"เป็นอะไรไปล่ะ? ทำไมไม่ตอบ?" เฟลิเซียเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแต่แฝงด้วยความสงสัย เธอยืนมองเอรอสที่ยังไม่ยอมตอบคำถาม ความเงียบนี้ช่างอึดอัดราวกับสายลมหนาวที่พัดผ่านหัวใจ เธอไม่ได้เร่งรัด เพียงจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของเขาอย่างละเอียด
เอรอสยืนนิ่ง มือของเขาเริ่มสั่นเล็กน้อย ความเจ็บปวดแปลบที่หน้าอกจากหัวใจของไรอัสเริ่มทวีความรุนแรง มันทำให้ร่างกายของเขารู้สึกว่างเปล่า เหมือนบางอย่างภายในถูกดึงออกไปทีละน้อย ความสามารถการรับรู้ของเขาหายไป ทำให้ต้องตระหนักถึงสถานการณ์อย่างรอบคอบมากขึ้น
“พวกเบื้องบนน่ะ ไม่ได้คาดหวังอะไรไว้กับนายเลย……"เธอพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา
“คิดแค่ว่าเสียงร้องเรียนของพวกชนชั้นสูงมันน่ารำคาญ ก็เลยกะจะหาคนมารับผิดชอบให้มันจบๆไป”
ก่อนจะพูดต่อ เฟลิเซีย มองเอรอสตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับพยายามสำรวจเขาอย่างละเอียด
"แต่ดันให้ผลลัพท์เหนือความคาดหมาย….นายหาทางเข้าที่บังเอิญเกิดขึ้นมาแค่เพียงเสี้ยววินาทีได้ยังไง?”
เธอเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะถามอย่างคาดคั้น
“แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาตรวจสอบเรื่องนั้น ที่สำคัญกว่า.…..นายได้รับอะไรมาจากแม่มด?”
เอรอสคิดในใจ "แม่มด? เธอน่ะเหรอ?" ก่อนจะนิ่งคิดถึงมานาที่ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดของเธอ เขารู้ว่ามานาของเธอนั้นมหาศาล เกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะมี อาจจะเทียบเคียงกับมานาของเผ่ามังกรเสียด้วยซ้ำ
“พวกเราคิดว่านายได้ของอะไรบางอย่างจากแม่มด นายมีมันใช่ไหม?” เฟลิเซียถามย้ำต่อ น้ำเสียงของเธอยังคงราบเรียบ ไม่มีร่องรอยของความรีบร้อน
เอรอสไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้ เขาเหลือบมองขวดน้ำยาที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋า ไม่คิดเลยว่าจะได้ใช้มันในเร็วนี้ๆ มันยังเป็นเพียงแค่ของทดลอง….แต่สถานการณ์ในตอนนี้ มันช่วยไม่ได้จริงๆ
เมื่อรู้ว่านี้ไม่ใช่สถานการณ์จะลังเล เขาจับขวดน้ำยานั้นแน่น ก่อนจะเขวี้ยงมันกระแทกกับพื้นๆ ขวดแตกออก ทันใดนั้นหมอกควันสีขาวขุ่นก็ปกคลุมไปทั่วบริเวณรอบตัวเอรอสในพริบตา
“อย่าตื่นตระหนก ล้อมเขาเอาไว้”เฟลิเซียออกคำสั่งอย่างใจเย็น นักเวทย์รอบตัวเธอเริ่มเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง และเตรียมพร้อมที่จะร่ายคาถา ในขณะที่ควันหนาทึบเริ่มกระจายออกไป ทำให้มานาในบริเวณนั้นแปรปรวน
เอรอสใช้โอกาสนี้รีบหยิบกล่องที่เก็บแก่นมานาออกมา สายตาของเขาจับจ้องไปที่มัน เขาเปิดกล่องอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะทำอะไรสักอย่างกับมัน โดยที่ไม่มีใครสังเกตุเห็น
ภายในหมอกนั้นควันยังฟุ้งกระจาย บดบังความเคลื่อนไหวของเขา เฟลิเซียพยายามจับสัมผัสถึงมานาที่อยู่ภายในแต่ก็ไม่มีผล มานาโดยรอบขัดแย้งกัน จนทำให้สัมผัสถึงอะไรไม่ได้ แต่เธอก็ไม่แสดงท่าทีตื่นตระหนก เธอรู้ว่าเอรอสต้องทำอะไรบางอย่างในนั้น แต่ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขาทำอะไรลงไป
ในขณะที่พวกเขาเฝ้าระวัง เอรอสฉวยโอกาสนั้นในการหลบหนี เขาวิ่งผ่านม่านควันที่ปกคลุมไว้ พร้อมยิงกระสุนจากปืนมานาของเขาไปทางกลุ่มนักเวทย์ หวังที่จะถ่วงเวลาให้มากที่สุด การโจมตีไม่ได้รุนแรงพอจะสร้างความเสียหายจริงจัง แต่มันมากพอที่จะทำให้พวกเขาชะงักงัน วงเวทย์ป้องกันถูกสร้างขึ้นมาก่อนที่การโจมตีจะถงตัว
“นี้มันเหนือความคาดหมายจริงๆ” หนึ่งในนักเวทย์พูดอย่างลืมตัว หากเมื่อกี้นี้เขาไม่ได้กางเวทย์ป้องกันเผื่อเอาไว้ ก็คงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยไปแล้ว เขาได้อ่านข้อมูลเอรอสมาก่อนหน้าที่จะมา ได้ยินว่าไม่มีมานาอยู่ในตัว แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะสามารถยิงปืนมานาได้อย่างแม่นยำขนาดนี้ แต่ก็ยังมีความรู้สึกบางอย่างแปลกๆ
เอรอสได้รับอะไรบางอย่างจากแม่มด นั้นเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ดันใช้แค่ปืนมานาเท่านั้น ยังไม่รู้ว่าเขาได้อะไรมา เลยจำเป็นต้องเฝ้าระวัง แต่จนถึงตอนนี้ กลับไม่ยอมใช้ของสิ่งนั้นสักที…
“ไอ้นั่น... มันไม่คิดจะบอกสิน่ะว่าได้อะไรมา” นักเวทย์อีกคนเอ่ยถามพลางเหลือบมองเฟลิเซีย เธอยิ้มเล็กน้อย ราวกับว่ารู้คำตอบอยู่แล้วว่าเขาคงไม่ยอมใช้มันง่ายๆ
“ไม่จำเป็นต้องรีบ” เธอสั่งการอย่างใจเย็น แม้เอรอสจะเริ่มทิ้งห่างพวกเขาไปเล็กน้อย
“จับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของเขา อย่าประมาทเป็นอันขาด”
เอรอสยังคงวิ่งต่อไป พยายามใช้ทุกเสี้ยววินาทีในการสร้างระยะห่างจากกลุ่มนักเวทย์ที่ตามไล่ล่า เสียงปืนมานายังดังต่อเนื่อง แต่ในใจเขารู้ดีว่ามันจะไม่สามารถยืดเวลาได้อีกนาน
“นี้มันชิบหายแล้วไง…… สัมผัสมานายังไม่กลับมา”เอรอสคิดในใจ พลางตรวจสอบหัวใจที่อยู่ในตัวเขา หัวใจเริ่มได้รับการเติมมานาเล็กน้อย แต่ยังคงไม่ได้รับการเติมเต็ม มันยังพยายามดูดบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในท้องของเขาอยู่
ขณะที่เขาคิดว่าจะหนีออกจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร ทันใดนั้น เขาวิ่งชนบางอย่างที่มองไม่เห็นเต็มแรง ร่างของเขาถูกดีดกลับไปเล็กน้อย เขายกมือขึ้นแตะเบาๆที่กำแพงที่มองไม่เห็นซึ่งครอบคลุมพื้นที่อยู่
“เขตแดนงั้นเหรอ…” เอรอสพึมพำ เฟลิเซียยืนอยู่ห่างออกไป มองดูเขาด้วยสายตาเยือกเย็น แต่รอยยิ้มที่มุมปากนั้นกลับเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“คิดว่าพวกเราไม่ได้เตรียมอะไรไว้รึไง?"
ในขณะที่เสียงฝีเท้าของนักเวทย์เริ่มดังเข้ามาใกล้ เอรอสรู้สึกถึงการอันตรายที่กำลังพุ่งเข้ามา เขาไหวตัวทัน และ เตรียมหลบออก แต่หลบไม่พ้น เวทมนตร์ที่พุ่งเข้ามา มันเร็วเกินกว่าประสาทสัมผัสที่เขามีในตอนนี้จะตอบสนองทัน
เมื่อเวทมนตร์สัมผัสที่เท้าของเขา เถาวัลย์จำนวนมากก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน รัดตัวเขาอย่างรวดเร็ว พวกมันมีลักษณะเป็นเถาวัลย์สีดำขลิบที่มีลวดลายเรืองแสง สะท้อนถึงพลังมานาที่ถูกใช้ในการร่ายเวท เมื่อเถาวัลย์เข้ามารัดตัวเขา มันไม่เพียงแต่ทำให้เขาไม่สามารถขยับได้ แต่ยังทำให้เกิดความเจ็บปวดจากการบีบรัดด้วย
เอรอสถูกพันธนาการทันที ร่างของเขาถูกบีบให้คุกเข่าลงกับพื้น ความรู้สึกอึดอัดเข้าครอบงำ ขณะที่เขาตระหนักว่าสถานการณ์ตอนนี้เลวร้ายเกินไป การถูกมัดด้วยเวทมนตนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ไม่สามารถขยับได้ แต่ยังลดทอนกำลังกายอย่างช้าๆ ทำให้เขาอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนแทบไม่เหลือแรงต่อสู้หรือตอบโต้ได้อีกต่อไป
เฟลิเซียเดินเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งแตะเบาๆที่คทาของเธอ เธอยังคงเฝ้าระวังเขาไม่ประมาท ด้วยท่าทางระวัง
“ค้นตัวเขา” เธอออกคำสั่งด้วยเสียงเยือกเย็น
ลูกน้องหลายคนเดินเข้ามาค้นร่างของเอรอสอย่างละเอียด สายตาจับจ้องมองหาสิ่งของที่อาจซ่อนอยู่ แต่ก็พบสิ่งที่น่าสงสัยเพียงกล่องแก่นมานาที่ว่างเปล่า และ รอยแผลที่หน้าอกซ้ายเท่านั้น
“กล่องว่างเปล่าครับท่านเฟลิเซีย และ พบรอยแผลที่อกด้านซ้าย ดูเหมือนมันพึ่งเกิดได้ไม่นาน…”
เฟลิเซียมองดูแผลนั้นอย่างครุ่นคิด ความคิดในหัวของเธอเริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปมองนักเวทย์คนหนึ่ง และ เอ่ยคำสั่งต่อ “ใช้เวทมนตร์ล้างสมอง ให้เขาพูดความจริงออกมา”
นักเวทย์พยักหน้า ก่อนจะเริ่มร่ายเวทมนตร์ล้างสมองใส่เอรอส แต่ทันทีที่คาถานั้นเริ่มทำงาน มานาที่ถูกปล่อยออกมานั้น กลับถูกดูดหายเข้าไปในร่างของเอรอสแทน นักเวทย์รู้สึกถึงพลังที่หายไป รีบหันไปมองเฟลิเซียด้วยความตกใจ
“เวทมนตร์ใช้ไม่ได้ผลครับท่าน มานาของผมถูกมันดูดเข้าไป”
"เจ้านี่ได้อะไรกันแน่..." เฟลิเซียบ่นพึมพำเบาๆ สายตาของเธอยังเยือกเย็นไม่เปลี่ยน เธอไม่เร่งร้อนจะสรุป เธอยืนคิดสักพัก ก่อนจะออกคำสั่งเรียบๆ
“ถ้าอย่างนั้น... ซ้อมเขาจนกว่าจะยอมพูดความจริงออกมา”
นักเวทย์สองคนรีบเดินเข้ามาซ้อมเอรอสอย่างหนัก หมัดและเท้ากระแทกเข้ากับร่างของเขา แต่เอรอสยังคงนิ่งเงียบ ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากปากของเขา แม้ว่าความเจ็บปวดจะท่วมท้น
“ท่านเฟลิเซีย เขตแดนกำลังสลาย พวกเราต้องรีบไปแล้ว ก่อนที่คนอื่นจะมาถึง”หนึ่งในลูกน้องกล่าวขึ้นเสียงสั่นเล็กน้อย เฟลิเซียมองเอรอสที่ยังคงไม่ยอมเปิดปาก แม้จะถูกทำร้ายอย่างหนัก
“นำตัวเขากลับหอคอย ทิ้งคนไว้ค้นห้องเขาให้ละเอียด อย่าปล่อยให้พลาดแม้แต่จุดเดียว”เธอออกคำสั่งเรียบ ๆ ก่อนจะใช้คทาที่ถืออยู่ในมือ ทุบไปที่คอของเอรอสอย่างแม่นยำ ทำให้เขาเกือบสลบไปทันที ก่อนจะได้ยินประโยคสุดท้ายที่เธอพูดออกมา
"จะว่าไป…เรามีคนทรยศนั้นอยู่นี้น่า?…….. ไม่ต้องให้บอกใช่มั้ยต้องใช้มันยังไง?"
คำพูดนั้นก้องในหัวของเอรอส ก่อนที่ความมืดจะกลืนกินสติเขาเข้าไปในทันที...
ก่อนหน้านี้เล็กน้อย ที่กิลนักผจญภัย บรรยากาศในห้องหนึ่งค่อยๆ เงียบลง เสียงจานและแก้วที่กระทบกันอย่างต่อเนื่องในมื้ออาหารเริ่มเบาลง สมาชิกในกลุ่มทั้งห้าต่างจมอยู่ในความคิดของตน มีเพียง “ลีน่า” หญิงสาววัย 20 ปี ที่ดูร้อนใจที่สุดลีน่านั่งกุมมือไว้บนตัก ดวงตาสีทองที่ซ่อนอยู่หลังแว่นหนา มองออกไปยังท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง ความกังวลสะท้อนชัดเจนบนใบหน้าเล็กๆ ของเธอ ผมสีน้ำตาลอมแดงที่มักมัดไว้หลังศีรษะ หลุดออกมาบางส่วน เธอเฝ้ามองนอกหน้าต่างอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันสายตากลับไปยังเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ตรงข้าม แต่ไม่มีใครดูเหมือนจะสนใจความกังวลของเธอมากนัก"รุ่นพี่เขาจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรอคะ? ไปตั้งแต่เช้าแล้ว... ตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย…"ลีน่าถามเสียงเบาแต่ชัดเจน น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยราวกับพยายามเก็บซ่อนความกังวลบรรยากาศรอบโต๊ะนิ่งเงียบลงเล็กน้อยจากคำถามของลีน่า เฟรย์ ชายหนุ่มวัยเดียวกัน รูปร่างสูงโปร่ง ผิวซีดแบบขุนนาง เอียงตัวไปข้างหน้าวางข้อศอกลงบนโต๊ะ มือข้างหนึ่งยกแก้วชาขึ้นจิบ ก่อนจะพูดตอบเธอด้วยน้ำเสียงสุขุม“ไม่เป็นไรหรอกลีน่า เขาไม่ใช่คนที่จะตายง่ายๆขนาดนั้น ก็เห็นรอดกลับมาตลอด”เขาพูดด้วยท่
“หยุดสิวะ... หยุด!!!”เอรอสที่ทรุดตัวนั่งอยู่บนพื้น ตะโกนในใจด้วยความอึดอัด ความเหนื่อยล้าที่กดทับร่างทำให้เขาหายใจหอบ สายตาของเขาพร่ามัว เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และความรู้สึกเจ็บปวดที่บีบคั้นราวกับถูกบีบรัดจากภายใน ความทรมานที่รู้สึกนั้นเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหวนี่เป็นครั้งที่สองแล้ว... ครั้งที่สองที่เขาถูกมันคุกคามหนักถึงขนาดนี้น ยิ่งเขาปล่อยให้มันเข้ามาในจิตใจมากเท่าไหร่ ทั้งสองก็ยิ่งเชื่อมต่อกันแน่นแฟ้นขึ้นทุกที เหมือนมีบางอย่างในตัวเขาถูกดึงออกไป... และในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ถูกถ่ายโอนกลับมา แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำก็ตามหลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ผลกระทบที่ยืดเยื้อก็ค่อยๆ จางหาย เอรอสนอนราบลงกับพื้น ถอนหายใจยาวเพื่อระบายความอึดอัดที่ยังหลงเหลืออยู่ เขาไม่สนใจเสื้อผ้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อหรือความอ่อนล้าที่ปกคลุมร่างกาย สิ่งที่เขาสนใจกลับเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามา ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเขา...มันเป็นภาพครอบครัวของเรย์นาร์ค... แม้เพียงเสี้ยวหนึ่งก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงในความทรงจำนั้น เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งและเด็กสาวอายุราว 8 ขวบ ทั้งสองมีผิวสี
แม้ว่าเอรอสจะพยายามรักษาระยะห่างจากเธอ แต่ทุกครั้งที่เกิดอันตรายขึ้น เขากลับปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือเสมอ แม้จะไม่ใช่ตัวตนเดิมก็ตามในช่วงเวลาปกติ เขาก็คอยแนะนำสถานที่สำหรับหาข้อมูล ของใช้ที่จำเป็นสำหรับการทำงาน หรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับคดีที่พวกเขาทำอยู่ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่พวกรุ่นพี่ที่ทำงานมาก่อนหน้านี้ไม่ยอมบอก ทำให้คำแนะนำของเอรอสกลายเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกขอบคุณมาโดยตลอดอย่างไรก็ตาม ภารกิจที่เขาได้รับจากกิลด์ส่วนใหญ่กลับเป็นเพียงงานธรรมดา ไม่เกี่ยวข้องกับแผนกสืบสวนเลย เช่น การส่งจดหมายไปที่เมืองอื่น หาแมวที่หายไป หรือแม้แต่ทำความสะอาดสถานที่บางแห่ง ภารกิจเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นงานที่ไม่สำคัญและไม่มีใครสนใจ นักผจญภัยคนอื่นมักเลือกทำภารกิจที่ท้าทายและมีผลตอบแทนมากกว่าเหตุผลที่เอรอสได้รับภารกิจเหล่านี้มาจากผู้จัดการของกิลด์เอง ผู้จัดการอ้างว่า ‘หน้าตาทางสังคมของกิลด์จะเสียหาย ถ้างานพวกนี้ไม่ถูกจัดการ’ เขามอบงานเหล่านั้นให้เอรอส โดยเจตนาซ่อนความสามารถของเขา เพื่อป้องกันไม่ให้เด่นเกินหน้าลูกชายหรือผู้จัดการเอง แม้ว่าหากจนปัญญาจริงๆ ก็จะตกมาถึงมือเขาเสมอลีน่าที่พยายามรักษาระยะห่างจากผู้
คำพูดของเฟรย์ทำให้บรรยากาศในห้องประชุมเงียบงัน ลีน่ากับโซเฟียสบตากันอย่างเคร่งเครียด หอคอยนักปราชญ์เป็นหนึ่งในองค์กรที่ทรงอำนาจที่สุดในประเทศ มีอิทธิพลเทียบเท่ากับตระกูลขุนนางชั้นสูงและราชวงศ์ เป็นศูนย์กลางขององค์ความรู้และเวทมนตร์ หากใครปรารถนาจะก้าวขึ้นเป็นจอมเวทชั้นแนวหน้า หอคอยนี้คือที่ที่พวกเขาต้องผ่านไป ไม่เพียงแต่ขึ้นชื่อในเรื่องการสอนเวทมนตร์ แต่ยังสร้างนักเวทผู้ทรงพลังมานับไม่ถ้วนการคัดเลือกผู้เข้าสู่หอคอยนั้นแสนเข้มงวด ผู้สมัครต้องมีวงแหวนอย่างน้อยสองวง และอายุไม่เกิน 20 ปี แม้ว่าพวกเขาจะผ่านเงื่อนไขที่กำหนดไว้ได้ การอยู่รอดในหอคอยก็ยังเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่น เพราะภายในนั้นเต็มไปด้วยการแข่งขัน และการต่อสู้เพื่อความเป็นหนึ่ง ที่นั่นยังเป็นสถานที่รวมเหล่าลูกหลานขุนนางที่ทรงอำนาจไว้อย่างมากมาย ทุกย่างก้าวในหอคอยจึงเต็มไปด้วยความอันตรายอยู่เสมอเฟรย์เอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่น “ไม่คิดเลยว่าหอคอยจะเข้ามาเกี่ยวข้อง... มันอันตรายเกินไปที่เราจะยุ่งกับเรื่องนี้”พวกทุกคนเข้าใจถึงความอันตรายของหอคอยเป็นอย่างดี เอรอสได้บอกข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับหอคอย และ เตือนพวกเขาว่าห้ามไปยุ่ง หรือ หาเรื่
ในความมืดมิด เอรอสลืมตาขึ้นมา ท่ามกลางเงาดำไร้ขอบเขต พื้นที่เขาเหยียบย่ำเป็นแอ่งน้ำสีดำสนิท ลึกจนไร้ก้นบึ้ง ทุกสิ่งเงียบงันจนดูเหมือนเวลาได้หยุดลง ความเย็นเฉียบของบรรยากาศนั้นไม่เพียงแค่โอบล้อมร่างกายของเขา แต่ราวกับแทรกซึมลึกเข้าไปในไขกระดูก เย็นจนแสบซ่าน ทรมานจนหัวใจของเขาเต้นรัว เสียงกระซิบแผ่วเบาจากเงามืดดังขึ้นรอบตัวเขา คล้ายกับความคิดแฝงซ่อนอยู่ในหัวของเขาเองที่คอยกัดกร่อน“ยังมีสัญญาที่ยังทำไม่สำเร็จอีกไม่ใช่หรือ? จะยอมแพ้แล้วงั้นหรอ?”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง เมื่อนั้นเอรอสหันไปมอง เขาเห็นตัวเอง... ในอีกรูปแบบหนึ่ง รูปร่างนั้นผ่ายผอม ใบหน้าอิดโรย ความเหนื่อยล้าฉายชัดบนใบหน้าของร่างนั้น แต่ดวงตา และ ท่าทางกลับแน่วแน่ดั่งก้อนหินที่ไม่อาจถูกทำลายเมื่อเอรอสหันมองไปรอบๆ เขาพบว่ามีตัวเองอีกนับสิบยืนล้อมรอบเขาอยู่ บางคนดูมั่นคง เยือกเย็น ราวกับผู้นำที่ยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบพร้อมด้วยชุดเกราะสีเงินที่เปล่งประกาย บางคนสวมเสื้อคลุมสีดำสนิท ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าแต่ท่าทางยังแฝงความเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้ ทั้งหมดล้วนสะท้อนตัวตนของเขาในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกสายตาจับจ้องมาที่เ
เอรอสยังคงนั่งอยู่ในความเงียบ หัวใจของเขาเต้นช้าลงเมื่อความคิดเยือกเย็นและสิ้นหวังเริ่มแผ่ซ่านไปทั่ว ความจริงที่ว่าเขาอาจหายไปจากโลกนี้โดยไม่มีใครพบเจอ ทำให้ทุกอย่างในห้องขังหนักอึ้งกว่าเดิม แม้เขาพยายามปิดกั้นความคิดเหล่านั้น แต่เงาแห่งความกลัวก็ยังคืบคลานเข้ามาความเย็นชาจากพื้นหินและผนังคุกเหมือนซึมลึกเข้ามาในใจ ความสิ้นหวังที่หนักอึ้งขึ้นทุกวินาที แต่ในขณะเดียวกัน เอรอสยังคงบอกตัวเองให้ยืนหยัด และต้องหาทางเอาชีวิตรอดเขามองไปรอบๆ ห้องขังที่เย็นเยียบ พื้นหินแตกร้าวและมีน้ำซึม กลิ่นอับชื้นชวนให้คิดถึงสถานที่ที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครสนใจ และไร้ทางออก แม้เขาบอกตัวเองว่าไม่กลัว แต่ลึกๆ เขารู้ดีว่าการอยู่ที่นี่นานเกินไปจะกัดกร่อนจิตใจของเขา เหมือนกำแพงหินที่ถูกเวลาบั่นทอนลงเรื่อยๆเสียงฝีเท้าของเฟลิเซียยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา แม้ว่าเธอจะเดินจากไปแล้ว สีหน้าของเธอตอนที่บอกว่า “นายจะต้องอยู่ที่นี่... จนกว่าเราจะตัดสินใจ” ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของเอรอส เขาจำได้ถึงความสั่นไหวเล็กน้อยในน้ำเสียงของเธอ ราวกับว่าเธอเองก็ไม่ได้มั่นใจในสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ แต่เธอไม่มีทางช่วยเขาแน่นอนบานประตูเล
ในยามที่ดวงจันทร์หลบซ่อนอยู่หลังม่านหมอกหนา ความเงียบเยือกเย็นปกคลุมทั่วบริเวณเหมือนกับผืนโลกถูกแช่แข็ง เสียงลมหวีดหวิวผ่านทางเดินแคบๆ ของอุโมงค์ใต้ดินรกร้าง บรรยากาศอึมครึมที่ไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิตอื่นเพิ่มความรู้สึกอึดอัดเข้าไปอีกเสียงฝีเท้าหนักแน่นของยามคนใหม่สะท้อนก้องภายในอุโมงค์ เสียงนั้นเชื่องช้า หนักหน่วงเหมือนพลังงานในตัวเขาเหลือเพียงน้อยนิด ราวกับเขาถูกถ่วงด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงานมายาวนานจนไม่ใส่ใจความรวดเร็วอีกแล้ว เขายกมือขึ้นลูบเคราที่เริ่มยาวและหยาบ พลางหาวเบาๆ ความง่วงค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่จิตใจถึงกระนั้นเขายังคงก้าวเดินต่อไปตามหน้าที่ จนมาถึงหน้าห้องขัง เหลียวมองเห็นยามหนุ่มคนหนึ่งยืนพิงกำแพงหินเย็นเยียบด้วยท่าทางเงียบขรึม“มาช้าจัง” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงแววความสงสัยในน้ำเสียง ดวงตาของเขาจ้องอีกฝ่ายอย่างคมกริบ“ตีสามตรงขนาดนี้ ยังจะเรียกว่าช้าอีกรึ??” ชายแก่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ ขณะยักไหล่อย่างไม่คิดมากชายแก่เดินเข้าไปใกล้ประตูเหล็กหนาที่กั้นหน้าห้องขัง มองมันอย่างเชื่องช้า ดวงตาแสดงถึงความชินชาในการทำงานแบบนี้มา
ในห้องขังอับทึบและเย็นเยียบ ความเงียบงันครอบงำทุกซอกมุม มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของชายแก่ที่ถูกปีศาจเข้าสิงร่าง เขายืนนิ่งไม่ขยับ ราวกับถูกแช่แข็งไว้ในความมืด ดวงตาสีแดงฉานที่สะท้อนแสงจากช่องระบายอากาศเพียงเล็กน้อย เป็นเครื่องหมายเดียวที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของบางสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์เสียงประตูเหล็กหนาหนักที่ถูกปิดด้วยกุญแจและเวทมนตร์ป้องกันเริ่มขยับ มันเปิดออกอย่างช้าๆ ราวกับไม่มีแรงต้านทาน เสียงโลหะเสียดสีกันเบาๆ ดังขึ้นและสะท้อนก้องไปตามผนังหิน บรรยากาศไม่เป็นธรรมชาตินี้ทำให้ทั้งห้องดูอึดอัดและน่าขนลุกยิ่งขึ้นเอรอสยืนอยู่ตรงกรงขังของตนเอง แววตาของเขาเยือกเย็นและจับจ้องชายแก่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างนิ่งงัน ราวกับคาดการณ์ไว้ว่าสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้น เขาก้าวออกจากกรงขังโดยไม่รีบร้อน ชายชรายืนที่อยู่ปล่อยเขาไปโดยไม่ทำอะไร เขาที่ถูกควบคุมจิตใจไม่ได้แสดงท่าทางหรือมีท่าทีใดๆที่จะต่อต้าน หรือ ขัดขวาง เอรอสจึงเดินผ่านไปอย่างราบรื่นเมื่อเอรอสก้าวผ่านไป เขาเหลือบมองชายแก่อยู่ชั่วครู่ก่อนพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า "ขั้นแรกเสร็จแล้ว..."“ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะทำตามสัญญา”ปีศาจกล่าวพลางเสกมีด และ ถ้วยเ