรง มือวางบนตักอย่างสง่างาม"ชาร้อนและขนมอบสดใหม่ครับ" โจชัวกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ ก่อนจะวางถาดลงบนโต๊ะเล็กๆ ตรงกลางห้อง"ผมโจชัว เป็นหมอเวทย์ที่นี่ ยินดีที่ได้พบ" เขากล่าวแนะนำตัว ก่อนหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งข้างไอลีน "แล้วคุณคือ...?"อาร์วินสบตาเขาด้วยแววตาเรียบเฉย ก่อนตอบเสียงเรียบ "ขอผมแนะนำตัว อาร์วิน แคร์นัส ส่วนนี้ไอลีน ตอนนี้น่าจะกำลังคุ้มกันผมอยู่""น่าจะ อะไรของนาย" ไอลีนหันไปแย้งเบาๆ ก่อนจะยิ้มสุภาพ แต่ดวงตายังคงแฝงความระแวงเล็กน้อย"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณโจชัว ฉันเป็นนักเวทย์ฝึกหัดของตระกูลวัลธอเรน และกำลังให้การคุ้มครองเขาอยู่ค่ะ""ยินดีเช่นกันครับ คุณไอลีน" โจชัวตอบรับ ก่อนที่สายตาของเขาจะเหลือบมองไปยังอาร์วิน ซึ่งกำลังหยิบขนมขึ้นมากัดโดยไม่ลังเลขนมที่ดูปกติกลับมีรสขมจัด แต่ชายหนุ่มกลับกินมันได้อ
"นายจะพาฉันไปไหนเนี่ย?" หญิงสาวถามขึ้น ขณะที่พวกเขาเลี้ยวเข้าตรอกซอยแคบๆแห่งหนึ่ง กลิ่นอายของความวุ่นวายในย่านนี้ ทำให้เธอรู้สึกตื่นตัวมากขึ้น"ฉันไม่ได้พาเธอ เธอตามฉันมาเอง" ชายหนุ่มที่เดินนำหน้าตอบเสียงห้วนๆ แต่ยังไม่หยุดเดิน เขาไม่แม้จะหันมามองด้วยซ้ำก่อนหน้านี้ เขาเคยเป็นคนที่พูดจานุ่มนวล สุภาพ และมีมารยาทเสมอเมื่ออยู่ใกล้เธอ แต่ทุกสิ่งที่เธอรู้จักเกี่ยวกับตัวเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อคมมีดหันมาจ่อที่ตาของเธอ เธอแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คืออาร์วินคนเดิมที่เธอเคยรู้จักแววตาของเขาที่ซ่อนอยู่ใต้เลนส์แว่นสีน้ำตาลอมแดง เต็มไปด้วยความระมัดระวัง เหมือนกับเด็กน้อยที่พึ่งออกจากบ้านเป็นครั้งแรก มันเป็นสายตาที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกถึงความแปลกใจอย่างชัดเจนเธอมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ในขณะที่เขาก้าวเดินอย่างชำนาญ แต่ทุกย่างก้าวกลับเต็มไปด้วยความระแวง เขามองไปรอบตัวเหมือนกับคนที่กำลังหลบหนี หรือไม่ก็เหมือนคนที่สูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป เธอเริ่มสงสัยว่าเขากำลังกลัวอะไรอยู่ หรืออาจจะเป็นเพราะเขาสูญเสียวงแหวนเวทมนตร์ไป ทำให้ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ เลยต้องระวังตัวเป็นพิเศษหญิงสาวหยุดชะงักเมื่ออาร์วินหย
ชายหนุ่มเดินลึกเข้าไปในแนวป่าจนถึงเขตเมือง กลิ่นอายของผู้คนเริ่มแตะจมูกของเธอที่แอบตามมาเงียบๆ เสียงพูดคุยและความเคลื่อนไหวของตลาดกลางคืนแว่วเข้ามา เธอหยุดอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์เขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะเลี้ยวเข้าไปในตรอกแคบระหว่างร้านค้าเล็กๆ“ทำไมต้องแอบมาเข้าเมืองมาในเวลานี้ด้วย น่าสงสัยจริงๆ…” หญิงสาวคิดในใจ ก่อนปรับผ้าคลุมไหล่ให้กระชับและเริ่มตามเขาเข้าไปในตรอกที่ดูคับแคบและอับทึบ มีกลิ่นอับของความชื้นผสมกับกลิ่นไม้เก่าจากกำแพงร้านค้าหญิงสาวที่กวาดสายตาเหลือบมองไปรอบข้าง ก่อนที่จะเห็นเงาของเขาเลี้ยวหายเข้าไปในซอยเล็กๆ เธอเห็นดังนั้น จึบรีบเร่งก้าวตามโดยไม่ลดความระมัดระวัง แต่เมื่อพ้นมุมซอยเข้าไป ร่างสูงของชายหนุ่มก็พุ่งพรวดเข้ามามาจากมุมที่เขาเข้าไป ชายหนุ่มเคลื่อนตัวรวดเร็วจนเธอไม่ทันตั้งตัว เธอถูกผลักชนเข้าติดกับกำแพงผนังด้านหลัง“อึก—!” เสียงร้องสั้นกระชับของเธอดังขึ้นในความเงียบ คทาในมือถูกปัดกระเด็นไปด้วยแรงที่เหนือชั้น ตัวเธอแข็งทื่อเหมือนถูกแช่แข็ง ลมหายใจที่เคยสม่ำเสมอหยุดชะงักทันที ปลายมีดเย็นเฉียบจ่ออยู่ห่างจากดวงตาของเธอเพียงเส้นขน ความหวาดกลัวที่ท่วมท้นทำ
หลังจากที่หญิงสาวหลับไป ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ในความเงียบ ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นไฟไหม้สองจุดในคืนเดียว—หนึ่งคือห้องของเขาเอง สถานที่ที่เคยอบอวลไปด้วยเงาของความทรงจำ ทุกอย่างที่หล่อหลอมเป็นชีวิตของเขาและเธอ หนังสือที่เคยวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ บัดนี้กลายเป็นเถ้าถ่าน เฟอร์นิเจอร์ที่เขาเลือกเองถูกเผาผลาญจนไม่เหลือเค้าเดิม ทุกสิ่งที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของวันคืนที่เคยมีร่วมกัน มอดไหม้ไปพร้อมกับเปลวเพลิง ราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่ตั้งแต่แรก…มือขวาของเขากำแน่นจนข้อกระดูกปูดขึ้นมา เขาบีบมือจนเจ็บ แต่พยายามข่มความรู้สึกโกรธเอาไว้ แม้จะพยายามทำเช่นนั้น แววตากลับยังคงสะท้อนความเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ภายใน เขาหายใจเข้าลึก พยายามประคองสติขณะที่ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวอีกแห่งคือโรงพยาบาลกลางเมือง... สถานที่ๆซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย หากต้องการลบตัวตนของเขาจริงๆ แค่เผาห้องพักก็เพียงพอ แต่ทำไมต้องเผาโรงพยาบาล?เรื่องมันใหญ่เกินไป… หรือทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นตอนที่เกิดเรื่องกับเขาพอดี? แต่ถ้านี้เป็นแผนของใครบางคน แล้วพวกมันจะได้ประโยชน์อะไรจากการกระทำเช่นนี้?ชายหนุ่มนั่งครุ่
ความกังวลในใจของเธอคลี่คลายลง แต่ก็ยังไม่หมดสิ้น ราวกับไม่สามารถสลัดคำถามนั้นออกจากหัวไปได้ ก่อนจะหายใจเข้าลึก รวบรวมความกล้าอีกครั้ง“ฉันรู้ว่ามันอาจจะไม่เหมาะที่จะถามอะไรแบบนี้ ในตอนที่นายเพิ่งผ่านเรื่องเลวร้ายมา…”เธอหยุดเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของเขา แต่ชายหนุ่มยังคงนิ่ง เหมือนไม่มีความสับสนใดๆ“มันมีหลายเรื่องที่ฉันอยากจะถามนาย แต่…” เธอลดสายตาลงมองแก้วชาที่อุ่นในมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “เรื่องที่สำคัญกว่านั้น—ฉันอยากรู้... นายได้รับอะไรจากการทดสอบนั้น?”ชายหนุ่มมีท่าทีลำบากใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มตอบอย่างอึดอัด"ขอโทษด้วย มันเป็นความลับเฉพาะฝ่ายนักเวทย์ ไม่สามารถบอกได้""ฉันรู้เกี่ยวกับการทดสอบนั้นแล้ว แล้วก็รู้ด้วยว่าของรางวัลอาจจะเป็นชิ้นส่วนร่างกายของจอมปราชญ์ไรอัส นายไม่จำเป็นต้องปิดบังหรอก"เขาชะงักเล็กน้อย หยุดคิดไปชั่วขณะก่อนจะพูดออกมา"รู้มาจากไอริสสิน่ะ? เธอคนนั้นไม่เข้าใจความละเอียดอ่อนของฝ่ายอัศวิน กับ จอมเวทย์รึไง?""แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นถ้ารู้แล้ว?""ถ้ารู้แล้วก็ไม่เป็นอะไร" เขาพูดเสียงต่ำ แล้วเขาก็ถอนหายใจ"ฟังแล้วก็อย่าไปบอกใครล่ะ แล้วก็ห้ามบอกด้วยว่าเธอรู้มาจากไอริ