ในดันเจี้ยนร้างที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงหายใจแผ่วเบาของคาร์ลิน และ เอรอสที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเรย์ราร์คยืนห่างกันเล็กน้อย แสงสลัวจากเพดานหินเหนือศีรษะทำให้พื้นที่ๆดูรกร้างแห่งนี้ มีบรรยกาศที่ชวนขนลุก และ น่าหวาดกลัว แต่เอรอสกลับยืนนิ่งสงบ ไม่แสดงท่าทีวิตกใดๆ
เขามองดูคาร์ลินที่ยืนพยายามควบคุมมานา และ สร้างเขตแดนด้วยสีหน้าครุ่นคิด เอรอสยื่นมือออกมาแตะแขนเธอเบาๆ สอนให้เธอหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ แล้วควบคุมมานาอย่างประณีตที่สุด
“ผ่อนคลาย แล้วค่อยๆโฟกัสที่พื้นที่รอบ เชื่อมต่อความรู้สึก ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของมัน” เขาเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงมั่นคง และผ่อนคลาย “อย่ากดดันตัวเอง ค่อยๆปล่อยให้มานาของเธอขยายออกไปทีละนิด”
คาร์ลินหลับตาลง พยายามทำตามคำแนะนำของเขาอย่างตั้งใจ รู้สึกถึงมานาที่เริ่มขยายออกเป็นวงเล็กๆ รอบตัว เสียงของเขาช่วยเสริมความมั่นใจให้แก่เธอมากขึ้น เธอเริ่มสร้างเขตแดนขึ้นมาได้ทีละน้อย จนเริ่มเห็นเขตแดนเป็นรูปวงกลมรอบตัวเธอทีละนิด โดยมีเอรอสคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง
เอรอสยืนอมองดูคาร์ลินที่กำลังพยายามสร้างเขตแดนด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม เขายืนเงียบๆอยู่ข้างๆเธอ ดวงตาสะท้อนความทรงจำที่ชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง ความทรงจำในวันแรกที่พวกเขาพบกัน ท่ามกลางซากปรักหักพัง หลังจากการล่มสลายขององค์กรที่เคยจองเวรเขามานาน
ในวันนั้น เด็กสาวในวัย 14 ปี มีร่างกายที่ผอมบาง เต็มไปด้วยรอยแผลฟกช้ำ บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน เอรอสตั้งใจจะส่งเธอไปยังบ้านเด็กกำพร้าพร้อมเงินจำนวนหนึ่งให้พอมีชีวิตอยู่ได้ แต่คาร์ลินกลับปฏิเสธ เธอยืนกรานอย่างดื้อรั้น น้ำตาเอ่อล้น ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยแววตาแห่งความมุ่งมั่นและสิ้นหวัง เธอร้องขอโอกาสจากเขาด้วยเสียงสั่นๆ
“ขอร้องล่ะ ช่วยฉันสร้างองค์กรใหม่ด้วยเถอะ…ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ฉันยอมทำทุกอย่าง” เธออ้อนวอนข้อร้องด้วยสายตามุ่งมั่น แต่เอรอสในร่างของเรย์นาร์คกลับไม่ได้สนใจ สำหรับเด็กสาวที่พึ่งพบกันครั้งแรกแล้ว เขาไม่มีความไว้ใจให้แก่เธอเลยแม้แต่น้อย
เธอเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากองค์กรที่เคยส่งมือสังหารมาทำลายชีวิตของเขา แม้เธอจะเป็นทายาทโดยสายเลือดของผู้นำองค์กร แต่แม่ของเธอเป็นเพียงโสเภณี ทำให้เธอถูกดูถูก และ เหยียดหยามจากคนในองค์กร จนกระทั่งองค์กรนั้นถูกเขาทำลายลงในที่สุด
เอรอสถอนหายใจหนักๆ พร้อมจะปฏิเสธ แต่แล้วคาร์ลินกลับคุกเข่าลง เธอสลักพันธสัญญาทาสด้วยเลือดของตัวเอง ลงบนคอเล็กๆที่ซีดเซียว พร้อมกับสัตย์สาบานตนต่อตัวเขาว่าจะไม่ทรยศ และ หักหลังเด็ดขาด เธอยินยอมผูกมัดตัวเองให้เป็นทาสใต้คำสั่งของเขา เพื่อแลกกับความเชื่อใจ เอรอสมองดูการกระทำนั้นด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเด็กสาวคนนี้จะกล้าเอาชีวิตมาเดิมพันกับคนแปลกหน้าเช่นเขาแบบนี้ มันเป็นการกระทำที่บ้าบิ่นและ อันตรายอย่างมาก แล้วในที่สุด เขาจึงยอมแพ้ให้กับความมุ่งมั่นที่แสนดื้อดึงในการกระทำ และตกลงที่จะช่วยเธอ
ในตอนนั้นเขามีความรู้สึกลึกๆว่า หากเขาสัตย์สาบานตนกับตระกูลของเขาก่อนหน้านี้ ชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไปรึเปล่า? แต่เขาก็เลือกที่จะทิ้งความคิดนั้นไว้ ไม่สนใจมันต่อ พร้อมๆกับตั้งเป้สหมายเล็กๆที่จะช่วยเหลือเธอเพียงเพื่อฆ่าเวลา
กลับมาที่เหตุการณ์ตรงหน้า เอรอสถอนหายใจเบาๆ ขณะมองดูคาร์ลินที่กำลังพยายามใช้มานาควบคุมเขตแดนอย่างตั้งใจ เขาก้าวเข้ามาใกล้ วางมือเบาๆบนไหล่ของเธอเพื่อให้กำลังใจ พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกว่าปกติ
“อย่ากดดันตัวเองเกินไป เราค่อยๆฝึกไปทีละขั้น มั่นใจในพลังของตัวเอง เข้าใจไหม?”
คาร์ลินหันมายิ้มให้เขาอย่างมุ่งมั่น ราวกับเป็นคนล่ะคนกับเด็กสาวคนที่เขาพบในวันนั้น บรรยากาศ และ ท่าทางของเธอแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ในช่วงพักจากการฝึกฝน เอรอสมองดูคาร์ลินที่นั่งพิงกำแพงอย่างเหนื่อยล้า เขาหยิบถุงเหรียญขนาดใหญ่จากกระเป๋าเสื้อคลุมแล้ววางลงข้างเธอ เธอทำท่าตกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะตอบเขาสั้นๆ
“ฉันไม่คิดว่าคุณจะให้โอกาสเร็วขนาดนี้...แล้วถ้าเกิดฉันทำพลาดขึ้นมาหล่ะ?”
เอรอสยักไหล่เบาๆ แล้วตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ก็แค่หามาใหม่ ไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น” แต่ในตอนนั้น เหตุการณ์ก่อนที่จะมาที่นี้ก็แวบเข้ามาในหัว เป็นใบหน้าของเจ้าหน้าที่สาวที่พึ่งมาประจำตำแหน่งแผนกสืบสวนเมื่อไม่นานมานี้ เธอที่ตามตื้อเขา พร้อมกับตั้งฉายาแปลกๆ มันทำให้ภาพลักษณ์ของเธอฝังลึกเข้าไปในจิตใจ ทำให้เขาเผลอหัวเราะอย่างไม่รู้ตัว
คาร์ลินเหลือบมองพลางถามด้วยความสงสัย “มีอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่มีหรอก"เอรอสตอบเรียบๆ“แค่มีลางว่าจะได้เจอกับคนที่น่ารำคาญเร็วๆ นี้”
“ผู้หญิงหรอ?”คาร์ลินถาม
“ก็ประมาณนั้น…” เอรอสตอบ แต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของเธอก็ทำให้เขารู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เขารู้ดีว่าเธอมีความรู้สึกพิเศษกับเขา แต่เขายังเชื่อมั่นว่ามันเป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบ หากเธอได้พบคนรุ่นเดียวกันมากกว่านี้ ความรู้สึกคงจางหายไปเอง
เขาหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อ “จะว่าไป เธอสร้างกลุ่มกับพวกเด็กพวกนั้นแล้วใช่ไหม?”
คาร์ลินหันกลับมาพยักหน้า “ใช่ ต้องการข้อมูลอะไรงั้นหรอ?”
เอรอสยิ้มมุมปาก “ฉันอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น…”
คาร์ลินหยุดชะงัก สีหน้าแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย“เห…”
เอรอสยิ้มมุมปากเล็กน้อย พลางตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนปัดเรื่องนี้ออกไป
“ก็แค่อยากรู้ว่าเธอทำงานอยู่เขตไหน… จะได้เลี่ยงไปในวันที่เธออยู่”
คาร์ลินหรี่ตามองเขาด้วยท่าทางที่ไม่พอใจ เธอจ้องมองเขาด้วยแววตาราวกับสงสัย แต่สุดท้ายก็พยักหน้า ตอบรับคำถามของเขาอย่างไม่เต็มใจนัก
“แล้วผู้หญิงคนนั้น… มีลักษณะยังไง? มีอะไรเด่นชัดบ้างไหม?”
เอรอสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ภาพของหญิงสาวคนนั้นแวบขึ้นมาในหัว ผมยาวสลวยสีฟ้าราวกับผืนน้ำมหาสมุทรที่อาบไล้แสงดาว ดวงตาสีฟ้าสดใสสะท้อนแสงคล้ายกับดวงจันทร์ในคืนเงียบสงบ เพียงนึกถึงเธอ เขาก็เผลอหลุดเข้าไปในภวังค์ทำให้ต้องรีบดึงสติตัวเองกลับมาเมื่อเห็นสายตาคมของคาร์ลินจับจ้องมองอย่างไม่พอใจ
“ก็… ผู้หญิงผมยาวสีฟ้า ดวงตาสีเดียวกัน เพิ่งเข้ามาประจำการแผนกสืบสวนของกิล...” เขารีบพูดขึ้นอย่างลนๆ
“แค่นี้พอไหม?
คาร์ลินฟังแล้วทำสีหน้าเบื่อหน่าย คล้ายกับท่าทางของคนที่กำลังจะหมดความอดทนเต็มที เธอพึมพำอย่างเหนื่อยใจ
"คุณเองก็โดนไปด้วยงั้นหรอ? ให้ตายสิ น่ารำคาญจริงๆ!”
เอรอสขมวดคิ้วเล็กน้อยกับท่าทีของเธอ แต่ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“อะไร? ผู้หญิงคนนั้นไปทำอะไรให้ขนาดนั้นหรอ?”
คาร์ลินถอนหายใจ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความหัวเสีย
“ก็ผู้หญิงคนนั้นน่ะสิ ชอบพยายามพาเด็กๆของเราเข้าบ้านเด็กกำพร้า บางทีก็ยังไปชักชวนให้สมาชิกเลิกข้องเกี่ยวกับพวกเราอีกด้วย แบบนี้การขยายตัวขององค์กรถึงมีปัญหา เพราะสมาชิกลดลงอยู่ตลอดเนี่ย”
ท่าทีของเธอดูหัวเสียอย่างมากก่อนจะพูดต่อเสียงเข้ม
“ตอนนี้ก็ต้องแก้ด้วยการจ้างคนหนุ่มเข้ามาทำงานแทนที่ ซึ่งใช้งบประมาณเยอะกว่าเดิม แต่ข้อมูลที่ได้มามันกลับน้อยลง ไม่รู้จะจัดการกับผู้หญิงคนนี้ยังไงดีจริงๆ!”
เอรอสเห็นคาร์ลินมีท่าทีหัวเสีย เขานิ่งคิดก่อนพูดขึ้น “ท่าจะลำบาก เอาเถอะ… เดี๋ยวฉันจะช่วยจัดการเรื่องนี้ให้”
คาร์ลินได้ยินเช่นนั้น สีหน้าเธอผ่อนคลายลงทันที และกุมมือเขาแน่น ดวงตาแสดงความโล่งใจอย่างไม่ปิดบัง
“พูดจริงใช่ไหม? คุณจะช่วยจัดการเธอจริงๆ ใช่ไหม?”
เอรอสพยักหน้าเบาๆ แสดงท่าทีรับฟังอย่างเรียบง่าย ก่อนจะทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ แล้วถามเธออีกครั้ง
“ถ้าผู้หญิงคนนั้นก่อปัญหาขนาดนี้… แสดงว่าเธอมีข้อมูลบางอย่างอยู่แล้วสิ?”
คาร์ลินพยักหน้ารับ เธอเริ่มอธิบายด้วยเสียงที่แฝงความไม่พอใจ
“เธอชื่อว่า ไอลีน ฟรอนเทียร์ อายุ 20 ปี มาจากตระกูลบารอนตกอับแถวชายแดน พี่น้องของเธอเรียนอยู่ในเมืองหลวง ก่อนหน้านี้เธอทำงานเป็นผู้ช่วยนักสืบในบ้านเกิด และย้ายมาที่นี่เพื่อหาประสบการณ์ และ เงินมากขึ้น”
เอรอสพยักหน้าเข้าใจ พร้อมสังเกตเห็นความลังเลในดวงตาของคาร์ลิน จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงสัย
“เป็นอะไร? เธอมีปัญหาอะไรงั้นเหรอ?”
คาร์ลินเงียบลงเล็กน้อยก่อนตอบ “ก็เธอมีวงแหวนมานาแค่วงเดียว ถึงจะสืบสวนเก่งแค่ไหน อนาคตของเธอก็ไม่มีทางก้าวหน้าไปได้ไกล…”
เอรอสพยักหน้าเล็กน้อย แต่ในใจลึกๆกลับรู้สึกเห็นใจ และ สงสัย ความสนใจที่มีต่อเธอค่อยๆเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะที่เธอเป็นถึงลูกสาวของตระกูลขุนนาง แต่กลับมีเพียงวงแหวนมานาแค่วงเดียว ซึ่งเท่ากับปิดกั้นเส้นทางในโลกของชนชั้นสูงไปแล้ว แต่ทว่าท่ามกลางข้อจำกัดเหล่านั้น อะไรกันแน่ที่ผลักดันให้เธอเดินต่อไป…พร้อมรอยยิ้มที่ยังไม่เคยจางหายอยู่บนใบหน้า?
ความคิดนี้รบกวนใจเขาเบาๆ ราวกับได้เห็นบางสิ่งในตัวเธอที่สะท้อนความหวังท่ามกลางข้อจำกัดอันหนักอึ้ง
ในคืนที่เงียบสงัด แสงจันทร์ที่คล้อยต่ำสะท้อนแสงบนพื้นของอาคารร้าง เสียงลมพัดเอื่อยๆผ่านช่องหน้าต่างแตก และ กำแพงที่เต็มไปด้วยรอยกัดกร่อน เอรอสยืนอยู่บนขอบดาดฟ้าชั้นบนสุด มองลงไปยังเงาร่างบางของหญิงสาวที่กำลังเดินอย่างไม่รีบร้อนในตรอกด้านล่างเธอคือไอลีน ฟรอนเทียร์ หญิงสาวที่มีเส้นผมสีฟ้ายาวทอประกายอ่อนโยนภายใต้แสงจันทร์ ดวงตาคมฉายแววแห่งความมุ่งมั่น ผิวขาวซีดของเธอสะท้อนแสงทำให้ดูราวกับเทพธิดาที่ก้าวเดินท่ามกลางโลกแห่งความมืด แม้จะอยู่คนเดียวในตรอกซอยที่เงียบเหงาและอันตราย แต่ท่าทางของไอลีนกลับนิ่งสงบไร้ร่องรอยความหวาดกลัว ไม่หวั่นไหวแม้เสียงลมแรงพัดผ่าน หรือ เงาแมวดำที่วิ่งตัดหน้าเอรอสเฝ้ามองเธอด้วยสายตาคมกริบ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของเขา การเดินของเธอมั่นคง สง่างาม และ รอบคอบ เธอดูเหมือนกำลังสำรวจบางสิ่งในพื้นที่ร้าง ราวกับต้องการค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ ความเยือกเย็นในท่าทีของเธอสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่ไม่เหมือนใคร ท่ามกลางความมืด เธอเหมือนจะกลายเป็นจุดสว่างที่โดนเด่น ยากจะละสายตาสำหรับเอรอสที่สูญเสียความทรงจำทุกอย่างก่อนเกิดโศกนาฏกรรมเมื่อ 4 ปีก่อน
เสียงรองเท้าบูตของไอลีนดังกระทบพื้นในเงามืด แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความมั่นคง เงาของเธอทอดยาวตามผนังซอยแคบ อันธพาลทั้งกลุ่มจ้องมองด้วยสายตาฉงนสงสัย ทันทีที่เห็นอาวุธในมือเธอ บูมเมอแรงสีเงินลวดลายวิจิตรสะท้อนแสงไฟสีฟ้าจางๆ พวกมันถึงกับนิ่งเงียบไปเมื่อเห็นแสงสีฟ้าระยิบระยับที่ปลายอาวุธ อันธพาลคนหนึ่งขมวดคิ้วและกระซิบกับเพื่อนๆด้วยน้ำเสียงประหม่า จนในที่สุดก็อดไม่ได้ต้องพูดออกมา“อย่าบอกนะว่าเธอจะเอาของแบบนั้นมาสู้กับเรา?”เขาหัวเราะเบาๆ แต่สายตายังจับจ้องอย่างหวาดระแวง ขณะที่หนึ่งในแสดงออกด้วยท่าทางงที่เย้ยหยัน"อะไรจ่ะน้องสาว? จะเอาของสิ่งนั้นมาปาใส่พวกเรา?” มันหัวเราะเสียงเยาะขณะที่จ้องมองเธอด้วยสายตาไม่เกรงกลัวไอลีนเพียงแค่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เธอไม่ตอบคำใดๆ ก่อนจะยกสิ่งนั้นขึ้นเล็งไปที่กลุ่มคนตรงหน้า ท่าทางของเธอแน่วแน่ มั่นคง ไร้ความลังเลทันใดนั้น อันธพาลคนหนึ่งที่รู้สึกถึงอันตราย มันพุ่งเข้าใส่เธอด้วยความรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่มือของมันจะสัมผัสตัวเธอ ไอลีนก็เหนี่ยวไก วงแหวนสีฟ้าเรืองแสงพุ่งออกจากปลายอาวุธ กระแทกเข้าที่กลางตัวของชายคนนั้นอย่างจัง ร่างของเขาลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อยก่อนจะล
เอรอสยืนมองไอลีนที่เก็บ Arcane Pulse Gun เข้าที่ ท่าทางของเธอแน่วแน่ แต่สายตากลับแฝงด้วยความเหนื่อยล้า เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงทุ้มสงบ“ยังตามหาพวกรีดไถ่อยู่อีกงั้นเหรอ?”ไอลีนยักไหล่ แววตาฉายความมุ่งมั่น“ใช่สิ จะให้พวกนั้นอยู่เฉย ๆ แล้วทำร้ายคนอื่นไปเรื่อยเหรอ?”ไอลีนปรายตามองเขาด้วยรอยยิ้มล้อเลียน พร้อมเอียงศีรษะเล็กน้อย“แล้วคุณ หมาป่าเดียวดาย มาทำอะไรแถวนี้? มาตามหาฉันหรือไง?”เอรอสถอนหายใจเบาๆ เขาส่ายหัวอย่างระอากับชื่อเล่นที่เธอตั้งให้เขา แม้ในใจจะรู้สึกไม่ชอบใจนัก แต่ก็เลือกที่จะทำสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆกับฉายาที่เธอแกล้งตั้งให้ ก่อนที่จะขยับตัว เอามือไพล่ไว้ด้านหลัง“ใช่ ฉันมาที่นี่เพื่อเตือนเธอ”ไอลีนเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าสงสัยปนฉงน “เตือน? เตือนเรื่องอะไร?”เอรอสถอนหายใจแผ่วเบา เผยให้เห็นถึงน้ำเสียงจริงจังขึ้น “ฉันอยากให้เธอหยุดพาเด็กๆ จากสลัมไปอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าแบบนั้น มันเปล่าประโยชน์”คำพูดนั้นทำให้ไอลีนชะงักไป เธอมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ"คุณหมายความว่าไง? ฉันแค่พาเด็กๆ ไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยกว่า ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย"เอ
เอรอส และ ไอลีนเฝ้ามองเหตุการณ์ในอาคารเก่า จากทางด้านหน้าในระยะไกล เขาใช้กล้องส่องทางไกลแบบตาเดียวที่ดูเก่าโทรม มันมีผ้าพันรอบตัวกล้อง และถูกทาสีทับในหลายชั้นจนพื้นผิวดูขรุขระ และ ซีดเก่า ดูราวกับเป็นของใช้มานาน แต่ไอลีนที่เคยเห็นกล้องแบบนี้มาก่อน กลับรู้ดีว่ากล้องตาเดียวทุกชิ้นต่างมีคุณภาพ และ มีราคาค่อนข้างสูง ไม่น่าจะถูกเจอในสภาพแบบนี้เลนส์ของกล้องก็ดูแปลกตา คล้ายมีชั้นฟิล์มบางๆสีดำด้านเคลือบไว้ ทำให้มันไม่สะท้อนแสงออกมาจากภายในเหมือนกล้องทั่วไป เธออดคิดไม่ได้ว่ากล้องนี้อาจเคยเป็นของมีค่ามาก่อน แต่ด้วยสภาพที่เขาใช้ ผู้อื่นที่มองเห็น คงนึกว่าเป็นของเก่าๆไร้ค่าในขณะที่ทั้งคู่สังเกตสถานการณ์ในนั้น ไอลีนเห็นชายในชุดทหารรักษาการณ์นั่งดื่มกินร่วมกับพวกคนในนั้นอย่างสนุกสนาน ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวในใจของเธอ เพราะสิ่งที่เธอเห็นนั้นแตกต่างจากที่บ้านเกิดของเธออย่างสิ้นเชิงบ้านเกิดของไอลีนเป็นสถานที่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของเธอกับชาวบ้าน และ ผู้ใต้บังคับบัญชาผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น บรรยากาศที่นั่นอบอุ่น เปี่ยมไปด้วยความรัก ความใกล้ชิด ตระกูลของเธอไม่เคยแบ่งแยกชนชั้น หรือ ถือว่าตนสูงส่ง
เอรอสและไอลีนซุ่มดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ จากจุดที่ถูกซุ่มดูอยู่ ใบหน้าไอลีนเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเธอเห็นบอสขององค์กรยืนอยู่กลางห้อง จ้องมองผู้หญิงที่คุกเข่าลงอย่างเย้ยหยัน พลังแผ่พลังกดดันหญิงสาวอย่างหนักหน่วง จนเธอต้องสร้างมานาเบาบางขึ้นมาปกป้องตัวเอง แม้จะใกล้หมดแรงเต็มที แต่เธอก็ยังดิ้นรมไม่ยอมจำนนอยู่แววตาโกรธพลุ่งพล่านในดวงตาของไอลีน เหมือนเธอพร้อมจะพุ่งเข้าไปจัดการในทันที แต่เอรอสที่ยืนอยู่ข้างๆจับสังเกตความเครียดของเธอได้ เขาหันไปมองเธออย่างนิ่งๆ ก่อนเอ่ยเตือนด้วยเสียงเรียบ“นี่เธอกำลังคิดจะทำอะไร?”ไอลีนสบตาเขา แม้จะพยายามสะกดอารมณ์ แต่แววตามุ่งมั่นนั้นบอกชัดเจนว่าเธออยากจะช่วยหญิงสาวคนนั้นให้ได้ ไม่ว่าต้องเสี่ยงแค่ไหน เธอกระชับปืนในมือแน่น ตั้งใจจะลงมือเต็มที่ แต่ก่อนที่เธอจะเคลื่อนไหว เอรอสก็คว้าข้อมือเธอไว้แน่น พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“อย่าไป ถ้าเธอพุ่งเข้าไปตอนนี้ เธอตายแน่ๆ” เขามองเข้าไปในดวงตาเธอเพื่อย้ำให้รู้ถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้น“ผู้ชายคนนั้นมีถึงสามวงแหวน ระดับเธอที่มีแค่วงแหวนเดียวจะทำอะไรเขาได้?”ไอลีนสะบัดข้อมือออกด้วยท่าทางดื้อดึง แววตาเด็ดเดี่ยว “ถ้านายไ
หลังจากเอรอสจัดการลูกสมุนที่ตามล่าเขาจนหมดสิ้น เขาเก็บรวบรวมถุงเงินและของมีค่าทั้งหมดไปซ่อนไว้ในที่ปลอดภัย ก่อนจะย้อนกลับมาที่เดิม จัดแจงให้ร่างกายแนบชิดไปกับเงามืดของต้นไม้ใหญ่ ตาจับจ้องไปที่ไอลีนซึ่งกำลังต่อสู้กับบอสขององค์กรอย่างดุเดือด โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าเขากำลังเฝ้ามองอยู่ใกล้ ๆเอรอสมองตามทุกการเคลื่อนไหวของเธออย่างเงียบงัน ขณะที่ไอลีนพยายามหลบหลีกและโจมตีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าร่างกายจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่แววตาของเธอกลับเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น ท่าทางการต่อสู้ที่ดุดันนั้นทำให้เอรอสรู้สึกทึ่ง รู้สึกถึงความกล้าหาญที่เขาไม่คาดคิดว่าจะพบในตัวเธอ ท่ามกลางความวุ่นวายและเสียงปะทะ เขาแอบมองเธอในความมืด รู้สึกได้ถึงความพยายามอันเด็ดเดี่ยวที่หายากในตัวคนทั่วไปร่างกายของไอลีนดูอ่อนล้าลงเรื่อยๆ หายใจหอบแรง บาดแผลที่แขนและขาดูเหมือนจะทำให้เธอแทบยืนไม่ไหว แต่เธอก็ยังคงยืนหยัด และพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลัง จนกระทั่งเอรอสสังเกตเห็นบางสิ่งบนพื้นใกล้ๆโพชั่นมานาขวดหนึ่งที่ตกอยู่ไม่ไกลจากหญิงสาวที่ไอลีนตั้งใจจะไปช่วย เป็นโพชั่นเดียวที่เขาเอาไว้ให้เธอสามารถฟื้นฟูมานาของตัวเองใยการต่อสู้ แต่ไอลี
เอรอสพุ่งเข้าหามันสุดกำลัง พื้นดินสั่นสะเทือนภายใต้ฝีเท้าหนักของเขา เสียงคำรามต่ำของมันดังก้องราวสัตว์ร้ายที่เฝ้ารอจะเข่นฆ่า เงาดำก่อตัวจากร่างของมัน แผ่พลังเวทย์สีเขียวหม่นรุนแรง จนสั่นคลอนทุกสิ่งรอบข้าง ดิน และ เศษหิน กระจัดกระจายอย่างรุนแรงจนพื้นดินรอบๆแตกออกเป็นริ้วร้าวลึกกลิ่นฝุ่นดินคละคลุ้ง กลบอากาศจนรู้สึกอึดอัด บรรยากาศมืดครึ้มกดดันเหมือนทั้งโลกกำลังถูกกลืนด้วยพลังชั่วร้าย หินยักษ์ผุดขึ้นจากพื้นรอบตัวมันตามแรงเรียกของเวทมนตร์ บรรยากาศโดยรอบบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัวจนราวกับว่าทั้งพื้นที่กำลังจะถล่มลงมามันเหวี่ยงแขนมหึมาขึ้น หินก้อนใหญ่ลอยขึ้นเหนือพื้น แสงเขียวหม่นเรืองรองห่อหุ้มก้อนหินที่หมุนวนรอบตัวมันอย่างเกรี้ยวกราด มันปล่อยเสียงคำรามเบาๆคล้ายหัวเราะอย่างเย้ยหยัน หินพุ่งตรงเข้าใส่เอรอสในพริบตา เอรอสกระโดดหลบอย่างฉิวเฉียด เศษดินและแรงลมจากหินที่พุ่งเฉียดหน้าทำให้เขาต้องหรี่ตา ปัดฝุ่นผงออกจากใบหน้าเอรอสสะบัดขวานทองในมือที่ส่องประกายแสงจันทร์ออกมาเหมือนดวงดาว ขณะฟาดฟันหินที่พุ่งเข้ามาแตกกระจายเป็นเศษเล็กๆ เสียงหินระเบิดดังสะท้อนรอบบริเวณ เศษหินกระเด็นเป็นฝุ่นผงลอยกระจายไปทั่วจนป
เสียงหอบของเอรอสกลืนไปกับเสียงลั่นของหิน และ ฝุ่นที่ลอยคละคลุ้งในอากาศ เขายืนหยัดอยู่กลางพื้นที่ของอาคารที่ถูกทำลายจากการโจมตีของทั้งสองฝั่ง ผิวดินที่แตกออกเป็นริ้วรอย และ เศษหินเกลื่อนกลาดรอบตัวเป็นพยานถึงการโจมตีที่รุนแรง ขวานสีทองในมือยังคงส่องแสงท่ามกลางหมอกฝุ่นรอบตัว หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำในอก แต่อย่างไรเขาก็ต้องยืนหยัดต่อไป ไม่ให้ศัตรูเบื้องหน้ามองเห็นความอ่อนแอมิโนทอร์ร่างยักษ์ตรงหน้า ผิวหนังสีคล้ำประหนึ่งแผ่นหิน ถูกปกคลุมด้วยชุดเกราะหนาทึบ เงามืดและพลังเวทย์สีเขียวหม่นแผ่กระจายออกจากร่างของมันอย่างน่ากลัว มันกวัดแกว่งขวานหินขนาดใหญ่ในมือเหมือนกับมันเป็นเพียงแค่ของเล่น ก่อนที่มันจะย่างสามขุมเข้ามาหาเอรอส ใบหน้าหนากร้าวคล้ายสัตว์ร้าย ดวงตาสีแดงเรืองวาวอย่างดุดัน คำรามต่ำในลำคอ ราวกับต้องการบดขยี้เขาให้กลายเป็นเศษซากใต้เท้าของมันขวานหินนั้นฟาดลงมาอีกครั้ง พื้นดินระเบิดแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ด้วยพลังดุจแผ่นดินไหว เอรอสรีบกระโดดถอยหลัง พลางปัดป้องอย่างฉิวเฉียด ก่อนจะตวัดขวานของเขาฟาดฟันใส่ขาของมัน แต่แสงสะท้อนของเกราะหินบนร่างมันทำให้คมขวานของเอรอสเบี่ยงไป ขวานทองกระแทกเข้ากับเกราะ