ดวงตาสีเทาของเอรอสหรี่ลงเล็กน้อยขณะที่เขามองอาร์วิน ความประหลาดใจผุดขึ้นในใจ แม้ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน ความคิดวนเวียนในหัว—“อาร์วินรู้ได้ยังไง?” ทั้งที่รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปแทบจะสิ้นเชิง…
อาร์วินเงยหน้ามองเอรอส แม้ร่างกายอ่อนแรงจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงจะพูด ดวงตาสีฟ้าของเขากลับพยายามสื่อความจริงบางอย่างที่ถูกปิดซ่อนเอาไว้ ราวกับต้องการบอกเอรอสถึงสิ่งที่เขาแบกรับมาตลอด แสงสีฟ้าค่อยๆ เปล่งประกายออกมาจากดวงตา ภาพความทรงจำพรั่งพรูเข้าสู่จิตใจของเอรอสอย่างไม่ทันตั้งตัว
ความทรงจำหนักอึ้งของอาร์วินยังคงปะทุอยู่ในหัวใจ ภาพเหตุการณ์ในอดีตฉายชัดขึ้นทุกวินาที—ช่วงเวลาวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความกดดัน ตระกูลของเขากำลังล่มสลายหลังการสูญเสียผู้นำในสงคราม อาร์วินต้องกลายเป็นผู้นำตระกูลตั้งแต่เด็ก รับผิดชอบในการรักษาชื่อเสียงและสถานะของตระกูล ท่ามกลางตระกูลรอบข้างที่จ้องจะเล่นงานพวกเขาทุกครั้งที่มีโอกาส
เหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของอาร์วินเกิดขึ้นในคืนหนึ่ง ขณะที่เขากำลังสำรวจตรอกซอยในเมืองเงียบสงัด สายตาของเขาเหลือบไปเห็นเด็กสาวในชุดหรูหรากำลังถูกชายปริศนาฉุดกระชากออกมาจากที่ซ่อน และ ตั้งใจจะทำร้ายเธอ
หัวใจของอาร์วินเต้นถี่เร็วขณะที่ความกลัวกัดกร่อนเข้ามาในใจ แต่เขาไม่มีทางทิ้งเด็กผู้หญิงคนนี้ไว้เพียงลำพังแน่นอน ด้วยมือที่สั่นเทาเล็กน้อย อีกฝ่ายยังไม่รู้สึก เขาร่ายเวทย์เสริมแกร่งให้กับร่างกายของตัวเอง จนทั้งร่างของเขารู้สึกร้อนระอุ แม้ว่าร่างกายของเขาจะเริ่มแสดงสัญญาณถึงความอ่อนล้า แต่เขาก็รวบรวมแรงทั้งหมด พุ่งตรงไปยังชายปริศนา ยกคทาขึ้นสูงเหนือหัว และ แรงทั้งหมดฟาดลงไปในการโจมตีครั้งเดียว คทาปะทะกับศีรษะของนักฆ่าอย่างแรงจนชายคนนั้นล้มลงกับพื้น ร่างกายของอาร์วินทรุดลงทันที ความรู้สึกอ่อนแรงปะทุขึ้นอย่างฉับพลันเมื่อมานาในร่างกายถูกใช้จนหมด แขนของเขาสั่นระริกและหัวใจเต้นรัวเหมือนกลองศึก ในตอนนี้ร่างกายเขาแทบจะไม่มีมานาเหลือแล้ว
แต่ก่อนที่อาร์วินจะได้พักสายตา เขาก็สังเกตเห็นชายแปลกหน้าอีกคนที่ยืนหลบอยู่ในเงามืดห่างออกไป รูปลักษณ์ของเขาดูคล้ายกับคนจากแดนใต้ ผิวสีคล้ำ ผมสีขาวออกเทา ร่างกายบึกบืน เนื้อตัวเด็มไปด้วยคราบเลือด แต่ดวงตาของเขากลับเห็นจิตวิญญาณของเด็กหนุ่มที่อายุห่างจากเขาเพียงไม่กี่ปี ซึ่งขัดกับลูกษณ์ภายนอกอย่างสิ้นเชิง
ความระแวงก่อตัวขึ้นทันที อาร์วินพยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แม้จะอ่อนแรง เขายกคทาขึ้นเตรียมพร้อมรับมือ แต่เด็กหนุ่มคนนั้นกลับไม่เคลื่อนไหว เขาเพียงแค่ยืนมองอาร์วินอยู่เงียบๆ ก่อนจะถอยหลังหายลับไปในเงามืด ทิ้งไว้เพียงสับสนในใจของเขา
จนกระทั่งในภายหลัง ความจริงก็ปรากฏขึ้น เมื่อเขาเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นถูกขับไล่ออกจากตระกูลอย่างไร้ความปราณี ความเข้าใจผิดที่เคยมีทั้งหมดก็ถูกลบออกไป
หลังจากเหตุการณ์นั้น อาร์วินที่ได้ช่วยชีวิตลูกสาวของตระกูลใหญ่โดยบังเอิญ ก็ได้หมั้นหมายกับเอเลน่าอย่างเป็นทางการ การหมั้นครั้งนี้ทำให้ตระกูลของเอเลน่าเข้ามาช่วยเหลือตระกูลของอาร์วินอย่างเต็มที่ จนสถานการณ์ของตระกูลเขาค่อยๆ ดีขึ้นจากวิกฤตการณ์ที่เคยต้องเผชิญ แต่สิ่งที่แลกมากลับเป็นความรู้สึกผิดที่อาร์วินไม่เคยลืมได้
เอเลน่าเข้าใจมาตลอดว่าเอรอสเป็นคนบอกให้เธอไปซ่อนตัวแล้วหนีไปคนเดียว ปล่อยให้เธออยู่ลำพังท่ามกลางความหวาดกลัว แต่ความจริงที่อาร์วินรู้ กลับแตกต่างออกไป เอรอสไม่ได้ทิ้งเธอ เขาเป็นคนที่ล่อนักฆ่าที่เหลือออกจากที่ซ่อนของเอเลน่า และจัดการพวกนั้นอย่างเงียบๆจนหมด เพียงเพื่อให้เธอปลอดภัย แม้มันจะผิดแผน เพราะดันมีคนนึงไม่ได้ตามเขาไปด้วยก็ตาม
อาร์วินเลือกที่จะไม่บอกความจริงนี้ เพราะเขาคิดว่ามันอาจจะทำลายความสัมพันธ์ที่เปราะบางระหว่างเขากับเอเลน่า รวมถึงตระกูลของไม่สามารถขาดความช่วยเหลือจากตระกูลของเธอได้ ความกลัวที่จะสูญเสียทุกอย่าง ทำให้เขาเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจมาตลอด ไม่กล้าที่พูดออกไป
“เอรอส…” เสียงอาร์วินเบาราวกระซิบ แต่ในความแผ่วเบานั้นกลับบรรทุกความทุกข์ทรมานมหาศาล เอรอสขมวดคิ้ว หัวใจเขาบีบตัวอย่างรุนแรงเมื่อได้ยินชื่อของตัวเองถูกเรียกด้วยน้ำเสียงแบบนั้น สายตาของเขามองลงไปที่อาร์วินซึ่งนอนอยู่ตรงหน้า ชายผู้เคยเข้มแข็ง และ กล้าหาญ บัดนี้มีเพียงร่างที่บอบช้ำ ดวงตาสีฟ้าที่ครั้งหนึ่งเคยแข็งกร้าว ทว่าบัดนี้สั่นไหวอย่างไม่น่าเชื่อ ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด รู้สึกทรมาณจนยากจะทนทนไหวต่อไป
ลมหายใจของเอรอสสะดุด เขารู้สึกถึงความหนักอึ้งที่กดทับลงในอก มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน เขาพยายามจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อปลอบโยน แต่คำพูดกลับติดอยู่ในลำคอ เขาทำได้เพียงจ้องมองกลับไปที่อาร์วิน ความรู้สึกในใจสับสน มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบาย ทำให้เขานั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ราวกับถูกสายตาของอีกฝ่ายตรึงเอาไว้
“………..”ริมฝีปากของเอรอสขยับเล็กน้อยราวกับจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่คำพูดกลับจุกแน่นอยู่ในลำคอ มันยากเกินกว่าจะเปล่งเสียงออกมา
สายตาของเขาจ้องกลับไปที่อาร์วินที่นอนอยู่ตรงหน้า แววตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยการอ้อนวอนขอร้อง และ ความหวังสุดท้ายที่เหมือนจะผลักภาระหนักอึ้งทั้งหมดลงบนบ่าเขา มันคือความรับผิดชอบที่น่าหวั่นกลัว ที่พร้อมจะดึงเขาลงไปในห้วงมืดที่ไม่มีที่สิ้นสุด หัวใจของเอรอสเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ความคิดพันกันยุ่งเหยิง ขณะที่น้ำหนักของการตัดสินใจครั้งนี้กดทับลงอย่างหนักหน่วง
อาร์วินหายใจติดขัด ใบหน้าที่เหน็ดเหนื่อยนั้นแสดงถึงความเจ็บปวดที่สะสมมานาน และในที่สุดก็เอ่ยประโยคที่เอรอสไม่อยากจะได้ยิน“ช่วย…เอเลน่า...และตระกูลของเรา...แทนฉันที” เสียงนั้นเบาจนแทบจะไม่ได้ยินแต่กลับดังชัดเจนในหัวของเขา ราวกับมันได้แทรกซึมลงไปในใจ คำพูดนั้นเป็นเสมือนคมมีดที่แทงลึกลงไปในหัวใจของเขา
เอรอสนิ่งสนิท ความคาดหวังนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ หรือ ควรจะแบกรับ มันมากเกินไปสำหรับตัวเขาที่ออกจากตระกูลไปแล้ว แต่เมื่อเขามองไปที่สายตาของชายที่นอนบอบช้ำอยู่ตรงหน้า มันก็ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธได้ ความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกค่อยๆ กัดกินเขาจนแทบจะทำให้เขาหมดแรงไปเสียเอง
เขาหลับตาลง สูดลมหายใจลึก พยายามดึงสติกลับมา ชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไปตลอดกาลหากเขารับความคาดหวังนี้เอาไว้ เขาไม่อยากทำ ไม่อยากรับผิดชอบ เสียงของอาร์วินยังคงดังก้องอยู่ในหัว ราวกับเข็มที่แทงไม่หยุดหย่อน
เอรอสค่อยๆลืมตาขึ้น ดวงตาที่เคยสับสนกลับแน่วแน่ขึ้น เขาไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป แม้ว่่าในอนาคตเขาอาจจะต้องเสียใจกับทางเลือกนี้ก็ตาม
"ฉันจะจัดการทุกอย่างให้เอง" เอรอสเอ่ยออกมาในที่สุด เสียงของเขาแผ่วเบาและเจือไปด้วยความลังเล แม้จะดูเหมือนเย็นชา แต่ในหัวใจของเขา ความรู้สึกบางอย่างเริ่มแปรเปลี่ยน น้ำเสียงนั้นแม้จะแข็งกร้าว แต่มันซ่อนความรู้สึกภายในที่บีบคั้นเอาไว้ ความกลัวและภาระหนักที่เขารับรู้ได้ชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้ดีว่าเขาไม่มีทางหันหลังกลับไปอีกแล้ว"
อาร์วินมองเขาด้วยสายตาที่อ่อนแรง แต่ในแววตานั้นกลับมีความสงบเสงี่ยมปรากฏขึ้น ราวกับว่าเขาได้ปล่อยวางสิ่งที่แบกไว้มาอย่างยาวนาน อาร์วินยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาของเขาจะค่อยๆปิดลง ลมหายใจที่เหลือน้อยนิดค่อยๆ หยุดลงเช่นเดียวกับแสงสุดท้ายในดวงตาของเขา
เอรอสยืนนิ่ง เสียงคำขอสุดท้ายของอาร์วินยังดังก้องอยู่ในใจ ร่างของอาร์วินนอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้า เขามองมันด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง แต่ภายในใจเขารู้ดี—นี่คือสิ่งที่ต้องทำ
ในตอนนั้น หมอกสีดำค่อยๆคืบคลานออกจากร่างกายของเอรอส ไหลเลื้อยไปตามพื้นหินอย่างเงียบงัน ราวกับสิ่งมีชีวิตที่หล่อหลอมจากความมืดล้วนๆ มันเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ ไม่แน่ชัด—บางคราวคล้ายเงาที่คืบคลานเพื่อโอบล้อม บางครั้งกลับเหมือนมือที่พยายามจะฉุดรั้งทุกสิ่งเข้าสู่ห้วงลึก
หมอกนั้นแผ่คลุมไปทั่วร่างของอาร์วิน กลืนกินเขาจนเหลือเพียงเงาเลือนราง ลมหายใจสุดท้ายของอาร์วินเลือนหายไปพร้อมกับเงาแห่งความมืด ทุกสิ่งถูกดูดกลืนเข้าหาความเงียบงันรอบตัว ราวกับความว่างเปล่าที่ไร้ที่สิ้นสุด
ความเงียบปกคลุมทุกสิ่ง เหลือเพียงความว่างเปล่ารอบตัวเอรอส มันหนักหน่วงจนเหมือนจะบดบังทุกเสียงในโลก—เหลือเพียงตัวเขาและสิ่งที่เขาเลือกจะทำ
ภายในโกดังเก็บของที่อึมครึม แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ยังอ่อนแรงค่อย ๆ ส่องผ่านหน้าต่างบานเดียวที่ฝุ่นจับหนา ทำให้ภายในโกดังยังคงมืดสลัว เงาของลังไม้ที่วางซ้อนกันสูงบดบังพื้นที่บางส่วน แต่เงาเหล่านั้นกลับเป็นข้อได้เปรียบที่เอรอสใช้ให้เกิดประโยชน์เขาหลบซ่อนตัวในเงามืด ดวงตาจับจ้องไปยังประตู มือกำแน่นข้างลำตัว ความกดดันค่อยๆ เพิ่มขึ้นพร้อมเสียงสัญญาณเตือนภัยที่ดังไม่หยุดยั้ง เหมือนจะคอยย้ำเตือนถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะทันใดนั้น เสียงบานประตูเหล็กของโกดังตรงหน้าดังขึ้น ก้องสะท้อนท่ามกลางความเงียบ เสียงคล้ายโลหะกระทบกันเมื่อวงเวทย์ที่ปิดผนึกไว้ถูกปลดออก เสียงนั้นเป็นเหมือนเสียงเตือนให้เอรอสตระหนักถึงอันตรายที่เข้ามาใกล้ จนบรรยากาศภายในโกดังยิ่งอึดอัดกว่าเดิม เขาตั้งสมาธิอีกครั้ง พลางรู้สึกถึงสัมผัสมานาที่เริ่มกลับมาบางส่วนแล้ว แต่ยังไม่มากพอที่จะรู้จำนวนคนที่เข้ามา ทำให้เขาประหม่าเล็กน้อยไม่นานนัก จอมเวทย์แปลกหน้าสองคนพุ่งเข้ามาภายในโกดังด้วยความระมัดระวัง พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างช่ำชองและสำรวจทุกจุดราวกับคุ้นเคยกับสถานที่นี้เป็นอย่างดีเอรอสยังคงนิ่ง หลบตัวอยู่ในเงาอย่างสมบูรณ์แบบ เ
เสียงนกร้องแว่วเบาๆในสวนยามเช้าจากที่ไกลๆ แสงแดดอ่อนๆเริ่มทอประกายบนยอดไม้ แต่ความเงียบสงบกลับตัดกับภาพของชายหนุ่มที่ถูกจับตรึงไว้กับพื้น ใบไม้สั่นไหวตามแรงลมแรงที่เคยเกิดขึ้น ทว่าบรรยากาศโดยภายในกลับขัดแย้งกับสภาพอากาศโดยรอบเมื่อเอเลน่าพยามวิ่งเข้ามาเพื่อดูอาการของเอรอส หนึ่งในจอมเวทย์อาวุโสขวางทางเอเลน่าเอาไว้ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เอรอสด้วยสายตาเคร่งขรึม มุมปากกระตุกเบาๆ สายตานั้นเต็มไปด้วยความระมัดระวัง แววตายังคงลังเลกับใส่สิ่งที่เห็น ก่อนจะหันไปพูดกับเอเลน่าที่อยู่ตรงหน้า "ท่านเอเลน่า เรายังไม่อาจเชื่อว่าเป็นคนเดียวกับที่ท่านรู้จัก จนกว่าจะพิสูจน์ให้แน่ชัด…" เสียงนั้นเย็นชาและเด็ดขาดเอเลน่าชะงักไปชั่วครู่ เธอกลืนน้ำลายลงคอแล้วปรับสีหน้าจากความอ่อนโยนเป็นเยือกเย็น ริมฝีปากบิดเป็นรอยยิ้มเล็กๆด้วยความเสแสร้ง"นี่คือวิธีที่พวกคุณปฏิบัติต่อคู่หมั้นของฉันหรอ?"เธอกล่าวอย่างเด็ดขาด แววตามุ่งมั่นแสดงถึงการตัดสินใจที่จะไม่ยอมอ่อนข้อใดๆชายทั้งสามคนสบตากันอย่างลังเล ในที่สุดลูกน้องของเขา ก็ยอมปล่อยเอรอสจากการจับกุม เอรอสพยายามลุกแต่ แต่ด้วยสภาพของร่างกายนี้ทำให้เขาร่วงลงไปกับพื้นอีกรอบ
แสงสีส้มของยามเย็นสาดเข้ามาในห้อง ส่องผ่านหน้าต่างบานเล็กที่เปิดไว้เพียงบางส่วน ความสงบเงียบของช่วงเวลาพลบค่ำถูกทำลายด้วยเสียงหอบหายใจแผ่วเบาของชายที่นอนนิ่งบนเตียง เอรอสลืมตาขึ้นช้าๆ ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง ราวกับทุกอวัยวะต่างกรีดร้องพร้อมกัน หัวใจของเขาเต้นอย่างเชื่องช้าและหนักอึ้ง ราวกับย้ำเตือนให้รู้ว่าอาการบาดเจ็บนั้นยังคงฝังลึกอยู่ทุกวินาทีเขาพยายามขยับตัว ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง แต่ทันทีที่เปลี่ยนท่าทาง ความเจ็บปวดจากอวัยวะภายใน ก็เริ่มปะทุขึ้นเหมือนไฟลุกโหมทำให้เขาหยุดชะงักในทันที เขากัดฟันแน่นเพื่อข่มเสียงครางไม่ให้เล็ดรอดออกมา มือข้างหนึ่งกดลงบนหน้าท้อง หวังบรรเทาความเจ็บปวด แต่กลับไม่มีอะไรดีขึ้น เหงื่อเย็นไหลซึมลงตามกรอบหน้าผาก จนทำให้ผมของเขาชื้นไปหมด ร่างกายนี้ อยู่ในสภาพย่ำแย่กว่าที่เขาคาดคิดเมื่อเอรอสเหลือบสายตาไปที่กระจกบานเล็กข้างเตียง ภาพสะท้อนที่ปรากฏคือใบหน้าของ อาร์วิน มันดูซีดขาว และ ไร้ชีวิตจนทำให้รู้สึกน่าสังเวช เขาจ้องมันอยู่ชั่วครู่ ราวกับกำลังประเมินสภาพตัวเอง ก่อนพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแห้งผาก“หนักกว่าที่คิด...”ความหงุดหงิดพลุ่งพล่านในใจ เพราะ
เอเลน่านั่งเงียบอยู่ข้างเตียงในห้องที่แสงเทียนสลัวๆ กำลังเต้นรำไปตามแรงลมที่ลอดผ่านเข้ามา บรรยากาศรอบตัวราวกับหยุดนิ่ง ไม่มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงลมหายใจเบาๆ ของเธอ ใบหน้าที่เธอคุ้นเคย แต่มีบางสิ่งที่แปลกไป—บางสิ่งที่เธอไม่สามารถอธิบายได้ ความปั่นป่วนในใจกลับค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นทีละน้อยรอยยิ้มอบอุ่นของอาร์วิน และความอ่อนโยนในแววตาของเขาทำให้เธอเคยรู้สึกปลอดภัยเสมอ แต่ครั้งนี้... เธอเริ่มสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ต่างไป มันอาจเป็นเพียงความเครียดจากสถานการณ์รอบตัวหรือความเหนื่อยล้าที่สะสม แต่ไม่ว่าสิ่งใดในตอนนี้ ตัวเขาดูจะไม่เหมือนเดิม ถึงแม้ใบหน้าของเขายังคงเหมือนอาร์วินทุกประการ ยกเว้นเพียงสีของดวงตาที่ไม่ใช่ฟ้าอมเงินอีกต่อไป ตอนนี้มันกลายเป็นสีเทานิ่งเรียบ—สีที่แตกต่างจากความทรงจำของเธอ คล้ายกับใครบางคนที่เธอรู้จักเอเลน่าถอนหายใจเบาๆ พลางบีบจดหมายในมือแน่นขึ้น จดหมายที่นำพาความทรงจำอันเจ็บปวดเกี่ยวกับการถูกไล่ล่าโดย "จอมเชือด" ภาพเหตุการณ์นั้นยังคงแจ่มชัดในหัวเธอ เลือดที่หลั่งไหล และ เสียงฝีเท้าของผู้ไล่ล่าเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจลืมได้การได้เจอกับอาร์วินอีกครั้ง แม้เขาจะบาดเจ็บสาหั
หลังจากที่เอเลน่าเรียกอัศวินและสาวใช้ไปดูแลอาร์วิน เธอก็ตั้งใจที่จะกลับห้อง พลางยกมือขึ้นแตะขมับเบาๆด้วยอาการเหนื่อยล้าตลอดทั้งวัน แต่แล้ว ขณะที่เธอเดินผ่านทางเดินที่ทอดยาวเชื่อมระหว่างห้องโถงหลักกับสวนในคฤหาสน์ เสียงสนทนาของกลุ่มอัศวินที่ยืนเฝ้าอยู่ใกล้ๆก็แว่วเข้าหู“รู้เรื่องที่ท่านอาร์วินสูญเสียวงแหวนมานาไปรึยัง?”หนึ่งในอัศวินเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่ไม่เบาพอที่จะหลุดรอดจากการได้ยินของเธอเอเลน่าชะงักฝีเท้า หัวใจเต้นแรงขณะที่เธอพยายามทำท่าเดินผ่านไปอย่างเรียบเฉย แต่ความกังวลกลับเพิ่มขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอีกคนหนึ่งตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ได้ยินจากสาวใช้แล้ว บาดแผลสาหัสแทบจะกลายเป็นคนพิการ หนำซ้ำยังสูญเสียวงแหวนมานาไปอีก”“ท่านผู้อาวุโสคงไม่ปล่อยเอาไว้หรอก ถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ตระกูลอาจจะเสื่อมเสียชื่อเสียงเอาได้”“บางที… อาจถึงขั้นขับออกจากตระกูล” เสียงนั้นราบเรียบแต่กลับแฝงความเย็นยะเยือกไว้ จนเอเลน่ารู้สึกเหมือนเงามืดคืบคลานเข้ามารอบตัว“การอยู่ในตระกูลโดยไร้วงแหวนมานา ก็เป็นได้แค่ตัวภาระเปล่าๆ ดีซะอีกที่ยังเมตตาให้มีชีวิตอยู่"หลังจากนั้นเขาดูครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมา
เอรอสในร่างของเรย์นาร์คเดินลึกเข้าไปในเขตตอนใต้ของเมือง เขาคลุมผ้าคลุมศีรษะให้มิดชิดเพื่อซ่อนใบหน้า ดวงตาคมกวาดมองรอบๆ อย่างระมัดระวัง แสงไฟจากร้านค้าและแสงเทียนสลัวๆ ตามตรอกซอกซอยสะท้อนให้เห็นบรรยากาศที่มืดมน ราวกับโลกอีกใบที่ซ่อนตัวอยู่ข้างใต้เมืองอันศิวิไลซ์ ถนนเต็มไปด้วยฝุ่นคละคลุ้ง และมีกลิ่นเหม็นอับจากของไม่พึงประสงค์วางเรียงรายอยู่ในแผงลอย เหล่าพ่อค้าแม่ค้ากำลังลักลอบขายของต้องห้ามอย่างลับๆ เสียงการเจรจาต่อรองดังขึ้นเป็นระยะ เติมเต็มบรรยากาศแห่งนี้ไปด้วยความรู้สึกทะแม่งๆ แต่สำหรับที่นี้ มันเป็นเรื่องปกติเอรอสแทรกตัวเข้าไปในฝูงชนอย่างแนบเนียน เดินลัดเลาะผ่านตรอกซอยที่สลับซับซ้อนจนกระทั่งมาถึงร้านขายของจิปาถะตามจุด จากสายตาคนทั่วไป ร้านนี้ดูธรรมดาๆ เหมือนร้านขายของทั่วไป แต่นี่เป็นเพียงฉากบังหน้าขององค์กรเขาเท่านั้น ภายในสถานที่แห่งนี้ มีทางเข้าที่เชื่อมไปถึงฐานทัพขององค์กรที่เขาอยู่เมื่อเขาเดินเข้ามา กลิ่นธูปหอมอ่อนๆ ลอยตลบอบอวลไปทั่วร้าน บนชั้นวางสินค้าถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ มีผลิตภัณฑ์มากมายที่องค์กรของเขาผลิตขึ้น วางปะปนอยู่กับสินค้าประเภทอื่นๆ สินค้าของพวกเขามีราคา
เอรอสยืนคุยกับกลุ่มสมาชิกอยู่ที่โถงทางเดิน บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการหยอกล้อระหว่างพวกเขา“จะว่าไปพี่ใหญ่ พี่มาประชุมงั้นหรอ?” หนึ่งในสมาชิกถามพลางยิ้มกว้างเอรอสทำหน้างงเล็กน้อย ก่อนที่จะคำถามออกมา“ประชุม? เรื่องอะไร?”ชายวัยกลางคนทำสีหน้าเบื่อหน่ายเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสริมขึ้นมา“เฮ้อ ก็เรื่องของโบสถ์นั้นแหละ แม่หนูนั้นยังดื้อด้าน ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเราดีๆเลยเนี่ยสิ”ชายวัยกลางคนทำท่าปวดหัว และ เบื่อหน่ายพอสมควร เอรอสถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้น โบสถ์ที่พวกเขาเคยพยายามจะให้เป็นพันธมิตรทางการค้าเพิ่งถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา แต่เพียงไม่กี่เดือนก่อน นักบวชระดับสูงคนหนึ่งถูกจับเพราะยักยอกเงินบริจาค แถมยังไปกู้หนี้จากองค์กรอื่นมาใช้จ่ายส่วนตัว ปล่อยให้โบสถ์ต้องเผชิญหนี้สินมหาศาลจนสาขาหลักตัดความช่วยเหลือ สถานการณ์ของโบสถ์จึงเสี่ยงล่มสลายเต็มทีแม้การที่นักบวชคนนั้นยักยอกเงินจะเป็นผลจากแผนของพวกเขา แต่การที่เขากลับไปกู้ยืมเงินจากองค์กรอื่นโดยไม่บอก แถมยังชิงฆ่าตัวตายเพื่อหนีความผิดกลับทำให้เรื่องราวยุ่งยากยิ่งกว่าเดิม อำนาจทั้งหมดตกไปอยู่ในมือผ
เอรอสนั่งนิ่ง มองจดหมายที่อยู่ในมืออย่างเงียงงัน หัวใจของเขารู้สึกหนักอึ้ง แม้ใบหน้าจะดูสงบนิ่งไร้อารมณ์ แต่ภายในกลับสับสนวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม เขาหันไปยังคาร์ลีนก่อนจะพูดออกมา“สนามประลองจะเริ่มเมื่อไหร่?” เอรอสเอ่ยถาม น้ำเสียงต่ำและหนักแน่น สะท้อนความถึงมุ่งมั่นที่กำลังถูกสั่นคลอนอยู่ลึกๆคาร์ลีนช้อนตามองเขา ความสงสัยปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในแววตาของเธอ“อีกห้าวัน... พวกมันต้องเวลาในการโปรโมทงาน และ ดึงดูดความสนใจจากชนชั้นสูงทุกระดับ”คำตอบของเธอทำให้เอรอสถึงกับนิ่งไป เสียงของคาร์ลีนค่อยๆเลือนหายไปในความคิดของเขา เขานึกถึงวงแหวนมานาที่ถูกทำลายในเขตแดน ในช่วงที่เขากำลังถูกครอบงำ ส่งผลให้พลังเวทของเขาลดน้อยลง จนแทบจะใช้งานอะไรไม่ได้ การฟื้นฟูวงแหวนมานาในเวลาสั้นๆมันมีวิธีอยู่ ถึงแม้ว่าลึกๆแล้ว เขาจะไม่อยากใช้มันก็ตาม"คงต้องใช้วิธีนั้นแล้วสินะ…” เอรอสคิดอย่างฝืนใจ แม้จะรู้ดีว่านี่คือการข้ามเส้นในสิ่งที่ไม่ควรทำ ความหวาดหวั่นบางอย่างแทรกซึมในใจจนรู้สึกถึงมันได้ชัดเจนเอรอสคิดอย่างฝืนใจ แม้จะรู้ดีว่าจะเป็นการข้ามเส้นในสิ่งที่ไม่ควรทำคาร์ลีนมองเขาด้วยความสงสัย คิ้วของเธอขมวดแน่นขึ้น“ดูเหมือน