แชร์

ตอนที่ 11 ประตูที่ปิดลง

“หยุดสิวะ... หยุด!!!”เอรอสที่ทรุดตัวนั่งอยู่บนพื้น ตะโกนในใจด้วยความอึดอัด ความเหนื่อยล้าที่กดทับร่างทำให้เขาหายใจหอบ สายตาของเขาพร่ามัว เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และความรู้สึกเจ็บปวดที่บีบคั้นราวกับถูกบีบรัดจากภายใน ความทรมานที่รู้สึกนั้นเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหว

นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว... ครั้งที่สองที่เขาถูกมันคุกคามหนักถึงขนาดนี้น ยิ่งเขาปล่อยให้มันเข้ามาในจิตใจมากเท่าไหร่ ทั้งสองก็ยิ่งเชื่อมต่อกันแน่นแฟ้นขึ้นทุกที เหมือนมีบางอย่างในตัวเขาถูกดึงออกไป... และในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ถูกถ่ายโอนกลับมา แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำก็ตาม

หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ผลกระทบที่ยืดเยื้อก็ค่อยๆ จางหาย เอรอสนอนราบลงกับพื้น ถอนหายใจยาวเพื่อระบายความอึดอัดที่ยังหลงเหลืออยู่ เขาไม่สนใจเสื้อผ้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อหรือความอ่อนล้าที่ปกคลุมร่างกาย สิ่งที่เขาสนใจกลับเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามา ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเขา...

มันเป็นภาพครอบครัวของเรย์นาร์ค... แม้เพียงเสี้ยวหนึ่งก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง

ในความทรงจำนั้น เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งและเด็กสาวอายุราว 8 ขวบ ทั้งสองมีผิวสีแทนเหมือนกัน สีผมดำเงา และหูสัตว์ที่เด่นสะดุดตา ทั้งสามคนอยู่ในบ้านดินเหนียวเล็กๆ ที่ดูเรียบง่ายและอบอุ่น ผู้หญิงคนนั้นพูดกับเด็กสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“อิลิญา ลูกรัก... ไปนั่งรอในห้องสักครู่ได้ไหม? แม่มีเรื่องจะคุยกับพ่อสักหน่อย”

เด็กสาวที่นั่งเล่นของเล่นอยู่บนพื้นเงยหน้ามองผู้เป็นแม่ ก่อนจะค่อยๆ วางของเล่นลง สีหน้าเศร้าสร้อยเล็กน้อยแต่เธอก็ยอมรับ

“ได้ค่ะ คุณแม่...” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อยด้วยความกังวล แววตาเหมือนจะรู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ปกติ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องข้างๆ ทิ้งให้ผู้เป็นพ่อและแม่อยู่ตามลำพัง

เมื่อประตูปิดลง ความเงียบเข้าปกคลุมห้องทันที หญิงสาวหันมาหาเรย์นาร์คด้วยแววตาเต็มไปด้วยความกังวล

“ที่รัก... คุณต้องไปจริงๆหรอ? ไหนคุณบอกว่าจะวางมือแล้วไง?” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความทุกข์ แม้พยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้

เรย์นาร์คถอนหายใจเงียบๆ เขามองไปรอบๆบ้านดินเหนียวเล็กๆ แห่งนี้ ทุกมุมสะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิต ครอบครัวของเขาต้องหนีภัยมาไกลเพื่อหาที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยกว่า แต่เขารู้ดีว่าทุกอย่างที่ทำลงไปนั้นก็เพื่อคนที่เขารัก

“ผมจำเป็นต้องไปจริงๆ... ครั้งนี้ถ้าสำเร็จ ครอบครัวของเราจะได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ” น้ำเสียงของเขาหนักแน่น แต่แฝงไปด้วยความห่วงใย

“แต่เราอยู่กันแบบนี้ก็ไม่ได้แย่นี่...” เธอส่ายหน้าเล็กน้อย น้ำตาคลอเบ้าขณะพูด

“ฉันไม่อยากเสียคุณไป คุณคือทุกสิ่งทุกอย่างของครอบครัวเรา...”

เรย์นาร์คยื่นมือไปจับมือของเธอเบาๆ ดวงตาของเขาอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยความรัก

“พวกเขาสัญญาแล้ว... ถ้าภารกิจนี้สำเร็จ เราจะได้เป็นประชาชนที่นี่ ลูกของเราจะได้เติบโตในที่ปลอดภัย เราจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้” น้ำเสียงของเขามั่นคง แต่เธอก็ไม่อาจเก็บความกลัวในใจได้อีกต่อไป

“แต่ถ้าคุณไม่กลับมา... ฉันจะทำยังไง? ฉันกับอิลิญาจะอยู่กันยังไงถ้าคุณไม่อยู่แล้ว?” น้ำตาเริ่มไหลออกมาช้าๆ ขณะที่เธอพยายามจะกลั้นมันไว้

เรย์นาร์คดึงเธอเข้ามาใกล้ จูบเบาๆ ที่หน้าผาก “ผมสัญญา... ผมจะกลับมาเพื่อคุณ และอิลิญา ผมจะทำทุกวิถีทางเพื่อกลับมาหาพวกคุณ”

ความเงียบแผ่ปกคลุมอีกครั้ง ขณะที่ทั้งสองกอดกันแน่น หญิงสาวซบลงกับอกของเรย์นาร์ค เสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเหมือนจะย้ำเตือนให้เธอเชื่อในคำสัญญาของเขา แต่ความกลัวที่ซ่อนอยู่ในใจยังคงไม่จางหายไป

“ดูแลลูกของเราแทนผมด้วยนะ” เรย์นาร์คกระซิบเบาๆ ก่อนจะผละออกอย่างอ้อยอิ่ง สายตาของเขามองลึกเข้าไปในดวงตาของเธออีกครั้ง

“ผมจะกลับมา...”

เขาหันไปเปิดประตูห้องของลูกสาว เด็กหญิงตัวน้อยนั่งอยู่เงียบๆ บนเตียง เรย์นาร์คย่อตัวลงลูบศีรษะเธอเบาๆ

“พ่อจะไปทำงานนะ พ่อสัญญาว่าจะรีบกลับมา”

เด็กหญิงมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวังและความรัก“พ่อสัญญาแล้วนะคะ...”

เรย์นาร์คยิ้มก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากเธอ“พ่อสัญญา... พ่อจะกลับมาเพื่อพวกเราทุกคน”

เมื่อคำพูดสุดท้ายสิ้นสุดลง เขาหันมามองภรรยาที่ตอนนี้ยืนอยู่ที่ประตู หญิงสาวมองเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะเดินออกไป ประตูบ้านปิดลงเบื้องหลังเขา ทิ้งเงาของเขาไว้ในหัวใจของทั้งสองคน

“กลับมาให้ได้นะ... เรย์นาร์ค” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ มองประตูที่ปิดลงด้วยความหวังที่หลงเหลือเพียงริบหรี่

เอรอสเห็นทุกอย่างนั้น เห็นถึงความผูกพันและคำสัญญาของครอบครัวนี้... และมันทำให้เขาเข้าใจทันทีว่าทำไมเรย์นาร์คถึงพยายามครอบงำเขา ตั้งแต่ตอนที่เขาได้ยินข่าวลือในเมืองว่ามีเด็กสาวชาวใต้เผ่าสัตว์ถูกลักพาตัวไปยังหุบเขาใกล้ๆ เขาเกือบจะถูกเรย์นาร์คครอบงำในตอนนั้นแล้ว ความโกรธและความหวังของคนเป็นพ่อที่เขาไม่เคยรู้สึก ในตอนนี้มันผสานกับความรู้สึกของเอรอส จนเขาต้องพยายามกดมันไว้จนมาถึงที่ลับตาคน

เมื่อเขาไปถึงที่ซ่อนตัวของกลุ่มคนร้าย มันบังคับร่างกายของเขาต่อสู้กลับพวกนั้นจนถึงที่สุด จนกระทั่งการต่อสู้สิ้นสุด เรย์นาร์คพยายามหาตัวลูกสาวของเขา ท่ามกลางพวกคนที่โดนลักพาตัว แต่เอรอสกลับชิงการควบคุมร่างกายของเขากลับมาได้ก่อน ด้วยสภาพในตอนนั้น…. การปรากฏตัวต่อหน้าเด็กคงมีแต่จะทำให้เธอกลัว เขาจึงหลบหนีออกจากที่นั่นและกลับมายังห้องพักของเขา

“แม่ง... แกก็เหมือนกันสินะ” เอรอสพึมพำกับตัวเอง พลางยิ้มเย้ยหยันไปกับชะตากรรมของตัวเอง

“ฉันไม่ผิดน่ะเว้ย... เพราะแกจะฆ่าพวกเราก่อน! ทั้งฉัน และแก เลยต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ไง!”

เอรอสกัดฟันกรอด ขณะที่เสียงของเรย์นาร์คยังคงก้องในหัวของเขา มันเป็นความจริงที่น่าขมขื่น แม้จะพยายามหาข้อแก้ตัวให้กับตัวเองแค่ไหน แต่ในท้ายที่สุด ทั้งสองก็ถูกผลักดันให้เข้ามาอยู่ในวงจรอันเลวร้ายนี้

เขารู้สึกสงสารเรย์นาร์คเล็กน้อย จิตวิญญาณที่แทรกซึมเข้ามาในตัวเขา ในความทรงจำที่ได้รับ เรย์นาร์คเคยเป็นพ่อที่อบอุ่นและใจดี เป็นเสาหลักของครอบครัว แตกต่างจากตอนที่เขาพบครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง ตอนนั้น เรย์นาร์คแทบจะเสียสติเต็มที่ คำพูดเพียงอย่างเดียวที่หลุดจากปากเขาคือ "ต้องฆ่าให้ได้..." ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แม้เอรอสจะกลืนกินทั้งตัวตน และ จิตวิญญาณของเรย์นาร์คเข้ามาแล้ว แต่เสียงของเขายังดังชัดเจนในหัว ทำให้เอรอสต้องต่อสู้กับเสียงกระซิบที่ไม่ยอมหยุด มันค่อยๆ เบาลงหลังจากเขาต้องใช้สมาธิปิดกลั้นอยู่พักใหญ่ โชคดีที่ครั้งนี้เขากลับมาเป็นตัวเองได้

"ทำไมฉันถึงได้...ซวยขนาดนี้" เอรอสครางเบาๆ ขณะใช้มือปิดหน้าด้วยความรู้สึกผิดปะปนไปกับความเจ็บปวด เรย์นาร์คไม่เพียงแค่ทำลายชีวิตเขา แต่เขาเองก็เป็นคนพรากพ่อไปจากครอบครัวหนึ่งอย่างไม่มีวันกลับ

มันไม่ใช่แค่เรื่องเล่าที่ได้ฟังจากปากของคนอื่น แต่มันเป็นความทรงจำที่หลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของเขาอย่างชัดเจน ทำให้เขาต้องทนแบกรับความรู้สึกผิดที่เขาไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น

เอรอสยังคงนั่งนิ่งอยู่กับพื้น ความเงียบรอบตัวดูเหมือนจะช่วยให้เขาจัดระเบียบความคิดที่สับสนวุ่นวาย ทั้งจากตัวเอง และ จากจิตของเรย์นาร์คที่ยังอยู่ภายใน เขาหลับตาลง หวังให้ความสงบคืนสู่จิตใจ แต่ความรู้สึกหนักหน่วงยังไม่หายไปไหน ราวกับวิญญาณของเรย์นาร์คยังไม่ยอมแพ้ที่จะครอบงำเขา เอรอสจึงตอบกลับไป

"ฉันสัญญา... ฉันจะตามหาครอบครัวของแก แล้วจะทำให้พวกเขามีความสุข" เขาพึมพำเบาๆ ก่อนจะนิ่งคิดสักพักและพูดต่อ

"เพราะงั้น แกก็อยู่เงียบๆ ให้ฉันใช้งานซะดีๆ"

ความเงียบงันเข้ามาแทนที่ ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมาจากเรย์นาร์ค แต่เขารู้สึกว่าร่างกายของตนเริ่มรู้สึกเบาลงเล็กน้อย เหมือนพลังงานของเรย์นาร์คค่อยๆ ฟื้นฟูร่างกายของเขาจากภายใน

เอรอสสูดหายใจลึก หวังจะปล่อยวางทุกอย่างชั่วคราว แต่แล้ว เขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่าง ราวกับมีใครบางคนอยู่ข้างนอกห้อง ความสงสัยแวบเข้ามาในใจ เขาขมวดคิ้ว เสียงฝีเท้าค่อยๆดังขึ้นจากทางเดินข้างนอก จากนั้นเสียงเคาะประตูเบาๆก็ดังขึ้นในความเงียบ

เอรอสลุกขึ้นอย่างช้าๆ มือจับด้ามปืนพกข้างเอวไว้แน่น ก่อนจะค่อยๆ เดินไปที่ประตู และ แง้มมันออกอย่างระวัง ภายใต้แสงจางๆจากหน้าประตู

“รุ่นพี่?” เสียงเรียกแผ่วเบาดังขึ้นจากอีกด้านของประตู เป็นเสียงที่เขาคุ้นเคย เขาพบลีน่ายืนอยู่ตรงหน้า แววตาของเธอเต็มไปด้วยความกังวล

“ทำไมเธอถึงมาที่นี้?” เอรอสถามด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่แววตาฉายความแปลกใจเล็กน้อย ลีน่ากลืนน้ำลายแล้วตอบ

“ฉันได้ที่อยู่จากคนรู้จัก เลยแวะมาดู เพราะรุ่นพี่ไม่อยู่ในงาน"

เธอลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ

"แต่ดูเหมือน...รุ่นพี่จะอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่….”

เอรอสเบนสายตาออกไปเล็กน้อย ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ฉันไม่สบายเล็กน้อย แต่ไม่มีอะไรต้องห่วง”

ลีน่าเลิกคิ้ว มองเขาด้วยสายตาไม่ค่อยเชื่อใจ

“ไม่สบายจริงหรอ?” น้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยความสงสัย

“ก็แค่นิดหน่อย ไม่มีอะไรสำคัญ เธอกลับไปพักเถอะ ฉันโอเคแล้ว” เอรอสตอบอย่างไม่ใส่ใจ แต่ลีน่าขยับเข้าไปใกล้ และ จ้องมองเขาอย่างจับผิด

“ถ้ารุ่นพี่โอเคจริง ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียว? มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ไหม?”

เอรอสถอนหายใจเบาๆ พยายามสะกดอารมณ์และรักษาท่าทีเยือกเย็น

“มันไม่ใช่เรื่องของเธอ ลีน่า เธอกลับไปก่อนดีกว่า ฉันโอเคแล้ว”คำตอบของเขาดูเหมือนจะเป็นการปัดป้องมากกว่าจะปลอบใจ

ลีน่าขยับเข้าใกล้เขาอีกนิด ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใยที่ไม่อาจปิดบังได้

“แต่ฉันแค่เป็นห่วง... คุณดูไม่ค่อยโอเคจริงๆ นะ” เธอเอ่ยเสียงเบา น้ำเสียงของเธอเริ่มอ่อนลง แต่ยังคงหนักไปด้วยความกังวล

เอรอสเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ ราวกับปิดฉากการสนทนา

“ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ฉันโอเคจริงๆ” เขาหลบสายตา แต่ลีน่ายังคงมองเขาอย่างไม่ลดละ

บรรยากาศที่เงียบสงบกลับถูกทำลายเมื่อเธอตัดสินใจพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่อัดอั้น

“แันแค่อยากจะขอบคุณ... ขอบคุณที่คุณช่วยเหลือมาโดยตลอด” ลีน่าพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ดวงตาของเธอจับจ้องไปที่เขาอย่างแน่วแน่ ราวกับต้องการให้เขารับรู้ความจริงใจ

“รุ่นพี่อยู่ข้างฉันเสมอ….เวลาที่ลำบาก แม้ว่าคนอื่นจะไม่เคยรู้ก็ตาม”

เอรอสสบตาเธอแค่ชั่วครู่ รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้า แต่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว

“เธอพูดเรื่องอะไรน่ะ?” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ

ลีน่าขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีก “รุ่นพี่รู้ดีว่าฉันหมายถึงอะไร... พี่ช่วยฉันหลายครั้ง และ ก็…..”เธอพยายามพูดต่อ แต่เอรอสก็ตัดบทเธออย่างจงใจด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและเรียบเฉย

“ท่านหญิงอยากจะใช้ชีวิตในฐานะสามัญชนใช่ไหมครับ?” คำพูดของเอรอสทำให้ลีน่าชะงักไปทันที

ลีน่าสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะรู้ความลับของเธอมาก่อน ริมฝีปากของเธอสั่นเล็กน้อย แต่ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้ เธอยืนนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก เอรอสเห็นปฏิกิริยาของเธอ แต่ยังคงรักษาท่าทีที่นิ่งสงบ พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบและมั่นคง

“มันไม่แปลกหรอกครับที่ท่านอยากจะหนีจากหน้าที่ที่ต้องแบกรับเอาไว้..."เอรอสเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ

"แต่บางที…. การที่ท่านไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องบางอย่าง มันอาจจะดีสำหรับตัวท่าน”เอรอสกล่าว เขายังคงมองเธอด้วยสายตาที่ดูไร้ความผูกพัน

ลีน่ามองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสน คำพูดของเขาทำให้เธอรู้สึกสับสน และ ไม่แน่ใจว่าควรจะทำเช่นไร ความเงียบครอบงำระหว่างพวกเขาอีกครั้ง ราวกับไม่มีคำพูดใดที่จะเติมเต็มความเงียบนี้ได้

เอรอสที่เห็นความลังเลของเธอก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงปกติ ราบเรียบ และแน่วแน่

“เพราะงั้นเธอควรกลับไปได้แล้ว…. เชิญ” เขาเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู ก่อนจะดึงมันเข้ามาอย่างช้าๆ ราวกับจะบอกเป็นนัยว่าคำพูดของเธอควรจะหยุดลงเพียงเท่านี้

ลีน่าหันกลับมามองเขาเป็นครั้งสุดท้าย ความลังเลในใจเธอชัดเจน แต่เธอก็รู้ดีว่าเขาไม่ต้องการให้เธอถามอะไรเพิ่มเติมอีก เธอจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไร แล้วค่อยๆถอยหลังออกไป ปล่อยให้บรรยากาศเงียบสงบปกคลุมระหว่างพวกเขาทั้งสองคน

ขณะที่เธอเดินห่างออกไปจากหน้าประตูของเขาเรื่อยๆ เอรอสที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู มองตามหลังเธอไปอย่างเงียบๆ ก่อนจะปิดประตูเบาๆ ราวกับปิดกั้นความรู้สึกที่สั่นไหวในใจไม่ให้หลุดออกมา

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status