ในห้องทำงานของกิลด์นักผจญภัย บรรยากาศเงียบงันอย่างกดดัน แสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ช่วยให้ห้องนี้รู้สึกอบอุ่นแม้แต่น้อย กลิ่นไม้เก่าและหมึกเขียนหนังสืออบอวลอยู่ในอากาศ บนโต๊ะมีเอกสารกองระเกะระกะ สะท้อนถึงความสับสนวุ่นวายในงานที่ค้างคา เสียงก้าวเท้าหนัก ๆ ของชายร่างใหญ่ดังก้องในห้อง ราวกับเขากำลังทุ่มความโกรธทั้งหมดลงในทุกย่างก้าว
“พวกแกทำบ้าอะไรกันอยู่!!”เสียงของขุนนางร่างใหญ่ดังก้องทั่วห้อง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ใบหน้าแดงก่ำ ราวกับภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิด ชายวัยกลางคนผู้จัดการแผนกสืบสวนก้มศีรษะต่ำ มือสั่นไหวเล็กน้อยจากแรงกดดันที่ได้รับ
“ผมขอโทษจริงๆครับท่าน เรากำลังพยายามเต็มที่ในการตามหาตัวลูกชายของท่าน เราจะเร่งหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยเร็วที่สุด” เขาเอ่ยเสียงสั่น เผยให้เห็นถึงความวิตกกังวลในแววตา
“พยายาม? พวกแกยังกล้ามาพูดคำนี้อีกงั้นเหรอ? พวกแกทำอะไรอยู่ตั้งหลายวัน! แต่ก็ยังหาเขาไม่เจอ!!” เสียงของขุนนางเหมือนฟ้าผ่ากลางห้อง เขายืนอยู่ตรงหน้าผู้จัดการ ราวกับจะกลืนกินเขาเข้าไป
ชายผู้จัดการขบกรามแน่น เขาพยายามอย่างมากที่จะไม่แสดงอารมณ์โกรธหรือท้อแท้ออกมา แม้จะรู้สึกหนักหน่วงจากคำกล่าวหาของขุนนางที่ตรงหน้า
“พวกผมจะพยายามมากกว่านี้ครับ ได้โปรดเถอะครับ เราจะหาพวกเขาให้ได้”
ภรรยาของขุนนางที่นั่งอยู่ไม่ไกลค่อยๆขยับเข้ามาหาสามี ใบหน้าของเธอซีดเซียว แสดงถึงความอ่อนล้า แต่ในสายตาของเธอก็มีประกายแห่งความหวัง
“ที่รัก ใจเย็น ๆ เถอะค่ะ ลูกเราเขาเก่ง เขาไม่เป็นไรหรอก เราต้องเชื่อใจพวกเขานะคะ”
ขุนนางชายหันกลับไปมองภรรยาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความทุกข์ใจ
“จะให้ใจเย็นได้ยังไง!!! ลูกเราเป็นถึงจอมเวทย์สองวงแหวน…..เป็นความหวังของตระกูล เขาหายไปตั้งหลายวันแล้ว! ถ้าเกิดอะไรขึ้น...”
เขาหยุดพูด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า การหายตัวไปของลูกชาย ทำให้เขารู้สึกอ่อนไหวตลอดที่ผ่านมา
“โธ่ที่รัก แต่ที่ผ่านมาพวกเขาส่วนมาก ก็ไม่ได้บาดเจ็บเลยน่ะ ไม่เป็นไรหรอก”ภรรยายังคงพูดต่อ พลางเข้าไปใกล้สามีมากขึ้น หวังให้เขาใจเย็นลง
“สามวัน!!! ฉันจะให้แกเวลาแค่สามวัน!!! ลูกชายของฉันต้องกลับมา ถ้าแกตามจับคนร้ายไม่ได้ล่ะก็ แกได้เจอดีแน่!” เขาตะคอกเสียงดังพร้อมกับหันไปเรียกภรรยา “ไปกันเถอะที่รัก”
“ค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ” ภรรยาขุนนางพูดด้วยท่าทางสุภาพ แต่ในแววตาของเธอก็ยังแฝงไปด้วยความห่วงใยสามี
ทันทีที่ขุนนางชายเดินออกจากห้องพร้อมกับภรรยา ประตูถูกปิดอย่างรุนแรง เสียงประตูกระแทกดัง "ปัง!" ทำให้ชายแก่สะดุ้งเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าพวกเขาไปแล้ว เขาก็ระบายลมหายใจออกมา
“แม่งเอ้ย! ซวยชิบหาย นึกว่างานง่าย ๆ ซ่ะอีก” เขาพึมพำออกมา ก่อนจะหันไปตวาดใส่พวกพนักงานที่เหลือในห้องด้วยความโกรธ
“พวกแกทั้งหมดทำไมไร้ความสามารถแบบนี้!!!! แค่คดีง่าย ๆ แค่นี้ แต่ไม่เจออะไรเลยเนี่ยน่ะ!!!”
เสียงของเขาดังก้องจนทุกคนในห้องสะดุ้ง หนึ่งในลูกน้องของเขาซึ่งเป็นลูกชายของชายแก่เดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“พ่อ อย่างนี้พวกเราจะทำยังไงดี?”
“ทำยังไงเหรอ? พวกเราชิบหายหมดแล้ว!!!”
ชายแก่มองลูกชายตัวเองด้วยสายตาท้อแท้ ก่อนจะระเบิดความโกรธใส่พวกพนักงานที่เหลืออีกครั้ง
“มัวนั่งทำอะไร! ไสหัวออกไปหาเบาะแสเดี๋ยวนี้!!!”
ลูกน้องทุกคนรีบลุกออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงสองพ่อลูกที่ยังคงอยู่ในห้อง
“ทำไมเรื่องทุกอย่างมันยากขนาดนี้? กะอีแค่คดีเด็กหายแท้ ๆ!”
ชายแก่บ่นพึมพำ พลางกุมหัวของตัวเองด้วยความเครียด เดิมทีเขาวางแผนจะใช้คดีนี้สร้างบุญคุณให้เหล่าขุนนางเพื่อยกระดับตระกูลของตัวเอง แต่เรื่องทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่ต้องการ รู้สึกได้เลยว่า ถ้าเขาจัดการปัญหาไม่ได้ จะทำให้ตระกูลของเขาล่มสลายแน่นอน
“ถ้ากิลมาสเตอร์จับได้ล่ะก็ พวกเราชิบหายแน่…..”
ลูกชายของเขาพยายามปลอบด้วยน้ำเสียงสงบ
“พ่อใจเย็นๆเรายังมีเวลาตั้ง 3 วัน”
แต่ผู้เป็นพ่อกลับตวาดใส่เขา
“สามวันจากสิบเอ็ดวันเลยน่ะเหรอ!? แกพูดบ้าอะไร? สิบเอ็ดวันเลยน่ะเว้ยที่หาอะไรไม่เจอ!!!”
สีหน้าของชายแก่เต็มไปด้วยความเครียด และ กังวล เพื่อการยกระดับของตระกูล เขาได้แย่งงานนี้มาจากชายหนุ่มคนหนึ่งมา และสั่งให้เขาพักงานเพื่อไม่ให้เขาเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ แต่ไม่คิดเลยว่าผลลัพท์จะย้อนกลับมาเล่นงานเขา
ซ้ำร้าย ครั้งนี้ไม่ได้ใช้อำนาจที่ตัวเองมีจัดการแค่คดีเดียว แต่ถึงสอง อีกคดีเขาได้โยนไปให้เด็กฝึกงานจัดการแล้ว แม้ว่าจะมีปัญหาตามมา อย่างน้อยก็ไม่ได้รับผลอะไรมาก
แต่ปัญหาคือ หากไม่สามารถปิดคดีนี้ได้ภายในสามวัน ทุกอย่างที่เขาทำมาจะพังลงอย่างแน่นอน จะต้องโดนเบื้องบนสั่งตรวจสอบย้อนหลังไปถึงคดีที่ผ่านๆมาแน่ เพราะส่วนใหญ่พวกเขาใช้วิธีสกปรกต่างๆ เพื่อที่จะจบคดีอย่างรวดเร็ว รวมถึงตำแหน่งที่ได้มาก็ซื้อต่อมาจากผู้จัดการคนก่อนหน้าที่เกษียณไปแล้ว
แต่ชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายกลับยิ้มเล็กน้อย ราวกับคิดแผนบางอย่างออก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“พ่อ ผมว่าพวกเรามีโอกาสรอดแล้วหล่ะ!”
ชายแก่มองลูกชายด้วยความสงสัย“อะไร? แกมีแผนอะไร? ไม่ใช่เวลามาเล่น บอกมาเร็ว ๆ”
ลูกชายของเขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะตอบ“ก็แค่ให้ไอหมอนั่นมาจัดการต่อซะก็สิ้นเรื่อง!”
ชายแก่ตกใจเล็กน้อยก่อนจะถามเสียงสั่น “ไม่ใช่แกบอกว่าจะไม่ให้มันได้งานไป เพื่อที่มันจะไม่ได้เลื่อนตำแหน่งไม่ใช่รึ?”
“ก็ใช่พ่อ” ลูกชายตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ แต่ในใจกลับซ่อนความคิดซับซ้อน “แต่เดิมแล้ว นี้ก็เป็นงานที่มันควรจะได้รับ ถ้าเราให้งานมันไปทำพรุ่งนี้เช้า ยังไงก็ไม่มีทางสำเร็จทันแน่นอน”
ชายแก่มองลูกชายด้วยความสงสัย ผมขาวของเขาหยิกเล็กน้อยในแสงไฟอ่อนๆ
“แล้วถ้ามันทำสำเร็จล่ะ? มันจะไม่เลื่อนตำแหน่งมารึ?”
เด็กหนุ่มยิ้มกรุ่มกริ่ม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม
“ไม่เห็นยากเลยพ่อ ด้วยผลงานที่ล่าช้าขนาดนี้ ต่อให้สำเร็จ พวกขุนนางก็ไม่พอใจแน่นอน”
เขาทำท่าอธิบาย ยิ้มแย้มราวกับคิดถึงแผนที่สมบูรณ์แบบ
“ถ้าเรายุพวกเขาเล็กน้อย รับรองเลยว่าหมอนั้นโดนไล่ออกแน่ ๆ”
แผนการของเด็กหนุ่มทำให้ชายแก่มองลูกชายด้วยความประทับใจ เขาเข้ามากอดลูกชายอย่างแนบแน่น พลางพูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความรัก
“เจ๋งมาก ไอลูกรัก ไม่เสียแรงที่เกิดมาเป็นลูกพ่อ!!!”
แต่ลูกชายกลับทำท่ารังเกียจและผลักพ่อออกไป ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“ถ้าอย่างนั้นก็เรียกตัวหมอนั่นมาทำงานก่อนล่ะกัน หึ ๆ…….เท่านี้ลีน่าก็เป็นของฉันแล้ว”
เด็กหนุ่มตรงหน้ายิ้มกริ่ม รู้สึกพอใจกับแผนที่ได้คิดขึ้น เขาพยายามจีบลีน่ามาตั้งแต่เข้ามาฝึกงาน แต่กลับโดนชายหนุ่มคนนั้นขัดขวางมาตลอด ชายแก่จัดท่าทางหลังจากได้สติ เขาเรียกคนเฝ้าประตูที่อยู่ข้างนอกมา ชายหนุ่มสองคนในชุดเครื่องแบบเดินเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อน แต่ชายแก่กลับหยิบกาแฟขึ้นมาจิบอย่างสบายใจ
“เห้ย!พวกแก ฉันมีงานให้ทำ” ชายแก่จิบกาแฟเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“ไปตามห่านทองคำของฉันมา”
ชายหนุ่มทั้งสองทำหน้างง ก่อนจะถามอย่างไม่แน่ใจ “ท่านหมายถึงอะไรหรือครับ?”
ชายแก่กระแทกแก้วกาแฟลงบนโต๊ะด้วยความรุนแรง ร่างกายของเขาดูสูงใหญ่จนน่ากลัวขณะยืนตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสอง
“พวกแกมีสมองไว้ประดับหัวรึไง จะใครซ่ะอีกล่ะ!”
เขาตะคอกเสียงดังลั่น พลางหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง มองออกไปยังสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสดใสที่เหมือนจะเย้ายวนใจ แต่ในใจเขากลับคิดถึงแต่เรื่องราวมืดมนที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ไปตามตัว 'เอรอส' มาซ่ะ แล้วบอกเขาด้วยว่านี่คือคำสั่งจากฉัน”
แสงอาทิตย์สีส้มยามเย็นทอดเงาหม่นลงบนพื้นดินสกปรกของย่านสลัมตอนใต้ของเมือง ตรอกซอกซอยที่คดเคี้ยวคับแคบเช่นนี้ถูกทิ้งร้างมานาน พื้นดินแตกระแหง บ้านเรือนส่วนใหญ่ทำจากไม้เก่า และ หินที่กองกันอย่างไม่เป็นระเบียบ บางหลังทรุดโทรมจวนพัง หลังคามุงกระเบื้องเก่าๆ ผ้าที่ติดอยู่ที่หน้าต่างปลิวไสวตามลมเสียงแผ่วเบาของมัน ยิ่งเสริมให้บรรยากาศโดยรอบดูเงียบเหงา อ้างว้าง เศษขยะ และ วัตถุเหลือใช้กองอยู่ตามมุมต่างๆ บ่งบอกถึงความเสื่อมโทรมของที่นี่ชัดเจนเอรอสยืนอยู่หน้าปากซอยหนึ่ง หลังจากใช้เวลาตลอดทั้งวันตระเวนตามหาร่องรอยของมานาที่ตกค้างหลงเหลืออยู่บนตัวผู้เสียหาย แม้มันจะเหลือน้อยจนแทยสัมผัสไม่ได้ แต่ก็เพียงพอที่จะนำพาเขามาถึงสถานที่นี้มานาที่เขารับรู้ได้คล้ายกับมานาที่ลอยอยู่ในอากาศตรงหน้า แต่มีบางอย่างแปลกประหลาด... มันเย็นเยียบ หนักอึ้ง และ บิดเบี้ยว ผิดธรรมชาติอย่างรุนแรง มันให้รู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก แม้มานานั้นจะสงบนิ่งอยู่ในขณะนี้ แต่ความมืดมิดที่แผ่ออกมาจากมัน ยังคงสร้างความรู้สึกอึดอัด และ ชวนให้ระแวง ราวกับมันรอคอยบางสิ่งที่จะกระตุ้นให้มันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง"ที่นี่สินะ..." เอรอสกระซิบ
หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นมา ร่างเล็กๆของเธอสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับคนที่สะลืมสะลือ ตื่นจากการหลับไหลในศาลาสีขาวเล็กๆ ท่ามกลางความเงียบสงัด ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งยืนตระหง่านไม่ไกล กิ่งก้านแผ่ขยายอย่างสง่างาม แสงแดดอ่อนส่องลอดผ่านใบไม้สร้างโดมทองอร่ามปกคลุมสถานที่แห่งนี้ ขณะบรรยากาศแฝงความลึกลับ ราวกับสถานที่แห่งนี้ซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้เธอดูเหมือนยังไม่สังเกตเห็นเขา ราวกับว่าไม่มีใครนอกจากตัวเธอในสถานที่นี้ ความเงียบทำให้รู้สึกว่าโลกนี้มีเพียงเธอ ในมุมของเขา เขาไม่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่นานแค่ไหน แต่ดูเหมือนเธอจะเคยชินกับที่นี้ ราวกับอยู่มานานมากแล้วในขณะที่เขายืนห่างเพียงเล็กน้อย สายตาของเธอก็เลื่อนมาหาเขา ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นเข้ามาในจิตใจ เหมือนกับถูกดึงดูดด้วยความสงสัย แต่ก็มีความกดดันแฝง ราวกับเธอสัมผัสถึงความลึกลับที่เขาซ่อนอยู่ หัวใจเขาเต้นแรงเมื่อเธอเริ่มรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา“...นั้นใคร?” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อยแต่แฝงความเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง คำถามของเธอตึงเครียดขึ้น และในวินาทีนั้น พลังมานาที่สะสมในร่างเล็กๆ ของเธอก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรงความรู้สึกที่เคยสงบนิ่งของเขาถูกแทนที่
หญิงสาวหันมามองเขาอีกครั้ง ดวงตาของเธอจับจ้องเอรอสด้วยความนิ่งสงบ แต่แฝงความลึกลับบางอย่าง“ชะตากรรม... นำคุณมาที่นี่” เธอเอ่ยเสียงเบา แต่คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความหมายที่เขายังไม่เข้าใจเอรอสขมวดคิ้วเล็กน้อย ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ“ชะตากรรม? คุณหมายความว่ายังไง... ผมเคยมาที่นี่มาก่อนเหรอ?”หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ ราวกับจะบอกว่าเธอเองก็ไม่ได้มีคำตอบที่ชัดเจน“ฉันไม่รู้... แค่รู้สึกได้ว่าคุณกับที่นี่... มีอะไรบางอย่างเชื่อมโยงกันอยู่ คุณไม่ได้เข้ามาโดยบังเอิญหรอก”เอรอสสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างในใจของเขา เขามองไปรอบๆ ก่อนจะหันกลับมาหาเธอ“แล้วทำไมคุณถึงปล่อยให้ผมอยู่ต่อ?”เขาถามน้ำเสียงยังคงระวังตัว แต่ความสงสัยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆเธอยิ้มบางๆ ราวกับกำลังชั่งใจ“ฉันเองก็อยากรู้... ว่าทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้ บางทีสิ่งที่คุณกำลังตามหา... อาจอยู่ที่นี่ก็ได้” เธอพูดพลางมองไปรอบๆสถานที่แห่งนี้ มันดูเก่าแก่ และ ลึกลับ ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเอรอสพยักหน้าเบาๆ แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าที่นี่มีความหมายบางอย่างมากกว่าที่ตาเห็น“งั้นผมขอสำรวจดูหน่อย เผื่อจะเจออะไรบางอย่าง”
ในชั่วพริบตา วงเวทขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเบื้องหน้า มันแผ่กระจายแสงสีแดงเข้มออกมาอย่างน่ากลัว พลังเวทที่แผ่ซ่านออกมากดทับทุกสิ่งรอบตัวจนบิดเบือนมานาในบรรยากาศกลายเป็นพายุหมุน เส้นอักขระซับซ้อนที่เคลื่อนที่บนวงเวทบ่งบอกถึงความรุนแรงและบ้าคลั่ง แม้เอรอสจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของมันโดยตรง แต่ความรู้สึกเย็นวาบที่วิ่งผ่านร่างบอกเขาว่า วงเวทนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายเขาโดยเฉพาะ"บางอย่าง...กำลังจะมา" เอรอสพึมพำเบาๆ ขณะที่พยายามรวบรวมสมาธิแต่ก่อนที่เขาจะเตรียมพร้อมได้เต็มที่ ศรเวทสีเงินก็พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันเร็วราวกับฉีกอากาศออกเป็นเสี่ยงๆ เขาไม่ทันได้เห็นมันอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ สัญชาตญาณของเขาบังคับให้ยกแขนขึ้นป้องกัน แต่ศรนั้นพุ่งทะลุผ่านแขนของเขาไปอย่างง่ายดาย ราวกับว่าแขนของเขาไร้ความหมายต่อพลังนั้นไม่มีแรงกระแทก ไม่มีความรู้สึกจากการสัมผัสเนื้อหนัง—แค่ความเจ็บปวดที่เกิดจากพลังบางอย่างที่ลึกกว่าร่างกาย ศรเวทนั้นพุ่งเข้าปักกลางอกของเขาอย่างแม่นยำ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านราวกับคลื่นพลังที่แทรกซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา เอรอสทรุดลงกับพื้นทันที ร่างกายแทบจะตอบสนองไม่ได้ คว
เอรอสพยักหน้าช้าๆเมื่อชื่อของ ไรอัส อาร์แคนเทีย ถูกกล่าวถึง ชายผู้เป็นตำนานจอมเวทผู้บุกเบิกเส้นทางเวทมนตร์ ชื่อของเขายังคงเป็นที่เล่าขานแม้เวลาจะผ่านไปนับหมื่นปี สายตาของเอรอสจับจ้องหญิงสาวตรงหน้า ราวกับเขาได้เห็นภาพของชายในตำนานนั้นสะท้อนออกมาผ่านดวงตาของเธอ“หลายหมื่นปีที่แล้ว ไรอัส อาร์แคนเทีย คือชื่อที่ไม่มีใครไม่รู้จัก เขาเป็นจอมเวทที่ปฏิวัติโลกเวทมนตร์ จนทำให้ผู้คนเคารพนับถือเขาด้วยความศรัทธา แต่ทว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่ทำให้เขาหายตัวไป ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่ไหน ตำนานของเขากลับกลายเป็นเครื่องหมายคำถามที่ยังไม่มีใครหาคำตอบได้” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความเศร้า“แล้ว... ประวัติศาสตร์ของไรอัสมีบางส่วนที่ขาดหายไป ไม่มีใครรู้ว่าวาระสุดท้ายของเขาเป็นอย่างไร” เอรอสกล่าว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย “มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้”“ใช่… ไม่มีใครรู้จุดจบของไรอัส... เขาหายตัวไป เหลือเพียงแค่ตำนานที่บอกเล่าถึงความยิ่งใหญ่ แม้ฉันจะรู้ แต่... นั่นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพูดได้” เธอหยุดไปชั่วครู่ ดวงตาของเธอวูบไหว แสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่เก็บซ่อนอยู่ใ
เอรอสลืมตาตื่นขึ้นในความมืด ห่างจากจุดที่เขาหายตัวไปก่อนหน้านี้เล็กน้อย เสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านซากอาคารที่พังทลาย แสงจันทร์ที่ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ ทำให้บรรยากาศรอบตัวดูน่าอึดอัด และ เย็นยะเยือก กลิ่นเหม็นอับจากเศษซากจากกองขยะที่สุมกระจายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้แต่เอรอสไม่ได้ใส่ใจสิ่งเหล่านั้น.. เพราะสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขามากที่สุดในตอนนี้ คือความจริงที่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และ ความเจ็บปวดในร่างกายที่ยังคงเหลืออยู่บ้างเล็กน้อยเขานอนนิ่งไปกับพื้นถนนสักพัก ก่อนจะเลื่อนมือไปแตะที่หน้าอก ในตำแหน่งที่มีรอยฉีกขาด รอยแผลเป็นเล็กๆยังคงมีอาการเจ็บแปลบหลงเหลืออยู่ เป็นเครื่องยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน“จอมเวทย์ในตำนาน...หรอ?” เอรอสพึมพำถึงจิตวิญญาณของไรอัสที่ติดมากับหัวใจ ตอนนี้จิตวิญญาณนั้นสงบนิ่ง ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับไม่มีเจตจำนงเป็นของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่ปกติ จิตวิญญาณของเขาที่เคยฉีกขาดค่อยๆ ผสาน และหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติแต่ถึงแม้มันจะหลอมรวมกัน ก็ยังรู้สึกถึงการแบ่งแยกได้อย่างชัดเจน เหมือนกับน้ำทะเล
เอรอสก้าวผ่านตรอกซอยที่เงียบสงบในยามค่ำคืนของเมืองอัลเธอเรียน แม้ความมืดจะปกคลุม แต่แสงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้าเบื้องบนยังคงสาดส่องให้เห็นเส้นทางอันคดเคี้ยว ท้องฟ้าปลอดโปร่ง มีเพียงก้อนเมฆบางๆ ที่ลอยอยู่ห่างไกลเอรอสย่ำเท้าไปอย่างระมัดระวัง สายลมพัดเบาๆพอให้สัมผัสได้ถึงความเย็นที่ค่อยๆซึมผ่านผิวของเขา เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำที่ปิดบังร่างกายได้เป็นอย่างดี แม้จะซ่อนตัวจากสายตาคนทั่วไปได้ แต่ในใจของเขายังเต้นแรงด้วยความกังวลเมื่อเขามาถึงหอพักที่เขาใช้เป็นที่พักอาศัย มันเป็นอาคารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยก่อน เสื่อมโทรมลงตามกาลเวลา ผนังถูกปกคลุมด้วยรอยแตกและสีที่ซีดลง แต่อาคารนี้ยังคงมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ผู้คนไม่อยากละสายตา สนามหญ้าด้านหน้าถูกดูแลอย่างดี แม้ว่าจะไม่ได้หรูหรา แต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นเอรอสเดินขึ้นไปบนชั้นสองของหอพัก เขาก้าวผ่านประตูเข้ามาโดยไม่รีบร้อนจนเกินไป สายตาของเขากวาดมองไปรอบๆ ตรวจดูทุกมุมทุกซอกที่อาจมีความเคลื่อนไหวใดๆ ที่ผิดปกติภายในห้องพักของเขา เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดเป็นของเรียบง่าย โต๊ะไม้เก่าๆที่มีรอยขีดข่วนจากการใช้งานมาหลายปีถูกวางไว้ตรงกลางห้อง ข้างบนโต๊ะมีกระ
"เป็นอะไรไปล่ะ? ทำไมไม่ตอบ?" เฟลิเซียเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแต่แฝงด้วยความสงสัย เธอยืนมองเอรอสที่ยังไม่ยอมตอบคำถาม ความเงียบนี้ช่างอึดอัดราวกับสายลมหนาวที่พัดผ่านหัวใจ เธอไม่ได้เร่งรัด เพียงจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของเขาอย่างละเอียดเอรอสยืนนิ่ง มือของเขาเริ่มสั่นเล็กน้อย ความเจ็บปวดแปลบที่หน้าอกจากหัวใจของไรอัสเริ่มทวีความรุนแรง มันทำให้ร่างกายของเขารู้สึกว่างเปล่า เหมือนบางอย่างภายในถูกดึงออกไปทีละน้อย ความสามารถการรับรู้ของเขาหายไป ทำให้ต้องตระหนักถึงสถานการณ์อย่างรอบคอบมากขึ้น“พวกเบื้องบนน่ะ ไม่ได้คาดหวังอะไรไว้กับนายเลย……"เธอพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา“คิดแค่ว่าเสียงร้องเรียนของพวกชนชั้นสูงมันน่ารำคาญ ก็เลยกะจะหาคนมารับผิดชอบให้มันจบๆไป”ก่อนจะพูดต่อ เฟลิเซีย มองเอรอสตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับพยายามสำรวจเขาอย่างละเอียด"แต่ดันให้ผลลัพท์เหนือความคาดหมาย….นายหาทางเข้าที่บังเอิญเกิดขึ้นมาแค่เพียงเสี้ยววินาทีได้ยังไง?”เธอเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะถามอย่างคาดคั้น“แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาตรวจสอบเรื่องนั้น ที่สำคัญกว่า.…..นายได้รับอะไรมาจากแม่มด?”เอรอสคิดในใจ "แม่มด? เธอน่ะเหรอ?" ก่อนจะนิ่งคิ