หน้าหลัก / แฟนตาซี / พันธะสัญญาของผู้กลืนกิน / ตอนที่ 30 ศิษย์และอาจารย์ในดันเจี้ยน

แชร์

ตอนที่ 30 ศิษย์และอาจารย์ในดันเจี้ยน

ในดันเจี้ยนร้างที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงหายใจแผ่วเบาของคาร์ลิน และ เอรอสที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเรย์ราร์คยืนห่างกันเล็กน้อย แสงสลัวจากเพดานหินเหนือศีรษะทำให้พื้นที่ๆดูรกร้างแห่งนี้ มีบรรยกาศที่ชวนขนลุก และ น่าหวาดกลัว แต่เอรอสกลับยืนนิ่งสงบ ไม่แสดงท่าทีวิตกใดๆ

เขามองดูคาร์ลินที่ยืนพยายามควบคุมมานา และ สร้างเขตแดนด้วยสีหน้าครุ่นคิด เอรอสยื่นมือออกมาแตะแขนเธอเบาๆ สอนให้เธอหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ แล้วควบคุมมานาอย่างประณีตที่สุด

“ผ่อนคลาย แล้วค่อยๆโฟกัสที่พื้นที่รอบ เชื่อมต่อความรู้สึก ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของมัน” เขาเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงมั่นคง และผ่อนคลาย “อย่ากดดันตัวเอง ค่อยๆปล่อยให้มานาของเธอขยายออกไปทีละนิด”

คาร์ลินหลับตาลง พยายามทำตามคำแนะนำของเขาอย่างตั้งใจ รู้สึกถึงมานาที่เริ่มขยายออกเป็นวงเล็กๆ รอบตัว เสียงของเขาช่วยเสริมความมั่นใจให้แก่เธอมากขึ้น เธอเริ่มสร้างเขตแดนขึ้นมาได้ทีละน้อย จนเริ่มเห็นเขตแดนเป็นรูปวงกลมรอบตัวเธอทีละนิด โดยมีเอรอสคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง

เอรอสยืนอมองดูคาร์ลินที่กำลังพยายามสร้างเขตแดนด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม เขายืนเงียบๆอยู่ข้างๆเธอ ดวงตาสะท้อนความทรงจำที่ชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง ความทรงจำในวันแรกที่พวกเขาพบกัน ท่ามกลางซากปรักหักพัง หลังจากการล่มสลายขององค์กรที่เคยจองเวรเขามานาน

ในวันนั้น เด็กสาวในวัย 14 ปี มีร่างกายที่ผอมบาง เต็มไปด้วยรอยแผลฟกช้ำ บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน เอรอสตั้งใจจะส่งเธอไปยังบ้านเด็กกำพร้าพร้อมเงินจำนวนหนึ่งให้พอมีชีวิตอยู่ได้ แต่คาร์ลินกลับปฏิเสธ เธอยืนกรานอย่างดื้อรั้น น้ำตาเอ่อล้น ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยแววตาแห่งความมุ่งมั่นและสิ้นหวัง เธอร้องขอโอกาสจากเขาด้วยเสียงสั่นๆ

“ขอร้องล่ะ ช่วยฉันสร้างองค์กรใหม่ด้วยเถอะ…ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ฉันยอมทำทุกอย่าง” เธออ้อนวอนข้อร้องด้วยสายตามุ่งมั่น แต่เอรอสในร่างของเรย์นาร์คกลับไม่ได้สนใจ สำหรับเด็กสาวที่พึ่งพบกันครั้งแรกแล้ว เขาไม่มีความไว้ใจให้แก่เธอเลยแม้แต่น้อย

เธอเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากองค์กรที่เคยส่งมือสังหารมาทำลายชีวิตของเขา แม้เธอจะเป็นทายาทโดยสายเลือดของผู้นำองค์กร แต่แม่ของเธอเป็นเพียงโสเภณี ทำให้เธอถูกดูถูก และ เหยียดหยามจากคนในองค์กร จนกระทั่งองค์กรนั้นถูกเขาทำลายลงในที่สุด

เอรอสถอนหายใจหนักๆ พร้อมจะปฏิเสธ แต่แล้วคาร์ลินกลับคุกเข่าลง เธอสลักพันธสัญญาทาสด้วยเลือดของตัวเอง ลงบนคอเล็กๆที่ซีดเซียว พร้อมกับสัตย์สาบานตนต่อตัวเขาว่าจะไม่ทรยศ และ หักหลังเด็ดขาด เธอยินยอมผูกมัดตัวเองให้เป็นทาสใต้คำสั่งของเขา เพื่อแลกกับความเชื่อใจ เอรอสมองดูการกระทำนั้นด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเด็กสาวคนนี้จะกล้าเอาชีวิตมาเดิมพันกับคนแปลกหน้าเช่นเขาแบบนี้ มันเป็นการกระทำที่บ้าบิ่นและ อันตรายอย่างมาก แล้วในที่สุด เขาจึงยอมแพ้ให้กับความมุ่งมั่นที่แสนดื้อดึงในการกระทำ และตกลงที่จะช่วยเธอ

ในตอนนั้นเขามีความรู้สึกลึกๆว่า หากเขาสัตย์สาบานตนกับตระกูลของเขาก่อนหน้านี้ ชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไปรึเปล่า? แต่เขาก็เลือกที่จะทิ้งความคิดนั้นไว้ ไม่สนใจมันต่อ พร้อมๆกับตั้งเป้สหมายเล็กๆที่จะช่วยเหลือเธอเพียงเพื่อฆ่าเวลา

กลับมาที่เหตุการณ์ตรงหน้า เอรอสถอนหายใจเบาๆ ขณะมองดูคาร์ลินที่กำลังพยายามใช้มานาควบคุมเขตแดนอย่างตั้งใจ เขาก้าวเข้ามาใกล้ วางมือเบาๆบนไหล่ของเธอเพื่อให้กำลังใจ พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกว่าปกติ

“อย่ากดดันตัวเองเกินไป เราค่อยๆฝึกไปทีละขั้น มั่นใจในพลังของตัวเอง เข้าใจไหม?”

คาร์ลินหันมายิ้มให้เขาอย่างมุ่งมั่น ราวกับเป็นคนล่ะคนกับเด็กสาวคนที่เขาพบในวันนั้น บรรยากาศ และ ท่าทางของเธอแตกต่างกันอย่างชัดเจน

ในช่วงพักจากการฝึกฝน เอรอสมองดูคาร์ลินที่นั่งพิงกำแพงอย่างเหนื่อยล้า เขาหยิบถุงเหรียญขนาดใหญ่จากกระเป๋าเสื้อคลุมแล้ววางลงข้างเธอ เธอทำท่าตกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะตอบเขาสั้นๆ

“ฉันไม่คิดว่าคุณจะให้โอกาสเร็วขนาดนี้...แล้วถ้าเกิดฉันทำพลาดขึ้นมาหล่ะ?”

เอรอสยักไหล่เบาๆ แล้วตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ก็แค่หามาใหม่ ไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น” แต่ในตอนนั้น เหตุการณ์ก่อนที่จะมาที่นี้ก็แวบเข้ามาในหัว เป็นใบหน้าของเจ้าหน้าที่สาวที่พึ่งมาประจำตำแหน่งแผนกสืบสวนเมื่อไม่นานมานี้ เธอที่ตามตื้อเขา พร้อมกับตั้งฉายาแปลกๆ มันทำให้ภาพลักษณ์ของเธอฝังลึกเข้าไปในจิตใจ ทำให้เขาเผลอหัวเราะอย่างไม่รู้ตัว 

คาร์ลินเหลือบมองพลางถามด้วยความสงสัย “มีอะไรหรือเปล่า?”

“ไม่มีหรอก"เอรอสตอบเรียบๆ“แค่มีลางว่าจะได้เจอกับคนที่น่ารำคาญเร็วๆ นี้”

“ผู้หญิงหรอ?”คาร์ลินถาม

“ก็ประมาณนั้น…” เอรอสตอบ แต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของเธอก็ทำให้เขารู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เขารู้ดีว่าเธอมีความรู้สึกพิเศษกับเขา แต่เขายังเชื่อมั่นว่ามันเป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบ หากเธอได้พบคนรุ่นเดียวกันมากกว่านี้ ความรู้สึกคงจางหายไปเอง

เขาหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อ “จะว่าไป เธอสร้างกลุ่มกับพวกเด็กพวกนั้นแล้วใช่ไหม?”

คาร์ลินหันกลับมาพยักหน้า “ใช่ ต้องการข้อมูลอะไรงั้นหรอ?”

เอรอสยิ้มมุมปาก “ฉันอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น…”

คาร์ลินหยุดชะงัก สีหน้าแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย“เห…”

เอรอสยิ้มมุมปากเล็กน้อย พลางตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนปัดเรื่องนี้ออกไป

“ก็แค่อยากรู้ว่าเธอทำงานอยู่เขตไหน… จะได้เลี่ยงไปในวันที่เธออยู่”

คาร์ลินหรี่ตามองเขาด้วยท่าทางที่ไม่พอใจ เธอจ้องมองเขาด้วยแววตาราวกับสงสัย แต่สุดท้ายก็พยักหน้า ตอบรับคำถามของเขาอย่างไม่เต็มใจนัก

“แล้วผู้หญิงคนนั้น… มีลักษณะยังไง? มีอะไรเด่นชัดบ้างไหม?”

เอรอสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ภาพของหญิงสาวคนนั้นแวบขึ้นมาในหัว ผมยาวสลวยสีฟ้าราวกับผืนน้ำมหาสมุทรที่อาบไล้แสงดาว ดวงตาสีฟ้าสดใสสะท้อนแสงคล้ายกับดวงจันทร์ในคืนเงียบสงบ เพียงนึกถึงเธอ เขาก็เผลอหลุดเข้าไปในภวังค์ทำให้ต้องรีบดึงสติตัวเองกลับมาเมื่อเห็นสายตาคมของคาร์ลินจับจ้องมองอย่างไม่พอใจ

“ก็… ผู้หญิงผมยาวสีฟ้า ดวงตาสีเดียวกัน เพิ่งเข้ามาประจำการแผนกสืบสวนของกิล...” เขารีบพูดขึ้นอย่างลนๆ 

“แค่นี้พอไหม?

คาร์ลินฟังแล้วทำสีหน้าเบื่อหน่าย คล้ายกับท่าทางของคนที่กำลังจะหมดความอดทนเต็มที เธอพึมพำอย่างเหนื่อยใจ

"คุณเองก็โดนไปด้วยงั้นหรอ? ให้ตายสิ น่ารำคาญจริงๆ!”

เอรอสขมวดคิ้วเล็กน้อยกับท่าทีของเธอ แต่ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“อะไร? ผู้หญิงคนนั้นไปทำอะไรให้ขนาดนั้นหรอ?”

คาร์ลินถอนหายใจ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความหัวเสีย

“ก็ผู้หญิงคนนั้นน่ะสิ ชอบพยายามพาเด็กๆของเราเข้าบ้านเด็กกำพร้า บางทีก็ยังไปชักชวนให้สมาชิกเลิกข้องเกี่ยวกับพวกเราอีกด้วย แบบนี้การขยายตัวขององค์กรถึงมีปัญหา เพราะสมาชิกลดลงอยู่ตลอดเนี่ย”

ท่าทีของเธอดูหัวเสียอย่างมากก่อนจะพูดต่อเสียงเข้ม

“ตอนนี้ก็ต้องแก้ด้วยการจ้างคนหนุ่มเข้ามาทำงานแทนที่ ซึ่งใช้งบประมาณเยอะกว่าเดิม แต่ข้อมูลที่ได้มามันกลับน้อยลง ไม่รู้จะจัดการกับผู้หญิงคนนี้ยังไงดีจริงๆ!”

เอรอสเห็นคาร์ลินมีท่าทีหัวเสีย เขานิ่งคิดก่อนพูดขึ้น “ท่าจะลำบาก เอาเถอะ… เดี๋ยวฉันจะช่วยจัดการเรื่องนี้ให้”

คาร์ลินได้ยินเช่นนั้น สีหน้าเธอผ่อนคลายลงทันที และกุมมือเขาแน่น ดวงตาแสดงความโล่งใจอย่างไม่ปิดบัง

“พูดจริงใช่ไหม? คุณจะช่วยจัดการเธอจริงๆ ใช่ไหม?”

เอรอสพยักหน้าเบาๆ แสดงท่าทีรับฟังอย่างเรียบง่าย ก่อนจะทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ แล้วถามเธออีกครั้ง 

“ถ้าผู้หญิงคนนั้นก่อปัญหาขนาดนี้… แสดงว่าเธอมีข้อมูลบางอย่างอยู่แล้วสิ?”

คาร์ลินพยักหน้ารับ เธอเริ่มอธิบายด้วยเสียงที่แฝงความไม่พอใจ

“เธอชื่อว่า ไอลีน ฟรอนเทียร์ อายุ 20 ปี มาจากตระกูลบารอนตกอับแถวชายแดน พี่น้องของเธอเรียนอยู่ในเมืองหลวง ก่อนหน้านี้เธอทำงานเป็นผู้ช่วยนักสืบในบ้านเกิด และย้ายมาที่นี่เพื่อหาประสบการณ์ และ เงินมากขึ้น”

เอรอสพยักหน้าเข้าใจ พร้อมสังเกตเห็นความลังเลในดวงตาของคาร์ลิน จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงสัย

“เป็นอะไร? เธอมีปัญหาอะไรงั้นเหรอ?”

คาร์ลินเงียบลงเล็กน้อยก่อนตอบ “ก็เธอมีวงแหวนมานาแค่วงเดียว ถึงจะสืบสวนเก่งแค่ไหน อนาคตของเธอก็ไม่มีทางก้าวหน้าไปได้ไกล…”

เอรอสพยักหน้าเล็กน้อย แต่ในใจลึกๆกลับรู้สึกเห็นใจ และ สงสัย ความสนใจที่มีต่อเธอค่อยๆเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะที่เธอเป็นถึงลูกสาวของตระกูลขุนนาง แต่กลับมีเพียงวงแหวนมานาแค่วงเดียว ซึ่งเท่ากับปิดกั้นเส้นทางในโลกของชนชั้นสูงไปแล้ว แต่ทว่าท่ามกลางข้อจำกัดเหล่านั้น อะไรกันแน่ที่ผลักดันให้เธอเดินต่อไป…พร้อมรอยยิ้มที่ยังไม่เคยจางหายอยู่บนใบหน้า?

ความคิดนี้รบกวนใจเขาเบาๆ ราวกับได้เห็นบางสิ่งในตัวเธอที่สะท้อนความหวังท่ามกลางข้อจำกัดอันหนักอึ้ง

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status