ในยามที่ดวงจันทร์หลบซ่อนอยู่หลังม่านหมอกหนา ความเงียบเยือกเย็นปกคลุมทั่วบริเวณเหมือนกับผืนโลกถูกแช่แข็ง เสียงลมหวีดหวิวผ่านทางเดินแคบๆ ของอุโมงค์ใต้ดินรกร้าง บรรยากาศอึมครึมที่ไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิตอื่นเพิ่มความรู้สึกอึดอัดเข้าไปอีก
เสียงฝีเท้าหนักแน่นของยามคนใหม่สะท้อนก้องภายในอุโมงค์ เสียงนั้นเชื่องช้า หนักหน่วงเหมือนพลังงานในตัวเขาเหลือเพียงน้อยนิด ราวกับเขาถูกถ่วงด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงานมายาวนานจนไม่ใส่ใจความรวดเร็วอีกแล้ว เขายกมือขึ้นลูบเคราที่เริ่มยาวและหยาบ พลางหาวเบาๆ ความง่วงค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่จิตใจ
ถึงกระนั้นเขายังคงก้าวเดินต่อไปตามหน้าที่ จนมาถึงหน้าห้องขัง เหลียวมองเห็นยามหนุ่มคนหนึ่งยืนพิงกำแพงหินเย็นเยียบด้วยท่าทางเงียบขรึม
“มาช้าจัง” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงแววความสงสัยในน้ำเสียง ดวงตาของเขาจ้องอีกฝ่ายอย่างคมกริบ
“ตีสามตรงขนาดนี้ ยังจะเรียกว่าช้าอีกรึ??” ชายแก่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ ขณะยักไหล่อย่างไม่คิดมาก
ชายแก่เดินเข้าไปใกล้ประตูเหล็กหนาที่กั้นหน้าห้องขัง มองมันอย่างเชื่องช้า ดวงตาแสดงถึงความชินชาในการทำงานแบบนี้มาเป็นเวลานาน
ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ก่อนขยับตัวจากตำแหน่งที่ยืนพิงอยู่ แต่ยังไม่ทันได้ก้าว ชายแก่ก็เอ่ยขึ้น
“ไม่มีอะไรผิดปกติใช่ไหม?”น้ำเสียงของเขาเหมือนคนที่ถามไปเพราะจำเป็นต้องถาม ไม่ได้แสดงถึงความตื่นเต้นหรือกังวลใดๆ
ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างช้าๆ “ไม่มีอะไร”เขาตอบเสียงแผ่วเบา ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปจ้องมองห้องขังเพียงเสี้ยววินาที แล้วหันกลับมามองอีกฝ่าย
ชายแก่พยักหน้าเบาๆ ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวล “อืม ขอบใจที่บอก ฉันจะดูแลต่อเอง” เขาพูดง่ายๆก่อนจะรับคทาจากมือของชายหนุ่มที่ยื่นส่งมา
แต่เมื่อยามหนุ่มหันกลับไปมองที่ประตูห้องขังอีกครั้ง สายตาของเขาจับจ้องไปที่เงามืดตรงมุมประตู สิ่งที่เขาพบเห็น มันเต็มไปด้วยคราบสนิม และ รอยเปื้อนประหลาด เงามืดตรงมุมกรอบประตูนั้น มันไม่ใช่แค่เงาปกติ มันดำทึบกว่าความมืดทั่วไป ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด ลมหายใจของเขาหยุดชะงักเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่มองมาจากเงานั้น เป็นสายตาที่เยือกเย็น จ้องมองอย่างไม่กระพริบ เฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่ในความเงียบงัน
ชายหนุ่มก้าวถอยหลังเล็กน้อย หัวใจของเขาเต้นแรง ราวกับถูกบีบอัดด้วยความหวาดกลัว ความเยือกเย็นจากพื้นหินไต่ขึ้นมาตามร่างกาย ทำให้เขาหนาวสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ เงามืดตรงกรอบประตูนั้นดูเหมือนจะยิ่งมืดทึบขึ้นเรื่อยๆไม่ใช่เพราะแสงน้อย แต่เพราะมันมีบางสิ่งซ่อนอยู่ในความมืดนั้น ความรู้สึกเหมือนถูกจ้องมอง ทำให้เขาขนลุกซู่ สิ่งนั้นไม่ใช่เวทมนตร์ แต่มันเป็นพลังที่มืดมนและชั่วร้าย บางทีอาจเกี่ยวข้องกับวิญญาณ หรือภูตผี ที่พร้อมจะโจมตีทุกเมื่อ
ความคิดหนึ่งพุ่งเข้ามาในหัวเขาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นเลย หากเขาไม่พูดหรือทำอะไรในตอนนี้ ชายแก่ที่อยู่ตรงหน้าอาจตกอยู่ในอันตราย และถึงแม้เขาจะพยายามบอกตัวเองว่าอาจแค่คิดไปเอง แต่ลึกๆในใจ เขารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติ เสี้ยววินาทีหนึ่งที่เขาคิดจะเตือนชายแก่ แต่เขาหยุดตัวเองได้ทัน ความกลัวในใจเขาพุ่งสูงขึ้น ถ้าเขาบอกความจริงตอนนี้ บางทีสิ่งนั้นอาจโจมตีทันที เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างลังเล ใจเต้นระทึก รู้ว่ากำลังแข่งกับเวลา
ชายหนุ่มหายใจเข้าลึกเพื่อควบคุมความรู้สึก เขาพยายามจะรักษาความสงบในสถานการณ์นี้ แต่ในใจรู้ดีว่าเขาไม่มีเวลามากนัก
ชายแก่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นอาการแปลกๆ ของชายหนุ่ม “มีอะไรรึ?”
ชายหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สมองของเขาหมุนอย่างรวดเร็ว เขารู้ดีว่าหากไม่ทำอะไรตอนนี้ ชายแก่ที่อยู่ตรงหน้าอาจตกอยู่ในอันตรายได้ แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าควรบอกออกไปหรือไม่ ถ้าเขาบอกสิ่งที่เห็น บางทีสิ่งนั้นอาจเคลื่อนไหวทันที เขาตัดสินใจในเสี้ยววินาที เปลี่ยนเรื่องอย่างเร่งรีบ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของชายแก่ และเพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาให้สิ่งนั้นได้เห็น
“มีเรื่องหนึ่งอยากถาม” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบเล็กน้อย แต่แฝงไว้ด้วยความตั้งใจ ดวงตาของเขาฉายแววคมกริบและจริงจังขึ้นทันที
ชายแก่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจ แล้วตอบเขาไป“ว่ามาสิ”
“คุณเคยได้ยินชื่อ ‘ไอลีน ฟรอนเทียร์’ ไหม?”
ชายแก่ขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยใส่ใจ “ใครล่ะนั้น?”
“ไอลีน... ผมยาวสีฟ้า ตาสีฟ้า เป็นนักสืบของกิลด์นักผจญภัย เมื่อ 4-5 ปีก่อน เธอเคยอยู่ในทีมสำรวจของหอคอยที่คุณทำงานอยู่นี้ด้วย” ชายหนุ่มตอบ พลางจ้องมองชายแก่ด้วยสายตาเข้มข้น
ชายแก่ทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้“อ๋อ... ฉันรู้จักเธอนะ ตอนนั้นเธอทำงานกับพวกเราบ่อยๆ”
ชายหนุ่มยังคงตั้งใจฟัง ก่อนจะถามต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่แฝงความอยากรู้
“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเธอบ้าง? เธอเป็นคนยังไง?”
ชายแก่ทำสีหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง อย่างจริงจังขึ้น แต่ก็ยังพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“เธอเป็นคนสดใสร่าเริง มีความเป็นมืออาชีพ... ขยันขันแข็งมากกว่านักสืบคนอื่นๆที่เคยร่วมงานกับเราเสียอีก”
เขาพูดแล้วนิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังคิดอะไรเพิ่มเติม ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่มีแววอ่อนล้าแฝงอยู่
“ตอนนั้น... ฉันเคยคิดว่าเธออาจจะเป็นคนรักของท่านผู้นำก็ได้ เห็นอยู่ด้วยกันบ่อยๆ” เขายิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างไม่จริงจังนัก
ยามหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ “เคยงั้นหรือ?”
ชายแก่พยักหน้าเบาๆ พร้อมเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบ “ใช่ แต่เธอย้ายไปที่อื่นกะทันหันเมื่อสัก 3-4 ปีก่อน... พอดีกับที่พวกเราอยู่ในช่วงสำรวจเขาวงกตนั่นแหละ จำได้ว่ามีคนเคยคิดจะร้องเรียนพฤติกรรมของเธอ แต่ท่านผู้นำห้ามไว้เอง... เรื่องมันก็จบแค่นั้น”เขาหยุดเล็กน้อยก่อนจะหันมาถามกลับบ้าง“ว่าแต่ถามทำไมหรือ?”
ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นเล็กน้อยราวกับมีอะไรบางอย่างในใจที่ยังคาใจอยู่ เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย “ไม่มีอะไรหรอก แค่สงสัยนิดหน่อย... ขอบใจสำหรับคำตอบ”
เขากำลังจะหมุนตัวเดินจากไป แต่เหมือนกับยังมีคำถามที่ผุดขึ้นในหัวอีกครั้ง เขาหยุดแล้วหันกลับมาจ้องมองชายแก่ที่ยังยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
“ว่าแต่ทำไมต้องจับหมอนี่ไว้ที่นี่ด้วย? ปกติแค่ห้องขังธรรมดาก็พอแล้วหนิ?"
ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม “มันไม่ควรจะซับซ้อนขนาดนี้หนิ?”
ชายแก่หรี่ตาลงก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่น
“เพื่อความลับและความปลอดภัย เราไม่สามารถให้หมอนี่ถูกใครมองเห็น หรือรู้ว่ามันถูกย้ายไปไหนได้”
ชายหนุ่มมองด้วยสายตาสงสัยมากขึ้น "จำเป็นต้องถึงขนาดนี้เชียว? หมอนี้มันมีอะไรกันแน่?”
ชายแก่ยกมือขึ้นลูบเคราตัวเองอีกครั้งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ไม่รู้ และ ก็ไม่อยากรู้ด้วย….. แต่นี้เป็นแค่ความคิดเห็นของฉัน"ชายแก่ทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ
"เราไม่แน่ใจว่าหมอนี่มีอะไรติดตัวมาบ้าง อาจจะเป็นเครื่องส่งสัญญาณ หรืออุปกรณ์อันตรายที่อาจทำลายทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเรา”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วลึกขึ้น “แล้วจะตรวจสอบยังไง? รอจนกว่าจะถึงเขตวิจัยเหรอ?”
ชายแก่ส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า
“นักวิจัยบางส่วนจากที่นั่นจะมาที่นี่ก่อนตอนเที่ยง… พวกเขาจะตรวจสอบให้ละเอียด ก่อนจะส่งตัวหมอนี่ออกจากที่นี่ในตอนเย็น”เขายักไหล่เล็กน้อย พลางหาวเบาๆ
“ก็เป็นเรื่องของการเตรียมตัวและความปลอดภัยล่ะน่ะ อย่าไปใส่ใจมากเลย”
ชายหนุ่มพยักหน้าช้าๆ เข้าใจในเหตุผล เขาถอนหายใจสั้นๆก่อนจะตอบกลับ
“อืม... เข้าใจละ ขอบคุณมาก ไว้เจอกันพรุ่งนี้น่ะล่ะตาแก่ อย่าเผลอหลับเชียวหล่ะ”
น้ำเสียงของเขาเรียบง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อน ชายแก่พยักหน้าตอบกลับให้เล็กน้อย ก่อนที่ชายหนุ่มจะหมุนตัวเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงแต่ความเงียบในอุโมงค์ที่กลับมาปกคลุมอีกครั้ง
ชายแก่ไม่ได้รอให้เวลาผ่านไปนาน เขาใช้มือที่หยาบกร้าน เอื้อมไปจับลูกบิดอย่างมั่นคง ก่อนจะบิดมันให้เปิดออก เสียงเสียดสีของโลหะดังสะท้อนเบาๆ เมื่อประตูถูกผลักให้เปิดออกเผยให้เห็นห้องขังด้านในที่มีแสงสลัว
ภายในห้องนั้น เอรอสถูกล่ามโซ่ในกรงขังที่อยู่ข้างใน สายตาของเขาจ้องมองตรงมาที่ชายแก่ราวกับรู้ว่าเขาจะเข้ามา ทั้งห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศเงียบสงัด แต่ความเงียบนี้ไม่ได้ทำให้ชายแก่สะท้านแม้แต่น้อย เขาก้าวเข้าไปด้านในอย่างแน่วแน่
ในห้องขังอับทึบและเย็นเยียบ ความเงียบงันครอบงำทุกซอกมุม มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของชายแก่ที่ถูกปีศาจเข้าสิงร่าง เขายืนนิ่งไม่ขยับ ราวกับถูกแช่แข็งไว้ในความมืด ดวงตาสีแดงฉานที่สะท้อนแสงจากช่องระบายอากาศเพียงเล็กน้อย เป็นเครื่องหมายเดียวที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของบางสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์เสียงประตูเหล็กหนาหนักที่ถูกปิดด้วยกุญแจและเวทมนตร์ป้องกันเริ่มขยับ มันเปิดออกอย่างช้าๆ ราวกับไม่มีแรงต้านทาน เสียงโลหะเสียดสีกันเบาๆ ดังขึ้นและสะท้อนก้องไปตามผนังหิน บรรยากาศไม่เป็นธรรมชาตินี้ทำให้ทั้งห้องดูอึดอัดและน่าขนลุกยิ่งขึ้นเอรอสยืนอยู่ตรงกรงขังของตนเอง แววตาของเขาเยือกเย็นและจับจ้องชายแก่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างนิ่งงัน ราวกับคาดการณ์ไว้ว่าสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้น เขาก้าวออกจากกรงขังโดยไม่รีบร้อน ชายชรายืนที่อยู่ปล่อยเขาไปโดยไม่ทำอะไร เขาที่ถูกควบคุมจิตใจไม่ได้แสดงท่าทางหรือมีท่าทีใดๆที่จะต่อต้าน หรือ ขัดขวาง เอรอสจึงเดินผ่านไปอย่างราบรื่นเมื่อเอรอสก้าวผ่านไป เขาเหลือบมองชายแก่อยู่ชั่วครู่ก่อนพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า "ขั้นแรกเสร็จแล้ว..."“ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะทำตามสัญญา”ปีศาจกล่าวพลางเสกมีด และ ถ้วยเ
เอรอสก้าวออกจากห้องขังอย่างช้าๆท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด เขากวาดสายตาสำรวจรอบๆด้วยความระมัดระวัง ความเย็นเยียบและเงียบงันของคุกใต้ดินทำให้เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าที่แฝงอยู่ ไม่มีเสียงฝีเท้าของผู้คุม หรือแม้แต่เสียงสนทนาของผู้ใด สถานที่นี้ดูเหมือนถูกละเลย หรือแทบไม่มีนักโทษถูกนำมาคุมขังเท่าที่ควรจะเป็นเอรอสสันนิษฐานว่า คุกแห่งนี้อาจมีนักโทษเพียงน้อยนิด หรือบางทีอาจมีเพียงบางคนที่ถูกขังไว้อย่างลับๆ สิ่งที่ทำให้เขามั่นใจมากขึ้นคือ วงเวทย์ที่เคยสลักบนแผ่นหลังของเขา ซึ่งเคยทำหน้าที่บอกตำแหน่งของเขาต่อหอคอย ตอนนี้มันถูกย้ายไปยังร่างของชายชราที่เข้ามาเฝ้าเขาแทน ขณะนี้ชายชราคนนั้นนอนสลบอยู่บนพื้น ไร้สติ ราวกับหมดแรงจากการถูกครอบงำโดยปีศาจเอรอสคิดได้ในทันที ภายในหกชั่วโมงต่อจากนี้ จะไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ที่เกิดขึ้น เขายังมีเวลาสำรวจสถานที่แห่งนี้ต่อไป บางทีรุ่นพี่ไอลีนอาจถูกกักขังอยู่ที่นี่ แม้ว่าชายชราคนนั้นจะบอกว่า เขาไม่เห็นเธอที่นี่ก็ตาม... แต่เพื่อความแน่ใจ การสำรวจให้ทั่วก่อนเป็นสิ่งจำเป็นเอรอสเดินสำรวจไปตามทางเดินแคบๆท่ามกลางความเงียบสงัด ความมืดที่ปกคลุมทุกซอกทุกมุมร
เอรอสค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้ร่างของอาร์วินที่นอนนิ่งอยู่กับพื้น กลิ่นอับชื้นในห้องลับผสานกับกลิ่นเลือดและเหงื่อรุนแรงทำให้บรรยากาศยิ่งกดดัน ดวงตาของเขาสำรวจไปทั่วร่างกายของชายผู้ที่เคยหายตัวไป อาร์วิน แคร์นัส—ชายหนุ่มที่มีความมั่นใจ นัยน์ตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจกลับเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ดูอ่อนแอเกินกว่าจะลุกขึ้นได้ ใบหน้าซีดเซียวราวกับคนที่ขาดสารอาหารมานานเอรอสนั่งลงข้างๆเขา มือหนึ่งจับที่คอเพื่อตรวจสอบชีพจรที่เต้นแผ่วเบา เอรอสเคยพบเห็นเขาบ่อยๆในตอนที่เขามารับงานปราบมอนเตอร์ในกิล แต่นี่คือครั้งแรกที่เอรอสเห็นอาร์วินในสภาพที่เปราะบางเช่นนี้"เกิดอะไรขึ้นกับนาย..." เขาพึมพำเบาๆ พลางสำรวจบาดแผลตามร่างกายของอาร์วินใกล้ๆบนแขนและขาของอาร์วินเต็มไปด้วยรอยช้ำสีน้ำเงินและดำ บ่งบอกถึงการถูกทุบตีและทำร้ายอย่างรุนแรง ที่แผ่นหลังมีรอยบาดลึกและรอยแส้ที่ขีดข่วนเป็นแผลเก่าและใหม่สลับกันไป บาดแผลเหล่านี้ไม่ได้มาจากการถูกซ้อมเพียงอย่างเดียว แต่บางรอยมีลักษณะผิดธรรมชาติ เหมือนถูกทำร้ายด้วยเวทมนตร์บางอย่าง ร่องรอยที่เอรอสเห็นได้จากบาดแผลเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว"นี่มัน.….สายเกินไปแล้
ดวงตาสีเทาของเอรอสหรี่ลงเล็กน้อยขณะที่เขามองอาร์วิน ความประหลาดใจผุดขึ้นในใจ แม้ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน ความคิดวนเวียนในหัว—“อาร์วินรู้ได้ยังไง?” ทั้งที่รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปแทบจะสิ้นเชิง…อาร์วินเงยหน้ามองเอรอส แม้ร่างกายอ่อนแรงจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงจะพูด ดวงตาสีฟ้าของเขากลับพยายามสื่อความจริงบางอย่างที่ถูกปิดซ่อนเอาไว้ ราวกับต้องการบอกเอรอสถึงสิ่งที่เขาแบกรับมาตลอด แสงสีฟ้าค่อยๆ เปล่งประกายออกมาจากดวงตา ภาพความทรงจำพรั่งพรูเข้าสู่จิตใจของเอรอสอย่างไม่ทันตั้งตัวความทรงจำหนักอึ้งของอาร์วินยังคงปะทุอยู่ในหัวใจ ภาพเหตุการณ์ในอดีตฉายชัดขึ้นทุกวินาที—ช่วงเวลาวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความกดดัน ตระกูลของเขากำลังล่มสลายหลังการสูญเสียผู้นำในสงคราม อาร์วินต้องกลายเป็นผู้นำตระกูลตั้งแต่เด็ก รับผิดชอบในการรักษาชื่อเสียงและสถานะของตระกูล ท่ามกลางตระกูลรอบข้างที่จ้องจะเล่นงานพวกเขาทุกครั้งที่มีโอกาสเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของอาร์วินเกิดขึ้นในคืนหนึ่ง ขณะที่เขากำลังสำรวจตรอกซอยในเมืองเงียบสงัด สายตาของเขาเหลือบไปเห็นเด็กสาวในชุดหรูหรากำลังถูกชายปริศนาฉุดกระชากออกมาจากที่ซ่อน และ ตั้งใจจะทำร้ายเธอ
ภายในโกดังเก็บของที่อึมครึม แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ยังอ่อนแรงค่อย ๆ ส่องผ่านหน้าต่างบานเดียวที่ฝุ่นจับหนา ทำให้ภายในโกดังยังคงมืดสลัว เงาของลังไม้ที่วางซ้อนกันสูงบดบังพื้นที่บางส่วน แต่เงาเหล่านั้นกลับเป็นข้อได้เปรียบที่เอรอสใช้ให้เกิดประโยชน์เขาหลบซ่อนตัวในเงามืด ดวงตาจับจ้องไปยังประตู มือกำแน่นข้างลำตัว ความกดดันค่อยๆ เพิ่มขึ้นพร้อมเสียงสัญญาณเตือนภัยที่ดังไม่หยุดยั้ง เหมือนจะคอยย้ำเตือนถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะทันใดนั้น เสียงบานประตูเหล็กของโกดังตรงหน้าดังขึ้น ก้องสะท้อนท่ามกลางความเงียบ เสียงคล้ายโลหะกระทบกันเมื่อวงเวทย์ที่ปิดผนึกไว้ถูกปลดออก เสียงนั้นเป็นเหมือนเสียงเตือนให้เอรอสตระหนักถึงอันตรายที่เข้ามาใกล้ จนบรรยากาศภายในโกดังยิ่งอึดอัดกว่าเดิม เขาตั้งสมาธิอีกครั้ง พลางรู้สึกถึงสัมผัสมานาที่เริ่มกลับมาบางส่วนแล้ว แต่ยังไม่มากพอที่จะรู้จำนวนคนที่เข้ามา ทำให้เขาประหม่าเล็กน้อยไม่นานนัก จอมเวทย์แปลกหน้าสองคนพุ่งเข้ามาภายในโกดังด้วยความระมัดระวัง พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างช่ำชองและสำรวจทุกจุดราวกับคุ้นเคยกับสถานที่นี้เป็นอย่างดีเอรอสยังคงนิ่ง หลบตัวอยู่ในเงาอย่างสมบูรณ์แบบ เ
เสียงนกร้องแว่วเบาๆในสวนยามเช้าจากที่ไกลๆ แสงแดดอ่อนๆเริ่มทอประกายบนยอดไม้ แต่ความเงียบสงบกลับตัดกับภาพของชายหนุ่มที่ถูกจับตรึงไว้กับพื้น ใบไม้สั่นไหวตามแรงลมแรงที่เคยเกิดขึ้น ทว่าบรรยากาศโดยภายในกลับขัดแย้งกับสภาพอากาศโดยรอบเมื่อเอเลน่าพยามวิ่งเข้ามาเพื่อดูอาการของเอรอส หนึ่งในจอมเวทย์อาวุโสขวางทางเอเลน่าเอาไว้ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เอรอสด้วยสายตาเคร่งขรึม มุมปากกระตุกเบาๆ สายตานั้นเต็มไปด้วยความระมัดระวัง แววตายังคงลังเลกับใส่สิ่งที่เห็น ก่อนจะหันไปพูดกับเอเลน่าที่อยู่ตรงหน้า "ท่านเอเลน่า เรายังไม่อาจเชื่อว่าเป็นคนเดียวกับที่ท่านรู้จัก จนกว่าจะพิสูจน์ให้แน่ชัด…" เสียงนั้นเย็นชาและเด็ดขาดเอเลน่าชะงักไปชั่วครู่ เธอกลืนน้ำลายลงคอแล้วปรับสีหน้าจากความอ่อนโยนเป็นเยือกเย็น ริมฝีปากบิดเป็นรอยยิ้มเล็กๆด้วยความเสแสร้ง"นี่คือวิธีที่พวกคุณปฏิบัติต่อคู่หมั้นของฉันหรอ?"เธอกล่าวอย่างเด็ดขาด แววตามุ่งมั่นแสดงถึงการตัดสินใจที่จะไม่ยอมอ่อนข้อใดๆชายทั้งสามคนสบตากันอย่างลังเล ในที่สุดลูกน้องของเขา ก็ยอมปล่อยเอรอสจากการจับกุม เอรอสพยายามลุกแต่ แต่ด้วยสภาพของร่างกายนี้ทำให้เขาร่วงลงไปกับพื้นอีกรอบ
แสงสีส้มของยามเย็นสาดเข้ามาในห้อง ส่องผ่านหน้าต่างบานเล็กที่เปิดไว้เพียงบางส่วน ความสงบเงียบของช่วงเวลาพลบค่ำถูกทำลายด้วยเสียงหอบหายใจแผ่วเบาของชายที่นอนนิ่งบนเตียง เอรอสลืมตาขึ้นช้าๆ ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง ราวกับทุกอวัยวะต่างกรีดร้องพร้อมกัน หัวใจของเขาเต้นอย่างเชื่องช้าและหนักอึ้ง ราวกับย้ำเตือนให้รู้ว่าอาการบาดเจ็บนั้นยังคงฝังลึกอยู่ทุกวินาทีเขาพยายามขยับตัว ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง แต่ทันทีที่เปลี่ยนท่าทาง ความเจ็บปวดจากอวัยวะภายใน ก็เริ่มปะทุขึ้นเหมือนไฟลุกโหมทำให้เขาหยุดชะงักในทันที เขากัดฟันแน่นเพื่อข่มเสียงครางไม่ให้เล็ดรอดออกมา มือข้างหนึ่งกดลงบนหน้าท้อง หวังบรรเทาความเจ็บปวด แต่กลับไม่มีอะไรดีขึ้น เหงื่อเย็นไหลซึมลงตามกรอบหน้าผาก จนทำให้ผมของเขาชื้นไปหมด ร่างกายนี้ อยู่ในสภาพย่ำแย่กว่าที่เขาคาดคิดเมื่อเอรอสเหลือบสายตาไปที่กระจกบานเล็กข้างเตียง ภาพสะท้อนที่ปรากฏคือใบหน้าของ อาร์วิน มันดูซีดขาว และ ไร้ชีวิตจนทำให้รู้สึกน่าสังเวช เขาจ้องมันอยู่ชั่วครู่ ราวกับกำลังประเมินสภาพตัวเอง ก่อนพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแห้งผาก“หนักกว่าที่คิด...”ความหงุดหงิดพลุ่งพล่านในใจ เพราะ
เอเลน่านั่งเงียบอยู่ข้างเตียงในห้องที่แสงเทียนสลัวๆ กำลังเต้นรำไปตามแรงลมที่ลอดผ่านเข้ามา บรรยากาศรอบตัวราวกับหยุดนิ่ง ไม่มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงลมหายใจเบาๆ ของเธอ ใบหน้าที่เธอคุ้นเคย แต่มีบางสิ่งที่แปลกไป—บางสิ่งที่เธอไม่สามารถอธิบายได้ ความปั่นป่วนในใจกลับค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นทีละน้อยรอยยิ้มอบอุ่นของอาร์วิน และความอ่อนโยนในแววตาของเขาทำให้เธอเคยรู้สึกปลอดภัยเสมอ แต่ครั้งนี้... เธอเริ่มสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ต่างไป มันอาจเป็นเพียงความเครียดจากสถานการณ์รอบตัวหรือความเหนื่อยล้าที่สะสม แต่ไม่ว่าสิ่งใดในตอนนี้ ตัวเขาดูจะไม่เหมือนเดิม ถึงแม้ใบหน้าของเขายังคงเหมือนอาร์วินทุกประการ ยกเว้นเพียงสีของดวงตาที่ไม่ใช่ฟ้าอมเงินอีกต่อไป ตอนนี้มันกลายเป็นสีเทานิ่งเรียบ—สีที่แตกต่างจากความทรงจำของเธอ คล้ายกับใครบางคนที่เธอรู้จักเอเลน่าถอนหายใจเบาๆ พลางบีบจดหมายในมือแน่นขึ้น จดหมายที่นำพาความทรงจำอันเจ็บปวดเกี่ยวกับการถูกไล่ล่าโดย "จอมเชือด" ภาพเหตุการณ์นั้นยังคงแจ่มชัดในหัวเธอ เลือดที่หลั่งไหล และ เสียงฝีเท้าของผู้ไล่ล่าเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจลืมได้การได้เจอกับอาร์วินอีกครั้ง แม้เขาจะบาดเจ็บสาหั