ศาลาหินกลางสวนที่ล้อมรอบด้วยพุ่มไม้เขียวขจีให้ความรู้สึกสงบ ราวกับหยุดเวลาเอาไว้ เสียงลมพัดแผ่วเบา แทรกซึมผ่านบรรยากาศที่เงียบงัน
เขาหยุดพูดไปชั่วครู่หลังจากเอ่ยปากว่าจะเล่าเรื่อง ดวงตาสีเทาหม่นทอดต่ำ ราวกับกำลังพยายามจับเศษเสี้ยวของความทรงจำที่กระจัดกระจาย
“จริงๆ แล้ว… ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” น้ำเสียงเรียบนิ่งนั้นเจืออารมณ์บางอย่างที่ซ่อนลึก
“ที่นี่… มันให้ความรู้สึกแปลกๆ เหมือนว่าฉันเคยมาที่นี่ แต่กลับจำอะไรไม่ได้”
หญิงสาวมองด้วยความสนใจ ดวงตาสีน้ำเงินเปล่งประกายอยากรู้อยากเห็น
“แล้วอะไรที่ทำให้นายมั่นใจว่าเคยมาที่นี่?”
ไม่มีคำตอบในทันที สายตาเลื่อนลอยกวาดมองรอบๆ ก่อนจะหยุดที่เสาไม้ด้านหนึ่ง มือยื่นออกไปแตะรอยขีดสามเส้นเล็กๆ ที่ดูเหมือนเกิดจากการแกะสลัก นิ้วลูบเบาๆบนพื้นผิวหยาบกร้าน สีหน้าฉายแววบางอย่างที่ยากจะอธิบาย
“นี่คือ...” เขาพึมพำ
อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ ก้มมองรอยขีดด้วยความสงสัย
“นี่อะไร?”
“ที่ๆเราเคยใช้วัดส่วนสูงด้วยกัน ตอนนั้นเรามีกันสามคน…” เสียงแผ่วเบาดังขึ้น ร่องรอยความทรงจำเลือนลางเหมือนจะกลับมาชัดเจนขึ้นทุกครั้งที่ปลายนิ้วสัมผัสรอยขีดนั้น
“ใครคือ ‘เรา’?” อีกฝ่ายถามด้วยความอยากรู้
เขาเงียบไปอีกครั้ง ดวงตาสีเทามองเลื่อนลอยออกไปไกล ราวกับพยายามค้นหาภาพที่หล่นหาย
“จำได้ลางๆว่าตอนเด็ก ฉันเคยมาที่นี่กับพวกเขา… เพื่อนผู้หญิงสองคนที่สนิทกัน แต่ฉันกลับจำใบหน้าของอีกคนหนึ่งไม่ได้”
อากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความสงบ เสียงลมพัดแผ่วพาเอากลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมา ศาลาหินสีขาวตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้เขียวขจี เสาต้นที่มีรอยขีดเล็กๆ ดูเป็นหลักฐานของความทรงจำในอดีตที่ยังคงทิ้งร่องรอยเอาไว้
เธอมองเขาด้วยความตั้งใจ น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยถาม
“พวกเธอสำคัญกับนายรึเปล่า?”
เขาถอนหายใจเฮือกเบาๆ เงยหน้ามองเพดานศาลา ขณะเอ่ยเสียงแผ่วที่เจือความสับสน
“ไม่รู้สิ… ฉันจำไม่ได้ แค่รู้สึกว่ามันมีบางอย่างเกี่ยวกับพวกเขา… เกี่ยวกับที่นี่”
นิ้วยังคงไล้ไปตามรอยขีดบนพื้นผิว ราวกับหวังจับต้องความทรงจำที่หล่นหาย
“ฉันเคยพยายามตามหาที่นี่ แต่สิ่งที่เจอ กลับเป็นเพียงย่านสลัมที่ไม่มีอะไรเหมือนกับในความทรงจำ มันเลยทำให้ฉันสงสัยว่า...บางทีความทรงจำที่มีอาจไม่ใช่เรื่องจริง หรือไม่ก็...”
คำพูดหยุดลง ความเงียบครอบงำ ขณะลมพัดผ่านเบาๆ เขาเอ่ยต่อด้วยเสียงที่เจือความไม่แน่ใจ
“...หรือไม่ก็ ที่นี่ไม่ใช่โลกที่ฉันเคยอยู่”
หญิงสาวมองด้วยความสงสัย ฟังอย่างตั้งใจโดยไม่พูดแทรก สายตาจับจ้อง ราวกับต้องการให้ทุกคำพูดถูกปลดปล่อยออกมา
“แล้วนายทำยังไงกับความทรงจำพวกนั้น?”
เขาถอนหายใจยาว ราวกับกำลังปลดปล่อยน้ำหนักบางอย่างในใจ
“ฉันพยายามเลิกสนใจมัน” เสียงเรียบนิ่งแฝงความเหนื่อยล้า “ฉันใช้ชีวิตไปตามปกติ พยายามบอกตัวเองว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นแค่ภาพหลอน… เป็นแค่อาการป่วย หากปล่อยไว้มันก็หายไปเอง”
สายตามองออกไปยังต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากศาลา ใบหน้าครุ่นคิด
“แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งเหล่านั้นไม่เคยหายไปไหน มันยังอยู่กับฉันตลอด โดยเฉพาะตอนที่ฉันมาที่นี่…”
ดวงตาสีเทาจับจ้องไปยังจุดใต้ต้นไม้ใหญ่ ราวกับเห็นภาพบางอย่างที่คนอื่นมองไม่เห็น
“ฉันเห็นเด็กสามคนยืนอยู่ตรงนั้น ใกล้ๆกับต้นไม้นั้น…” เขาชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ มือสั่นเล็กน้อย “พวกมันติดตามฉันมาตลอด และตอนนี้เหมือนจะนำทางให้ฉันไปที่นั้น”
อีกฝ่ายหันมองตาม แต่ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ
“ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ” เสียงเรียบนิ่งแต่หนักแน่นเอ่ยขึ้น ขณะหลับตาลง พยายามใช้พลังเวทสัมผัสถึงสิ่งที่ผิดปกติ กระแสพลังแผ่ขยายออกไปทั่วบริเวณ แต่กลับไม่พบอะไรที่เป็นข้อพิรุธ
“มานารอบต้นไม้นั้นไม่มีอะไรผิดปกติ” เธอกล่าว น้ำเสียงหนักแน่นแต่สีหน้ากลับสะท้อนถึงความลังเล
เขายังคงจ้องไปที่เดิม ร่างกายแน่นิ่ง ก่อนถอนหายใจเบาๆ มือยกขึ้นลูบต้นคออย่างเหนื่อยล้า ดวงตาสีเทาฉายแววเหมือนคนที่แบกรับบางสิ่งมานานเกินไป
“ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนบอกฉันแบบนั้นหรอก” เสียงที่เจือความขมขื่นเล็กน้อยดังขึ้น
“ฉันเคยลองเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง… แต่ก็ไม่มีใคร เชื่อ และ เห็นเหมือนสิ่งที่ฉันเห็น”
คำพูดนั้นทำให้อีกฝ่ายนิ่งคิด เธอเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงความลังเล
“หรือบางที… อาจจะมีอะไรบางอย่างอยู่จริงๆ”
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ยกมือขึ้นช้าๆ กระแสพลังเวทย์แผ่ขยายออกจากร่างของเธอไปผสมครอบคลุมมานาถึงบริเวณต้นไม้ และ บริเวณโดยรอบอย่างเอ่อล้น
แต่แล้วเธอก็สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงความขัดแย้งระหว่างสัมผัสและสิ่งที่มองเห็น เธอสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ไม่สมดุล เมื่อพลังของเธอแผ่ไปถึงพื้นที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า กระแสมานาที่ควรจะตอบสนองต่อแรงกดดันของเธอกลับแสดงออกสองสิ่งที่ขัดแย้งกันอย่างประหลาด
เธอสัมผัสได้ว่ามานากำลังไหลตามแรงควบคุมของเธอ เหมือนกับน้ำที่เคลื่อนไหวตามการกวนน้ำของมือ แต่ภาพที่ปรากฏกลับนิ่งสนิท ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ราวกับไม่มีอะไรแตะต้องมัน ทำให้เธอต้องหยุดพิจารณา
"แปลกมาก" เธอเอ่ยขึ้น สีหน้าของเธอฉายความสงสัยลึกซึ้ง
"นี่...มันแปลกจริงๆ ฉันไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน"
เขาเบือนสายตามาสบกับเธอ ใบหน้าเขาดูอ่อนล้า
สายตายังจับจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างละเอียด เด็กสามคนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ท่ามกลางแสงสีทองที่สาดส่องลงมาจากฟากฟ้า สร้างเวทีที่ทำให้ภาพนั้นดูเหมือนจริงจนน่าหลงใหล
เด็กชายในภาพ ดูเหมือนเขาตอนเด็ก ดวงตาสีเทาหม่นสะท้อนเจตนาบางอย่าง เขายืนอยู่ตรงกลาง มือทั้งสองข้างจับกล่องไม้ขนาดใหญ่กว่าตัวเล็กน้อยไว้แน่น ราวกับมันเป็นสมบัติล้ำค่าที่เขาจะไม่มีวันยอมปล่อย
ทางขวาเป็นเด็กสาวที่มีเรือนผมสีขาวเงินที่ส่องประกายระยิบระยับยามต้องแสงสีทอง แม้ร่างกายเธอจะพร่ามัว แต่เส้นผมสีเงินนั้นกลับเด่นสะดุดตาอย่างประหลาด ทำให้สายตาของเขาไม่อาจละไปได้ ทว่าทุกครั้งที่เขาพยายามเพ่งมองใบหน้าของเธอ มันกลับเลือนหาย ราวกับเธอปฏิเสธที่จะถูกจดจำ
ทางซ้ายมีเด็กหญิงอีกคนนึง เธอมีผมสีทองยาวและดวงตาสีเขียวมรกต ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสดใสและความเชื่อมั่น เหมือนกับตอนที่เขาเคยอยู่ด้วยกันดังเช่นในอดีต เธอยิ้มกว้าง มือหนึ่งจับไหล่ของเขาเอาไว้ ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งชี้ไปยังกล่องไม้ในมือของเด็กชาย ก่อนจะหันไปพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
แสงสีทองที่สาดลงมาทำให้ทุกอย่างในภาพดูราวกับเป็นฉากในฝันที่สมจริงยิ่งกว่าความเป็นจริง ความอบอุ่นและความสุขจากภาพนั้นแผ่ซ่านเข้ามาจนเขารู้สึกได้ แต่ยิ่งมอง ภาพนั้นก็ยิ่งคลุมเครือราวกับมันกำลังหลบหนีไปจากสายตา
แต่ในความเลือนลางนั้น บางสิ่งกลับผุดขึ้นมาในห้วงความคิด…
กล่องไม้
ภาพกล่องปรากฏขึ้นในความทรงจำ มันดูเรียบง่าย แต่กลับให้ความรู้สึกว่าข้างในนั้นบรรจุสิ่งสำคัญบางอย่างเอาไว้ และเขาจำได้ชัดเจนว่า…
พวกเขาเคยฝังกล่องใบนั้นไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่
เขาเบิกตากว้างเล็กน้อย หัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ความรู้สึกแปลกประหลาดที่หลั่งไหลมาทำให้เขาก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนจะหันไปมองหญิงสาวข้างกาย
"ฉัน…ขอไปดูอะไรหน่อย" น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยความมุ่งมั่น
เธอมองเขาด้วยความสงสัย แต่ไม่ได้ซักถามอะไร เพียงพยักหน้ารับ และ ก้าวตามไปอย่างเงียบๆ
เขาเดินตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ แต่ละก้าวของเขาหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาสีเทาหม่นจับจ้องไปยังพื้นดินเบื้องหน้า ราวกับถูกชักนำด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น
เมื่อเขาเดินเข้าใกล้ ภาพหลอนของเด็กทั้งสามค่อยๆจางลงอย่างช้าๆราวกับหมอกที่ถูกลมพัดพาไป จนกระทั่งมันเลือนหายไปในที่สุด อากาศเย็นวูบสัมผัสผิว เสียงรอบตัวเงียบงัน ราวกับเวลาได้หยุดนิ่ง
เมื่อมาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ เขาหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะคุกเข่าลง มือสั่นเล็กน้อยขณะที่เริ่มใช้ปลายนิ้วเขี่ยใบไม้แห้งและดินออกจากพื้นบริเวณนั้น
เธอยืนเฝ้ามองเขาเงียบๆ "นายกำลังหาอะไร?" เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
เขาไม่เงยหน้าขึ้น แต่ตอบเบาๆขณะมือยังคงขุดต่อไป "บางอย่างที่ฉันเคยซ่อนไว้…เมื่อนานมาแล้ว"
เมื่อเขาค่อยๆขุดพื้นดินเบื้องหน้า เสียงปลายนิ้วของเขาสัมผัสเข้ากับบางสิ่งที่แข็งและเย็น เขาดึงมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง กล่องไม้ใบเล็กปรากฏขึ้นจากชั้นดินที่ปกคลุมมันมานาน
"นี่น่ะหรอ คือสิ่งที่อยากจะบอก?" เขาพึมพำเบาๆขณะจ้องมองกล่องไม้ธรรมดาในมือ สีหน้าเขาฉายแววสับสนราวกับไม่เชื่อว่านี่คือสิ่งที่ภาพหลอนพยายามชี้นำให้เขาเห็น
มันเป็นกล่องไม้ธรรมดา ไม่มีลวดลาย ไม่มีสีสันโดดเด่น เป็นเพียงไม้เก่าที่ขอบเริ่มผุกร่อนตามกาลเวลา ความทรงจำเกี่ยวกับมัน เคยถูกเขาเพิกเฉยไปนาน ราวกับมันไม่เคยมีอยู่เลย—จนกระทั่งเมื่อครู่นี้
เขาค่อยๆ ลูบมันเบา ดวงตาของเขาฉายแววซับ หญิงสาวมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเงียบงัน ก่อนจะเอ่ยถามเบาๆ
“ในนั้นมีอะไร…?” ชายหนุ่มเงยหน้ามองเธอ ดวงตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“...ความทรงจำของฉัน”
สายลมที่พัดผ่านต้นไม้ใหญ่นั้นแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่กลับนำพาบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า—กลิ่นอายของอดีตที่หวนคืนมาในทุกลมหายใจชายหนุ่มพลิกสมุดภาพในมืออย่างแผ่วเบา ทุกหน้ากระดาษเหมือนพาเขาดำดิ่งลึกลงไปในความทรงจำ ภาพเลือนรางที่เคยจางหายกลับชัดเจนขึ้น เสียงหัวเราะในวัยเยาว์สะท้อนขึ้นมาในใจ คำสัญญาที่หลงลืมกลับมาก่อตัวอีกครั้ง ทันใดนั้น บรรยากาศรอบตัวกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อยหญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลหันมามองเขาด้วยสายตาสงสัย “เกิดอะไรขึ้น...” เธอเอ่ยออกมาเบาๆ ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อสายลมรอบๆ ต้นไม้เริ่มพัดไหวเบาๆ ราวกับกำลังแหวกม่านบางๆ เผยให้เห็นบางสิ่งที่อยู่อีกฟากของเวลาและแล้ว...ภาพในสมุดภาพก็เหมือนจะก้าวข้ามหน้ากระดาษเบื้องหน้าของพวกเขาปรากฏเป็นภาพลวงตาที่ไม่อาจอธิบายได้ เด็กชายในชุดเรียบง่ายปรากฏตัวพร้อมเด็กสาวสองคน พวกเขาหัวเราะสดใสราวกับไม่ได้รับรู้ถึงสายตาของผู้ชมจากอนาคต ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยชีวิตชีวาเหมือนมองผ่านหน้าต่างแห่งเวลาหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างชายหนุ่มมองภาพเหล่านั้นอย่างตกตะลึง “นี่มัน...” เธออ้าปากค้าง แต่เสียงของเธอกลับถูกกลืนหายไปกับเสียงหัวเราะ
เวลา 2 ทุ่ม ลมหนาวจากค่ำคืนพัดความหนาวเย็นเอื่อยๆมาแตะผิวเบาๆ ชวนให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงระเบียงยกผ้าคลุมไหล่ขึ้นห่มตัวแน่นขึ้น เธอทอดสายตามองบันไดหินที่ทอดยาวจากถนนเบื้องล่างขึ้นมาถึงหน้าห้องพัก ไม่มีเงาร่างของคนที่เธอเฝ้ารอเธอรอเขามาทั้งบ่าย ทั้งเย็น จนกระทั่งค่ำคืนนี้มาถึงอย่างเงียบงัน เพื่อจะมาขอความช่วยเหลือจากเขา ก่อนหน้านี้ เธอเคยส่งจดหมายไปแล้ว เนื้อความในนั้นสั้นแต่เร่งด่วน เป็นคำร้องขอให้ช่วยตามหาคู่หมั้นของเธอที่หายตัวไป ทว่าจดหมายนั้นกลับไร้คำตอบ กระทั่งเธอได้ยินข่าวมาว่าเขาออกเดินทางไปไกลเสียก่อนจดหมายนั้นจะไปถึงเสียอีกมันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เธอโล่งใจที่เขาไม่ได้ตั้งใจเมินเฉยต่อเธอ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกแย่กับความโล่งใจของตัวเอง เธอไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไป ความรู้สึกผิดที่ไม่เคยเลือนหายจากใจและในเช้าวันนี้ เธอจึงตัดสินใจจะทำในสิ่งที่หลีกเลี่ยงมานาน เธอไปดักรอเขาที่ริมถนนสายเล็กๆ ซึ่งเป็นเส้นทางที่เขามักใช้ประจำจนกระทั่งเธอเห็นเขาชายหนุ่มยืนอยู่ที่อีกฟากของถนน ร่างสูงในชุดทำงาน ใบหน้าของเขานิ่งเฉยจนแทบอ่านอารมณ์ไม่ได้ แต่แววตาของเขา—ดวงตาคู่นั้นเต็มไป
ชายหนุ่มอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น สติเลือนรางขณะที่สายตาเหลือบมองรูโหว่บริเวณหน้าอกของตัวเอง แม้หัวใจจะหายไป แต่ร่างกายของเขากลับไม่ยอมพังทลาย มันกำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดด้วยพลังบางอย่างที่ไม่อาจระบุได้ร่างของเขาลอยอยู่กลางอากาศ มวลมานาขนาดใหญ่แผ่กระจายโอบล้อมร่างที่กำลังถูกแทรกแซงจากจิตวิญญาณอีกดวงที่แฝงตัวอยู่ภายใน มันไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้เฝ้ามองอีกต่อไป แต่กำลังต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของตัวเองด้วยการพยายามครอบงำทุกส่วนของร่างกายเขาผิวสีขาวของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเข้มในหลายจุด ผมที่ดำสนิทกระเซอะกระเซิง บัดนี้มีสีเทาแซมอย่างเด่นชัด ดวงตาข้างหนึ่งกลายเป็นสีแดงเข้ม บ่งบอกถึงการแผ่ขยายอิทธิพลของจิตวิญญาณแปลกปลอม แม้ว่าการครอบงำจะยังไม่สมบูรณ์ แต่ร่องรอยของมันปรากฏชัดในทุกเส้นสายของร่างกายจิตวิญญาณที่แฝงอยู่พยายามอย่างสิ้นหวังที่จะฟื้นฟูรูโหว่บริเวณหน้าอก โดยการเปลี่ยนพลังงานที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้ฟื้นฟูหัวใจของเขาอย่างสิ้นหวัง แม้ว่ามันจะเป็นการพยายามที่สูญเปล่าก็ตามขณะเดียวกัน หญิงสาวผมดำ ดวงตาสีเงิน จับจ้องเขาด้วยความพึงพอใจปนความระแวดระวังเธอมองเห็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่กำล
ยามค่ำคืนที่เงียบสงัดปกคลุมเมืองไว้ด้วยความมืด เข็มนาฬิกาเดินเข้าสู่เวลาสามทุ่มครึ่ง บรรยากาศที่ควรคึกคักกลับดูอึดอัดและไม่ปกติ เอรอสเดินอยู่บนถนนสายเล็ก มุ่งหน้าไปยังหอพัก ดวงตาจับจ้องไปข้างหน้า แต่ในหัวของเขากำลังคำนวณแผนการหลบหนี‘สถานการณ์แบบนี้ อยู่ต่อไม่ได้แน่... ทางที่ดีที่สุดคือหาที่กบดานเมืองอื่นสักครึ่งปี แล้วค่อยกลับมาใหม่’เขาคิดในใจพลางประเมินตัวเลือกต่างๆ การสร้างตัวตนใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก หากใช้เครือข่ายเดิมที่มีหรือจ่ายเงินให้คนที่ไว้ใจได้ เขาสามารถแทรกซึมเข้าไปอยู่ในตระกูลสาขาสักตระกูล เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ จากนั้นก็ค่อยส่งนักเรียนบางคนแทรกซึมเข้าไปในหอคอย เพื่อล้วงข้อมูลที่จำเป็น‘ขอแค่หนีออกไปจากเมืองนี้ให้ได้ก่อน... แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย’เอรอสเลือกเดินผ่านตรอกวอยเล็กๆ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ใกล้ที่สุดไปยังหอพัก ถนนแคบๆ มีเพียงแสงจากโคมไฟเก่าๆ สลัวๆ ให้เห็นทาง เขาชอบทางนี้เพราะมันเปลี่ยวและไม่มีผู้คนพลุกพล่าน แต่คืนนี้มันกลับเงียบเกินไปอย่างผิดปกติ ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งเมื่อเขาเดินมาถึงลานกว้างข้างหน้า ความรู้สึกผิดปกติเริ่มกัดกินความสงบในใจ มันไม่มีผู้คนอยู่เลย เง
ในขณะที่หญิงสาวคนนึงกำลังเดินกลับคฤหาสน์ด้วยความเสียใจ เสียงพลังเวทที่แตกกระจายดังก้องสะท้อนผ่านตรอกแคบๆ ในยามค่ำคืน ทำให้เธอต้องหยุดชะงัก หัวใจของเอเลน่าเต้นแรงด้วยความกังวลและตื่นเต้น เธอกระชับดาบข้างกายและเร่งฝีเท้าตรงไปยังต้นตอของเสียงที่ลานเปิดกลางตรอก เธอพบกลุ่มจอมเวทย์ในชุดคลุมดำยืนล้อมร่างชายคนหนึ่งที่ถูกพันธนาการด้วยโซ่เวทมนตร์ที่เปล่งแสงริบหรี่ใต้แสงจันทร์ กลิ่นอายเวทมนตร์ที่เข้มข้นแผ่กระจายจนทำให้บรรยากาศรอบตัวหนักอึ้ง ชายที่ถูกจับมีผ้าคลุมหนาคลุมร่างจนมองไม่เห็นใบหน้า ข้างกายเขามีคฑาเวทมนตร์ที่ปลายแตกหักวางอยู่เอเลน่าก้าวออกจากเงามืด ดวงตาจับจ้องไปยังกลุ่มนั้นก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงด้วยความมั่นใจ"ข้า เอเลน่า วัลธอเรน ขอถามว่าพวกท่านกำลังทำอะไรกันอยู่ที่นี่?"ชายสูงวัยในชุดคลุมดำค่อยๆหันมามองเธอ ใบหน้าใต้ฮู้ดของเขาเผยรอยยิ้มที่ไม่ชัดเจน เขาก้าวออกมาด้านหน้าอย่างมั่นคง ก่อนโค้งตัวเล็กน้อยด้วยท่าทีที่เสแสร้ง "ท่านเอเลน่า แห่งตระกูลวัลธอเรน...นี้เอง นึกไม่ถึงว่าจะได้รับเกียรติพบเจอท่านในยามค่ำคืนเช่นนี้"เอเลน่าขมวดคิ้ว เธอยืดตัวตรงและกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น "การจั
ในความมืดมิดที่ไร้จุดสิ้นสุด ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมา ท่ามกลางเงาดำที่แผ่ขยายไปทุกทิศทาง ราวกับว่าความว่างเปล่าได้กลืนกินทุกสิ่งรอบกายของเขาคือแอ่งน้ำสีดำสนิท เงาสะท้อนของมันไม่ใช่ใบหน้าของเขาเอง แต่กลับเป็นความว่างเปล่าที่ไร้ตัวตนทุกอย่างเงียบงันจนดูเหมือนว่าเวลาได้หยุดลง ความเย็นเยือกของบรรยากาศรอบตัวแทรกซึมลึกลงไปในไขกระดูก หนาวจนแสบซ่าน—ทรมานจนหัวใจของเขาเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะจากเงามืดนั้น เสียงกระซิบแผ่วเบาคล้ายลมหายใจแผ่วดังขึ้นมันไม่ใช่เสียงจากที่ไกลโพ้น แต่เหมือนเป็นเสียงในหัวของเขาเอง เสียงที่กัดกร่อนจิตใจด้วยคำถามที่เขาไม่อยากได้ยิน“ยังมีสัญญาที่ยังทำไม่สำเร็จ เจ้าจะยอมแพ้แล้วงั้นหรือ?”เขาสะดุ้งสุดตัว หันขวับไปตามเสียงนั้น และพบ…ตัวเอง ตัวเขาที่ดูแตกต่างร่างนั้นผ่ายผอม ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาลึกโหลจนเหมือนเบ้าตาถูกกลืนหายไปในความมืดทว่าภายใต้ความเหนื่อยล้าเหล่านั้น แววตาของร่างนั้นกลับแน่วแน่ ราวกับก้อนหินที่ไม่อาจถูกทำลายเมื่อเขาหันมองรอบตัว สิ่งที่เขาเห็นทำให้หัวใจหล่นวูบ ตัวเขา…ตัวเขาอีกหลายสิบคนยืนล้อมรอบ ทุกสายตาจับจ้องมายังเขาบางร่างดูมั่นคงและสง่างาม ดุจผู้นำที่ยืน
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากด้านนอก ดังก้องสะท้อนในโถงทางเดินแคบๆ ที่เงียบสงัด ขณะประตูเหล็กที่มีรอยสนิมขึ้นเล็กน้อยถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วเสียงโลหะเสียดสีกันชวนให้ขนลุก ผู้คุมในชุดคลุมยาวสีดำสนิทก้าวเข้ามาในห้อง รัศมีเวทมนตร์บางเบาลอยอ้อยอิ่งรอบตัวเขา ร่างสูงสง่ามีท่าทางเงียบขรึม ดวงตาที่เยือกเย็นจับจ้องมายังชายหนุ่มที่นั่งอยู่กับพื้นโดยไม่เอ่ยคำใด ก่อนที่สุดท้ายผู้คุมจะเดินไปนั่งอยู่ที่มุมโต๊ะที่ถูกจัดเอาไว้หน้าห้องขัง เขาสังเกตุท่าที และ ลักษณะของผู้คุมอย่างละเอียด แม้ว่าภายนอกดูเหมือนจะถูกปิดบังตัวตนอย่างมิดชิด แต่วัสดุของคฑานั้นก็เพียงพอที่เขาจะสามารถเดาออกได้ว่าผู้คุมตรงหน้านั้นมาจากกลุ่มไหน แต่มันก็ยิ่งทำให้เขาสงสัยมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะวัสดุที่ใช้ทำด้ามคฑานั้น เป็นของที่สั่งทำโดยเฉพาะ และ มีแค่กลุ่มเดียวที่มีวัสดุแบบนี้….หอคอยจอมเวทย์“เป็นไปได้ยังไง? หรือว่าจะถูกขโมยมา?”เขาตั้งข้อสงสัยกับสิ่งที่เห็น ก่อนที่จะสังเกตุบริเวณด้ามจับของคฑาที่ชายคนนั้นถืออย่างละเอียดร่องรอยการสึกกร่อนจากรอยนิ้วมือปรากฏอย่างเด่นชัด ทั้งคราบสกปรก และ รอยถลอก ตรงกับผู้ใช้อย่างชัดเจน ราวกับถูกใช้มาตั
1 ชั่วโมงก่อนการหลบหนี เกิดเหตุไฟไหม้ที่สถานพยาบาลของเมืองในห้องสอบปากคำที่มืดสลัว มีเพียงแสงจากโคมไฟเวทมนตร์ที่ลอยอยู่กลางอากาศช่วยให้เห็นใบหน้าของลีน่า หญิงสาวผมสีส้มอมทองที่สวมแว่นหนาๆ และชุดเครื่องแบบของกิล เธอก้มมองสมุดบันทึกที่เต็มไปด้วยลายมือเรียบเรียงอย่างละเอียด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองชายผู้รอดชีวิตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม"คุณช่วยเล่าอีกครั้งได้ไหมคะ ว่าเกิดอะไรขึ้น?" ลีน่าถามเสียงนุ่ม แต่แฝงไปด้วยความจริงจัง เธอยกปากกาขนนกขึ้นจรดลงบนกระดาษ ขณะที่มองจ้องมองอีกฝ่าย ชายผู้นั้นกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะเริ่มเล่า“มันเกิดขึ้นเร็วมากครับ ตอนนั้นพวกผมกำลังนั่งเฝ้าผู้ป่วยอยู่ในห้อง แต่แล้วชายคนหนึ่งก็ถูกพยาบาลพาตัวเข้ามา...เขาดูซีดเซียวเหมือนไม่มีแรง”ชายคนนั้นลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ"ผมได้ยินพวกพยาบาลพูดกัน เห็นว่าเป็นคนที่ลูกสาวของตระกูลวัลธอเรนให้พาตัวมา ทุกคนก็เลยไม่ได้สงสัย หรือ สนใจอะไรเกี่ยวกับตัวเขามากนัก…."หญิงสาวพยักหน้าเป็นเชิงให้เขาเล่าต่อ "แล้วอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้นคะ?""จู่ๆ ร่างกายของเขาก็ลุกเป็นไฟครับ! ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นมาก่อน ไฟพวกนั้นดูไม่ใช่ไฟธรรมดา มันมีสีฟ้าสว
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่
โพรงหินขนาดมหึมาขยายตัวออกเป็นชั้น ๆ ลดหลั่นลงไปในความมืด เสาหินโบราณตั้งเรียงรายตามระเบียงทางเดินสูงต่ำ ราวกับขั้นบันไดแห่งอารยธรรมที่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาแต่แทนที่สถานที่แห่งนี้จะเป็นเพียงซากโบราณสถานที่รกร้าง กลับมีเหล็กกล้าสนิมเขรอะ ปราการคุมขัง และกรงเหล็กที่แขวนห้อยอยู่ตามแนวผนัง บ่งบอกว่ามันได้ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นคุกใต้ดินอันโหดร้ายและในตอนนี้—มันเป็นเพียงซากปรักหักพังที่เปรอะไปด้วยเลือดเสียงฝีเท้าก้องสะท้อนจากกำแพงหินขรุขระ ขณะที่เหล่าผู้ช่วยเหลือนำกลุ่มทาสเด็กที่รอดชีวิตฝ่าความเงียบสงัดออกไปจากสถานที่แห่งนี้ เปลวไฟริบหรี่สาดเงาทอดยาวไปตามพื้นหินที่เต็มไปด้วยรอยแตกและคราบสีแดงฉาน"อย่าหันไปมองรอบๆ มุ่งหน้าต่อไป" เสียงกระซิบดังขึ้นเป็นระยะๆจากเหล่าผู้นำทางเด็กหลายคนก้มหน้าลง มองเพียงเงาของตัวเองที่ทอดยาวบนพื้นหินเย็นเยียบ แต่ความอยากรู้อยากเห็น และกลิ่นเลือดคาวคลุ้งที่อบอวล ทำให้บางคนอดไม่ได้ที่จะเหลือบตาไปมองรอบด้านร่างของผู้คุมถูกแขวนคว่ำอยู่กับเสาหิน ศพของพวกเขาถูกแทงทะลุด้วยหอกและดาบ บางร่างถูกทิ้งกระจัดกระจายอยู่บนบันไดหินที่ทอดยาวลงไปสู่ระดับลึกกว่า เลือดไหลเป็นทา
เสียงฝีเท้าของผู้คุมหยุดชะงักกะทันหัน ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่เพียงชั่วพริบตาแล้วร่างนั้นก็พุ่งผ่านเธอไปรวดเร็วเกินกว่าสายตาจะมองทัน—ราวกับสายลมสีดำที่พัดผ่านไปเงียบงันเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นก่อนเด็กสาวจะทันหันไปมอง ขวานสีทองตวัดฟาดลงอย่างไร้ความลังเล เสียงเนื้อฉีกสะท้อนก้องในอากาศ ลำคอของชายคนแรกถูกกรีดขาดสะบั้น เลือดพุ่งเป็นสายสาดกระเซ็นลงบนกำแพงหินเย็นเฉียบ ก่อนร่างนั้นจะทรุดลงราวกับหุ่นเชิดที่ขาดด้าย ร่างนั้นปรากฏตัวกลางวงศัตรู ราวกับปีศาจที่โผล่ออกมาจากความมืดเหล่าผู้คุมที่เหลือแข็งค้าง—ลมหายใจขาดห้วงในอก พวกมันพึ่งเริ่มตระหนักถึงภัยที่กำลังกลืนกินแต่ไม่ทันแล้วชายสองคนที่อยู่ใกล้สุดตั้งสติได้ก่อน เงื้อดาบหมายจะสังหาร ทว่าเสียงโลหะเฉือนเนื้อดังกึกก้องก่อนที่พวกมันจะฟันลง ขวานสีทองพุ่งเป็นแนวเฉียง ตัดทะลุร่างทั้งสอง รอยแผลฉีกลึกถึงกระดูก เลือดร้อนๆ กระเซ็นเปรอะเต็มพื้นหินเสียงร่ายมนตร์ดังขึ้นจากพวกด้านหลัง—แต่เขาเร็วกว่าพวกมันขวานถูกเหวี่ยงออกไปด้วยพลังและความแม่นยำ ปักเข้ากลางอกของนักเวทย์คนหนึ่งเต็มแรง เสียงเนื้อฉีกกระชากดังก้องในอากาศ ร่างนั้นทรุดลง มือขาวซีดสั่
เมื่อเรือเดินทางมาถึงชายฝั่ง เธอถูกส่งตัวไปยังสถานที่ที่เรียกว่า "ตลาดทาส" ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นสถานกักกันที่มืดมิดและสกปรก เด็กๆ ถูกแบ่งแยกออกเป็นกลุ่มตามอายุและรูปลักษณ์ เด็กสาวถูกประเมินเหมือนสิ่งของ มีการตรวจสอบรูปร่าง ผิวพรรณ และความบริสุทธิ์เธอถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเด็กสาวอายุ 8-12 ปีที่ยัง "บริสุทธิ์" พวกมันบอกว่าเด็กกลุ่มนี้มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดทาส เพราะสามารถขายให้กับคนร่ำรวยที่ต้องการเด็กสำหรับงานรับใช้ หรือในบางกรณี…สำหรับความต้องการที่เลวร้ายกว่าเธอต้องทำงานหนักทุกวัน ล้างจาน ขัดพื้น และทำความสะอาดห้องขังของตัวเองและคนอื่นๆ อาหารที่ได้รับมีเพียงขนมปังแข็งและน้ำเปล่า เสียงคร่ำครวญแผ่วเบาจากกรงขังข้างๆ ดังขึ้นตลอดเวลา เด็กคนอื่นๆ ในคุกนี้ต่างมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง บางคนถึงกับซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ร่างกายของพวกเขาผอมแห้งจนดูเหมือนเงาของตัวเอง สายตาที่เคยแวววาวนั้นมืดมิด ราวกับดวงตาเหล่านั้นตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงเธอเองก็รู้สึกถึงความกลัวที่แทรกซึมอยู่ในทุกวินาทีของการมีชีวิตที่นี่ ข่าวลือที่ได้ยินมาเกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งที่เคยพยายามหลบหนีแต่ถูกจับได้ยังคงวนเวี
ห้องทำงานของโจชัวยังคงเต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด แสงจากโคมไฟด้านบนส่องวูบไหวไปตามผนังห้องที่เรียงรายด้วยชั้นหนังสือสูงตระหง่าน เงาของเฟอร์นิเจอร์ทอดยาวอย่างบิดเบี้ยว ราวกับมีบางสิ่งกำลังคืบคลานในความมืดโจชัวยืนพิงโต๊ะทำงาน มือข้างหนึ่งกำปากกาแน่นจนปลายเล็บซีดขาว ส่วนอีกข้างวางทับลงบนหนังสือเวทมนตร์เก่าๆที่เปิดค้างไว้ หน้าเอกสารเต็มไปด้วยสัญลักษณ์และสูตรเวทที่ซับซ้อนซึ่งสะท้อนแสงแวววาวตรงหน้าของเขา—ชายวัยกลางคน ผิวสีแทน ผมสีเทา ดวงตาสีแดงฉาน กำลังยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงัน เรย์นาร์ค ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนมาก่อน ราวกับเงาที่โผล่จากความมืด ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มขุนนาง แต่พริบตาเดียวก็เปลี่ยนกลับมาเป็นรูปลักษณ์ที่เขาเคยเจอในอดีตโจชัวมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจแต่ก็ยังคงระแวดระวัง"นี่มันอะไรกัน? รูปลักษณ์ก่อนหน้านี้คืออะไร? คุณเปลี่ยนร่างได้งั้นเหรอ?"เรย์นาร์คไม่ได้ตอบในทันที เขาเพียงมองมา สายตาของเขาเยือกเย็นแต่แฝงไปด้วยแรงกดดันที่หนักอึ้ง ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะดังขึ้น"ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อตอบคำถามของนาย"น้ำเสียงเรียบเฉยของเขาเหมือนมือที่กดลงบนไห
โจชัวถือถาดที่วางชาและขนมอบสดใหม่ เขาก้าวเข้ามาในห้องพยาบาลอย่างเงียบเชียบ ภายในห้องนั้นมีเพียงอาร์วินและไอลีนที่กำลังรออยู่ อาร์วินนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ริมเตียง ท่าทีเฉยชา แต่นัยน์ตาของเขาดูคมกริบราวกับจับสังเกตทุกสิ่งรอบตัว ในขณะที่ไอลีนยังคงรักษามารยาทสมบูรณ์แบบ นั่งหลังตรง มือวางบนตักอย่างสง่างาม"ชาร้อนและขนมอบสดใหม่ครับ" โจชัวกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ ก่อนจะวางถาดลงบนโต๊ะเล็กๆ ตรงกลางห้อง"ผมโจชัว เป็นหมอเวทย์ที่นี่ ยินดีที่ได้พบ" เขากล่าวแนะนำตัว ก่อนหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งข้างไอลีน "แล้วคุณคือ...?"อาร์วินสบตาเขาด้วยแววตาเรียบเฉย ก่อนตอบเสียงเรียบ "ขอผมแนะนำตัว อาร์วิน แคร์นัส ส่วนนี้ไอลีน ตอนนี้น่าจะกำลังคุ้มกันผมอยู่""น่าจะ อะไรของนาย" ไอลีนหันไปแย้งเบาๆ ก่อนจะยิ้มสุภาพ แต่ดวงตายังคงแฝงความระแวงเล็กน้อย"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณโจชัว ฉันเป็นนักเวทย์ฝึกหัดของตระกูลวัลธอเรน และกำลังให้การคุ้มครองเขาอยู่ค่ะ""ยินดีเช่นกันครับ คุณไอลีน" โจชัวตอบรับ ก่อนที่สายตาของเขาจะเหลือบมองไปยังอาร์วิน ซึ่งกำลังหยิบขนมขึ้นมากัดโดยไม่ลังเลขนมที่ดูปกติกลับมีรสขมจัด แต่ชายหนุ่มกลับกินมันได้อ
"นายจะพาฉันไปไหนเนี่ย?" หญิงสาวถามขึ้น ขณะที่พวกเขาเลี้ยวเข้าตรอกซอยแคบๆแห่งหนึ่ง กลิ่นอายของความวุ่นวายในย่านนี้ ทำให้เธอรู้สึกตื่นตัวมากขึ้น"ฉันไม่ได้พาเธอ เธอตามฉันมาเอง" ชายหนุ่มที่เดินนำหน้าตอบเสียงห้วนๆ แต่ยังไม่หยุดเดิน เขาไม่แม้จะหันมามองด้วยซ้ำก่อนหน้านี้ เขาเคยเป็นคนที่พูดจานุ่มนวล สุภาพ และมีมารยาทเสมอเมื่ออยู่ใกล้เธอ แต่ทุกสิ่งที่เธอรู้จักเกี่ยวกับตัวเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อคมมีดหันมาจ่อที่ตาของเธอ เธอแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คืออาร์วินคนเดิมที่เธอเคยรู้จักแววตาของเขาที่ซ่อนอยู่ใต้เลนส์แว่นสีน้ำตาลอมแดง เต็มไปด้วยความระมัดระวัง เหมือนกับเด็กน้อยที่พึ่งออกจากบ้านเป็นครั้งแรก มันเป็นสายตาที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกถึงความแปลกใจอย่างชัดเจนเธอมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ในขณะที่เขาก้าวเดินอย่างชำนาญ แต่ทุกย่างก้าวกลับเต็มไปด้วยความระแวง เขามองไปรอบตัวเหมือนกับคนที่กำลังหลบหนี หรือไม่ก็เหมือนคนที่สูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป เธอเริ่มสงสัยว่าเขากำลังกลัวอะไรอยู่ หรืออาจจะเป็นเพราะเขาสูญเสียวงแหวนเวทมนตร์ไป ทำให้ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ เลยต้องระวังตัวเป็นพิเศษหญิงสาวหยุดชะงักเมื่ออาร์วินหย
ชายหนุ่มเดินลึกเข้าไปในแนวป่าจนถึงเขตเมือง กลิ่นอายของผู้คนเริ่มแตะจมูกของเธอที่แอบตามมาเงียบๆ เสียงพูดคุยและความเคลื่อนไหวของตลาดกลางคืนแว่วเข้ามา เธอหยุดอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์เขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะเลี้ยวเข้าไปในตรอกแคบระหว่างร้านค้าเล็กๆ“ทำไมต้องแอบมาเข้าเมืองมาในเวลานี้ด้วย น่าสงสัยจริงๆ…” หญิงสาวคิดในใจ ก่อนปรับผ้าคลุมไหล่ให้กระชับและเริ่มตามเขาเข้าไปในตรอกที่ดูคับแคบและอับทึบ มีกลิ่นอับของความชื้นผสมกับกลิ่นไม้เก่าจากกำแพงร้านค้าหญิงสาวที่กวาดสายตาเหลือบมองไปรอบข้าง ก่อนที่จะเห็นเงาของเขาเลี้ยวหายเข้าไปในซอยเล็กๆ เธอเห็นดังนั้น จึบรีบเร่งก้าวตามโดยไม่ลดความระมัดระวัง แต่เมื่อพ้นมุมซอยเข้าไป ร่างสูงของชายหนุ่มก็พุ่งพรวดเข้ามามาจากมุมที่เขาเข้าไป ชายหนุ่มเคลื่อนตัวรวดเร็วจนเธอไม่ทันตั้งตัว เธอถูกผลักชนเข้าติดกับกำแพงผนังด้านหลัง“อึก—!” เสียงร้องสั้นกระชับของเธอดังขึ้นในความเงียบ คทาในมือถูกปัดกระเด็นไปด้วยแรงที่เหนือชั้น ตัวเธอแข็งทื่อเหมือนถูกแช่แข็ง ลมหายใจที่เคยสม่ำเสมอหยุดชะงักทันที ปลายมีดเย็นเฉียบจ่ออยู่ห่างจากดวงตาของเธอเพียงเส้นขน ความหวาดกลัวที่ท่วมท้นทำ
หลังจากที่หญิงสาวหลับไป ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ในความเงียบ ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นไฟไหม้สองจุดในคืนเดียว—หนึ่งคือห้องของเขาเอง สถานที่ที่เคยอบอวลไปด้วยเงาของความทรงจำ ทุกอย่างที่หล่อหลอมเป็นชีวิตของเขาและเธอ หนังสือที่เคยวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ บัดนี้กลายเป็นเถ้าถ่าน เฟอร์นิเจอร์ที่เขาเลือกเองถูกเผาผลาญจนไม่เหลือเค้าเดิม ทุกสิ่งที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของวันคืนที่เคยมีร่วมกัน มอดไหม้ไปพร้อมกับเปลวเพลิง ราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่ตั้งแต่แรก…มือขวาของเขากำแน่นจนข้อกระดูกปูดขึ้นมา เขาบีบมือจนเจ็บ แต่พยายามข่มความรู้สึกโกรธเอาไว้ แม้จะพยายามทำเช่นนั้น แววตากลับยังคงสะท้อนความเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ภายใน เขาหายใจเข้าลึก พยายามประคองสติขณะที่ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวอีกแห่งคือโรงพยาบาลกลางเมือง... สถานที่ๆซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย หากต้องการลบตัวตนของเขาจริงๆ แค่เผาห้องพักก็เพียงพอ แต่ทำไมต้องเผาโรงพยาบาล?เรื่องมันใหญ่เกินไป… หรือทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นตอนที่เกิดเรื่องกับเขาพอดี? แต่ถ้านี้เป็นแผนของใครบางคน แล้วพวกมันจะได้ประโยชน์อะไรจากการกระทำเช่นนี้?ชายหนุ่มนั่งครุ่