เอรอสพยักหน้าช้าๆเมื่อชื่อของ ไรอัส อาร์แคนเทีย ถูกกล่าวถึง ชายผู้เป็นตำนานจอมเวทผู้บุกเบิกเส้นทางเวทมนตร์ ชื่อของเขายังคงเป็นที่เล่าขานแม้เวลาจะผ่านไปนับหมื่นปี สายตาของเอรอสจับจ้องหญิงสาวตรงหน้า ราวกับเขาได้เห็นภาพของชายในตำนานนั้นสะท้อนออกมาผ่านดวงตาของเธอ
“หลายหมื่นปีที่แล้ว ไรอัส อาร์แคนเทีย คือชื่อที่ไม่มีใครไม่รู้จัก เขาเป็นจอมเวทที่ปฏิวัติโลกเวทมนตร์ จนทำให้ผู้คนเคารพนับถือเขาด้วยความศรัทธา แต่ทว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่ทำให้เขาหายตัวไป ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่ไหน ตำนานของเขากลับกลายเป็นเครื่องหมายคำถามที่ยังไม่มีใครหาคำตอบได้” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความเศร้า
“แล้ว... ประวัติศาสตร์ของไรอัสมีบางส่วนที่ขาดหายไป ไม่มีใครรู้ว่าวาระสุดท้ายของเขาเป็นอย่างไร” เอรอสกล่าว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย “มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้”
“ใช่… ไม่มีใครรู้จุดจบของไรอัส... เขาหายตัวไป เหลือเพียงแค่ตำนานที่บอกเล่าถึงความยิ่งใหญ่ แม้ฉันจะรู้ แต่... นั่นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพูดได้” เธอหยุดไปชั่วครู่ ดวงตาของเธอวูบไหว แสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่เก็บซ่อนอยู่ในใจ
“ทำไม? มีอะไรที่ทำให้เธอไม่สามารถพูดได้?” เอรอสถามกลับอย่างใจเย็น แต่ในใจเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้
“หัวใจของไรอัส... มันไม่ใช่แค่พลังเวทมนตร์ แต่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับฉัน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“มันคือสิ่งที่เชื่อมโยงฉันกับเขา... ฉันไม่สามารถบอกเล่าอะไรได้มากกว่านี้ มันเกี่ยวกับเจตจำนงของโลก”
เอรอสได้ยินเสียงสะอื้นเล็กน้อยในน้ำเสียงของเธอ เขาสังเกตเห็นความเจ็บปวดที่ฝังลึกในดวงตาของเธอ ซึ่งทำให้เขารู้สึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างความทรงจำและความรู้สึกที่เธอเก็บซ่อนอยู่
“ถ้าอย่างนั้น เธอ... ยอมให้ฉันใช้หัวใจของคนที่เธอเคยรักได้จริงๆ หรือ?”
เธอชะงักเล็กน้อย ความลังเลฉายชัดในแววตาของเธอ คำถามนั้นเหมือนกระแทกเข้ากลางใจของเธอ
“ฉัน...ไม่แน่ใจ” คำตอบของเธอเหมือนกับเสียงที่ถูกบีบคั้นออกมา ความเศร้าที่ฝังลึกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ
“แม้ว่าจะมีคนอื่นเข้ามาทดสอบกับมันมาตลอด แต่ฉันก็ยังแอบหวังลึกๆ…ว่าพวกเขาจะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะครอบครองมัน” เธอกล่าวเบาๆ สายตาของเธอมองมาที่เอรอสอย่างลึกซึ้ง ความหวังเล็กๆ ในดวงตาคู่นั้นแฝงด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจลบเลือน
คำพูดนั้นติดอยู่ในใจของเอรอส เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งซ่อนอยู่ในคำพูดของเธอ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับคดีที่เขากำลังสืบสวน แต่เขายังไม่พร้อมที่จะดึงเรื่องนั้นขึ้นมาในตอนนี้
“แล้วมันจะช่วยฉันยังไง...” เอรอสพูดออกมาเสียงต่ำ
เธอมองเขาอย่างมีความเข้าใจ “ฉันไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะช่วยนายได้หรือไม่ แต่มันอาจเป็นสิ่งเดียวที่พอจะหยุดสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตัวนายได้”
เอรอสนิ่งฟัง ใจเขาปั่นป่วน ความรู้สึกภายในสับสนเต็มไปหมด เหมือนมีสิ่งใดบางอย่างในร่างที่ไม่ใช่ตัวเขากำลังจะครอบงำจิตใจ มานาสีแดงภายในร่างเขาแผ่ซ่านออกมาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับมันมีชีวิตของตัวเอง เขาพยายามควบคุมความคิดตัวเอง แต่ความรู้สึกนั้นกลับรุนแรงขึ้น
“ทำไมฉันต้องรับมัน?” เอรอสกัดฟันถามออกมาด้วยเสียงหนักแน่น ความรู้สึกหงุดหงิดปะทุขึ้นในใจ
“เธอไม่เห็นหรือว่าฉันกำลังโดนครอบงำอยู่?”
แต่ในช่วงเวลาที่สับสน เขาก็คิดถึงความเป็นไปได้นึงขึ้นมา
“หรือว่าเธอ... อยากให้ฉันกลายเป็นไรอัสคนใหม่ของเธอแทน?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเอรอส หญิงสาวยิ้มบางๆ ขณะที่ย่างเท้าเข้ามาใกล้ เอรอสรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ สายตาของเธอเย็นชาราวกับน้ำแข็งที่กำลังปกคลุมใจเขา ก่อนที่ตัวเขาจะรู้ตัว
ร่างของเอรอสเริ่มตึงแน่น ราวกับถูกบางสิ่งตรึงไว้กับที่ พลังความมืดที่แผ่ออกมาจากตัวหญิงสาว ล้อมรอบเธอเหมือนเงาดำที่เลื้อยไหลออกมาในอากาศ เอรอสรับรู้ได้ถึงสายพลังมืดบางๆ ที่กำลังแผ่เข้ามาหาเขา มันรัดร่างของเขาไว้แน่น จนเขารู้สึกเหมือนถูกกดทับโดยน้ำหนักมหาศาล เขาพยายามจะเคลื่อนตัว แต่กลับไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย
“ขยับไม่ได้ใช่ไหม?” หญิงสาวเอ่ยด้วยเสียงเรียบ ขณะที่พลังเวทมนตร์สีดำจากมือของเธอรัดตัวเอรอสให้แน่นยิ่งขึ้น อากาศรอบๆ เริ่มหนาวเย็นลง ความมึดค่อยๆคืบคลานเข้ามาหาทั้งสอง รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากของเธอ
“หรือว่านายกลัวที่จะสูญเสียตัวเอง? กลัวว่าความทรงจำของเขาจะกลืนกินนาย?”
เอรอสรู้สึกถึงความเยือกเย็นที่แผ่ออกมาจากเธอ สายลมที่เคยอุ่นพลันเปลี่ยนเป็นหนาวเย็นราวกับมีบางสิ่งกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้
“ไม่ต้องห่วงหรอก…” เธอเอ่ยเบาๆ ขณะยิ้มบางๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความล้ำลึกที่ยากจะอ่านออก
“การจะซึมซับวิญญาณของไรอัสนั้น มันใช้เวลานาน… อาจจะสิบปี หรือยิ่งกว่านั้น”
เธอยื่นมือออกไป กรงสีดำที่อยู่ในศาลาค่อยๆ ลอยออกมา หัวใจของไรอัสที่ถูกขังอยู่ในนั้นค่อยๆ ขยับเข้าหามือของเธอ
“แต่ถ้านายฝืนใช้พลังของเขามากเกินไป…” เธอพูดต่อเสียงแผ่ว ขณะที่มือของเธอถือหัวใจเอาไว้อย่างมั่นคง
“เวลานั้นก็จะลดลงเรื่อยๆ จนนายจะไม่เหลืออะไรของตัวเองอีกเลย”
เอรอสรู้สึกหนาวเยือกจนขนลุก สายตาของเขาจับจ้องไปยังหัวใจในมือของเธอ หัวใจสีแดงสดที่เต้นอยู่เหมือนยังมีชีวิต
“เมื่อทุกอย่างจบลง… นายจะยังมีเวลาที่จะได้อยู่กับตัวตนของตัวเอง”เธอยกหัวใจขึ้นตรงหน้าเขา น้ำเสียงของเธอเย็นชา และ เด็ดเดี่ยว แต่ก่อนที่เธอจะทำอะไร เอรอสถามเธอก่อน
“ถ้าฉันกลายเป็นไรอัสขึ้นมาจริงๆ... เป็นเพียงแค่เงาของเขา เธอจะรับได้จริงๆหรอ?”เอรอสถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วง สายตาของเขาจับจ้องไปที่หญิงสาว ราวกับกำลังค้นหาความมั่นใจในคำตอบที่อาจเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
หญิงสาวเงียบไปชั่วขณะ ราวกับกำลังนึกถึงคำพูดของเขา ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความสับสน และ ความลังเลที่ยากจะปกปิด ข้างในใจเธอเต็มไปด้วยคำถามเกี่ยวกับความรู้สึกที่มีต่อไรอัส—คนที่เคยทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงและ สร้างความหวังไว้มากมาย
“เมื่อถึงเวลานั้น... นายจะเข้าใจสิ่งที่ฉันทำไปทั้งหมดเอง” เธอตอบเสียงแผ่ว ราวกับว่าคำพูดนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง และ มีน้ำหนักมากมาย
ทันใดนั้น เธอร่ายเวทมนตร์ขึ้นอย่างรวดเร็ว พลังของเธอระเบิดออกมาเป็นแสงสีดำวาววับ และก่อนที่เอรอสจะทันตั้งตัว หญิงสาวก็ใช้เวทย์มนตร์ทำลายหัวใจวิญญาณที่พยายามก่อตัวขึ้นในร่างกายของเขา ความเจ็บปวดพลันปะทุขึ้นในตัวเขาอย่างรุนแรง ทุกอย่างดับวูบลง ภาพรอบตัวกลายเป็นสีดำสนิท ร่างกายของเขาทรุดลงกับพื้น
เอรอสลืมตาตื่นขึ้นในความมืด ห่างจากจุดที่เขาหายตัวไปก่อนหน้านี้เล็กน้อย เสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านซากอาคารที่พังทลาย แสงจันทร์ที่ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ ทำให้บรรยากาศรอบตัวดูน่าอึดอัด และ เย็นยะเยือก กลิ่นเหม็นอับจากเศษซากจากกองขยะที่สุมกระจายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้แต่เอรอสไม่ได้ใส่ใจสิ่งเหล่านั้น.. เพราะสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขามากที่สุดในตอนนี้ คือความจริงที่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และ ความเจ็บปวดในร่างกายที่ยังคงเหลืออยู่บ้างเล็กน้อยเขานอนนิ่งไปกับพื้นถนนสักพัก ก่อนจะเลื่อนมือไปแตะที่หน้าอก ในตำแหน่งที่มีรอยฉีกขาด รอยแผลเป็นเล็กๆยังคงมีอาการเจ็บแปลบหลงเหลืออยู่ เป็นเครื่องยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน“จอมเวทย์ในตำนาน...หรอ?” เอรอสพึมพำถึงจิตวิญญาณของไรอัสที่ติดมากับหัวใจ ตอนนี้จิตวิญญาณนั้นสงบนิ่ง ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับไม่มีเจตจำนงเป็นของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่ปกติ จิตวิญญาณของเขาที่เคยฉีกขาดค่อยๆ ผสาน และหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติแต่ถึงแม้มันจะหลอมรวมกัน ก็ยังรู้สึกถึงการแบ่งแยกได้อย่างชัดเจน เหมือนกับน้ำทะเล
เอรอสก้าวผ่านตรอกซอยที่เงียบสงบในยามค่ำคืนของเมืองอัลเธอเรียน แม้ความมืดจะปกคลุม แต่แสงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้าเบื้องบนยังคงสาดส่องให้เห็นเส้นทางอันคดเคี้ยว ท้องฟ้าปลอดโปร่ง มีเพียงก้อนเมฆบางๆ ที่ลอยอยู่ห่างไกลเอรอสย่ำเท้าไปอย่างระมัดระวัง สายลมพัดเบาๆพอให้สัมผัสได้ถึงความเย็นที่ค่อยๆซึมผ่านผิวของเขา เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำที่ปิดบังร่างกายได้เป็นอย่างดี แม้จะซ่อนตัวจากสายตาคนทั่วไปได้ แต่ในใจของเขายังเต้นแรงด้วยความกังวลเมื่อเขามาถึงหอพักที่เขาใช้เป็นที่พักอาศัย มันเป็นอาคารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยก่อน เสื่อมโทรมลงตามกาลเวลา ผนังถูกปกคลุมด้วยรอยแตกและสีที่ซีดลง แต่อาคารนี้ยังคงมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ผู้คนไม่อยากละสายตา สนามหญ้าด้านหน้าถูกดูแลอย่างดี แม้ว่าจะไม่ได้หรูหรา แต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นเอรอสเดินขึ้นไปบนชั้นสองของหอพัก เขาก้าวผ่านประตูเข้ามาโดยไม่รีบร้อนจนเกินไป สายตาของเขากวาดมองไปรอบๆ ตรวจดูทุกมุมทุกซอกที่อาจมีความเคลื่อนไหวใดๆ ที่ผิดปกติภายในห้องพักของเขา เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดเป็นของเรียบง่าย โต๊ะไม้เก่าๆที่มีรอยขีดข่วนจากการใช้งานมาหลายปีถูกวางไว้ตรงกลางห้อง ข้างบนโต๊ะมีกระ
"เป็นอะไรไปล่ะ? ทำไมไม่ตอบ?" เฟลิเซียเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแต่แฝงด้วยความสงสัย เธอยืนมองเอรอสที่ยังไม่ยอมตอบคำถาม ความเงียบนี้ช่างอึดอัดราวกับสายลมหนาวที่พัดผ่านหัวใจ เธอไม่ได้เร่งรัด เพียงจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของเขาอย่างละเอียดเอรอสยืนนิ่ง มือของเขาเริ่มสั่นเล็กน้อย ความเจ็บปวดแปลบที่หน้าอกจากหัวใจของไรอัสเริ่มทวีความรุนแรง มันทำให้ร่างกายของเขารู้สึกว่างเปล่า เหมือนบางอย่างภายในถูกดึงออกไปทีละน้อย ความสามารถการรับรู้ของเขาหายไป ทำให้ต้องตระหนักถึงสถานการณ์อย่างรอบคอบมากขึ้น“พวกเบื้องบนน่ะ ไม่ได้คาดหวังอะไรไว้กับนายเลย……"เธอพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา“คิดแค่ว่าเสียงร้องเรียนของพวกชนชั้นสูงมันน่ารำคาญ ก็เลยกะจะหาคนมารับผิดชอบให้มันจบๆไป”ก่อนจะพูดต่อ เฟลิเซีย มองเอรอสตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับพยายามสำรวจเขาอย่างละเอียด"แต่ดันให้ผลลัพท์เหนือความคาดหมาย….นายหาทางเข้าที่บังเอิญเกิดขึ้นมาแค่เพียงเสี้ยววินาทีได้ยังไง?”เธอเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะถามอย่างคาดคั้น“แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาตรวจสอบเรื่องนั้น ที่สำคัญกว่า.…..นายได้รับอะไรมาจากแม่มด?”เอรอสคิดในใจ "แม่มด? เธอน่ะเหรอ?" ก่อนจะนิ่งคิ
ก่อนหน้านี้เล็กน้อย ที่กิลนักผจญภัย บรรยากาศในห้องหนึ่งค่อยๆ เงียบลง เสียงจานและแก้วที่กระทบกันอย่างต่อเนื่องในมื้ออาหารเริ่มเบาลง สมาชิกในกลุ่มทั้งห้าต่างจมอยู่ในความคิดของตน มีเพียง “ลีน่า” หญิงสาววัย 20 ปี ที่ดูร้อนใจที่สุดลีน่านั่งกุมมือไว้บนตัก ดวงตาสีทองที่ซ่อนอยู่หลังแว่นหนา มองออกไปยังท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง ความกังวลสะท้อนชัดเจนบนใบหน้าเล็กๆ ของเธอ ผมสีน้ำตาลอมแดงที่มักมัดไว้หลังศีรษะ หลุดออกมาบางส่วน เธอเฝ้ามองนอกหน้าต่างอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันสายตากลับไปยังเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ตรงข้าม แต่ไม่มีใครดูเหมือนจะสนใจความกังวลของเธอมากนัก"รุ่นพี่เขาจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรอคะ? ไปตั้งแต่เช้าแล้ว... ตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย…"ลีน่าถามเสียงเบาแต่ชัดเจน น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยราวกับพยายามเก็บซ่อนความกังวลบรรยากาศรอบโต๊ะนิ่งเงียบลงเล็กน้อยจากคำถามของลีน่า เฟรย์ ชายหนุ่มวัยเดียวกัน รูปร่างสูงโปร่ง ผิวซีดแบบขุนนาง เอียงตัวไปข้างหน้าวางข้อศอกลงบนโต๊ะ มือข้างหนึ่งยกแก้วชาขึ้นจิบ ก่อนจะพูดตอบเธอด้วยน้ำเสียงสุขุม“ไม่เป็นไรหรอกลีน่า เขาไม่ใช่คนที่จะตายง่ายๆขนาดนั้น ก็เห็นรอดกลับมาตลอด”เขาพูดด้วยท่
“หยุดสิวะ... หยุด!!!”เอรอสที่ทรุดตัวนั่งอยู่บนพื้น ตะโกนในใจด้วยความอึดอัด ความเหนื่อยล้าที่กดทับร่างทำให้เขาหายใจหอบ สายตาของเขาพร่ามัว เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และความรู้สึกเจ็บปวดที่บีบคั้นราวกับถูกบีบรัดจากภายใน ความทรมานที่รู้สึกนั้นเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหวนี่เป็นครั้งที่สองแล้ว... ครั้งที่สองที่เขาถูกมันคุกคามหนักถึงขนาดนี้น ยิ่งเขาปล่อยให้มันเข้ามาในจิตใจมากเท่าไหร่ ทั้งสองก็ยิ่งเชื่อมต่อกันแน่นแฟ้นขึ้นทุกที เหมือนมีบางอย่างในตัวเขาถูกดึงออกไป... และในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ถูกถ่ายโอนกลับมา แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำก็ตามหลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ผลกระทบที่ยืดเยื้อก็ค่อยๆ จางหาย เอรอสนอนราบลงกับพื้น ถอนหายใจยาวเพื่อระบายความอึดอัดที่ยังหลงเหลืออยู่ เขาไม่สนใจเสื้อผ้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อหรือความอ่อนล้าที่ปกคลุมร่างกาย สิ่งที่เขาสนใจกลับเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามา ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเขา...มันเป็นภาพครอบครัวของเรย์นาร์ค... แม้เพียงเสี้ยวหนึ่งก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงในความทรงจำนั้น เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งและเด็กสาวอายุราว 8 ขวบ ทั้งสองมีผิวสี
แม้ว่าเอรอสจะพยายามรักษาระยะห่างจากเธอ แต่ทุกครั้งที่เกิดอันตรายขึ้น เขากลับปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือเสมอ แม้จะไม่ใช่ตัวตนเดิมก็ตามในช่วงเวลาปกติ เขาก็คอยแนะนำสถานที่สำหรับหาข้อมูล ของใช้ที่จำเป็นสำหรับการทำงาน หรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับคดีที่พวกเขาทำอยู่ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่พวกรุ่นพี่ที่ทำงานมาก่อนหน้านี้ไม่ยอมบอก ทำให้คำแนะนำของเอรอสกลายเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกขอบคุณมาโดยตลอดอย่างไรก็ตาม ภารกิจที่เขาได้รับจากกิลด์ส่วนใหญ่กลับเป็นเพียงงานธรรมดา ไม่เกี่ยวข้องกับแผนกสืบสวนเลย เช่น การส่งจดหมายไปที่เมืองอื่น หาแมวที่หายไป หรือแม้แต่ทำความสะอาดสถานที่บางแห่ง ภารกิจเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นงานที่ไม่สำคัญและไม่มีใครสนใจ นักผจญภัยคนอื่นมักเลือกทำภารกิจที่ท้าทายและมีผลตอบแทนมากกว่าเหตุผลที่เอรอสได้รับภารกิจเหล่านี้มาจากผู้จัดการของกิลด์เอง ผู้จัดการอ้างว่า ‘หน้าตาทางสังคมของกิลด์จะเสียหาย ถ้างานพวกนี้ไม่ถูกจัดการ’ เขามอบงานเหล่านั้นให้เอรอส โดยเจตนาซ่อนความสามารถของเขา เพื่อป้องกันไม่ให้เด่นเกินหน้าลูกชายหรือผู้จัดการเอง แม้ว่าหากจนปัญญาจริงๆ ก็จะตกมาถึงมือเขาเสมอลีน่าที่พยายามรักษาระยะห่างจากผู้
คำพูดของเฟรย์ทำให้บรรยากาศในห้องประชุมเงียบงัน ลีน่ากับโซเฟียสบตากันอย่างเคร่งเครียด หอคอยนักปราชญ์เป็นหนึ่งในองค์กรที่ทรงอำนาจที่สุดในประเทศ มีอิทธิพลเทียบเท่ากับตระกูลขุนนางชั้นสูงและราชวงศ์ เป็นศูนย์กลางขององค์ความรู้และเวทมนตร์ หากใครปรารถนาจะก้าวขึ้นเป็นจอมเวทชั้นแนวหน้า หอคอยนี้คือที่ที่พวกเขาต้องผ่านไป ไม่เพียงแต่ขึ้นชื่อในเรื่องการสอนเวทมนตร์ แต่ยังสร้างนักเวทผู้ทรงพลังมานับไม่ถ้วนการคัดเลือกผู้เข้าสู่หอคอยนั้นแสนเข้มงวด ผู้สมัครต้องมีวงแหวนอย่างน้อยสองวง และอายุไม่เกิน 20 ปี แม้ว่าพวกเขาจะผ่านเงื่อนไขที่กำหนดไว้ได้ การอยู่รอดในหอคอยก็ยังเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่น เพราะภายในนั้นเต็มไปด้วยการแข่งขัน และการต่อสู้เพื่อความเป็นหนึ่ง ที่นั่นยังเป็นสถานที่รวมเหล่าลูกหลานขุนนางที่ทรงอำนาจไว้อย่างมากมาย ทุกย่างก้าวในหอคอยจึงเต็มไปด้วยความอันตรายอยู่เสมอเฟรย์เอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่น “ไม่คิดเลยว่าหอคอยจะเข้ามาเกี่ยวข้อง... มันอันตรายเกินไปที่เราจะยุ่งกับเรื่องนี้”พวกทุกคนเข้าใจถึงความอันตรายของหอคอยเป็นอย่างดี เอรอสได้บอกข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับหอคอย และ เตือนพวกเขาว่าห้ามไปยุ่ง หรือ หาเรื่
ในความมืดมิด เอรอสลืมตาขึ้นมา ท่ามกลางเงาดำไร้ขอบเขต พื้นที่เขาเหยียบย่ำเป็นแอ่งน้ำสีดำสนิท ลึกจนไร้ก้นบึ้ง ทุกสิ่งเงียบงันจนดูเหมือนเวลาได้หยุดลง ความเย็นเฉียบของบรรยากาศนั้นไม่เพียงแค่โอบล้อมร่างกายของเขา แต่ราวกับแทรกซึมลึกเข้าไปในไขกระดูก เย็นจนแสบซ่าน ทรมานจนหัวใจของเขาเต้นรัว เสียงกระซิบแผ่วเบาจากเงามืดดังขึ้นรอบตัวเขา คล้ายกับความคิดแฝงซ่อนอยู่ในหัวของเขาเองที่คอยกัดกร่อน“ยังมีสัญญาที่ยังทำไม่สำเร็จอีกไม่ใช่หรือ? จะยอมแพ้แล้วงั้นหรอ?”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง เมื่อนั้นเอรอสหันไปมอง เขาเห็นตัวเอง... ในอีกรูปแบบหนึ่ง รูปร่างนั้นผ่ายผอม ใบหน้าอิดโรย ความเหนื่อยล้าฉายชัดบนใบหน้าของร่างนั้น แต่ดวงตา และ ท่าทางกลับแน่วแน่ดั่งก้อนหินที่ไม่อาจถูกทำลายเมื่อเอรอสหันมองไปรอบๆ เขาพบว่ามีตัวเองอีกนับสิบยืนล้อมรอบเขาอยู่ บางคนดูมั่นคง เยือกเย็น ราวกับผู้นำที่ยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบพร้อมด้วยชุดเกราะสีเงินที่เปล่งประกาย บางคนสวมเสื้อคลุมสีดำสนิท ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าแต่ท่าทางยังแฝงความเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้ ทั้งหมดล้วนสะท้อนตัวตนของเขาในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกสายตาจับจ้องมาที่เ