เอรอสยืนคุยกับกลุ่มสมาชิกอยู่ที่โถงทางเดิน บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการหยอกล้อระหว่างพวกเขา
“จะว่าไปพี่ใหญ่ พี่มาประชุมงั้นหรอ?” หนึ่งในสมาชิกถามพลางยิ้มกว้าง
เอรอสทำหน้างงเล็กน้อย ก่อนที่จะคำถามออกมา“ประชุม? เรื่องอะไร?”
ชายวัยกลางคนทำสีหน้าเบื่อหน่ายเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสริมขึ้นมา
“เฮ้อ ก็เรื่องของโบสถ์นั้นแหละ แม่หนูนั้นยังดื้อด้าน ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเราดีๆเลยเนี่ยสิ”ชายวัยกลางคนทำท่าปวดหัว และ เบื่อหน่ายพอสมควร
เอรอสถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้น โบสถ์ที่พวกเขาเคยพยายามจะให้เป็นพันธมิตรทางการค้าเพิ่งถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา แต่เพียงไม่กี่เดือนก่อน นักบวชระดับสูงคนหนึ่งถูกจับเพราะยักยอกเงินบริจาค แถมยังไปกู้หนี้จากองค์กรอื่นมาใช้จ่ายส่วนตัว ปล่อยให้โบสถ์ต้องเผชิญหนี้สินมหาศาลจนสาขาหลักตัดความช่วยเหลือ สถานการณ์ของโบสถ์จึงเสี่ยงล่มสลายเต็มที
แม้การที่นักบวชคนนั้นยักยอกเงินจะเป็นผลจากแผนของพวกเขา แต่การที่เขากลับไปกู้ยืมเงินจากองค์กรอื่นโดยไม่บอก แถมยังชิงฆ่าตัวตายเพื่อหนีความผิดกลับทำให้เรื่องราวยุ่งยากยิ่งกว่าเดิม อำนาจทั้งหมดตกไปอยู่ในมือผู้นำคนใหม่ หญิงสาวผู้ดื้อรั้นและปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับพวกเขาทุกทาง แต่ละวันเธอพยายามดิ้นรนไปที่กิลด์นักผจญภัยเพื่อหาคนรักษาและรับบริจาค แม้ว่าเงินที่หามาได้จะพอแค่จ่ายดอกบางส่วน ในขณะที่หนี้ของโบสถ์ก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาเสนอความช่วยเหลือแลกกับให้โบสถ์เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าขององค์กร แต่ผู้นำหญิงผู้นั้นยังปฏิเสธ และดื้อรั้นไม่ยอมรับข้อเสนอถึงวันนี้
เอรอสครุ่นคิดพลางพึมพำเบา ๆ “เมื่อวานฉันถูกจับตัวไป เด็ก ๆ ที่นั่นจะได้กินข้าวไหมนะ?” โบสถ์ที่ผู้นำหญิงดูแลมีเด็กกำพร้าอยู่หลายคน ในตอนแรกเขามอบอาหารให้เพื่อซื้อใจเธอ แต่เวลาผ่านไปกลับกลายเป็นกิจวัตรที่ทำด้วยใจ เขามักแวะไปเล่นกับเด็ก ๆ เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้า แรก ๆ เธอไม่ชอบหน้าเขานักเพราะคิดว่าเขาตามจีบเธอ แต่ไม่นานพวกเขาก็เริ่มรู้จักและเข้าใจกันมากขึ้น
“แล้วจะเอายังไงดี ลูกพี่ จะเข้าประชุมไหม?” หนึ่งในกลุ่มถามขึ้น พร้อมทั้งยักคิ้วอย่างรอคำตอบ เอรอสพยักหน้ารับเบาๆ
“ก็น่ะ เธอคงอารมณ์เสียแล้วแน่ๆ…ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ”
เขามองหญิงสาวผมสีน้ำตาลที่ยืนอยู่ข้างๆ ราวกับรอให้เธอเป็นผู้นำทาง เธอส่งยิ้มเป็นมิตร และทำท่าเชื้อเชิญเขา ให้เดินตามไปยังทางเดินที่ทอดยาวไปยังห้องประชุม
ระหว่างทางเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะค่อยๆ ลดน้อยลง เหลือเพียงเสียงฝีเท้าที่ก้องไปตามทางเดินแคบๆ ที่แสงไฟสลัวส่องกระทบกำแพงหินเย็นเยียบ เมื่อถึงหน้าห้องประชุม เอรอสสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะก้าวผ่านประตูเข้าไปด้านใน เสียงพูดคุยค่อยๆ เงียบลง กลายเป็นบรรยากาศอึมครึมที่แผ่ซ่านด้วยแสงเทียนสลัวๆ ส่องสะท้อนเงาร่างของคาร์ลีน เดวานิส ผู้นำหญิงที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ
คาร์ลีนมีผิวขาวซีดที่ดูราวกับสลักจากหินอ่อน ตัดกับเส้นผมสีดำขลับที่ล้อมกรอบใบหน้าอย่างสมบูรณ์แบบ ดวงตาสีม่วงเข้มลึกล้ำของเธอจ้องพวกเขาเพียงแวบหนึ่ง แต่แฝงด้วยความมุ่งมั่นและความเด็ดขาดที่สัมผัสได้ทันที เธอพยักหน้าเชิงอนุญาตให้เอรอสนั่งลง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบแต่หนักแน่นราวกับน้ำแข็งเยือกเย็น
“นั่งก่อนเถอะ เรามีเรื่องต้องรีบคุย” น้ำเสียงสงบที่แฝงความกดดันของเธอทำให้เอรอสรู้สึกถึงความจริงจังที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำพูดเรียบง่ายนั้น เขาทิ้งตัวลงนั่ง ขณะที่คาร์ลีนเริ่มพูดต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แต่น้ำเสียงนี้แฝงความแน่วแน่ที่ทำให้ทุกคนต้องตั้งใจฟัง
โบสถ์ปฏิเสธข้อเสนอของเรา” คำประกาศของคาร์ลีนทำให้ห้องประชุมเงียบกริบ ราวกับเวลาถูกหยุดนิ่ง สีหน้าของสมาชิกบางคนเปลี่ยนไปทันที หนึ่งในนั้นขบกรามแน่นอย่างไม่พอใจ ขณะที่อีกคนหรี่ตาและส่ายหน้าอย่างผิดหวัง บางคนจับจ้องคาร์ลีนด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม
“เราให้โอกาสพวกเขาแล้ว ยื่นข้อเสนอให้โบสถ์ใช้สินค้าของเราเพื่อเผยแพร่ความเชื่อ แต่พวกมันกลับกลัวว่าจะทำให้ภาพลักษณ์ของตัวเองมัวหมอง”
คาร์ลีนหยุดนิ่งครู่หนึ่ง จ้องมองสมาชิกแต่ละคนด้วยดวงตาคมดั่งมีด
“และที่เลวร้ายไปกว่านั้น องค์กรที่ไอ้บ้านั่นไปกู้เงินมา กำลังวางแผนจะลักพาตัวผู้นำโบสถ์ไปใช้หนี้ พวกมันกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้าย อีกไม่นานก็คงต้องล่มสลายแน่นอน”
บรรยากาศในห้องยิ่งตึงเครียดขึ้น สายตาของสมาชิกทุกคนสะท้อนความไม่พอใจต่อการถูกปฏิเสธครั้งนี้ การที่พันธมิตรซึ่งพวกเขาวางแผนไว้อย่างดีกลับล้มเหลวอย่างไม่คาดคิดสร้างแรงกดดันในห้องประชุมไม่น้อย
หนึ่งในที่ประชุมเผยรอยยิ้มเย็นชาพลางกอดอกก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ “หรือว่า เราควรจะปล่อยให้ข่าวเรื่องนี้มันหลุดไปข้างนอกบ้างดี? ให้พวกชาวเมืองรู้ว่าโบสถ์กำลังมีปัญหา”
เขาหัวเราะเบาๆ เหมือนคิดว่าตัวเองมีความคิดที่ดี แต่เสียงหัวเราะนั้นขาดหายไปเมื่อได้ยินเสียงตอบโต้ที่แหลมคม
ไม่ได้” อีกคนตอบปฏิเสธเสียงเรียบแต่แฝงด้วยความแน่วแน่ สายตาจับจ้องคู่สนทนาอย่างไม่พอใจ
“ถ้าโบสถ์เสียชื่อเสียงไป สินค้าของเราก็ขายไม่ออกเหมือนกัน”
อีกคนขมวดคิ้วพลางเสนอทางเลือกใหม่อย่างเคร่งขรึม “งั้นเราส่งคนไปกดดันพวกเขาให้ยอมร่วมมือ… จ้างพวกนักเลงไปขู่ให้กลัวดีไหม? อาละวาดนิดหน่อยแล้วก็ถอยออกมา”
“แล้ววิธีนี้มันจะต่างจากวิธีแรกยังไง?” อีกคนแย้งเสียงเรียบ แฝงด้วยความไม่พอใจ “ถ้าข่าวลือเรื่องหนี้สินของโบสถ์แพร่ออกไป สุดท้ายภาพลักษณ์พวกเขาก็ต้องพังอยู่ดี”
บรรยากาศรอบโต๊ะนิ่งเงียบ ชวนให้อึดอัด ผู้นำหญิงที่นั่งนิ่งอยู่นานสบตาเอรอส พลางเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำและแฝงความเย็นชา “แล้วนายคิดยังไงล่ะ? จะจัดการคนที่ดื้อรั้นขนาดนั้นได้ไหม?”
เอรอสขบกรามแน่นก่อนตอบด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ก็พอมีแผนอยู่ในใจ…แต่ขอเวลาอีกสักหน่อย ฉันต้องดูสถานการณ์ให้แน่ใจก่อน”
ผู้นำหญิงพยักหน้ารับคำพลางปรายตามองรอบโต๊ะ “ดี แต่ให้รีบจัดการ”
เอรอสเอ่ยถามเสียงเรียบ “แล้วรู้ไหมว่าพวกนั้นจะลักพาตัวเธอไปเมื่อไหร่?”
"สองถึงสามวันจากนี้”สมาชิกอีกคนเอ่ยขึ้นพลางเอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยหน่าย เขายกมือขึ้นลูบหน้าผาก พลางถอนหายใจแรงๆ เหมือนกับว่าภาระทุกอย่างถาโถมเข้ามาในคราวเดียว
“พวกนั้นเตรียมการเรียบร้อยแล้ว ตั้งใจจะขายเธอให้พ่อค้าทาสที่ชายแดน ต้องรีบเคลื่อนไหวให้ไวหน่อย”
เอรอสพยักหน้ารับ เขานั่งเงียบพลางยกมือขึ้นกุมคาง ขณะที่สายตาจับจ้องไปยังมุมหนึ่งของห้อง เขาครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ พลางพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“สองถึงสามวัน… ก็ยังพอมีเวลาให้ลงมือได้" เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้นำ“เข้าใจแล้ว ไว้ฉันจะจัดการเอง เดี่ยวจะรีบจัดการให้”
เสียงเขาพูดหนักแน่น ทำให้บางคนในที่ประชุมแสดงท่าทีโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด สมาชิกที่เอ่ยปากก่อนหน้านี้เมื่อเห็นเอรอสรับปากก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ รอยยิ้มเล็กๆ เผยออกมาจากมุมปาก เขาขยับตัวไปนั่งพิงพนักเก้าอี้ ก่อนจะหันไปพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
สมาชิกคนนั้นเมื่อเห็นเอรอสรับปากก็ใจชื่นเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมา
รีบหน่อยล่ะกัน พวกช่างฝีมือเริ่มคันไม้คันมืออยากจะรีบผลิตออกมาขายกันแล้ว” เขาแกล้งพูดติดตลกเพื่อทำลายบรรยากาศตึงเครียดที่สะสมในห้องประชุม
ทว่ารอยยิ้มและเสียงหัวเราะแผ่วเบานั้นไม่สามารถละลายความเงียบที่ยังคงแผ่ปกคลุมได้ เมื่อไม่มีใครพูดอะไรต่อ ความเงียบที่ตามมากลับทำให้บรรยากาศดูอึมครึมยิ่งกว่าเดิม
คาร์ลีนกวาดสายตามองสมาชิกแต่ละคนราวกับจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวและความคิดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังดวงตา เธอหายใจออกช้าๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นและทรงอำนาจ
“ไหนๆเจ้าตัวก็มาถึงแล้ว….. ไม่จำเป็นจะต้องประชุมต่อหรอก” เธอกล่าวจบ กวาดสายตามองรอบโต๊ะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันไปทางเอรอสและหญิงสาวผมสีน้ำตาลที่ยืนข้างกายเขา
“เรย์นาร์ค… นายอยู่ที่นี้ก่อน” คาร์ลีนพูดพลางจ้องมองไปที่เขา ก่อนที่จะเหลือบมองไปยังหญิงสาวผมสีน้ำตาลข้างกายเขาชั่วครู่ จากนั้นจึงเบนสายตากลับมาที่เอรอสอีกครั้ง
“ฉันมีเรื่องที่ต้องพูดคุยเป็นการส่วนตัว”เธอกล่าวด้วยท่าทีมั่นคงและความเด็ดขาดที่แฝงความหมายลึกซึ้ง
คาร์ลีนหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ปรายตามองสมาชิกทุกคนอย่างเฉียบขาดราวกับกำลังชั่งน้ำหนักความคิดและความจงรักภักดีของพวกเขา ด้วยท่าทางมั่นคงและเฉียบขาด
“ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว การประชุมก็จบเพียงเท่านี้ แยกย้ายได้” เสียงของเธอหนักแน่นทำให้สมาชิกคนอื่นๆ พยักหน้ารับ และทยอยกันลุกออกจากห้อง บางคนพูดคุยกันเบาๆขณะเดินออก ส่วนบางคนถอนหายใจอย่างโล่งใจเมื่อบรรยากาศตึงเครียดค่อยๆคลายลง
ขณะที่สมาชิกคนสุดท้ายออกไป ปิดประตูทิ้งให้ห้องประชุมอยู่ในความเงียบ มีเพียงแสงเทียนสลัวๆ สะท้อนเงาร่างของทั้งสามคน
“รู้เรื่องที่ลูกสาวของนายปรากฏตัวที่งานประลองแล้วใช่ไหม?” ผู้นำหญิงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงนิ่งเรียบแต่แฝงความหมายลึกซึ้ง จ้องมองเอรอสราวกับจะอ่านท่าทีของเขา
เอรอสพยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาของเขาฉายแววที่ไม่อาจปิดบังได้ “เธอน่าจะเป็นลูกสาวของเขาจริงๆ”
ผู้นำหญิงยิ้มมุมปากนิดๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “และที่สำคัญ…พวกมันส่งสิ่งนี้ถึงนายโดยเฉพาะ” เธอเว้นจังหวะเล็กน้อย จากนั้นหันไปพยักหน้าให้หญิงสาวผมสีน้ำตาลที่ยืนอยู่ข้างเอรอส หญิงสาวรีบล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบจดหมายเชิญฉบับหนึ่งออกมายื่นให้เขา
เอรอสรับจดหมายมา เปิดออกและอ่านอย่างเงียบงัน เนื้อหาด้านในเต็มไปด้วยข้อความที่ยั่วยุและดูหมิ่นอย่างจงใจ
“กระผมมีลูกสาวของเรย์นาร์ค จอมเชือดในตำนาน หากอยากพบกับลูกสาวของตัวเอง จงมาที่การประลองเสียสิ แล้วผมจะให้คุณได้ชมผลงานที่ผมลงแรงสร้างขึ้นมาต่อจากคุณ… เอาล่ะ ได้เวลาที่หมาที่หนีออกจากบ้าน ต้องกลับเข้ากรงแล้ว!!!”
เอรอสสบตากับผู้นำหญิงนิ่ง สายตาของเขาแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย รู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณของเรย์นาร์คที่อยู่ภายในร่างกายของเขากำลังร่ำร้องด้วยความโกรธ ขณะที่ห้องเงียบงันบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด
เอรอสนั่งนิ่ง มองจดหมายที่อยู่ในมืออย่างเงียงงัน หัวใจของเขารู้สึกหนักอึ้ง แม้ใบหน้าจะดูสงบนิ่งไร้อารมณ์ แต่ภายในกลับสับสนวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม เขาหันไปยังคาร์ลีนก่อนจะพูดออกมา“สนามประลองจะเริ่มเมื่อไหร่?” เอรอสเอ่ยถาม น้ำเสียงต่ำและหนักแน่น สะท้อนความถึงมุ่งมั่นที่กำลังถูกสั่นคลอนอยู่ลึกๆคาร์ลีนช้อนตามองเขา ความสงสัยปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในแววตาของเธอ“อีกห้าวัน... พวกมันต้องเวลาในการโปรโมทงาน และ ดึงดูดความสนใจจากชนชั้นสูงทุกระดับ”คำตอบของเธอทำให้เอรอสถึงกับนิ่งไป เสียงของคาร์ลีนค่อยๆเลือนหายไปในความคิดของเขา เขานึกถึงวงแหวนมานาที่ถูกทำลายในเขตแดน ในช่วงที่เขากำลังถูกครอบงำ ส่งผลให้พลังเวทของเขาลดน้อยลง จนแทบจะใช้งานอะไรไม่ได้ การฟื้นฟูวงแหวนมานาในเวลาสั้นๆมันมีวิธีอยู่ ถึงแม้ว่าลึกๆแล้ว เขาจะไม่อยากใช้มันก็ตาม"คงต้องใช้วิธีนั้นแล้วสินะ…” เอรอสคิดอย่างฝืนใจ แม้จะรู้ดีว่านี่คือการข้ามเส้นในสิ่งที่ไม่ควรทำ ความหวาดหวั่นบางอย่างแทรกซึมในใจจนรู้สึกถึงมันได้ชัดเจนเอรอสคิดอย่างฝืนใจ แม้จะรู้ดีว่าจะเป็นการข้ามเส้นในสิ่งที่ไม่ควรทำคาร์ลีนมองเขาด้วยความสงสัย คิ้วของเธอขมวดแน่นขึ้น“ดูเหมือน
แต่ทันทีที่เห็นเธอ เขาก็ต้องหยุดชะงักไปชั่วขณะ ดวงตาสีฟ้าสุกไสวของเธอ สะท้อนแสงอ่อนโยนคล้ายแสงจันทร์ในตอนกลางคืน ชวนให้ละสายตาไม่ได้ ผมยาวสีฟ้าระยับเหมือนเกลียวคลื่นในมหาสมุทรที่โอบรับประกายระยิบระยับของดวงดาว ทุกการเคลื่อนไหวของเธอให้ความรู้สึกที่สงบเยือกเย็น และยังแฝงความลึกลับไว้ลึกๆ ราวกับมีบางสิ่งซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังเอรอสพยายามดึงตัวเองกลับมาให้หลุดจากความตะลึงนั้น พลางปรับสีหน้าให้เรียบเฉยเหมือนเดิม สายตาเยือกเย็นของเขาประสานกับหญิงสาวแปลกหน้าที่ดูมีท่าทีเป็นมิตรและอบอุ่นเกินไป จนทำให้เขารู้สึกแปลกใจและเริ่มระแวดระวัง พร้อมกับตั้งคำถามถึงแรงจูงใจที่แท้จริงของเธอในใจ“สวัสดี ฉันเป็นผู้สืบสวนที่เพิ่งย้ายมาเมื่อไม่นานมานี้.. ยินดีที่รู้จัก”เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่มั่นใจ รอยยิ้มอ่อนๆ แฝงด้วยความเป็นมิตรยังคงประดับอยู่บนใบหน้า ท่าทีที่เธอแสดงออกทำให้เธอดูเหมือนคนที่เข้าถึงได้ง่าย แต่ในสายตาของเอรอส ความมีเสน่ห์เย้ายวนที่เธอแผ่ออกมานั้นกลับทำให้เขารู้สึกระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม“ฉันกำลังตามสืบเรื่องกลุ่มคนที่รีดไถเงินในแถวนี้อยู่... เธอพอจะรู้อะไรบ้างไหม?”เอรอสหรี่ตามองเธอด้วย
ในดันเจี้ยนร้างที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงหายใจแผ่วเบาของคาร์ลิน และ เอรอสที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเรย์ราร์คยืนห่างกันเล็กน้อย แสงสลัวจากเพดานหินเหนือศีรษะทำให้พื้นที่ๆดูรกร้างแห่งนี้ มีบรรยกาศที่ชวนขนลุก และ น่าหวาดกลัว แต่เอรอสกลับยืนนิ่งสงบ ไม่แสดงท่าทีวิตกใดๆเขามองดูคาร์ลินที่ยืนพยายามควบคุมมานา และ สร้างเขตแดนด้วยสีหน้าครุ่นคิด เอรอสยื่นมือออกมาแตะแขนเธอเบาๆ สอนให้เธอหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ แล้วควบคุมมานาอย่างประณีตที่สุด“ผ่อนคลาย แล้วค่อยๆโฟกัสที่พื้นที่รอบ เชื่อมต่อความรู้สึก ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของมัน” เขาเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงมั่นคง และผ่อนคลาย “อย่ากดดันตัวเอง ค่อยๆปล่อยให้มานาของเธอขยายออกไปทีละนิด”คาร์ลินหลับตาลง พยายามทำตามคำแนะนำของเขาอย่างตั้งใจ รู้สึกถึงมานาที่เริ่มขยายออกเป็นวงเล็กๆ รอบตัว เสียงของเขาช่วยเสริมความมั่นใจให้แก่เธอมากขึ้น เธอเริ่มสร้างเขตแดนขึ้นมาได้ทีละน้อย จนเริ่มเห็นเขตแดนเป็นรูปวงกลมรอบตัวเธอทีละนิด โดยมีเอรอสคอยดูแลอยู่ไม่ห่างเอรอสยืนอมองดูคาร์ลินที่กำลังพยายามสร้างเขตแดนด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม เขายืนเงียบๆอยู่ข้างๆเธอ ดวงตาสะท้อนความทรงจำที่ชัดเจนขึ
ในคืนที่เงียบสงัด แสงจันทร์ที่คล้อยต่ำสะท้อนแสงบนพื้นของอาคารร้าง เสียงลมพัดเอื่อยๆผ่านช่องหน้าต่างแตก และ กำแพงที่เต็มไปด้วยรอยกัดกร่อน เอรอสยืนอยู่บนขอบดาดฟ้าชั้นบนสุด มองลงไปยังเงาร่างบางของหญิงสาวที่กำลังเดินอย่างไม่รีบร้อนในตรอกด้านล่างเธอคือไอลีน ฟรอนเทียร์ หญิงสาวที่มีเส้นผมสีฟ้ายาวทอประกายอ่อนโยนภายใต้แสงจันทร์ ดวงตาคมฉายแววแห่งความมุ่งมั่น ผิวขาวซีดของเธอสะท้อนแสงทำให้ดูราวกับเทพธิดาที่ก้าวเดินท่ามกลางโลกแห่งความมืด แม้จะอยู่คนเดียวในตรอกซอยที่เงียบเหงาและอันตราย แต่ท่าทางของไอลีนกลับนิ่งสงบไร้ร่องรอยความหวาดกลัว ไม่หวั่นไหวแม้เสียงลมแรงพัดผ่าน หรือ เงาแมวดำที่วิ่งตัดหน้าเอรอสเฝ้ามองเธอด้วยสายตาคมกริบ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของเขา การเดินของเธอมั่นคง สง่างาม และ รอบคอบ เธอดูเหมือนกำลังสำรวจบางสิ่งในพื้นที่ร้าง ราวกับต้องการค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ ความเยือกเย็นในท่าทีของเธอสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่ไม่เหมือนใคร ท่ามกลางความมืด เธอเหมือนจะกลายเป็นจุดสว่างที่โดนเด่น ยากจะละสายตาสำหรับเอรอสที่สูญเสียความทรงจำทุกอย่างก่อนเกิดโศกนาฏกรรมเมื่อ 4 ปีก่อน
เสียงรองเท้าบูตของไอลีนดังกระทบพื้นในเงามืด แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความมั่นคง เงาของเธอทอดยาวตามผนังซอยแคบ อันธพาลทั้งกลุ่มจ้องมองด้วยสายตาฉงนสงสัย ทันทีที่เห็นอาวุธในมือเธอ บูมเมอแรงสีเงินลวดลายวิจิตรสะท้อนแสงไฟสีฟ้าจางๆ พวกมันถึงกับนิ่งเงียบไปเมื่อเห็นแสงสีฟ้าระยิบระยับที่ปลายอาวุธ อันธพาลคนหนึ่งขมวดคิ้วและกระซิบกับเพื่อนๆด้วยน้ำเสียงประหม่า จนในที่สุดก็อดไม่ได้ต้องพูดออกมา“อย่าบอกนะว่าเธอจะเอาของแบบนั้นมาสู้กับเรา?”เขาหัวเราะเบาๆ แต่สายตายังจับจ้องอย่างหวาดระแวง ขณะที่หนึ่งในแสดงออกด้วยท่าทางงที่เย้ยหยัน"อะไรจ่ะน้องสาว? จะเอาของสิ่งนั้นมาปาใส่พวกเรา?” มันหัวเราะเสียงเยาะขณะที่จ้องมองเธอด้วยสายตาไม่เกรงกลัวไอลีนเพียงแค่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เธอไม่ตอบคำใดๆ ก่อนจะยกสิ่งนั้นขึ้นเล็งไปที่กลุ่มคนตรงหน้า ท่าทางของเธอแน่วแน่ มั่นคง ไร้ความลังเลทันใดนั้น อันธพาลคนหนึ่งที่รู้สึกถึงอันตราย มันพุ่งเข้าใส่เธอด้วยความรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่มือของมันจะสัมผัสตัวเธอ ไอลีนก็เหนี่ยวไก วงแหวนสีฟ้าเรืองแสงพุ่งออกจากปลายอาวุธ กระแทกเข้าที่กลางตัวของชายคนนั้นอย่างจัง ร่างของเขาลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อยก่อนจะล
เอรอสยืนมองไอลีนที่เก็บ Arcane Pulse Gun เข้าที่ ท่าทางของเธอแน่วแน่ แต่สายตากลับแฝงด้วยความเหนื่อยล้า เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงทุ้มสงบ“ยังตามหาพวกรีดไถ่อยู่อีกงั้นเหรอ?”ไอลีนยักไหล่ แววตาฉายความมุ่งมั่น“ใช่สิ จะให้พวกนั้นอยู่เฉย ๆ แล้วทำร้ายคนอื่นไปเรื่อยเหรอ?”ไอลีนปรายตามองเขาด้วยรอยยิ้มล้อเลียน พร้อมเอียงศีรษะเล็กน้อย“แล้วคุณ หมาป่าเดียวดาย มาทำอะไรแถวนี้? มาตามหาฉันหรือไง?”เอรอสถอนหายใจเบาๆ เขาส่ายหัวอย่างระอากับชื่อเล่นที่เธอตั้งให้เขา แม้ในใจจะรู้สึกไม่ชอบใจนัก แต่ก็เลือกที่จะทำสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆกับฉายาที่เธอแกล้งตั้งให้ ก่อนที่จะขยับตัว เอามือไพล่ไว้ด้านหลัง“ใช่ ฉันมาที่นี่เพื่อเตือนเธอ”ไอลีนเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าสงสัยปนฉงน “เตือน? เตือนเรื่องอะไร?”เอรอสถอนหายใจแผ่วเบา เผยให้เห็นถึงน้ำเสียงจริงจังขึ้น “ฉันอยากให้เธอหยุดพาเด็กๆ จากสลัมไปอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าแบบนั้น มันเปล่าประโยชน์”คำพูดนั้นทำให้ไอลีนชะงักไป เธอมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ"คุณหมายความว่าไง? ฉันแค่พาเด็กๆ ไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยกว่า ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย"เอ
เอรอส และ ไอลีนเฝ้ามองเหตุการณ์ในอาคารเก่า จากทางด้านหน้าในระยะไกล เขาใช้กล้องส่องทางไกลแบบตาเดียวที่ดูเก่าโทรม มันมีผ้าพันรอบตัวกล้อง และถูกทาสีทับในหลายชั้นจนพื้นผิวดูขรุขระ และ ซีดเก่า ดูราวกับเป็นของใช้มานาน แต่ไอลีนที่เคยเห็นกล้องแบบนี้มาก่อน กลับรู้ดีว่ากล้องตาเดียวทุกชิ้นต่างมีคุณภาพ และ มีราคาค่อนข้างสูง ไม่น่าจะถูกเจอในสภาพแบบนี้เลนส์ของกล้องก็ดูแปลกตา คล้ายมีชั้นฟิล์มบางๆสีดำด้านเคลือบไว้ ทำให้มันไม่สะท้อนแสงออกมาจากภายในเหมือนกล้องทั่วไป เธออดคิดไม่ได้ว่ากล้องนี้อาจเคยเป็นของมีค่ามาก่อน แต่ด้วยสภาพที่เขาใช้ ผู้อื่นที่มองเห็น คงนึกว่าเป็นของเก่าๆไร้ค่าในขณะที่ทั้งคู่สังเกตสถานการณ์ในนั้น ไอลีนเห็นชายในชุดทหารรักษาการณ์นั่งดื่มกินร่วมกับพวกคนในนั้นอย่างสนุกสนาน ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวในใจของเธอ เพราะสิ่งที่เธอเห็นนั้นแตกต่างจากที่บ้านเกิดของเธออย่างสิ้นเชิงบ้านเกิดของไอลีนเป็นสถานที่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของเธอกับชาวบ้าน และ ผู้ใต้บังคับบัญชาผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น บรรยากาศที่นั่นอบอุ่น เปี่ยมไปด้วยความรัก ความใกล้ชิด ตระกูลของเธอไม่เคยแบ่งแยกชนชั้น หรือ ถือว่าตนสูงส่ง
เอรอสและไอลีนซุ่มดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ จากจุดที่ถูกซุ่มดูอยู่ ใบหน้าไอลีนเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเธอเห็นบอสขององค์กรยืนอยู่กลางห้อง จ้องมองผู้หญิงที่คุกเข่าลงอย่างเย้ยหยัน พลังแผ่พลังกดดันหญิงสาวอย่างหนักหน่วง จนเธอต้องสร้างมานาเบาบางขึ้นมาปกป้องตัวเอง แม้จะใกล้หมดแรงเต็มที แต่เธอก็ยังดิ้นรมไม่ยอมจำนนอยู่แววตาโกรธพลุ่งพล่านในดวงตาของไอลีน เหมือนเธอพร้อมจะพุ่งเข้าไปจัดการในทันที แต่เอรอสที่ยืนอยู่ข้างๆจับสังเกตความเครียดของเธอได้ เขาหันไปมองเธออย่างนิ่งๆ ก่อนเอ่ยเตือนด้วยเสียงเรียบ“นี่เธอกำลังคิดจะทำอะไร?”ไอลีนสบตาเขา แม้จะพยายามสะกดอารมณ์ แต่แววตามุ่งมั่นนั้นบอกชัดเจนว่าเธออยากจะช่วยหญิงสาวคนนั้นให้ได้ ไม่ว่าต้องเสี่ยงแค่ไหน เธอกระชับปืนในมือแน่น ตั้งใจจะลงมือเต็มที่ แต่ก่อนที่เธอจะเคลื่อนไหว เอรอสก็คว้าข้อมือเธอไว้แน่น พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“อย่าไป ถ้าเธอพุ่งเข้าไปตอนนี้ เธอตายแน่ๆ” เขามองเข้าไปในดวงตาเธอเพื่อย้ำให้รู้ถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้น“ผู้ชายคนนั้นมีถึงสามวงแหวน ระดับเธอที่มีแค่วงแหวนเดียวจะทำอะไรเขาได้?”ไอลีนสะบัดข้อมือออกด้วยท่าทางดื้อดึง แววตาเด็ดเดี่ยว “ถ้านายไ
เอเลน่านั่งอยู่บนเตียง จ้องมองอาร์วินที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย ดวงตาสีเทาที่มองมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความลึกที่อธิบายไม่ได้ มีบางสิ่งในแววตานั้นที่ทำให้หัวใจเธอสั่นไหว แต่เธออ่านมันไม่ออกบรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด เสียงลมเบาๆ จากหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ดังก้องในห้องที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของผ้าปูที่นอนใต้ฝ่ามือ พยายามดึงสติกลับมา แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนถูกตรึงด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นอาร์วินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา"เอเลน่า... ฉันไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน แต่ฉันจะพยายามเล่าให้เธอฟัง"เสียงของเขานุ่มลึก แต่สั่นเครือเล็กน้อย เธอรู้ว่าเขากำลังแบกรับอะไรบางอย่างที่หนักหนา ทว่าในใจของเธอเองก็เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้จบ เอเลน่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงให้เขาพูดต่อ แม้ในใจจะปั่นป่วนจนแทบระเบิดอาร์วินถอนหายใจยาว เสียงนั้นเหมือนลมหายใจที่พยายามปลดปล่อยความกดดันบางอย่าง"ตอนที่ฉันถูกจับอยู่ในคุก... ฉ
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ เอเลน่าค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆ กลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันที่ไม่อยากตื่นจากมันเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งหลับพิงเก้าอี้อยู่ ใบหน้าสงบนิ่งในเงามืด เส้นผมสีทองของเขาดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เอเลน่าจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ช่วงเวลานี้เผยให้เห็นอีกด้านของเขา—ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนเร้นก่อนหน้า ทำให้เธอโล่งใจเล็กน้อย ดวงตาของเธอสบเข้ากับใบหน้าอ่อนล้าของเขา ความรู้สึกปะปนกันระหว่างความสับสนและความอบอุ่นไหลเวียนในอก“อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆเหมือนจะยืนยันว่าเขาอยู่ตรงนี้จริงๆ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อเหลือบมองตัวเองที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เตียงของเธอ แต่เป็นของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงข
เอรอสก้าวออกจากป่าทึบในรูปลักษณ์ของอาร์วิน สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านตัวเขาอย่างแผ่วเบา แสงจันทร์ยังคงสลัวทำให้เห็นเงาของคฤหาสน์ตระกูลวัลธอเรนลางๆ อยู่ไม่ไกล จุดที่เขามุ่งหน้าไปคือบริเวณใต้หน้าต่างห้องพักของเขาเองก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เขาเคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อนชายแปลกหน้าที่เอรอสช่วยเหลือไว้ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาวราวกับหยิบยกมาจากยุคโบราณ ชายคนนี้ดูเหมือนนักเดินทางที่หลงยุค เขาอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เอรอสจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวันแทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยมาให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ
คลินิกของโจชัว ตั้งอยู่ในเขตสามัญชน ตัวอาคารหินสีซีดดูเรียบง่ายแฝงความล้าสมัย ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึก หน้าต่างกระจกสีชั้นล่างสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไป ลวดลายบนกระจกดูเหมือนจะพร่ามัวในแสงสลัว คลินิกนี้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนโรงพยาบาล แต่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยประมาณสิบคน เหมาะสำหรับการดูแลแบบส่วนตัวยามตีสี่ ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ ความเงียบรอบตัวแทบจะทำให้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วงกระทบพื้น เอรอสยืนพิงกำแพงใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ตรงข้ามคลินิก แม้ลมหนาวจะพัดแรง แต่ร่างกายของเอรอสกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาต่อความเย็น ราวกับความหนาวนั้นไม่อาจแตะต้องเขาได้ ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยังหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท นั่นเป็นห้องทำงานของโจชัว ซึ่งเขาใช้สำหรับจัดการเอกสารในช่วงกลางวัน แต่ในยามนี้ ไม่มีแสงไฟส่องลอดออกมา“ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่…” เขาพึมพำเสียงเบา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงนั้นแทบชัดเจนในสายลม เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียง กระโดดขึ้นเกาะขอบหน้าต่างชั้นสอง เสียงลมแผ่วเบาและใบไม้ไหวกลบการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาสีแดงสังเกตการณ์ในห้องอีกครั้งเพื่อยืนยันว่
คาร์ลีนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้ในดันเจี้ยนที่ผสานเขากับเขตแดนของเธอ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ความสัมพันธ์ลึกลับนี้ ทำให้คาร์ลีนรับรู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอเรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของชายที่มีฉายาว่า จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มาเนิ่นนาน แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากของเขาโดยตรงเธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับคำพูดนั้นหนักเกินกว่าจะเปล่งออกมาดวงตาสีม่วงเข้มของเธอสะท้อนแสงจากโคมไฟ เธอนั่งนิ่งราวกับขบคิด แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ ความหนักใจเหมือนสายลมหนาวที่แผ่วผ่านกลับถูกเติมเต็มด้วยความหวังอันเปราะบาง เธออยากให้เขามาหา อยากได
เอรอสค่อยๆตื่นขึ้นในห้องประชุมท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ มีเพียงแสงริบหรี่ที่ส่องลอดเข้ามาจากขอบประตู ร่องรอยของเวทมนตร์เก่าก่อนยังคงอบอวลอยู่ในอากาศจางๆ แม้แสงจากเทียนเวทมนตร์ที่เคยให้ความสว่างจะดับไปจากการตัดการเชื่อมต่อกับเวทมนตร์ทำให้บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกและว่างเปล่า แต่กลิ่นอายของพลังที่เหลืออยู่ยังคงสร้างแรงกดดันให้ผู้ที่อยู่ภายในเล็กน้อยเขาขยับตัวกึ่งลุกกึ่งนั่งจากเก้าอี้ที่ดูเหมือนจะทำให้เขาหลับไปลึกเกินคาด โต๊ะยาวตรงหน้าเขามีแฟ้มเอกสารเล็กๆวางไว้อยู่ ดูเหมือนจะเป็นเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะรับปากจะจัดการให้เขาหยิบแฟ้มเอกสารที่วางไว้บนโต๊ะมาตรวจสอบ ใช้มือสีคล้ำที่มีกล้ามเนื้อชัดเจนลูบเส้นผมสีเทาของตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกความกระปรี้กระเปร่า สายตาสีแดงฉานของเขากวาดมองไปทั่วห้องเล็กๆที่ยังคงอบอวลด้วยบรรากาศที่ชวนให้รู้สึกพิศวง พลางเหลือบมองเวลาที่บอกเขาว่านี้เป็นเวลาตี 1 ดูเหมือนเขาจะเผลอหลับไปแค่ชั่วโมงเดียว ยังดีที่เสียเวลาแค่นั้นหลังจากตรวจดูเอกสารครู่หนึ่งโดยที่ไม่มีใจความสำคัญอะไรที่ทำให้เขาต้องรีบร้อนเป็นพิเศษ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ และก้าวออกจาก
เสียงกระซิบแห่งเวทมนตร์ แผ่วเบา แต่ทรงพลัง ดังก้องอยู่ในอากาศอันเย็นเยียบ ริบบิ้นสีดำ ที่ราวกับเงาแห่งความมืดจากอีกโลกหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า มันเคลื่อนไหวดั่งมีชีวิต เลื้อยวนรอบร่างของ เอรอส ซ้อนชั้นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับงูพิษที่กำลังจู่โจมเหยื่อ ความแน่นหนาของริบบิ้นทำให้แม้แต่ลมหายใจยังรู้สึกตึงเครียด แขนขาถูกตรึงแน่น ริบบิ้นเลื้อยขึ้นสูง ปิดริมฝีปาก และบดบังดวงตาของเขาไว้อย่างมิดชิด ไม่ว่าจะดิ้นรนหรือใช้พลังทั้งหมดที่มี พันธนาการเหล่านั้นยังคงรัดแน่น น้ำหนักของเวทมนตร์ที่โอบล้อมร่างเขาเหมือนโซ่ตรวนหนักอึ้งที่ไม่มีวันปลดได้จอมเวทย์ผู้ร่ายมนตรามองดูภาพตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา รอยยิ้มที่มุมปากของเขา แฝงความพอใจอย่างปิดไม่มิด ในขณะที่อีกคนหนึ่งในกลุ่มของเขาเดินเข้ามาใกล้ กระชากคอเสื้อของเอรอสอย่างรุนแรง พร้อมๆกับลากเขาไปกับพื้น ราวกับเป็นเพียงสิ่งของไร้ค่าไม่ไกลออกไป ไอลีน ยืนตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างขณะมองสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไปได้ ก่อนที่วิ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความแน่วแน่ แล้วตะโกนเสียงดังลั่น"หยุดเดี๋ยวนี้! คุณตั้งใจจะพาเขาไปที่ไหน?"น้ำเสียง
เมื่อเอรอสเฝ้ามองไอลีนอยู่นาน สีหน้าเย็นชาของเขาเริ่มแสดงความไม่พอใจออกมาเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ"ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ช่วยหลบไปหน่อย"เขาเบี่ยงตัวไปด้านข้าง เตรียมเดินผ่าน แต่ก่อนที่เขาจะก้าวออกไป ไอลีนก็ยื่นมือออกมาคว้าข้อมือเขาไว้ ดวงตาของเธอที่เคยลังเลกลับแน่วแน่ขึ้น"ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว" ไอลีนพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามเก็บความกังวลเอรอสหยุดชะงัก แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นไม่พอใจชัดเจนยิ่งขึ้น เขาหันไปมองรอบๆ เห็นสายตาของเด็กบางคนที่อาจกำลังแอบมองอยู่จากหน้าต่าง และหญิงชราที่ครัวกำลังหันมามองเช่นกันหลังจากที่ประเมินสถานการณ์ เขาเลื่อนสายตาไปยังมุมโล่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก"ตามมา" เขาเอ่ยสั้นๆก่อนจะดึงมือออกจากการเกาะกุมของเธอ และเดินนำไปยังที่ที่เขาเลือกไว้ไอลีนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินตามเขาไป ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ สายลมอ่อนๆพัดผ่านเบาๆ ท่ามกลางความเงียบที่อึดอัด ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน เอรอสกอดอกและเอนตัวพิงต้นไม้ สายตาของเขาจ้องมองเธออย่างเย็นชา"พูดมา จะพูดอะไรก็รีบพูด" เขาเร่งด้วยน้ำเสียงที่ราวกับไม่สนใจ แต่ก
บรรยากาศในห้องทำงานของผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าช่างอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก กลิ่นอับของเอกสารเก่าผสมกับกลิ่นบุหรี่จางๆ โอบล้อมพื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองเอกสารและบัญชีการเงิน ผู้อำนวยการนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้หนังเก่าซึ่งดูเหมือนพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชวนให้รู้สึกระแวงมากกว่าสบายใจ"คุณเอรอสใช่ไหม? ฉันได้รับการแจ้งมาว่าคุณต้องการบริจาคเงินให้เหล่าเด็กๆที่คุณหนูไอลีนพามา" เสียงของเขาเนิบนาบ ท่าทางเหมือนพยายามจับจุดอีกฝ่ายเอรอสนั่งนิ่งอยู่ตรงข้าม เขาสูงโปร่งสำหรับเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สายตาสีเทาของเขาเย็นชาและไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ“ใช่ ผมมาที่นี่ บริจาคเงิน ให้เด็กๆที่เพิ่งเข้ามา" เขาเอ่ยเสียงเรียบผู้อำนวยการชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ"อืม น่าชื่นชมจริงๆนะครับ แต่การรับผิดชอบเงินจำนวนมากขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอมาจากครอบครัวไหนหรือ ถึงได้ใจกว้างขนาดนี้?"คำถามนั้นเหมือนมีความนัย แต่เอรอสไม่แสดงอาการใดๆ เขาเพียงหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางมันลงบนโต๊ะ เสียงเหรียญกระทบกันดังชัดเจน"ไม่จำเป็นต้องถาม" เขาตอบสั้นๆน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่น