“หยุดสิวะ... หยุด!!!”เอรอสที่ทรุดตัวนั่งอยู่บนพื้น ตะโกนในใจด้วยความอึดอัด ความเหนื่อยล้าที่กดทับร่างทำให้เขาหายใจหอบ สายตาของเขาพร่ามัว เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และความรู้สึกเจ็บปวดที่บีบคั้นราวกับถูกบีบรัดจากภายใน ความทรมานที่รู้สึกนั้นเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหว
นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว... ครั้งที่สองที่เขาถูกมันคุกคามหนักถึงขนาดนี้น ยิ่งเขาปล่อยให้มันเข้ามาในจิตใจมากเท่าไหร่ ทั้งสองก็ยิ่งเชื่อมต่อกันแน่นแฟ้นขึ้นทุกที เหมือนมีบางอย่างในตัวเขาถูกดึงออกไป... และในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ถูกถ่ายโอนกลับมา แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำก็ตาม
หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ผลกระทบที่ยืดเยื้อก็ค่อยๆ จางหาย เอรอสนอนราบลงกับพื้น ถอนหายใจยาวเพื่อระบายความอึดอัดที่ยังหลงเหลืออยู่ เขาไม่สนใจเสื้อผ้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อหรือความอ่อนล้าที่ปกคลุมร่างกาย สิ่งที่เขาสนใจกลับเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามา ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเขา...
มันเป็นภาพครอบครัวของเรย์นาร์ค... แม้เพียงเสี้ยวหนึ่งก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง
ในความทรงจำนั้น เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งและเด็กสาวอายุราว 8 ขวบ ทั้งสองมีผิวสีแทนเหมือนกัน สีผมดำเงา และหูสัตว์ที่เด่นสะดุดตา ทั้งสามคนอยู่ในบ้านดินเหนียวเล็กๆ ที่ดูเรียบง่ายและอบอุ่น ผู้หญิงคนนั้นพูดกับเด็กสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อิลิญา ลูกรัก... ไปนั่งรอในห้องสักครู่ได้ไหม? แม่มีเรื่องจะคุยกับพ่อสักหน่อย”
เด็กสาวที่นั่งเล่นของเล่นอยู่บนพื้นเงยหน้ามองผู้เป็นแม่ ก่อนจะค่อยๆ วางของเล่นลง สีหน้าเศร้าสร้อยเล็กน้อยแต่เธอก็ยอมรับ
“ได้ค่ะ คุณแม่...” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อยด้วยความกังวล แววตาเหมือนจะรู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ปกติ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องข้างๆ ทิ้งให้ผู้เป็นพ่อและแม่อยู่ตามลำพัง
เมื่อประตูปิดลง ความเงียบเข้าปกคลุมห้องทันที หญิงสาวหันมาหาเรย์นาร์คด้วยแววตาเต็มไปด้วยความกังวล
“ที่รัก... คุณต้องไปจริงๆหรอ? ไหนคุณบอกว่าจะวางมือแล้วไง?” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความทุกข์ แม้พยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้
เรย์นาร์คถอนหายใจเงียบๆ เขามองไปรอบๆบ้านดินเหนียวเล็กๆ แห่งนี้ ทุกมุมสะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิต ครอบครัวของเขาต้องหนีภัยมาไกลเพื่อหาที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยกว่า แต่เขารู้ดีว่าทุกอย่างที่ทำลงไปนั้นก็เพื่อคนที่เขารัก
“ผมจำเป็นต้องไปจริงๆ... ครั้งนี้ถ้าสำเร็จ ครอบครัวของเราจะได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ” น้ำเสียงของเขาหนักแน่น แต่แฝงไปด้วยความห่วงใย
“แต่เราอยู่กันแบบนี้ก็ไม่ได้แย่นี่...” เธอส่ายหน้าเล็กน้อย น้ำตาคลอเบ้าขณะพูด
“ฉันไม่อยากเสียคุณไป คุณคือทุกสิ่งทุกอย่างของครอบครัวเรา...”
เรย์นาร์คยื่นมือไปจับมือของเธอเบาๆ ดวงตาของเขาอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยความรัก
“พวกเขาสัญญาแล้ว... ถ้าภารกิจนี้สำเร็จ เราจะได้เป็นประชาชนที่นี่ ลูกของเราจะได้เติบโตในที่ปลอดภัย เราจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้” น้ำเสียงของเขามั่นคง แต่เธอก็ไม่อาจเก็บความกลัวในใจได้อีกต่อไป
“แต่ถ้าคุณไม่กลับมา... ฉันจะทำยังไง? ฉันกับอิลิญาจะอยู่กันยังไงถ้าคุณไม่อยู่แล้ว?” น้ำตาเริ่มไหลออกมาช้าๆ ขณะที่เธอพยายามจะกลั้นมันไว้
เรย์นาร์คดึงเธอเข้ามาใกล้ จูบเบาๆ ที่หน้าผาก “ผมสัญญา... ผมจะกลับมาเพื่อคุณ และอิลิญา ผมจะทำทุกวิถีทางเพื่อกลับมาหาพวกคุณ”
ความเงียบแผ่ปกคลุมอีกครั้ง ขณะที่ทั้งสองกอดกันแน่น หญิงสาวซบลงกับอกของเรย์นาร์ค เสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเหมือนจะย้ำเตือนให้เธอเชื่อในคำสัญญาของเขา แต่ความกลัวที่ซ่อนอยู่ในใจยังคงไม่จางหายไป
“ดูแลลูกของเราแทนผมด้วยนะ” เรย์นาร์คกระซิบเบาๆ ก่อนจะผละออกอย่างอ้อยอิ่ง สายตาของเขามองลึกเข้าไปในดวงตาของเธออีกครั้ง
“ผมจะกลับมา...”
เขาหันไปเปิดประตูห้องของลูกสาว เด็กหญิงตัวน้อยนั่งอยู่เงียบๆ บนเตียง เรย์นาร์คย่อตัวลงลูบศีรษะเธอเบาๆ
“พ่อจะไปทำงานนะ พ่อสัญญาว่าจะรีบกลับมา”
เด็กหญิงมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวังและความรัก“พ่อสัญญาแล้วนะคะ...”
เรย์นาร์คยิ้มก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากเธอ“พ่อสัญญา... พ่อจะกลับมาเพื่อพวกเราทุกคน”
เมื่อคำพูดสุดท้ายสิ้นสุดลง เขาหันมามองภรรยาที่ตอนนี้ยืนอยู่ที่ประตู หญิงสาวมองเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะเดินออกไป ประตูบ้านปิดลงเบื้องหลังเขา ทิ้งเงาของเขาไว้ในหัวใจของทั้งสองคน
“กลับมาให้ได้นะ... เรย์นาร์ค” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ มองประตูที่ปิดลงด้วยความหวังที่หลงเหลือเพียงริบหรี่
เอรอสเห็นทุกอย่างนั้น เห็นถึงความผูกพันและคำสัญญาของครอบครัวนี้... และมันทำให้เขาเข้าใจทันทีว่าทำไมเรย์นาร์คถึงพยายามครอบงำเขา ตั้งแต่ตอนที่เขาได้ยินข่าวลือในเมืองว่ามีเด็กสาวชาวใต้เผ่าสัตว์ถูกลักพาตัวไปยังหุบเขาใกล้ๆ เขาเกือบจะถูกเรย์นาร์คครอบงำในตอนนั้นแล้ว ความโกรธและความหวังของคนเป็นพ่อที่เขาไม่เคยรู้สึก ในตอนนี้มันผสานกับความรู้สึกของเอรอส จนเขาต้องพยายามกดมันไว้จนมาถึงที่ลับตาคน
เมื่อเขาไปถึงที่ซ่อนตัวของกลุ่มคนร้าย มันบังคับร่างกายของเขาต่อสู้กลับพวกนั้นจนถึงที่สุด จนกระทั่งการต่อสู้สิ้นสุด เรย์นาร์คพยายามหาตัวลูกสาวของเขา ท่ามกลางพวกคนที่โดนลักพาตัว แต่เอรอสกลับชิงการควบคุมร่างกายของเขากลับมาได้ก่อน ด้วยสภาพในตอนนั้น…. การปรากฏตัวต่อหน้าเด็กคงมีแต่จะทำให้เธอกลัว เขาจึงหลบหนีออกจากที่นั่นและกลับมายังห้องพักของเขา
“แม่ง... แกก็เหมือนกันสินะ” เอรอสพึมพำกับตัวเอง พลางยิ้มเย้ยหยันไปกับชะตากรรมของตัวเอง
“ฉันไม่ผิดน่ะเว้ย... เพราะแกจะฆ่าพวกเราก่อน! ทั้งฉัน และแก เลยต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ไง!”
เอรอสกัดฟันกรอด ขณะที่เสียงของเรย์นาร์คยังคงก้องในหัวของเขา มันเป็นความจริงที่น่าขมขื่น แม้จะพยายามหาข้อแก้ตัวให้กับตัวเองแค่ไหน แต่ในท้ายที่สุด ทั้งสองก็ถูกผลักดันให้เข้ามาอยู่ในวงจรอันเลวร้ายนี้
เขารู้สึกสงสารเรย์นาร์คเล็กน้อย จิตวิญญาณที่แทรกซึมเข้ามาในตัวเขา ในความทรงจำที่ได้รับ เรย์นาร์คเคยเป็นพ่อที่อบอุ่นและใจดี เป็นเสาหลักของครอบครัว แตกต่างจากตอนที่เขาพบครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง ตอนนั้น เรย์นาร์คแทบจะเสียสติเต็มที่ คำพูดเพียงอย่างเดียวที่หลุดจากปากเขาคือ "ต้องฆ่าให้ได้..." ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้เอรอสจะกลืนกินทั้งตัวตน และ จิตวิญญาณของเรย์นาร์คเข้ามาแล้ว แต่เสียงของเขายังดังชัดเจนในหัว ทำให้เอรอสต้องต่อสู้กับเสียงกระซิบที่ไม่ยอมหยุด มันค่อยๆ เบาลงหลังจากเขาต้องใช้สมาธิปิดกลั้นอยู่พักใหญ่ โชคดีที่ครั้งนี้เขากลับมาเป็นตัวเองได้
"ทำไมฉันถึงได้...ซวยขนาดนี้" เอรอสครางเบาๆ ขณะใช้มือปิดหน้าด้วยความรู้สึกผิดปะปนไปกับความเจ็บปวด เรย์นาร์คไม่เพียงแค่ทำลายชีวิตเขา แต่เขาเองก็เป็นคนพรากพ่อไปจากครอบครัวหนึ่งอย่างไม่มีวันกลับ
มันไม่ใช่แค่เรื่องเล่าที่ได้ฟังจากปากของคนอื่น แต่มันเป็นความทรงจำที่หลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของเขาอย่างชัดเจน ทำให้เขาต้องทนแบกรับความรู้สึกผิดที่เขาไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น
เอรอสยังคงนั่งนิ่งอยู่กับพื้น ความเงียบรอบตัวดูเหมือนจะช่วยให้เขาจัดระเบียบความคิดที่สับสนวุ่นวาย ทั้งจากตัวเอง และ จากจิตของเรย์นาร์คที่ยังอยู่ภายใน เขาหลับตาลง หวังให้ความสงบคืนสู่จิตใจ แต่ความรู้สึกหนักหน่วงยังไม่หายไปไหน ราวกับวิญญาณของเรย์นาร์คยังไม่ยอมแพ้ที่จะครอบงำเขา เอรอสจึงตอบกลับไป
"ฉันสัญญา... ฉันจะตามหาครอบครัวของแก แล้วจะทำให้พวกเขามีความสุข" เขาพึมพำเบาๆ ก่อนจะนิ่งคิดสักพักและพูดต่อ
"เพราะงั้น แกก็อยู่เงียบๆ ให้ฉันใช้งานซะดีๆ"
ความเงียบงันเข้ามาแทนที่ ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมาจากเรย์นาร์ค แต่เขารู้สึกว่าร่างกายของตนเริ่มรู้สึกเบาลงเล็กน้อย เหมือนพลังงานของเรย์นาร์คค่อยๆ ฟื้นฟูร่างกายของเขาจากภายใน
เอรอสสูดหายใจลึก หวังจะปล่อยวางทุกอย่างชั่วคราว แต่แล้ว เขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่าง ราวกับมีใครบางคนอยู่ข้างนอกห้อง ความสงสัยแวบเข้ามาในใจ เขาขมวดคิ้ว เสียงฝีเท้าค่อยๆดังขึ้นจากทางเดินข้างนอก จากนั้นเสียงเคาะประตูเบาๆก็ดังขึ้นในความเงียบ
เอรอสลุกขึ้นอย่างช้าๆ มือจับด้ามปืนพกข้างเอวไว้แน่น ก่อนจะค่อยๆ เดินไปที่ประตู และ แง้มมันออกอย่างระวัง ภายใต้แสงจางๆจากหน้าประตู
“รุ่นพี่?” เสียงเรียกแผ่วเบาดังขึ้นจากอีกด้านของประตู เป็นเสียงที่เขาคุ้นเคย เขาพบลีน่ายืนอยู่ตรงหน้า แววตาของเธอเต็มไปด้วยความกังวล
“ทำไมเธอถึงมาที่นี้?” เอรอสถามด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่แววตาฉายความแปลกใจเล็กน้อย ลีน่ากลืนน้ำลายแล้วตอบ
“ฉันได้ที่อยู่จากคนรู้จัก เลยแวะมาดู เพราะรุ่นพี่ไม่อยู่ในงาน"
เธอลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ
"แต่ดูเหมือน...รุ่นพี่จะอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่….”
เอรอสเบนสายตาออกไปเล็กน้อย ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ฉันไม่สบายเล็กน้อย แต่ไม่มีอะไรต้องห่วง”
ลีน่าเลิกคิ้ว มองเขาด้วยสายตาไม่ค่อยเชื่อใจ
“ไม่สบายจริงหรอ?” น้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยความสงสัย
“ก็แค่นิดหน่อย ไม่มีอะไรสำคัญ เธอกลับไปพักเถอะ ฉันโอเคแล้ว” เอรอสตอบอย่างไม่ใส่ใจ แต่ลีน่าขยับเข้าไปใกล้ และ จ้องมองเขาอย่างจับผิด
“ถ้ารุ่นพี่โอเคจริง ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียว? มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ไหม?”
เอรอสถอนหายใจเบาๆ พยายามสะกดอารมณ์และรักษาท่าทีเยือกเย็น
“มันไม่ใช่เรื่องของเธอ ลีน่า เธอกลับไปก่อนดีกว่า ฉันโอเคแล้ว”คำตอบของเขาดูเหมือนจะเป็นการปัดป้องมากกว่าจะปลอบใจ
ลีน่าขยับเข้าใกล้เขาอีกนิด ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใยที่ไม่อาจปิดบังได้
“แต่ฉันแค่เป็นห่วง... คุณดูไม่ค่อยโอเคจริงๆ นะ” เธอเอ่ยเสียงเบา น้ำเสียงของเธอเริ่มอ่อนลง แต่ยังคงหนักไปด้วยความกังวล
เอรอสเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ ราวกับปิดฉากการสนทนา
“ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ฉันโอเคจริงๆ” เขาหลบสายตา แต่ลีน่ายังคงมองเขาอย่างไม่ลดละ
บรรยากาศที่เงียบสงบกลับถูกทำลายเมื่อเธอตัดสินใจพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่อัดอั้น
“แันแค่อยากจะขอบคุณ... ขอบคุณที่คุณช่วยเหลือมาโดยตลอด” ลีน่าพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ดวงตาของเธอจับจ้องไปที่เขาอย่างแน่วแน่ ราวกับต้องการให้เขารับรู้ความจริงใจ
“รุ่นพี่อยู่ข้างฉันเสมอ….เวลาที่ลำบาก แม้ว่าคนอื่นจะไม่เคยรู้ก็ตาม”
เอรอสสบตาเธอแค่ชั่วครู่ รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้า แต่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
“เธอพูดเรื่องอะไรน่ะ?” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ
ลีน่าขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีก “รุ่นพี่รู้ดีว่าฉันหมายถึงอะไร... พี่ช่วยฉันหลายครั้ง และ ก็…..”เธอพยายามพูดต่อ แต่เอรอสก็ตัดบทเธออย่างจงใจด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและเรียบเฉย
“ท่านหญิงอยากจะใช้ชีวิตในฐานะสามัญชนใช่ไหมครับ?” คำพูดของเอรอสทำให้ลีน่าชะงักไปทันที
ลีน่าสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะรู้ความลับของเธอมาก่อน ริมฝีปากของเธอสั่นเล็กน้อย แต่ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้ เธอยืนนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก เอรอสเห็นปฏิกิริยาของเธอ แต่ยังคงรักษาท่าทีที่นิ่งสงบ พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบและมั่นคง
“มันไม่แปลกหรอกครับที่ท่านอยากจะหนีจากหน้าที่ที่ต้องแบกรับเอาไว้..."เอรอสเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ
"แต่บางที…. การที่ท่านไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องบางอย่าง มันอาจจะดีสำหรับตัวท่าน”เอรอสกล่าว เขายังคงมองเธอด้วยสายตาที่ดูไร้ความผูกพัน
ลีน่ามองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสน คำพูดของเขาทำให้เธอรู้สึกสับสน และ ไม่แน่ใจว่าควรจะทำเช่นไร ความเงียบครอบงำระหว่างพวกเขาอีกครั้ง ราวกับไม่มีคำพูดใดที่จะเติมเต็มความเงียบนี้ได้
เอรอสที่เห็นความลังเลของเธอก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงปกติ ราบเรียบ และแน่วแน่
“เพราะงั้นเธอควรกลับไปได้แล้ว…. เชิญ” เขาเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู ก่อนจะดึงมันเข้ามาอย่างช้าๆ ราวกับจะบอกเป็นนัยว่าคำพูดของเธอควรจะหยุดลงเพียงเท่านี้
ลีน่าหันกลับมามองเขาเป็นครั้งสุดท้าย ความลังเลในใจเธอชัดเจน แต่เธอก็รู้ดีว่าเขาไม่ต้องการให้เธอถามอะไรเพิ่มเติมอีก เธอจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไร แล้วค่อยๆถอยหลังออกไป ปล่อยให้บรรยากาศเงียบสงบปกคลุมระหว่างพวกเขาทั้งสองคน
ขณะที่เธอเดินห่างออกไปจากหน้าประตูของเขาเรื่อยๆ เอรอสที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู มองตามหลังเธอไปอย่างเงียบๆ ก่อนจะปิดประตูเบาๆ ราวกับปิดกั้นความรู้สึกที่สั่นไหวในใจไม่ให้หลุดออกมา
แม้ว่าเอรอสจะพยายามรักษาระยะห่างจากเธอ แต่ทุกครั้งที่เกิดอันตรายขึ้น เขากลับปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือเสมอ แม้จะไม่ใช่ตัวตนเดิมก็ตามในช่วงเวลาปกติ เขาก็คอยแนะนำสถานที่สำหรับหาข้อมูล ของใช้ที่จำเป็นสำหรับการทำงาน หรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับคดีที่พวกเขาทำอยู่ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่พวกรุ่นพี่ที่ทำงานมาก่อนหน้านี้ไม่ยอมบอก ทำให้คำแนะนำของเอรอสกลายเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกขอบคุณมาโดยตลอดอย่างไรก็ตาม ภารกิจที่เขาได้รับจากกิลด์ส่วนใหญ่กลับเป็นเพียงงานธรรมดา ไม่เกี่ยวข้องกับแผนกสืบสวนเลย เช่น การส่งจดหมายไปที่เมืองอื่น หาแมวที่หายไป หรือแม้แต่ทำความสะอาดสถานที่บางแห่ง ภารกิจเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นงานที่ไม่สำคัญและไม่มีใครสนใจ นักผจญภัยคนอื่นมักเลือกทำภารกิจที่ท้าทายและมีผลตอบแทนมากกว่าเหตุผลที่เอรอสได้รับภารกิจเหล่านี้มาจากผู้จัดการของกิลด์เอง ผู้จัดการอ้างว่า ‘หน้าตาทางสังคมของกิลด์จะเสียหาย ถ้างานพวกนี้ไม่ถูกจัดการ’ เขามอบงานเหล่านั้นให้เอรอส โดยเจตนาซ่อนความสามารถของเขา เพื่อป้องกันไม่ให้เด่นเกินหน้าลูกชายหรือผู้จัดการเอง แม้ว่าหากจนปัญญาจริงๆ ก็จะตกมาถึงมือเขาเสมอลีน่าที่พยายามรักษาระยะห่างจากผู้
คำพูดของเฟรย์ทำให้บรรยากาศในห้องประชุมเงียบงัน ลีน่ากับโซเฟียสบตากันอย่างเคร่งเครียด หอคอยนักปราชญ์เป็นหนึ่งในองค์กรที่ทรงอำนาจที่สุดในประเทศ มีอิทธิพลเทียบเท่ากับตระกูลขุนนางชั้นสูงและราชวงศ์ เป็นศูนย์กลางขององค์ความรู้และเวทมนตร์ หากใครปรารถนาจะก้าวขึ้นเป็นจอมเวทชั้นแนวหน้า หอคอยนี้คือที่ที่พวกเขาต้องผ่านไป ไม่เพียงแต่ขึ้นชื่อในเรื่องการสอนเวทมนตร์ แต่ยังสร้างนักเวทผู้ทรงพลังมานับไม่ถ้วนการคัดเลือกผู้เข้าสู่หอคอยนั้นแสนเข้มงวด ผู้สมัครต้องมีวงแหวนอย่างน้อยสองวง และอายุไม่เกิน 20 ปี แม้ว่าพวกเขาจะผ่านเงื่อนไขที่กำหนดไว้ได้ การอยู่รอดในหอคอยก็ยังเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่น เพราะภายในนั้นเต็มไปด้วยการแข่งขัน และการต่อสู้เพื่อความเป็นหนึ่ง ที่นั่นยังเป็นสถานที่รวมเหล่าลูกหลานขุนนางที่ทรงอำนาจไว้อย่างมากมาย ทุกย่างก้าวในหอคอยจึงเต็มไปด้วยความอันตรายอยู่เสมอเฟรย์เอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่น “ไม่คิดเลยว่าหอคอยจะเข้ามาเกี่ยวข้อง... มันอันตรายเกินไปที่เราจะยุ่งกับเรื่องนี้”พวกทุกคนเข้าใจถึงความอันตรายของหอคอยเป็นอย่างดี เอรอสได้บอกข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับหอคอย และ เตือนพวกเขาว่าห้ามไปยุ่ง หรือ หาเรื่
ในความมืดมิด เอรอสลืมตาขึ้นมา ท่ามกลางเงาดำไร้ขอบเขต พื้นที่เขาเหยียบย่ำเป็นแอ่งน้ำสีดำสนิท ลึกจนไร้ก้นบึ้ง ทุกสิ่งเงียบงันจนดูเหมือนเวลาได้หยุดลง ความเย็นเฉียบของบรรยากาศนั้นไม่เพียงแค่โอบล้อมร่างกายของเขา แต่ราวกับแทรกซึมลึกเข้าไปในไขกระดูก เย็นจนแสบซ่าน ทรมานจนหัวใจของเขาเต้นรัว เสียงกระซิบแผ่วเบาจากเงามืดดังขึ้นรอบตัวเขา คล้ายกับความคิดแฝงซ่อนอยู่ในหัวของเขาเองที่คอยกัดกร่อน“ยังมีสัญญาที่ยังทำไม่สำเร็จอีกไม่ใช่หรือ? จะยอมแพ้แล้วงั้นหรอ?”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง เมื่อนั้นเอรอสหันไปมอง เขาเห็นตัวเอง... ในอีกรูปแบบหนึ่ง รูปร่างนั้นผ่ายผอม ใบหน้าอิดโรย ความเหนื่อยล้าฉายชัดบนใบหน้าของร่างนั้น แต่ดวงตา และ ท่าทางกลับแน่วแน่ดั่งก้อนหินที่ไม่อาจถูกทำลายเมื่อเอรอสหันมองไปรอบๆ เขาพบว่ามีตัวเองอีกนับสิบยืนล้อมรอบเขาอยู่ บางคนดูมั่นคง เยือกเย็น ราวกับผู้นำที่ยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบพร้อมด้วยชุดเกราะสีเงินที่เปล่งประกาย บางคนสวมเสื้อคลุมสีดำสนิท ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าแต่ท่าทางยังแฝงความเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้ ทั้งหมดล้วนสะท้อนตัวตนของเขาในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกสายตาจับจ้องมาที่เ
เอรอสยังคงนั่งอยู่ในความเงียบ หัวใจของเขาเต้นช้าลงเมื่อความคิดเยือกเย็นและสิ้นหวังเริ่มแผ่ซ่านไปทั่ว ความจริงที่ว่าเขาอาจหายไปจากโลกนี้โดยไม่มีใครพบเจอ ทำให้ทุกอย่างในห้องขังหนักอึ้งกว่าเดิม แม้เขาพยายามปิดกั้นความคิดเหล่านั้น แต่เงาแห่งความกลัวก็ยังคืบคลานเข้ามาความเย็นชาจากพื้นหินและผนังคุกเหมือนซึมลึกเข้ามาในใจ ความสิ้นหวังที่หนักอึ้งขึ้นทุกวินาที แต่ในขณะเดียวกัน เอรอสยังคงบอกตัวเองให้ยืนหยัด และต้องหาทางเอาชีวิตรอดเขามองไปรอบๆ ห้องขังที่เย็นเยียบ พื้นหินแตกร้าวและมีน้ำซึม กลิ่นอับชื้นชวนให้คิดถึงสถานที่ที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครสนใจ และไร้ทางออก แม้เขาบอกตัวเองว่าไม่กลัว แต่ลึกๆ เขารู้ดีว่าการอยู่ที่นี่นานเกินไปจะกัดกร่อนจิตใจของเขา เหมือนกำแพงหินที่ถูกเวลาบั่นทอนลงเรื่อยๆเสียงฝีเท้าของเฟลิเซียยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา แม้ว่าเธอจะเดินจากไปแล้ว สีหน้าของเธอตอนที่บอกว่า “นายจะต้องอยู่ที่นี่... จนกว่าเราจะตัดสินใจ” ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของเอรอส เขาจำได้ถึงความสั่นไหวเล็กน้อยในน้ำเสียงของเธอ ราวกับว่าเธอเองก็ไม่ได้มั่นใจในสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ แต่เธอไม่มีทางช่วยเขาแน่นอนบานประตูเล
ในยามที่ดวงจันทร์หลบซ่อนอยู่หลังม่านหมอกหนา ความเงียบเยือกเย็นปกคลุมทั่วบริเวณเหมือนกับผืนโลกถูกแช่แข็ง เสียงลมหวีดหวิวผ่านทางเดินแคบๆ ของอุโมงค์ใต้ดินรกร้าง บรรยากาศอึมครึมที่ไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิตอื่นเพิ่มความรู้สึกอึดอัดเข้าไปอีกเสียงฝีเท้าหนักแน่นของยามคนใหม่สะท้อนก้องภายในอุโมงค์ เสียงนั้นเชื่องช้า หนักหน่วงเหมือนพลังงานในตัวเขาเหลือเพียงน้อยนิด ราวกับเขาถูกถ่วงด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงานมายาวนานจนไม่ใส่ใจความรวดเร็วอีกแล้ว เขายกมือขึ้นลูบเคราที่เริ่มยาวและหยาบ พลางหาวเบาๆ ความง่วงค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่จิตใจถึงกระนั้นเขายังคงก้าวเดินต่อไปตามหน้าที่ จนมาถึงหน้าห้องขัง เหลียวมองเห็นยามหนุ่มคนหนึ่งยืนพิงกำแพงหินเย็นเยียบด้วยท่าทางเงียบขรึม“มาช้าจัง” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงแววความสงสัยในน้ำเสียง ดวงตาของเขาจ้องอีกฝ่ายอย่างคมกริบ“ตีสามตรงขนาดนี้ ยังจะเรียกว่าช้าอีกรึ??” ชายแก่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ ขณะยักไหล่อย่างไม่คิดมากชายแก่เดินเข้าไปใกล้ประตูเหล็กหนาที่กั้นหน้าห้องขัง มองมันอย่างเชื่องช้า ดวงตาแสดงถึงความชินชาในการทำงานแบบนี้มา
ในห้องขังอับทึบและเย็นเยียบ ความเงียบงันครอบงำทุกซอกมุม มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของชายแก่ที่ถูกปีศาจเข้าสิงร่าง เขายืนนิ่งไม่ขยับ ราวกับถูกแช่แข็งไว้ในความมืด ดวงตาสีแดงฉานที่สะท้อนแสงจากช่องระบายอากาศเพียงเล็กน้อย เป็นเครื่องหมายเดียวที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของบางสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์เสียงประตูเหล็กหนาหนักที่ถูกปิดด้วยกุญแจและเวทมนตร์ป้องกันเริ่มขยับ มันเปิดออกอย่างช้าๆ ราวกับไม่มีแรงต้านทาน เสียงโลหะเสียดสีกันเบาๆ ดังขึ้นและสะท้อนก้องไปตามผนังหิน บรรยากาศไม่เป็นธรรมชาตินี้ทำให้ทั้งห้องดูอึดอัดและน่าขนลุกยิ่งขึ้นเอรอสยืนอยู่ตรงกรงขังของตนเอง แววตาของเขาเยือกเย็นและจับจ้องชายแก่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างนิ่งงัน ราวกับคาดการณ์ไว้ว่าสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้น เขาก้าวออกจากกรงขังโดยไม่รีบร้อน ชายชรายืนที่อยู่ปล่อยเขาไปโดยไม่ทำอะไร เขาที่ถูกควบคุมจิตใจไม่ได้แสดงท่าทางหรือมีท่าทีใดๆที่จะต่อต้าน หรือ ขัดขวาง เอรอสจึงเดินผ่านไปอย่างราบรื่นเมื่อเอรอสก้าวผ่านไป เขาเหลือบมองชายแก่อยู่ชั่วครู่ก่อนพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า "ขั้นแรกเสร็จแล้ว..."“ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะทำตามสัญญา”ปีศาจกล่าวพลางเสกมีด และ ถ้วยเ
เอรอสก้าวออกจากห้องขังอย่างช้าๆท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด เขากวาดสายตาสำรวจรอบๆด้วยความระมัดระวัง ความเย็นเยียบและเงียบงันของคุกใต้ดินทำให้เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าที่แฝงอยู่ ไม่มีเสียงฝีเท้าของผู้คุม หรือแม้แต่เสียงสนทนาของผู้ใด สถานที่นี้ดูเหมือนถูกละเลย หรือแทบไม่มีนักโทษถูกนำมาคุมขังเท่าที่ควรจะเป็นเอรอสสันนิษฐานว่า คุกแห่งนี้อาจมีนักโทษเพียงน้อยนิด หรือบางทีอาจมีเพียงบางคนที่ถูกขังไว้อย่างลับๆ สิ่งที่ทำให้เขามั่นใจมากขึ้นคือ วงเวทย์ที่เคยสลักบนแผ่นหลังของเขา ซึ่งเคยทำหน้าที่บอกตำแหน่งของเขาต่อหอคอย ตอนนี้มันถูกย้ายไปยังร่างของชายชราที่เข้ามาเฝ้าเขาแทน ขณะนี้ชายชราคนนั้นนอนสลบอยู่บนพื้น ไร้สติ ราวกับหมดแรงจากการถูกครอบงำโดยปีศาจเอรอสคิดได้ในทันที ภายในหกชั่วโมงต่อจากนี้ จะไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ที่เกิดขึ้น เขายังมีเวลาสำรวจสถานที่แห่งนี้ต่อไป บางทีรุ่นพี่ไอลีนอาจถูกกักขังอยู่ที่นี่ แม้ว่าชายชราคนนั้นจะบอกว่า เขาไม่เห็นเธอที่นี่ก็ตาม... แต่เพื่อความแน่ใจ การสำรวจให้ทั่วก่อนเป็นสิ่งจำเป็นเอรอสเดินสำรวจไปตามทางเดินแคบๆท่ามกลางความเงียบสงัด ความมืดที่ปกคลุมทุกซอกทุกมุมร
เอรอสค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้ร่างของอาร์วินที่นอนนิ่งอยู่กับพื้น กลิ่นอับชื้นในห้องลับผสานกับกลิ่นเลือดและเหงื่อรุนแรงทำให้บรรยากาศยิ่งกดดัน ดวงตาของเขาสำรวจไปทั่วร่างกายของชายผู้ที่เคยหายตัวไป อาร์วิน แคร์นัส—ชายหนุ่มที่มีความมั่นใจ นัยน์ตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจกลับเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ดูอ่อนแอเกินกว่าจะลุกขึ้นได้ ใบหน้าซีดเซียวราวกับคนที่ขาดสารอาหารมานานเอรอสนั่งลงข้างๆเขา มือหนึ่งจับที่คอเพื่อตรวจสอบชีพจรที่เต้นแผ่วเบา เอรอสเคยพบเห็นเขาบ่อยๆในตอนที่เขามารับงานปราบมอนเตอร์ในกิล แต่นี่คือครั้งแรกที่เอรอสเห็นอาร์วินในสภาพที่เปราะบางเช่นนี้"เกิดอะไรขึ้นกับนาย..." เขาพึมพำเบาๆ พลางสำรวจบาดแผลตามร่างกายของอาร์วินใกล้ๆบนแขนและขาของอาร์วินเต็มไปด้วยรอยช้ำสีน้ำเงินและดำ บ่งบอกถึงการถูกทุบตีและทำร้ายอย่างรุนแรง ที่แผ่นหลังมีรอยบาดลึกและรอยแส้ที่ขีดข่วนเป็นแผลเก่าและใหม่สลับกันไป บาดแผลเหล่านี้ไม่ได้มาจากการถูกซ้อมเพียงอย่างเดียว แต่บางรอยมีลักษณะผิดธรรมชาติ เหมือนถูกทำร้ายด้วยเวทมนตร์บางอย่าง ร่องรอยที่เอรอสเห็นได้จากบาดแผลเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว"นี่มัน.….สายเกินไปแล้