เวลา 2 ทุ่ม
ลมหนาวจากค่ำคืนพัดความหนาวเย็นเอื่อยๆมาแตะผิวเบาๆ ชวนให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงระเบียงยกผ้าคลุมไหล่ขึ้นห่มตัวแน่นขึ้น เธอทอดสายตามองบันไดหินที่ทอดยาวจากถนนเบื้องล่างขึ้นมาถึงหน้าห้องพัก ไม่มีเงาร่างของคนที่เธอเฝ้ารอเธอรอเขามาทั้งบ่าย ทั้งเย็น จนกระทั่งค่ำคืนนี้มาถึงอย่างเงียบงัน เพื่อจะมาขอความช่วยเหลือจากเขา ก่อนหน้านี้ เธอเคยส่งจดหมายไปแล้ว เนื้อความในนั้นสั้นแต่เร่งด่วน เป็นคำร้องขอให้ช่วยตามหาคู่หมั้นของเธอที่หายตัวไป ทว่าจดหมายนั้นกลับไร้คำตอบ กระทั่งเธอได้ยินข่าวมาว่าเขาออกเดินทางไปไกลเสียก่อนจดหมายนั้นจะไปถึงเสียอีก
มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เธอโล่งใจที่เขาไม่ได้ตั้งใจเมินเฉยต่อเธอ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกแย่กับความโล่งใจของตัวเอง เธอไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไป ความรู้สึกผิดที่ไม่เคยเลือนหายจากใจ
และในเช้าวันนี้ เธอจึงตัดสินใจจะทำในสิ่งที่หลีกเลี่ยงมานาน เธอไปดักรอเขาที่ริมถนนสายเล็กๆ ซึ่งเป็นเส้นทางที่เขามักใช้ประจำ
จนกระทั่งเธอเห็นเขา
ชายหนุ่มยืนอยู่ที่อีกฟากของถนน ร่างสูงในชุดทำงาน ใบหน้าของเขานิ่งเฉยจนแทบอ่านอารมณ์ไม่ได้ แต่แววตาของเขา—ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าที่ยากจะซ่อนเร้น
ระหว่างพวกเขามีเพียงถนนสายเล็กๆ คั่นกลาง เธอยืนอยู่อีกฟาก สูดลมหายใจลึกหนึ่งครั้ง พยายามรวบรวมความกล้าที่เหมือนถูกลมหนาวพัดปลิวหายไปทุกครั้งที่คิดจะขยับเท้า
‘แค่ข้ามไป...’ เธอบอกตัวเองอย่างนั้น แต่เท้าของเธอกลับเหมือนหยั่งรากไว้กับพื้น ความลังเลและความรู้สึกผิดจากอดีตถาโถมเข้ามาราวกับคลื่น เธอเพียงยืนนิ่งอยู่ที่นั่น มองเขาอย่างเงียบงัน
เขาเองก็มองมาที่เธอ ไม่พูดอะไรเช่นกัน
ระยะทางที่มีเพียงถนนสายเล็กๆ คั่นกลาง กลับรู้สึกห่างไกลกว่าที่เธอจะข้ามไปถึงได้ในตอนนี้
ความคิดแทรกซ้อนในจิตใจของเธอราวกับเสียงกระซิบที่ไม่รู้จักหยุดหย่อน
“ฉันเป็นคนที่ทำให้เขาถูกขับไล่ออกจากตระกูล... ยังจะกล้าไปขอร้องเขาอีกอย่างนั้นหรือ?” คำถามนั้นวนเวียนไม่จางหาย ภาพในอดีตผุดขึ้นมาชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ทั้งที่ดวงตาของเธอยังเปิดอยู่
ในความทรงจำ เธอยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ คำพูดของตัวเองดังก้องในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“คนโกหก! ออกไปเดี๋ยวนี้!” เสียงนั้นเปี่ยมไปด้วยความโกรธเกรี้ยว มือเล็กๆของเธอกำชายกระโปรงแน่นด้วยความสั่นไหว คู่หมั้นที่เธอเคยเชื่อมั่นหันหลังเดินออกไปโดยไร้คำแก้ตัว สายตาสีเทาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเศร้าและเจ็บปวด — ภาพสุดท้ายก่อนที่ประตูใหญ่จะปิดลงอย่างเด็ดขาด
วันนั้น เธอยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจว่าน้ำหนักของคำพูดตัวเองสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของใครคนหนึ่งได้อย่างสิ้นเชิง เสียงประตูที่ปิดลงยังดังก้องในใจเธอมาจนถึงทุกวันนี้ ข่าวการถูกขับไล่ออกจากตระกูลของเขาแพร่สะพัดออกไปไม่นานหลังจากนั้น — ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปเพราะคำพูดของเธอเพียงคำเดียว
เธอยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ความลังเลกัดกินจิตใจจนเธอก้าวเท้าไม่ออก สายตาสีเทาที่ครั้งหนึ่งเคยคุ้นเคยแต่บัดนี้เต็มไปด้วยความห่างเหิน สายตานั้นมันทำให้เธอหลบสายตาด้วยความอึดอัด ก่อนจะหันหลังเดินจากไปทันที
หญิงสาวกลับมาที่คฤหาสน์ด้วยความว้าวุ่น เธอพยายามเรียบเรียงความคิดและเตรียมตัวสำหรับการเผชิญหน้าอีกครั้ง จนกระทั่งเธอพาตัวเองกลับมาที่หน้าห้องพักของเขาในช่วงบ่ายแก่ๆ เธอเลือกนั่งลงบนระเบียงหน้าประตู รอคอยเขาด้วยความหวังที่ริบหรี่
เวลาผ่านไปจนกระทั่งฟ้ามืด ลมหนาวพัดผ่านเข้ามาในยามค่ำคืน แต่เธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิม กระโปรงที่เปียกชื้นด้วยน้ำค้างยิ่งทำให้เธอหนาวสะท้าน
“วันนี้เขาคงไม่กลับมา...” เธอพึมพำเบาๆเพื่อปลอบตัวเอง ก่อนที่เสียงฝีเท้าจากบันไดจะดึงความสนใจของเธอ
เธอหันไปด้วยความหวัง — แต่คนที่ปรากฏตัวกลับไม่ใช่เขา หากเป็นหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่ง ผมสีน้ำตาลอมแดงของเธอถูกมัดรวบไว้อย่างเรียบร้อย ดวงตาสีทองสดใสซ่อนแววอ่อนโยน เธอสวมแว่นตากรอบหนาและชุดเครื่องแบบสีดำสนิทที่ตัดกับโค้ทยาวอย่างพอดี ท่าทางของเธอดูเป็นมิตร แต่แฝงด้วยความลึกลับที่ยากจะอธิบาย
“ขอโทษนะคะ…” หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอคะ?”
หญิงสาวจ้องมองเธอด้วยความสงสัย ก่อนตอบเสียงเรียบ “ฉันมาหาเจ้าของห้องนี้น่ะ”
ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าเล็กน้อยราวกับเข้าใจ “อ๋อ… พอดีฉันเองก็ตั้งใจมาหาเขาเหมือนกัน แต่ดูเหมือนเขาจะไม่อยู่….”
“คุณคือใคร?” หญิงสาวถามพลางขมวดคิ้วแน่น
“ฉันชื่อลีน่าค่ะ เป็นรุ่นน้องที่ฝึกงานกับเขา” เธอแนะนำตัว พร้อมกับยกถุงผ้าสีเข้มในมือให้ดู
“ฉันแค่นำของที่เขาลืมไว้ที่ทำงานมาคืนค่ะ… เมื่อวานเขาถูกเรียกตัวกลับไปที่เมืองอย่างกะทันหัน เช้านี้คงรีบจนลืมของสำคัญไว้ ฉันเลยคิดว่าควรนำมาส่งให้ด้วยตัวเอง”
“เรียกตัวกลับ?… เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” หญิงสาวถามต่อด้วยความสงสัย
ผู้หญิงตรงหน้าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เจือความกังวล
“ฉันเองก็ไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมดค่ะ แต่ดูเหมือนว่าจะต้องรับผิดชอบงานบางอย่าง ได้ยินว่าพรุ่งนี้เป็นเส้นตายซ่ะด้วย…”
คำพูดนั้นทำให้หญิงสาวใจสั่น “งานอะไร?”
หญิงสาวตรงหน้าไม่ได้ตอบ กลับเพียงยิ้มบางๆ ราวกับหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถาม เธอมีท่าทางเป็นมิตรและสุภาพ แต่ดวงตาสีทองที่สบตาเธอแฝงแววลึกลับ ราวกับกำลังซ่อนบางสิ่งเอาไว้ ขณะที่บรรยากาศเงียบสงบยิ่งทำให้ความสงสัยของหญิงสาวลุกลามไปไกลกว่าเดิม
"ถ้าเขาไม่อยู่ก็ไม่เป็นอะไรค่ะ ฉันขอฝากของไว้ที่ตู้จดหมายละกัน"
ผู้หญิงตรงหน้าเดินไปยังตู้จดหมายข้างประตูห้องของชายหนุ่ม วางถุงลงเบาๆ ก่อนหันมายิ้มให้เธออีกครั้ง พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ
"แล้วถ้าคุณเจอเขาก่อน ฝากบอกเขาด้วยนะคะ ว่าถ้าเขาต้องการความช่วยเหลือ ฉันยินดีช่วยทุกอย่าง"
"ถ้ายังไงต้องขอตัวก่อนนะคะ"
หญิงสาวมองตามผู้หญิงคนนั้นที่เดินลับไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย เธอหันกลับมามองประตูห้องของชายหนุ่มอีกครั้ง ใจหนึ่งอยากเปิดดูถุงในตู้จดหมายเพื่อหาคำตอบ แต่อีกใจก็บอกให้รอถามเขาเอง
'คำสั่งงั้นเหรอ? นายกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?'
เธอถอนหายใจ ยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจว่าจะรอเขาอีกสักหน่อย แต่ไม่ว่าเธอจะรอเขานานแค่ไหน คืนนั้นเขาก็ไม่กลับมา...
ชายหนุ่มอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น สติเลือนรางขณะที่สายตาเหลือบมองรูโหว่บริเวณหน้าอกของตัวเอง แม้หัวใจจะหายไป แต่ร่างกายของเขากลับไม่ยอมพังทลาย มันกำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดด้วยพลังบางอย่างที่ไม่อาจระบุได้ร่างของเขาลอยอยู่กลางอากาศ มวลมานาขนาดใหญ่แผ่กระจายโอบล้อมร่างที่กำลังถูกแทรกแซงจากจิตวิญญาณอีกดวงที่แฝงตัวอยู่ภายใน มันไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้เฝ้ามองอีกต่อไป แต่กำลังต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของตัวเองด้วยการพยายามครอบงำทุกส่วนของร่างกายเขาผิวสีขาวของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเข้มในหลายจุด ผมที่ดำสนิทกระเซอะกระเซิง บัดนี้มีสีเทาแซมอย่างเด่นชัด ดวงตาข้างหนึ่งกลายเป็นสีแดงเข้ม บ่งบอกถึงการแผ่ขยายอิทธิพลของจิตวิญญาณแปลกปลอม แม้ว่าการครอบงำจะยังไม่สมบูรณ์ แต่ร่องรอยของมันปรากฏชัดในทุกเส้นสายของร่างกายจิตวิญญาณที่แฝงอยู่พยายามอย่างสิ้นหวังที่จะฟื้นฟูรูโหว่บริเวณหน้าอก โดยการเปลี่ยนพลังงานที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้ฟื้นฟูหัวใจของเขาอย่างสิ้นหวัง แม้ว่ามันจะเป็นการพยายามที่สูญเปล่าก็ตามขณะเดียวกัน หญิงสาวผมดำ ดวงตาสีเงิน จับจ้องเขาด้วยความพึงพอใจปนความระแวดระวังเธอมองเห็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่กำล
ยามค่ำคืนที่เงียบสงัดปกคลุมเมืองไว้ด้วยความมืด เข็มนาฬิกาเดินเข้าสู่เวลาสามทุ่มครึ่ง บรรยากาศที่ควรคึกคักกลับดูอึดอัดและไม่ปกติ เอรอสเดินอยู่บนถนนสายเล็ก มุ่งหน้าไปยังหอพัก ดวงตาจับจ้องไปข้างหน้า แต่ในหัวของเขากำลังคำนวณแผนการหลบหนี‘สถานการณ์แบบนี้ อยู่ต่อไม่ได้แน่... ทางที่ดีที่สุดคือหาที่กบดานเมืองอื่นสักครึ่งปี แล้วค่อยกลับมาใหม่’เขาคิดในใจพลางประเมินตัวเลือกต่างๆ การสร้างตัวตนใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก หากใช้เครือข่ายเดิมที่มีหรือจ่ายเงินให้คนที่ไว้ใจได้ เขาสามารถแทรกซึมเข้าไปอยู่ในตระกูลสาขาสักตระกูล เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ จากนั้นก็ค่อยส่งนักเรียนบางคนแทรกซึมเข้าไปในหอคอย เพื่อล้วงข้อมูลที่จำเป็น‘ขอแค่หนีออกไปจากเมืองนี้ให้ได้ก่อน... แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย’เอรอสเลือกเดินผ่านตรอกวอยเล็กๆ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ใกล้ที่สุดไปยังหอพัก ถนนแคบๆ มีเพียงแสงจากโคมไฟเก่าๆ สลัวๆ ให้เห็นทาง เขาชอบทางนี้เพราะมันเปลี่ยวและไม่มีผู้คนพลุกพล่าน แต่คืนนี้มันกลับเงียบเกินไปอย่างผิดปกติ ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งเมื่อเขาเดินมาถึงลานกว้างข้างหน้า ความรู้สึกผิดปกติเริ่มกัดกินความสงบในใจ มันไม่มีผู้คนอยู่เลย เง
ในขณะที่หญิงสาวคนนึงกำลังเดินกลับคฤหาสน์ด้วยความเสียใจ เสียงพลังเวทที่แตกกระจายดังก้องสะท้อนผ่านตรอกแคบๆ ในยามค่ำคืน ทำให้เธอต้องหยุดชะงัก หัวใจของเอเลน่าเต้นแรงด้วยความกังวลและตื่นเต้น เธอกระชับดาบข้างกายและเร่งฝีเท้าตรงไปยังต้นตอของเสียงที่ลานเปิดกลางตรอก เธอพบกลุ่มจอมเวทย์ในชุดคลุมดำยืนล้อมร่างชายคนหนึ่งที่ถูกพันธนาการด้วยโซ่เวทมนตร์ที่เปล่งแสงริบหรี่ใต้แสงจันทร์ กลิ่นอายเวทมนตร์ที่เข้มข้นแผ่กระจายจนทำให้บรรยากาศรอบตัวหนักอึ้ง ชายที่ถูกจับมีผ้าคลุมหนาคลุมร่างจนมองไม่เห็นใบหน้า ข้างกายเขามีคฑาเวทมนตร์ที่ปลายแตกหักวางอยู่เอเลน่าก้าวออกจากเงามืด ดวงตาจับจ้องไปยังกลุ่มนั้นก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงด้วยความมั่นใจ"ข้า เอเลน่า วัลธอเรน ขอถามว่าพวกท่านกำลังทำอะไรกันอยู่ที่นี่?"ชายสูงวัยในชุดคลุมดำค่อยๆหันมามองเธอ ใบหน้าใต้ฮู้ดของเขาเผยรอยยิ้มที่ไม่ชัดเจน เขาก้าวออกมาด้านหน้าอย่างมั่นคง ก่อนโค้งตัวเล็กน้อยด้วยท่าทีที่เสแสร้ง "ท่านเอเลน่า แห่งตระกูลวัลธอเรน...นี้เอง นึกไม่ถึงว่าจะได้รับเกียรติพบเจอท่านในยามค่ำคืนเช่นนี้"เอเลน่าขมวดคิ้ว เธอยืดตัวตรงและกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น "การจั
ในความมืดมิดที่ไร้จุดสิ้นสุด ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมา ท่ามกลางเงาดำที่แผ่ขยายไปทุกทิศทาง ราวกับว่าความว่างเปล่าได้กลืนกินทุกสิ่งรอบกายของเขาคือแอ่งน้ำสีดำสนิท เงาสะท้อนของมันไม่ใช่ใบหน้าของเขาเอง แต่กลับเป็นความว่างเปล่าที่ไร้ตัวตนทุกอย่างเงียบงันจนดูเหมือนว่าเวลาได้หยุดลง ความเย็นเยือกของบรรยากาศรอบตัวแทรกซึมลึกลงไปในไขกระดูก หนาวจนแสบซ่าน—ทรมานจนหัวใจของเขาเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะจากเงามืดนั้น เสียงกระซิบแผ่วเบาคล้ายลมหายใจแผ่วดังขึ้นมันไม่ใช่เสียงจากที่ไกลโพ้น แต่เหมือนเป็นเสียงในหัวของเขาเอง เสียงที่กัดกร่อนจิตใจด้วยคำถามที่เขาไม่อยากได้ยิน“ยังมีสัญญาที่ยังทำไม่สำเร็จ เจ้าจะยอมแพ้แล้วงั้นหรือ?”เขาสะดุ้งสุดตัว หันขวับไปตามเสียงนั้น และพบ…ตัวเอง ตัวเขาที่ดูแตกต่างร่างนั้นผ่ายผอม ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาลึกโหลจนเหมือนเบ้าตาถูกกลืนหายไปในความมืดทว่าภายใต้ความเหนื่อยล้าเหล่านั้น แววตาของร่างนั้นกลับแน่วแน่ ราวกับก้อนหินที่ไม่อาจถูกทำลายเมื่อเขาหันมองรอบตัว สิ่งที่เขาเห็นทำให้หัวใจหล่นวูบ ตัวเขา…ตัวเขาอีกหลายสิบคนยืนล้อมรอบ ทุกสายตาจับจ้องมายังเขาบางร่างดูมั่นคงและสง่างาม ดุจผู้นำที่ยืน
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากด้านนอก ดังก้องสะท้อนในโถงทางเดินแคบๆ ที่เงียบสงัด ขณะประตูเหล็กที่มีรอยสนิมขึ้นเล็กน้อยถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วเสียงโลหะเสียดสีกันชวนให้ขนลุก ผู้คุมในชุดคลุมยาวสีดำสนิทก้าวเข้ามาในห้อง รัศมีเวทมนตร์บางเบาลอยอ้อยอิ่งรอบตัวเขา ร่างสูงสง่ามีท่าทางเงียบขรึม ดวงตาที่เยือกเย็นจับจ้องมายังชายหนุ่มที่นั่งอยู่กับพื้นโดยไม่เอ่ยคำใด ก่อนที่สุดท้ายผู้คุมจะเดินไปนั่งอยู่ที่มุมโต๊ะที่ถูกจัดเอาไว้หน้าห้องขัง เขาสังเกตุท่าที และ ลักษณะของผู้คุมอย่างละเอียด แม้ว่าภายนอกดูเหมือนจะถูกปิดบังตัวตนอย่างมิดชิด แต่วัสดุของคฑานั้นก็เพียงพอที่เขาจะสามารถเดาออกได้ว่าผู้คุมตรงหน้านั้นมาจากกลุ่มไหน แต่มันก็ยิ่งทำให้เขาสงสัยมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะวัสดุที่ใช้ทำด้ามคฑานั้น เป็นของที่สั่งทำโดยเฉพาะ และ มีแค่กลุ่มเดียวที่มีวัสดุแบบนี้….หอคอยจอมเวทย์“เป็นไปได้ยังไง? หรือว่าจะถูกขโมยมา?”เขาตั้งข้อสงสัยกับสิ่งที่เห็น ก่อนที่จะสังเกตุบริเวณด้ามจับของคฑาที่ชายคนนั้นถืออย่างละเอียดร่องรอยการสึกกร่อนจากรอยนิ้วมือปรากฏอย่างเด่นชัด ทั้งคราบสกปรก และ รอยถลอก ตรงกับผู้ใช้อย่างชัดเจน ราวกับถูกใช้มาตั
1 ชั่วโมงก่อนการหลบหนี เกิดเหตุไฟไหม้ที่สถานพยาบาลของเมืองในห้องสอบปากคำที่มืดสลัว มีเพียงแสงจากโคมไฟเวทมนตร์ที่ลอยอยู่กลางอากาศช่วยให้เห็นใบหน้าของลีน่า หญิงสาวผมสีส้มอมทองที่สวมแว่นหนาๆ และชุดเครื่องแบบของกิล เธอก้มมองสมุดบันทึกที่เต็มไปด้วยลายมือเรียบเรียงอย่างละเอียด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองชายผู้รอดชีวิตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม"คุณช่วยเล่าอีกครั้งได้ไหมคะ ว่าเกิดอะไรขึ้น?" ลีน่าถามเสียงนุ่ม แต่แฝงไปด้วยความจริงจัง เธอยกปากกาขนนกขึ้นจรดลงบนกระดาษ ขณะที่มองจ้องมองอีกฝ่าย ชายผู้นั้นกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะเริ่มเล่า“มันเกิดขึ้นเร็วมากครับ ตอนนั้นพวกผมกำลังนั่งเฝ้าผู้ป่วยอยู่ในห้อง แต่แล้วชายคนหนึ่งก็ถูกพยาบาลพาตัวเข้ามา...เขาดูซีดเซียวเหมือนไม่มีแรง”ชายคนนั้นลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ"ผมได้ยินพวกพยาบาลพูดกัน เห็นว่าเป็นคนที่ลูกสาวของตระกูลวัลธอเรนให้พาตัวมา ทุกคนก็เลยไม่ได้สงสัย หรือ สนใจอะไรเกี่ยวกับตัวเขามากนัก…."หญิงสาวพยักหน้าเป็นเชิงให้เขาเล่าต่อ "แล้วอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้นคะ?""จู่ๆ ร่างกายของเขาก็ลุกเป็นไฟครับ! ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นมาก่อน ไฟพวกนั้นดูไม่ใช่ไฟธรรมดา มันมีสีฟ้าสว
เอรอสก้าวออกจากคุกอย่างเงียบงัน สายตาของเขาสำรวจชายที่ถูกสิงอยู่เบื้องหน้า แต่พบเพียงคฑาและชุดคลุมเวทมนตร์ ไม่มีสิ่งของอื่นใดที่จะใช้ประโยชน์ได้ ชายตรงหน้าเคร่งครัดต่อหน้าที่จนไม่พกสิ่งใดที่นอกเหนือความจำเป็น ซึ่งเป็นเรื่องน่ารำคาญสำหรับสถานการณ์เช่นนี้ในขณะที่เขากำลังคิดหาทางต่อ เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น ฝ่าความเงียบในคุกใต้ดิน เสียงที่แหบต่ำและเย็นเยียบ ราวกับเล็ดลอดออกมาจากรอยแยกในโลกแห่งความตาย“ข้าทำตามสัญญาแล้ว... ถึงเวลาที่เจ้าต้องชดใช้”เสียงนั้นไม่ได้ออกมาจากปากของชายที่ถูกสิง แต่มันดังขึ้นราวกับสะท้อนมาจากทุกมุมของห้อง ร่างของชายที่ถูกครอบงำค่อยๆ เงยหน้าขึ้น รอยยิ้มบิดเบี้ยวปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ซีดเซียว ดวงตาของเขาไร้แววชีวิต ทว่ากลับมีประกายสีดำลุกวาวอยู่ภายในจากมือของเขา มีดสีดำสนิทปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า มันยื่นไปทางเอรอส ราวกับมีชีวิตของมันเองเขารับมีดมาอย่างระมัดระวัง สายตาของเขาจ้องปีศาจโดยไม่หลบเลี่ยง แต่ไม่ทันที่เขาจะลงมือ เสียงของปีศาจก็ดังก้องขึ้นอีกครั้ง“เจ้าไม่คิดจะเปลี่ยนข้อกลงเป็นวิญญาณของชายผู้นี้หรือ? คิดว่าเลือดของตัวเองมีค่าพอจะชดเชยกับสิ่งที่ข้าทำให้หรือไง
เอรอสก้าวช้าๆ เข้าหาชายหนุ่มที่นอนนิ่งกับพื้น กลิ่นอับชื้นผสมเลือดและเหงื่อทำให้บรรยากาศในห้องแคบยิ่งกดดัน ดวงตาสำรวจไปทั่วร่างที่อ่อนแรงจนแทบไม่เหลือเค้าความมั่นใจในอดีต แขนและขาเต็มไปด้วยรอยช้ำและแผลที่บ่งบอกถึงการทรมานอย่างแสนสาหัสเขานั่งลงข้างๆ สัมผัสชีพจรที่เต้นแผ่วเบา ความเงียบรอบตัวกลับทำให้เสียงหัวใจของเขาดังก้อง เขาเคยเจอชายคนนี้ที่ในที่ทำงานมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นในสภาพที่น่าอดสูเช่นนี้มาก่อน“นี่มัน... เกิดอะไรขึ้น?” เขาพูดพึมพำด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา จนแทบไม่มีใครได้ยินบาดแผลบนร่างสะท้อนถึงความทรมานทั้งกายและใจ ร่างกายซูบผอมจนเห็นโครงกระดูกชัดเจน ราวกับขาดอาหารมานาน รอบตัวมีเพียงกำแพงหินที่ถูกปิดตายอย่างเร่งรีบ ไร้หน้าต่างหรือทางออกอื่นสายลมบางเบาโชยมาจากกระดุมข้อมือที่ตกหล่น เขาหยิบมันขึ้นมาดู และทันทีที่สัมผัส พลังเวทที่คุ้นเคยก็แผ่ซ่านออกมา“เอเลน่า...” เขาพึมพำ แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน รีริคชิ้นนี้บรรจุพลังเวทที่เธอฝากไว้ราวกับสัญลักษณ์แห่งความห่วงใย แต่ในสถานที่อับมิดเช่นนี้ สายใยนั้นไม่อาจส่งสัญญาณไปถึงเขาจับมือของชายที่นอนอยู่ตรงหน้า เพื่อถ่ายพลังเวทย์ให้ช่วย
"นายจะพาฉันไปไหนเนี่ย?" หญิงสาวถามขึ้น ขณะที่พวกเขาเลี้ยวเข้าตรอกซอยแคบๆแห่งหนึ่ง กลิ่นอายของความวุ่นวายในย่านนี้ ทำให้เธอรู้สึกตื่นตัวมากขึ้น"ฉันไม่ได้พาเธอ เธอตามฉันมาเอง" ชายหนุ่มที่เดินนำหน้าตอบเสียงห้วนๆ แต่ยังไม่หยุดเดิน เขาไม่แม้จะหันมามองด้วยซ้ำก่อนหน้านี้ เขาเคยเป็นคนที่พูดจานุ่มนวล สุภาพ และมีมารยาทเสมอเมื่ออยู่ใกล้เธอ แต่ทุกสิ่งที่เธอรู้จักเกี่ยวกับตัวเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อคมมีดหันมาจ่อที่ตาของเธอ เธอแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คืออาร์วินคนเดิมที่เธอเคยรู้จักแววตาของเขาที่ซ่อนอยู่ใต้เลนส์แว่นสีน้ำตาลอมแดง เต็มไปด้วยความระมัดระวัง เหมือนกับเด็กน้อยที่พึ่งออกจากบ้านเป็นครั้งแรก มันเป็นสายตาที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกถึงความแปลกใจอย่างชัดเจนเธอมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ในขณะที่เขาก้าวเดินอย่างชำนาญ แต่ทุกย่างก้าวกลับเต็มไปด้วยความระแวง เขามองไปรอบตัวเหมือนกับคนที่กำลังหลบหนี หรือไม่ก็เหมือนคนที่สูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป เธอเริ่มสงสัยว่าเขากำลังกลัวอะไรอยู่ หรืออาจจะเป็นเพราะเขาสูญเสียวงแหวนเวทมนตร์ไป ทำให้ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ เลยต้องระวังตัวเป็นพิเศษหญิงสาวหยุดชะงักเมื่ออาร์วินหย
ชายหนุ่มเดินลึกเข้าไปในแนวป่าจนถึงเขตเมือง กลิ่นอายของผู้คนเริ่มแตะจมูกของเธอที่แอบตามมาเงียบๆ เสียงพูดคุยและความเคลื่อนไหวของตลาดกลางคืนแว่วเข้ามา เธอหยุดอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์เขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะเลี้ยวเข้าไปในตรอกแคบระหว่างร้านค้าเล็กๆ“ทำไมต้องแอบมาเข้าเมืองมาในเวลานี้ด้วย น่าสงสัยจริงๆ…” หญิงสาวคิดในใจ ก่อนปรับผ้าคลุมไหล่ให้กระชับและเริ่มตามเขาเข้าไปในตรอกที่ดูคับแคบและอับทึบ มีกลิ่นอับของความชื้นผสมกับกลิ่นไม้เก่าจากกำแพงร้านค้าหญิงสาวที่กวาดสายตาเหลือบมองไปรอบข้าง ก่อนที่จะเห็นเงาของเขาเลี้ยวหายเข้าไปในซอยเล็กๆ เธอเห็นดังนั้น จึบรีบเร่งก้าวตามโดยไม่ลดความระมัดระวัง แต่เมื่อพ้นมุมซอยเข้าไป ร่างสูงของชายหนุ่มก็พุ่งพรวดเข้ามามาจากมุมที่เขาเข้าไป ชายหนุ่มเคลื่อนตัวรวดเร็วจนเธอไม่ทันตั้งตัว เธอถูกผลักชนเข้าติดกับกำแพงผนังด้านหลัง“อึก—!” เสียงร้องสั้นกระชับของเธอดังขึ้นในความเงียบ คทาในมือถูกปัดกระเด็นไปด้วยแรงที่เหนือชั้น ตัวเธอแข็งทื่อเหมือนถูกแช่แข็ง ลมหายใจที่เคยสม่ำเสมอหยุดชะงักทันที ปลายมีดเย็นเฉียบจ่ออยู่ห่างจากดวงตาของเธอเพียงเส้นขน ความหวาดกลัวที่ท่วมท้นทำ
หลังจากที่หญิงสาวหลับไป ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ในความเงียบ ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นไฟไหม้สองจุดในคืนเดียว—หนึ่งคือห้องของเขาเอง สถานที่ที่เคยอบอวลไปด้วยเงาของความทรงจำ ทุกอย่างที่หล่อหลอมเป็นชีวิตของเขาและเธอ หนังสือที่เคยวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ บัดนี้กลายเป็นเถ้าถ่าน เฟอร์นิเจอร์ที่เขาเลือกเองถูกเผาผลาญจนไม่เหลือเค้าเดิม ทุกสิ่งที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของวันคืนที่เคยมีร่วมกัน มอดไหม้ไปพร้อมกับเปลวเพลิง ราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่ตั้งแต่แรก…มือขวาของเขากำแน่นจนข้อกระดูกปูดขึ้นมา เขาบีบมือจนเจ็บ แต่พยายามข่มความรู้สึกโกรธเอาไว้ แม้จะพยายามทำเช่นนั้น แววตากลับยังคงสะท้อนความเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ภายใน เขาหายใจเข้าลึก พยายามประคองสติขณะที่ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวอีกแห่งคือโรงพยาบาลกลางเมือง... สถานที่ๆซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย หากต้องการลบตัวตนของเขาจริงๆ แค่เผาห้องพักก็เพียงพอ แต่ทำไมต้องเผาโรงพยาบาล?เรื่องมันใหญ่เกินไป… หรือทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นตอนที่เกิดเรื่องกับเขาพอดี? แต่ถ้านี้เป็นแผนของใครบางคน แล้วพวกมันจะได้ประโยชน์อะไรจากการกระทำเช่นนี้?ชายหนุ่มนั่งครุ่
ความกังวลในใจของเธอคลี่คลายลง แต่ก็ยังไม่หมดสิ้น ราวกับไม่สามารถสลัดคำถามนั้นออกจากหัวไปได้ ก่อนจะหายใจเข้าลึก รวบรวมความกล้าอีกครั้ง“ฉันรู้ว่ามันอาจจะไม่เหมาะที่จะถามอะไรแบบนี้ ในตอนที่นายเพิ่งผ่านเรื่องเลวร้ายมา…”เธอหยุดเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของเขา แต่ชายหนุ่มยังคงนิ่ง เหมือนไม่มีความสับสนใดๆ“มันมีหลายเรื่องที่ฉันอยากจะถามนาย แต่…” เธอลดสายตาลงมองแก้วชาที่อุ่นในมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “เรื่องที่สำคัญกว่านั้น—ฉันอยากรู้... นายได้รับอะไรจากการทดสอบนั้น?”ชายหนุ่มมีท่าทีลำบากใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มตอบอย่างอึดอัด"ขอโทษด้วย มันเป็นความลับเฉพาะฝ่ายนักเวทย์ ไม่สามารถบอกได้""ฉันรู้เกี่ยวกับการทดสอบนั้นแล้ว แล้วก็รู้ด้วยว่าของรางวัลอาจจะเป็นชิ้นส่วนร่างกายของจอมปราชญ์ไรอัส นายไม่จำเป็นต้องปิดบังหรอก"เขาชะงักเล็กน้อย หยุดคิดไปชั่วขณะก่อนจะพูดออกมา"รู้มาจากไอริสสิน่ะ? เธอคนนั้นไม่เข้าใจความละเอียดอ่อนของฝ่ายอัศวิน กับ จอมเวทย์รึไง?""แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นถ้ารู้แล้ว?""ถ้ารู้แล้วก็ไม่เป็นอะไร" เขาพูดเสียงต่ำ แล้วเขาก็ถอนหายใจ"ฟังแล้วก็อย่าไปบอกใครล่ะ แล้วก็ห้ามบอกด้วยว่าเธอรู้มาจากไอริ
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆกลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับอยากกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันจนเธอไม่อยากจะลุกออกจากเตียงเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งพิงหลับอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าสงบนิ่งภายใต้เงามืด เส้นผมสีทองของเขาสว่างไสวเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เผยให้เห็นอีกด้านนึงที่เธอคุ้นเคย—ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนอะไรบางอย่างก่อนหน้านี้ ทำให้เธอโล่งใจขึ้นเล็กน้อย “อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อออกมาเบาๆเหมือนจะยืนยันการมีตัวตนอยู่ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อพึ่งรู้สึกตัวว่า ตัวเองนอนอยู่บนเตียงของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย ขณะที่พยายามเรียกความทรงจำที่เลือนรางกลับคืนมาภาพเหตุการณ์เมื่อคืนผุดขึ้นในความทรงจำ จำได้ว่าเธอ และ เพื่อนพูดคุยเกี่ยวกับข่าวลือเรื่องของรางวัลในการทดสอบที่
ก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อนชายที่เขาช่วยเหลือไว้สวมชุดแปลกๆราวกับมาจากอีกทวีป ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาว ภาษาที่ใช้ ก็ดูเหมือนจะถูกๆผิดๆแต่กลับเต็มไปด้วยสำบัดสำนวนมากมายราวกับจงใจชายคนนั้นอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เขาจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีของคนอื่นมาด้วยเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวันแทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยไปให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าเป็นศาสตร์ลับในดินแดนของตน หนังสือเล่มนี้บันทึกเกี่ยวกับวิธีการปกปิด และ ซ่อนเร้น โดยใช้พลังที่ผสานระหว่างธรรมชาติและเจตจำนงในตอนแรก เขารับหนังสือเ
คลินิกตรงหน้าตั้งอยู่ห่างจากเขตใจกลางเมืองเล็กน้อย ตัวอาคารหินสีซีด ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึก หน้าต่างกระจกสีชั้นล่างสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไป ลวดลายบนกระจกดูเหมือนจะพร่ามัวในแสงสลัว สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยจำนวนนึงยามตีสี่ ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ ความเงียบรอบตัวแทบจะทำให้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วงกระทบพื้น ร่างสูงใหญ่ยืนพิงกำแพงใต้ร่มเงาตรงข้ามกับสถานที่ ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยังหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท เป็นสถานที่ทำงานของเจ้าของสถานที่แห่งนั้น แต่ในยามนี้ ไม่มีแสงไฟส่องลอดออกมา“ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่…” เขาพึมพำเสียงเบา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงนั้นแทบชัดเจนในสายลม เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียง กระโดดขึ้นเกาะขอบหน้าต่างชั้นสอง เสียงลมแผ่วเบาและใบไม้ไหวกลบการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาสีแดงสังเกตการณ์ในห้องอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าไม่มีใครอยู่เมื่อแน่ใจแล้ว เขาดึงจดหมายจากกระเป๋าออกมา มันเป็นเศษกระดาษที่เขาเก็บได้แถวนี้ จดหมายนั้นเขียนด้วยลายมือเร่งรีบ เนื้อความสั้นๆระบุเพียงเวลาและสถานที่ ไม่ได้บอกถึงความต้
หญิงสาวเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมสีม่วงอมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้ในสถานที่แห่งนี้ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ทำให้เธอรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวทุกอย่างของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอเรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของมือสังหาร จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มานานแล้ว แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากเขาโดยตรงเธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับเรื่องราวนั้น หนักเกินกว่าจะเล่าออกมาดวงตาสีชมพูอ่อนสะท้อนแสงจากโคมไฟ หญิงสาวนั่งนิ่งราวกับกำลังขบคิดอะไรบาง แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ อยากให้ชายหนุ่มเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเธอ แต่เธอก็รู้ดี เขาก็ยังเป็นตัวเขา—คนที่เลือกจะแบกรับทุกอย่างไว้เพียงลำพัง ไม่ยอมพึ่ง
ชายร่างสูงใหญ่เดินผ่านทางเดินยาวที่ปกคลุมด้วยความเงียบสงัดของพื้นที่ บรรยากาศภายในบริเวณนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายทรงพลังที่ทั้งหนักอึ้งและน่าเกรงขาม เขาหยุดชั่วครู่หน้าประตูบานใหญ่ของห้องผู้นำองกรณ์ บานประตูไม้สลักลวดลายละเอียดอ่อนแสดงถึงอำนาจและบทบาทสำคัญของเจ้าของห้องในขณะที่เขาก้าวผ่านหน้าประตู ความรู้สึกหนึ่งแผ่ซ่านไปทั่วร่าง คล้ายมีสายตาจับจ้องจากอีกมิติ พลังจากดันเจี้ยนแห่งนี้ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงการเฝ้ามองของเจ้าของที่นี้อย่างชัดเจน แม้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริงๆก็ตาม"ดูเหมือนเธอมีเรื่องที่จะพูดด้วย แต่ก็ลังเลที่จะถามสิน่ะ" เขาคิดในใจ สายตาสีแดงฉานของเขาหันไปมองบานประตูอย่างครุ่นคิด ก่อนที่จะส่ายหัวเบาๆผู้นำของสถานที่แห่งนี้ เป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง เธอเป็นลูกสาวของอดีตผู้นำองกรณ์อาชกรรมขนาดใหญ่ในเมือง แต่ถูกเขาทำลายลงไปเมื่อหลายปีก่อน ในตอนนั้นเธอยังเยาว์วัย แถมยังเป็นลูกของโสเภณีที่องกรณ์จับตัวมาอีก ทำให้เธอมักจะถูกรังแก และ กลั่นแกล้งดูหมิ่นเสมอเธอที่ผ่านความยากลำบากในชีวิตแต่ล่ะวัน ก็ได้มาพบกับเขาในร่างของจอมเชือด ในตอนแรกเธอร้องขอที่จะติดตามเขา แต่ตัวเขาในตอนนั้นปฏิเสธ ไม่อยาก