เอรอสนั่งนิ่ง มองจดหมายที่อยู่ในมืออย่างเงียงงัน หัวใจของเขารู้สึกหนักอึ้ง แม้ใบหน้าจะดูสงบนิ่งไร้อารมณ์ แต่ภายในกลับสับสนวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม เขาหันไปยังคาร์ลีนก่อนจะพูดออกมา
“สนามประลองจะเริ่มเมื่อไหร่?” เอรอสเอ่ยถาม น้ำเสียงต่ำและหนักแน่น สะท้อนความถึงมุ่งมั่นที่กำลังถูกสั่นคลอนอยู่ลึกๆ
คาร์ลีนช้อนตามองเขา ความสงสัยปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในแววตาของเธอ
“อีกห้าวัน... พวกมันต้องเวลาในการโปรโมทงาน และ ดึงดูดความสนใจจากชนชั้นสูงทุกระดับ”
คำตอบของเธอทำให้เอรอสถึงกับนิ่งไป เสียงของคาร์ลีนค่อยๆเลือนหายไปในความคิดของเขา เขานึกถึงวงแหวนมานาที่ถูกทำลายในเขตแดน ในช่วงที่เขากำลังถูกครอบงำ ส่งผลให้พลังเวทของเขาลดน้อยลง จนแทบจะใช้งานอะไรไม่ได้ การฟื้นฟูวงแหวนมานาในเวลาสั้นๆมันมีวิธีอยู่ ถึงแม้ว่าลึกๆแล้ว เขาจะไม่อยากใช้มันก็ตาม
"คงต้องใช้วิธีนั้นแล้วสินะ…” เอรอสคิดอย่างฝืนใจ แม้จะรู้ดีว่านี่คือการข้ามเส้นในสิ่งที่ไม่ควรทำ ความหวาดหวั่นบางอย่างแทรกซึมในใจจนรู้สึกถึงมันได้ชัดเจนเอรอสคิดอย่างฝืนใจ แม้จะรู้ดีว่าจะเป็นการข้ามเส้นในสิ่งที่ไม่ควรทำ
คาร์ลีนมองเขาด้วยความสงสัย คิ้วของเธอขมวดแน่นขึ้น
“ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างในใจนะ? นายอยากจะพูดอะไรไหม?”
“ไม่เป็นไร แค่ให้ฉันใช้เวลาคิดอะไรคนเดียวสักหน่อย…. เดี่ยวจะตามไป”เอรอสตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามปกปิดความรู้สึกว้าวุ่นในใจ เขาหลบสายตาของคาร์ลีนและหลับตาลงลึก ๆ ราวกับต้องการปิดกั้นโลกภายนอก
คาร์ลีนพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะเดินออกจากห้อง พร้อมกับหญิงสาวข้างกายเธอ ปล่อยให้เอรอสอยู่คนเดียวในห้องประชุมอันเงียบงันเพียงลำพัง แสงจันทร์ที่ถูกจำลงอขึ้นมาลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้เงาของเขาทอดยาวบนพื้นเย็น
เอรอสนั่งนิ่ง พลางหวนคิดถึงวันเก่า ๆ ที่เคยเกิดขึ้น
ครั้งหนึ่ง หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจจัดการลัทธิประหลาดนอกตัวเมือง เอรอสในวัยสิบเจ็ดปีเดินเข้าไปในห้องลับที่เต็มไปด้วยเอกสารที่มีกลิ่นอายของความลับที่ไม่ควรเปิดเผย เขาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาด้วยความสนใจ ขณะที่อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีเพิ่มมานาและสร้างวงแหวนผ่านการดึงมันมาจากร่างของคนอื่น ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมา แววตาเจือด้วยความตื่นเต้นที่ยากจะซ่อน
“ถ้าใช้วิธีนี้ล่ะก็… ฉันก็จะมีวงแหวนมานาเหมือนคนอื่นๆ…” เอรอสพึมพำเบาๆ น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น เขาสัมผัสได้ถึงโอกาสที่จะทำให้เขาหลุดพ้นจากความอ่อนแอที่มีอยู่ โดยมันจะทำให้ให้เขา ไม่ต้องกลับไปใช้ร่างนั้นอีก
แต่ไม่ทันที่เขาจะอ่านจบ มือเรียวของรุ่นพี่ก็คว้าเอกสารไปจากมือเขา ดวงตาสีฟ้าอ่อนของเธอจ้องเขาอย่างดุดัน แต่ในแววตานั้นกลับแฝงความห่วงใยลึกๆ เธอสูดหายใจเข้า คุมโทนเสียงให้นุ่มนวลแม้แฝงด้วยความเคร่งขรึม
“นายไม่ควรอ่านอะไรแบบนี้นะ” เธอกล่าวเตือน
เอรอสเลิกคิ้ว สบตาเธอพร้อมตอบแย้ง “แต่ว่า…ถ้าใช้วิธีนี้ ฉันก็จะมีวงแหวนมานาไม่ต่างจากคนอื่นๆ…. พวกมันเป็นแค่อาชญากร จะให้ค่ามันทำไมกัน?”
“เอรอส!” เธอเรียกชื่อเขาด้วยเสียงหนักแน่น ความไม่พอใจเจือเข้ามาในดวงตา
“ไม่ว่าพวกมันจะทำอะไรไว้ พวกเรามีหน้าที่ส่งมันให้กฎหมายจัดการ นั่นคือสิ่งที่เราควรทำ”เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่ง สายตาฉายชัดถึงความเป็นห่วง
“การต่อสู้กับความชั่วร้าย ต้องระวังไม่ให้ตัวเองกลายเป็นแบบนั้นด้วย”
เธอลูบศีรษะเขาเบาๆ ดวงตาของเธอนุ่มนวลขึ้น ราวกับต้องการซึมซับเอาความไร้เดียงสาในตอนนี้ให้มากที่สุด
“ฉันไม่อยากให้นายกลายเป็นคนแบบนั้นนะ… อย่างน้อยก็รักษาความเป็นมนุษย์ที่มีอยู่เอาไว้ อย่าทำแบบพวกมันเด็ดขาด”
เอรอสชะงักไป ความแน่วแน่ในแววตากลับวูบไหวขึ้น คำพูดของเธอทำให้ความขัดแย้งภายในใจของเขาถูกกดทับ แม้ส่วนหนึ่งของเขาจะยังไม่เห็นด้วยเต็มที่ แต่เขากลับเลือกที่จะไม่โต้แย้ง
รุ่นพี่มองเขาอย่างอบอุ่นก่อนจะวางมือลงบนบ่า เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อย่าให้อะไรก็ตาม พรากตัวตนของนายไป นายสามารถเข้มแข็งได้โดยไม่ต้องใช้วิธีแบบนั้น…. ฉันเชื่อว่านายทำได้”
แม้ในใจเอรอสจะยังคงมีข้อสงสัย แต่น้ำเสียงและสัมผัสอ่อนโยนของเธอกลับทำให้เขารู้สึกสงบลง ความเชื่อที่เธอมีต่อเขา เป็นสิ่งที่ทำให้เขาหันหลังให้กับความคิดมืดมนที่เคยถาโถมเข้ามา และนับจากวันนั้น เขาสัญญาว่าจะไม่ก้าวข้ามเส้นที่เธอได้เคยเตือนเอาไว้อีก
ในห้องประชุมที่เงียบสงัด เอรอสนั่งนิ่งอยู่เพียงลำพัง ใบหน้าสงบนิ่งแต่ดวงตากลับเปี่ยมด้วยความขัดแย้งภายใน เขาลืมตาขึ้น มองไปยังเงาของตัวเองที่ทอดยาวบนพื้น คำถามมากมายตีวนอยู่ในหัว ความคิดของเขาพลันกลับไปยังวันที่เขาพบกับรุ่นพี่เป็นครั้งแรก ภาพนั้นชัดเจนราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน แม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ความทรงจำนั้นยังคงชัดเจนอยู่เสมอ
เมื่อเอรอสถูกขับไล่ออกจากตระกูลในวัย 16 ปี ชีวิตของเขากลับเต็มไปด้วยความท้าทาย และ ยากลำบาก เขาต้องเอาตัวรอดโดยไม่มีใครคอยชี้นำหรือให้คำปรึกษา สังคมที่เคยรู้จักกลายเป็นศัตรู เสมือนว่าเขาอยู่บนโลกนี้ตามลำพัง
ในช่วงเวลาเหล่านั้น เอรอสเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เสมอว่าเขาทำอะไรผิดพลาดตรงไหน? ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้กับเขา? เขาเลือกจะซ่อนตัวตนอื่นที่อยู่ในร่างกาย เพื่อไม่ให้ เอลน่า และ ผู้คนรอบข้างหวาดกลัวในตัวเขา การกระทำทุกอย่างก็เพื่อปกป้อง เอเลน่า และ ชื่อเสียงของตระกูล แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าเขาถูกตัดขาด และ ถูกทอดทิ้ง จากตระกูลที่เขาทุ่มเทอยู่เสมอ
ความเจ็บปวด และ ความเกรี้ยวกราดในจิตใจ พาเขาให้ตัดสินใจออกเดินทางตามล้างแค้นองค์กรที่ทำลายชีวิตเขา มันเหมือนเงาที่คอยตามหลอกหลอน และ เปลี่ยนชีวิตที่เคยสงบสุขให้กลายเป็นฝันร้าย เอรอสทำลายองค์กรนั้นด้วยความมุ่งมั่นอันเยือกเย็น แต่การแก้แค้นนั้นก็ไม่ได้ช่วยเยียวยาความเจ็บปวด และ ความโดดเดี่ยวในตัวเขาให้จางหายลงไปเลยแม้แต่น้อย…..
ชีวิตของเขาในช่วงเวลาหลังจากนั้น กลายเป็นการใช้ชีวิตอย่างไร้ค่า เพื่ออยู่รอดไปวันๆ เขาใช้ชีวิตอย่างไร้ทิศทาง ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีความหมาย มักจะใช้กำลัง และ ทักษะของตนเองเพื่อเอาตัวรอดในโลกที่มีแต่เขาเพียงลำพัง แต่แล้ววันหนึ่ง การพบกับหญิงสาวแปลกหน้าก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
หญิงสาวคนนั้นปรากฏตัวในขณะที่เอรอสกำลังนั่งอยู่ริมถนน นับเงินที่ได้มาหลังจากจัดการพวกอันธพาลที่มาข่มขู่ และ ไถ่เงินเขา เขาไม่ได้สังเกตว่าเธอกำลังยืนมองเขาอยู่ จนกระทั่งเธอเอ่ยปากทักทาย เอรอสเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาที่เย็นชา และเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่เขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ไม่ใช่ความกลัว และ ความเกลียดชัง
แต่ทันทีที่เห็นเธอ เขาก็ต้องหยุดชะงักไปชั่วขณะ ดวงตาสีฟ้าสุกไสวของเธอ สะท้อนแสงอ่อนโยนคล้ายแสงจันทร์ในตอนกลางคืน ชวนให้ละสายตาไม่ได้ ผมยาวสีฟ้าระยับเหมือนเกลียวคลื่นในมหาสมุทรที่โอบรับประกายระยิบระยับของดวงดาว ทุกการเคลื่อนไหวของเธอให้ความรู้สึกที่สงบเยือกเย็น และยังแฝงความลึกลับไว้ลึกๆ ราวกับมีบางสิ่งซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังเอรอสพยายามดึงตัวเองกลับมาให้หลุดจากความตะลึงนั้น พลางปรับสีหน้าให้เรียบเฉยเหมือนเดิม สายตาเยือกเย็นของเขาประสานกับหญิงสาวแปลกหน้าที่ดูมีท่าทีเป็นมิตรและอบอุ่นเกินไป จนทำให้เขารู้สึกแปลกใจและเริ่มระแวดระวัง พร้อมกับตั้งคำถามถึงแรงจูงใจที่แท้จริงของเธอในใจ“สวัสดี ฉันเป็นผู้สืบสวนที่เพิ่งย้ายมาเมื่อไม่นานมานี้.. ยินดีที่รู้จัก”เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่มั่นใจ รอยยิ้มอ่อนๆ แฝงด้วยความเป็นมิตรยังคงประดับอยู่บนใบหน้า ท่าทีที่เธอแสดงออกทำให้เธอดูเหมือนคนที่เข้าถึงได้ง่าย แต่ในสายตาของเอรอส ความมีเสน่ห์เย้ายวนที่เธอแผ่ออกมานั้นกลับทำให้เขารู้สึกระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม“ฉันกำลังตามสืบเรื่องกลุ่มคนที่รีดไถเงินในแถวนี้อยู่... เธอพอจะรู้อะไรบ้างไหม?”เอรอสหรี่ตามองเธอด้วย
ในดันเจี้ยนร้างที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงหายใจแผ่วเบาของคาร์ลิน และ เอรอสที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเรย์ราร์คยืนห่างกันเล็กน้อย แสงสลัวจากเพดานหินเหนือศีรษะทำให้พื้นที่ๆดูรกร้างแห่งนี้ มีบรรยกาศที่ชวนขนลุก และ น่าหวาดกลัว แต่เอรอสกลับยืนนิ่งสงบ ไม่แสดงท่าทีวิตกใดๆเขามองดูคาร์ลินที่ยืนพยายามควบคุมมานา และ สร้างเขตแดนด้วยสีหน้าครุ่นคิด เอรอสยื่นมือออกมาแตะแขนเธอเบาๆ สอนให้เธอหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ แล้วควบคุมมานาอย่างประณีตที่สุด“ผ่อนคลาย แล้วค่อยๆโฟกัสที่พื้นที่รอบ เชื่อมต่อความรู้สึก ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของมัน” เขาเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงมั่นคง และผ่อนคลาย “อย่ากดดันตัวเอง ค่อยๆปล่อยให้มานาของเธอขยายออกไปทีละนิด”คาร์ลินหลับตาลง พยายามทำตามคำแนะนำของเขาอย่างตั้งใจ รู้สึกถึงมานาที่เริ่มขยายออกเป็นวงเล็กๆ รอบตัว เสียงของเขาช่วยเสริมความมั่นใจให้แก่เธอมากขึ้น เธอเริ่มสร้างเขตแดนขึ้นมาได้ทีละน้อย จนเริ่มเห็นเขตแดนเป็นรูปวงกลมรอบตัวเธอทีละนิด โดยมีเอรอสคอยดูแลอยู่ไม่ห่างเอรอสยืนอมองดูคาร์ลินที่กำลังพยายามสร้างเขตแดนด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม เขายืนเงียบๆอยู่ข้างๆเธอ ดวงตาสะท้อนความทรงจำที่ชัดเจนขึ
ในคืนที่เงียบสงัด แสงจันทร์ที่คล้อยต่ำสะท้อนแสงบนพื้นของอาคารร้าง เสียงลมพัดเอื่อยๆผ่านช่องหน้าต่างแตก และ กำแพงที่เต็มไปด้วยรอยกัดกร่อน เอรอสยืนอยู่บนขอบดาดฟ้าชั้นบนสุด มองลงไปยังเงาร่างบางของหญิงสาวที่กำลังเดินอย่างไม่รีบร้อนในตรอกด้านล่างเธอคือไอลีน ฟรอนเทียร์ หญิงสาวที่มีเส้นผมสีฟ้ายาวทอประกายอ่อนโยนภายใต้แสงจันทร์ ดวงตาคมฉายแววแห่งความมุ่งมั่น ผิวขาวซีดของเธอสะท้อนแสงทำให้ดูราวกับเทพธิดาที่ก้าวเดินท่ามกลางโลกแห่งความมืด แม้จะอยู่คนเดียวในตรอกซอยที่เงียบเหงาและอันตราย แต่ท่าทางของไอลีนกลับนิ่งสงบไร้ร่องรอยความหวาดกลัว ไม่หวั่นไหวแม้เสียงลมแรงพัดผ่าน หรือ เงาแมวดำที่วิ่งตัดหน้าเอรอสเฝ้ามองเธอด้วยสายตาคมกริบ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของเขา การเดินของเธอมั่นคง สง่างาม และ รอบคอบ เธอดูเหมือนกำลังสำรวจบางสิ่งในพื้นที่ร้าง ราวกับต้องการค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ ความเยือกเย็นในท่าทีของเธอสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่ไม่เหมือนใคร ท่ามกลางความมืด เธอเหมือนจะกลายเป็นจุดสว่างที่โดนเด่น ยากจะละสายตาสำหรับเอรอสที่สูญเสียความทรงจำทุกอย่างก่อนเกิดโศกนาฏกรรมเมื่อ 4 ปีก่อน
เสียงรองเท้าบูตของไอลีนดังกระทบพื้นในเงามืด แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความมั่นคง เงาของเธอทอดยาวตามผนังซอยแคบ อันธพาลทั้งกลุ่มจ้องมองด้วยสายตาฉงนสงสัย ทันทีที่เห็นอาวุธในมือเธอ บูมเมอแรงสีเงินลวดลายวิจิตรสะท้อนแสงไฟสีฟ้าจางๆ พวกมันถึงกับนิ่งเงียบไปเมื่อเห็นแสงสีฟ้าระยิบระยับที่ปลายอาวุธ อันธพาลคนหนึ่งขมวดคิ้วและกระซิบกับเพื่อนๆด้วยน้ำเสียงประหม่า จนในที่สุดก็อดไม่ได้ต้องพูดออกมา“อย่าบอกนะว่าเธอจะเอาของแบบนั้นมาสู้กับเรา?”เขาหัวเราะเบาๆ แต่สายตายังจับจ้องอย่างหวาดระแวง ขณะที่หนึ่งในแสดงออกด้วยท่าทางงที่เย้ยหยัน"อะไรจ่ะน้องสาว? จะเอาของสิ่งนั้นมาปาใส่พวกเรา?” มันหัวเราะเสียงเยาะขณะที่จ้องมองเธอด้วยสายตาไม่เกรงกลัวไอลีนเพียงแค่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เธอไม่ตอบคำใดๆ ก่อนจะยกสิ่งนั้นขึ้นเล็งไปที่กลุ่มคนตรงหน้า ท่าทางของเธอแน่วแน่ มั่นคง ไร้ความลังเลทันใดนั้น อันธพาลคนหนึ่งที่รู้สึกถึงอันตราย มันพุ่งเข้าใส่เธอด้วยความรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่มือของมันจะสัมผัสตัวเธอ ไอลีนก็เหนี่ยวไก วงแหวนสีฟ้าเรืองแสงพุ่งออกจากปลายอาวุธ กระแทกเข้าที่กลางตัวของชายคนนั้นอย่างจัง ร่างของเขาลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อยก่อนจะล
เอรอสยืนมองไอลีนที่เก็บ Arcane Pulse Gun เข้าที่ ท่าทางของเธอแน่วแน่ แต่สายตากลับแฝงด้วยความเหนื่อยล้า เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงทุ้มสงบ“ยังตามหาพวกรีดไถ่อยู่อีกงั้นเหรอ?”ไอลีนยักไหล่ แววตาฉายความมุ่งมั่น“ใช่สิ จะให้พวกนั้นอยู่เฉย ๆ แล้วทำร้ายคนอื่นไปเรื่อยเหรอ?”ไอลีนปรายตามองเขาด้วยรอยยิ้มล้อเลียน พร้อมเอียงศีรษะเล็กน้อย“แล้วคุณ หมาป่าเดียวดาย มาทำอะไรแถวนี้? มาตามหาฉันหรือไง?”เอรอสถอนหายใจเบาๆ เขาส่ายหัวอย่างระอากับชื่อเล่นที่เธอตั้งให้เขา แม้ในใจจะรู้สึกไม่ชอบใจนัก แต่ก็เลือกที่จะทำสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆกับฉายาที่เธอแกล้งตั้งให้ ก่อนที่จะขยับตัว เอามือไพล่ไว้ด้านหลัง“ใช่ ฉันมาที่นี่เพื่อเตือนเธอ”ไอลีนเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าสงสัยปนฉงน “เตือน? เตือนเรื่องอะไร?”เอรอสถอนหายใจแผ่วเบา เผยให้เห็นถึงน้ำเสียงจริงจังขึ้น “ฉันอยากให้เธอหยุดพาเด็กๆ จากสลัมไปอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าแบบนั้น มันเปล่าประโยชน์”คำพูดนั้นทำให้ไอลีนชะงักไป เธอมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ"คุณหมายความว่าไง? ฉันแค่พาเด็กๆ ไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยกว่า ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย"เอ
เอรอส และ ไอลีนเฝ้ามองเหตุการณ์ในอาคารเก่า จากทางด้านหน้าในระยะไกล เขาใช้กล้องส่องทางไกลแบบตาเดียวที่ดูเก่าโทรม มันมีผ้าพันรอบตัวกล้อง และถูกทาสีทับในหลายชั้นจนพื้นผิวดูขรุขระ และ ซีดเก่า ดูราวกับเป็นของใช้มานาน แต่ไอลีนที่เคยเห็นกล้องแบบนี้มาก่อน กลับรู้ดีว่ากล้องตาเดียวทุกชิ้นต่างมีคุณภาพ และ มีราคาค่อนข้างสูง ไม่น่าจะถูกเจอในสภาพแบบนี้เลนส์ของกล้องก็ดูแปลกตา คล้ายมีชั้นฟิล์มบางๆสีดำด้านเคลือบไว้ ทำให้มันไม่สะท้อนแสงออกมาจากภายในเหมือนกล้องทั่วไป เธออดคิดไม่ได้ว่ากล้องนี้อาจเคยเป็นของมีค่ามาก่อน แต่ด้วยสภาพที่เขาใช้ ผู้อื่นที่มองเห็น คงนึกว่าเป็นของเก่าๆไร้ค่าในขณะที่ทั้งคู่สังเกตสถานการณ์ในนั้น ไอลีนเห็นชายในชุดทหารรักษาการณ์นั่งดื่มกินร่วมกับพวกคนในนั้นอย่างสนุกสนาน ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวในใจของเธอ เพราะสิ่งที่เธอเห็นนั้นแตกต่างจากที่บ้านเกิดของเธออย่างสิ้นเชิงบ้านเกิดของไอลีนเป็นสถานที่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของเธอกับชาวบ้าน และ ผู้ใต้บังคับบัญชาผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น บรรยากาศที่นั่นอบอุ่น เปี่ยมไปด้วยความรัก ความใกล้ชิด ตระกูลของเธอไม่เคยแบ่งแยกชนชั้น หรือ ถือว่าตนสูงส่ง
เอรอสและไอลีนซุ่มดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ จากจุดที่ถูกซุ่มดูอยู่ ใบหน้าไอลีนเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเธอเห็นบอสขององค์กรยืนอยู่กลางห้อง จ้องมองผู้หญิงที่คุกเข่าลงอย่างเย้ยหยัน พลังแผ่พลังกดดันหญิงสาวอย่างหนักหน่วง จนเธอต้องสร้างมานาเบาบางขึ้นมาปกป้องตัวเอง แม้จะใกล้หมดแรงเต็มที แต่เธอก็ยังดิ้นรมไม่ยอมจำนนอยู่แววตาโกรธพลุ่งพล่านในดวงตาของไอลีน เหมือนเธอพร้อมจะพุ่งเข้าไปจัดการในทันที แต่เอรอสที่ยืนอยู่ข้างๆจับสังเกตความเครียดของเธอได้ เขาหันไปมองเธออย่างนิ่งๆ ก่อนเอ่ยเตือนด้วยเสียงเรียบ“นี่เธอกำลังคิดจะทำอะไร?”ไอลีนสบตาเขา แม้จะพยายามสะกดอารมณ์ แต่แววตามุ่งมั่นนั้นบอกชัดเจนว่าเธออยากจะช่วยหญิงสาวคนนั้นให้ได้ ไม่ว่าต้องเสี่ยงแค่ไหน เธอกระชับปืนในมือแน่น ตั้งใจจะลงมือเต็มที่ แต่ก่อนที่เธอจะเคลื่อนไหว เอรอสก็คว้าข้อมือเธอไว้แน่น พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“อย่าไป ถ้าเธอพุ่งเข้าไปตอนนี้ เธอตายแน่ๆ” เขามองเข้าไปในดวงตาเธอเพื่อย้ำให้รู้ถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้น“ผู้ชายคนนั้นมีถึงสามวงแหวน ระดับเธอที่มีแค่วงแหวนเดียวจะทำอะไรเขาได้?”ไอลีนสะบัดข้อมือออกด้วยท่าทางดื้อดึง แววตาเด็ดเดี่ยว “ถ้านายไ
หลังจากเอรอสจัดการลูกสมุนที่ตามล่าเขาจนหมดสิ้น เขาเก็บรวบรวมถุงเงินและของมีค่าทั้งหมดไปซ่อนไว้ในที่ปลอดภัย ก่อนจะย้อนกลับมาที่เดิม จัดแจงให้ร่างกายแนบชิดไปกับเงามืดของต้นไม้ใหญ่ ตาจับจ้องไปที่ไอลีนซึ่งกำลังต่อสู้กับบอสขององค์กรอย่างดุเดือด โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าเขากำลังเฝ้ามองอยู่ใกล้ ๆเอรอสมองตามทุกการเคลื่อนไหวของเธออย่างเงียบงัน ขณะที่ไอลีนพยายามหลบหลีกและโจมตีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าร่างกายจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่แววตาของเธอกลับเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น ท่าทางการต่อสู้ที่ดุดันนั้นทำให้เอรอสรู้สึกทึ่ง รู้สึกถึงความกล้าหาญที่เขาไม่คาดคิดว่าจะพบในตัวเธอ ท่ามกลางความวุ่นวายและเสียงปะทะ เขาแอบมองเธอในความมืด รู้สึกได้ถึงความพยายามอันเด็ดเดี่ยวที่หายากในตัวคนทั่วไปร่างกายของไอลีนดูอ่อนล้าลงเรื่อยๆ หายใจหอบแรง บาดแผลที่แขนและขาดูเหมือนจะทำให้เธอแทบยืนไม่ไหว แต่เธอก็ยังคงยืนหยัด และพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลัง จนกระทั่งเอรอสสังเกตเห็นบางสิ่งบนพื้นใกล้ๆโพชั่นมานาขวดหนึ่งที่ตกอยู่ไม่ไกลจากหญิงสาวที่ไอลีนตั้งใจจะไปช่วย เป็นโพชั่นเดียวที่เขาเอาไว้ให้เธอสามารถฟื้นฟูมานาของตัวเองใยการต่อสู้ แต่ไอลี
ใต้ดินที่มืดมิดและอับชื้น กลิ่นดินและสนิมเหล็กตลบอบอวลเหมือนกลิ่นความตาย กรงขังที่ทำจากเหล็กเส้นเก่าๆ ถูกสร้างไว้ตามผนังของคุกโบราณแห่งนี้ แสงจากรูเล็กๆบนเพดานสูงเปิดให้เห็นเพียงเศษเสี้ยวของท้องฟ้าด้านบน เป็นแสงที่ไม่เพียงพอจะทำให้พื้นที่รอบตัวสว่าง แต่เพียงพอที่จะเตือนให้เธอจำได้ว่ายังมีโลกภายนอกเธอนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของกรง ดวงตาสีฟ้าอ่อนจ้องมองแสงที่ลอดผ่านลงมา ราวกับหวังว่ามันจะพาเธอหลุดพ้นจากกรงแห่งนี้ ผมสีดำยุ่งเหยิงของเธอห้อยปิดหน้าซีดเซียวที่ครั้งหนึ่งเคยดูสดใส แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนเธอถูกกักขังในฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่นเธอจำได้ถึงคืนที่ทุกอย่างพังทลาย หมู่บ้านเล็กๆ ที่เคยสงบสุขกลายเป็นนรกบนดินเมื่อกลุ่มโจรบุกเข้ามา เพลิงไฟโหมกระหน่ำ เสียงกรีดร้องของผู้คน เสียงไม้ลั่นดังขณะบ้านพังถล่ม ทุกสิ่งดูเหมือนภาพฝันร้ายที่เธอไม่มีวันลืม สิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้คือเสียงแม่ตะโกนเรียกเธอท่ามกลางควันไฟ แล้วความมืดก็เข้าครอบงำสองเดือนก่อน เธอยังอยู่บนเรือทาส ลอยกลางทะเลอันกว้างใหญ่ เสียงน้ำทะเลซัดกระแทกกับไม้กระดานดังแผ่วเบา แต่สำหรับเด็กสาวไร้ชื่อ เสียงนี้เหมือนเพลงบรรเลงแห่งความสิ้นหวัง แสงจัน
ห้องลับใต้ดิน คลินิกหลังจากตกลงแผนการทั้งหมด พวกเขาเดินลงไปยังห้องทดลองใต้ดินของคลินิก โจชัวถือกล่องที่ใส่อุปกรณ์และแก่นเวทย์สีดำไว้ในมือ ขณะที่เอรอสเดินตามหลังมาเงียบๆ ความเงียบครอบงำบรรยากาศ มีเพียงเสียงฝีเท้าของทั้งสองที่ดังก้องในทางเดินแคบเมื่อมาถึงห้องทดลองใต้ดิน ประตูเหล็กบานหนาถูกปิดอย่างแน่นหนา โจชัวเปิดสวิตช์ไฟ เผยให้เห็นเครื่องมือและอุปกรณ์มากมายที่จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ โต๊ะกลางห้องมีเตียงหินสำหรับการผ่าตัด โจชัววางกล่องลงก่อนหันไปมองเอรอส“ฉันต้องถามอีกครั้ง” โจชัวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะทำตอนนี้? อย่างน้อยถ้ามีเวลาเตรียมตัวอีกสักวัน…”เอรอสส่ายหัว “ไม่จำเป็น เริ่มลงมือกันเถอะ” น้ำเสียงหนักแน่นแต่แฝงความกดดันโจชัวถอนหายใจยาว “ก็ได้… ถ้างั้นขึ้นไปนอนบนเตียง ผมจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อน”เอรอสปีนขึ้นไปนอนบนเตียงหิน เย็นเยียบจากพื้นหินแผ่ซ่านผ่านร่างกาย แต่เขากลับไม่ใส่ใจ สายตาจับจ้องไปยังเพดานห้อง ขณะที่โจชัวจัดเตรียมเครื่องมือ มีดเวทย์เรืองแสงสีฟ้า และแก่นเวทย์สีดำที่ยังคงเปล่งประกายลึกลับ“ถึงจะมั่นใจในฝีมือ” โจชัวพูดขึ้นขณะเตรียมเครื่องมือ “แต่
“ไหนบอกว่านัดไว้แล้วไง ทำไมเขาบอกว่าไม่รู้เรื่อง?” ไอลีนหันมากระซิบถามอาร์วินด้วยสีหน้าไม่สบายใจอาร์วินยิ้มบางๆ ก่อนจะหันไปมองโจชัวที่ยังคงจับจ้องพวกเขาด้วยสายตานิ่งสงบ แฝงแววประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ"จำไม่ได้แล้วเหรอว่าเราเคยเดินทางด้วยกันตั้งเป็นเดือน? ตอนนั้นฉันต้องพกงานวิจัยของนายติดตัวไปด้วยตลอด เพราะกลัวว่านายจะสติหลุดแล้วเผลอทำลายมันไปซะเอง ตอนนี้ยังเก็บไว้อยู่ใช่ไหม? หรือว่าเผลอทำหายไปแล้ว?"คำพูดของอาร์วินทำให้โจชัวชะงักไปเล็กน้อย แววตาของเขาที่เดิมดูระวังตัว กลับฉายแววสงสัยปนระลึกอะไรบางอย่าง“งานวิจัย...” เขาทวนคำเบาๆคล้ายจะนึกย้อนถึงอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในความทรงจำ ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆราวกับจับทิศทางได้แล้ว“อ้อ คุณนี่เอง” โจชัวเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง รอยยิ้มบางๆปรากฏบนใบหน้า“จำได้แล้วครับ ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะ”อาร์วินพยักหน้าเล็กน้อย ท่าทางดูเหมือนสบายๆ แต่ในแววตากลับมีอะไรบางอย่างที่อ่านยาก“ใช่ ไม่ได้เจอกันตั้งแต่ตอนนั้นเลย ฉันก็สงสัยอยู่ว่านายจะยังจำฉันได้อยู่หรือเปล่า”“จะลืมได้ยังไงล่ะครับ ผมไม่ทีทางลืมหรอกครับ” โจชัวตอบ พลางหัวเราะเบาๆอาร์วินเอน
ไอลีนถือสมุดบันทึกเวทมนตร์เล่มเล็กไว้ในมือ ขณะเดินไปตามทางเดินในคฤหาสน์ที่เงียบสงบ ผมยาวสีดำสนิทของเธอถูกมัดรวบไว้หลวมๆด้านหลัง ปลายเส้นผมพลิ้วไหวไปตามจังหวะก้าวเดิน เธอสวมชุดคลุมสีม่วงอ่อนที่มีสัญลักษณ์เวทมนตร์สะท้อนแสงจันทร์เล็กน้อย ผ้าคลุมบางเบาดูสง่างามแต่คล่องตัวพอสำหรับการเคลื่อนไหวในยามค่ำคืน มืออีกข้างถือคทาไม้เนื้อแข็งที่ถูกแกะสลักอย่างประณีต ปลายคทาประดับด้วยคริสตัลสีใสที่เปล่งแสงเรืองรองจางๆ ราวกับกักเก็บพลังเวทไว้ภายในแสงจากโคมไฟติดผนังทอดเงาสะท้อนบนพื้นหินเย็นเยียบ เสียงฝีเท้าของเธอเบาบางจนแทบไม่ได้ยิน เธอสูดลมหายใจลึกขณะหยุดยืนอยู่ที่หน้าต่างบานใหญ่ จับจ้องไปยังเงาร่างหนึ่งที่เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังอยู่ด้านล่างของคฤหาสน์ร่างนั้นคืออาร์วิน เขาสวมชุดข้ารับใช้ในที่ดูเรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้าน เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวคาดด้วยเสื้อกั๊กสีดำเข้ารูปและกางเกงสีน้ำตาลเข้มที่พับปลายไว้เล็กน้อย หมวกแบนทรงกลมที่มียอดยกขึ้นนิดหน่อยปกปิดเส้นผมสีทองที่ยุ่งเล็กน้อย แว่นตาสีน้ำตาลอมแดงช่วยบดบังสายตาของเขาจากผู้พบเห็น ดวงตาสีเทาอันลึกลับถูกซ่อนเร้นไว้ราวกับต้องการปิดบังตัวตนเขาก้าวเดินอย่างเ
เอเลน่านั่งอยู่บนเตียง จ้องมองอาร์วินที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย ดวงตาสีเทาที่มองมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความลึกที่อธิบายไม่ได้ มีบางสิ่งในแววตานั้นที่ทำให้หัวใจเธอสั่นไหว แต่เธออ่านมันไม่ออกบรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด เสียงลมเบาๆ จากหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ดังก้องในห้องที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของผ้าปูที่นอนใต้ฝ่ามือ พยายามดึงสติกลับมา แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนถูกตรึงด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นอาร์วินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา"เอเลน่า... ฉันไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน แต่ฉันจะพยายามเล่าให้เธอฟัง"เสียงของเขานุ่มลึก แต่สั่นเครือเล็กน้อย เธอรู้ว่าเขากำลังแบกรับอะไรบางอย่างที่หนักหนา ทว่าในใจของเธอเองก็เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้จบ เอเลน่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงให้เขาพูดต่อ แม้ในใจจะปั่นป่วนจนแทบระเบิดอาร์วินถอนหายใจยาว เสียงนั้นเหมือนลมหายใจที่พยายามปลดปล่อยความกดดันบางอย่าง"ตอนที่ฉันถูกจับอยู่ในคุก... ฉ
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ เอเลน่าค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆ กลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันที่ไม่อยากตื่นจากมันเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งหลับพิงเก้าอี้อยู่ ใบหน้าสงบนิ่งในเงามืด เส้นผมสีทองของเขาดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เอเลน่าจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ช่วงเวลานี้เผยให้เห็นอีกด้านของเขา—ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนเร้นก่อนหน้า ทำให้เธอโล่งใจเล็กน้อย ดวงตาของเธอสบเข้ากับใบหน้าอ่อนล้าของเขา ความรู้สึกปะปนกันระหว่างความสับสนและความอบอุ่นไหลเวียนในอก“อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆเหมือนจะยืนยันว่าเขาอยู่ตรงนี้จริงๆ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อเหลือบมองตัวเองที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เตียงของเธอ แต่เป็นของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงข
เอรอสก้าวออกจากป่าทึบในรูปลักษณ์ของอาร์วิน สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านตัวเขาอย่างแผ่วเบา แสงจันทร์ยังคงสลัวทำให้เห็นเงาของคฤหาสน์ตระกูลวัลธอเรนลางๆ อยู่ไม่ไกล จุดที่เขามุ่งหน้าไปคือบริเวณใต้หน้าต่างห้องพักของเขาเองก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เขาเคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อนชายแปลกหน้าที่เอรอสช่วยเหลือไว้ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาวราวกับหยิบยกมาจากยุคโบราณ ชายคนนี้ดูเหมือนนักเดินทางที่หลงยุค เขาอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เอรอสจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวันแทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยมาให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ
คลินิกของโจชัว ตั้งอยู่ในเขตสามัญชน ตัวอาคารหินสีซีดดูเรียบง่ายแฝงความล้าสมัย ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึก หน้าต่างกระจกสีชั้นล่างสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไป ลวดลายบนกระจกดูเหมือนจะพร่ามัวในแสงสลัว คลินิกนี้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนโรงพยาบาล แต่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยประมาณสิบคน เหมาะสำหรับการดูแลแบบส่วนตัวยามตีสี่ ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ ความเงียบรอบตัวแทบจะทำให้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วงกระทบพื้น เอรอสยืนพิงกำแพงใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ตรงข้ามคลินิก แม้ลมหนาวจะพัดแรง แต่ร่างกายของเอรอสกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาต่อความเย็น ราวกับความหนาวนั้นไม่อาจแตะต้องเขาได้ ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยังหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท นั่นเป็นห้องทำงานของโจชัว ซึ่งเขาใช้สำหรับจัดการเอกสารในช่วงกลางวัน แต่ในยามนี้ ไม่มีแสงไฟส่องลอดออกมา“ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่…” เขาพึมพำเสียงเบา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงนั้นแทบชัดเจนในสายลม เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียง กระโดดขึ้นเกาะขอบหน้าต่างชั้นสอง เสียงลมแผ่วเบาและใบไม้ไหวกลบการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาสีแดงสังเกตการณ์ในห้องอีกครั้งเพื่อยืนยันว่
คาร์ลีนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้ในดันเจี้ยนที่ผสานเขากับเขตแดนของเธอ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ความสัมพันธ์ลึกลับนี้ ทำให้คาร์ลีนรับรู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอเรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของชายที่มีฉายาว่า จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มาเนิ่นนาน แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากของเขาโดยตรงเธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับคำพูดนั้นหนักเกินกว่าจะเปล่งออกมาดวงตาสีม่วงเข้มของเธอสะท้อนแสงจากโคมไฟ เธอนั่งนิ่งราวกับขบคิด แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ ความหนักใจเหมือนสายลมหนาวที่แผ่วผ่านกลับถูกเติมเต็มด้วยความหวังอันเปราะบาง เธออยากให้เขามาหา อยากได