เอรอสในร่างของเรย์นาร์คเดินลึกเข้าไปในเขตตอนใต้ของเมือง เขาคลุมผ้าคลุมศีรษะให้มิดชิดเพื่อซ่อนใบหน้า ดวงตาคมกวาดมองรอบๆ อย่างระมัดระวัง แสงไฟจากร้านค้าและแสงเทียนสลัวๆ ตามตรอกซอกซอยสะท้อนให้เห็นบรรยากาศที่มืดมน ราวกับโลกอีกใบที่ซ่อนตัวอยู่ข้างใต้เมืองอันศิวิไลซ์ ถนนเต็มไปด้วยฝุ่นคละคลุ้ง และมีกลิ่นเหม็นอับจากของไม่พึงประสงค์วางเรียงรายอยู่ในแผงลอย เหล่าพ่อค้าแม่ค้ากำลังลักลอบขายของต้องห้ามอย่างลับๆ เสียงการเจรจาต่อรองดังขึ้นเป็นระยะ เติมเต็มบรรยากาศแห่งนี้ไปด้วยความรู้สึกทะแม่งๆ แต่สำหรับที่นี้ มันเป็นเรื่องปกติ
เอรอสแทรกตัวเข้าไปในฝูงชนอย่างแนบเนียน เดินลัดเลาะผ่านตรอกซอยที่สลับซับซ้อนจนกระทั่งมาถึงร้านขายของจิปาถะตามจุด จากสายตาคนทั่วไป ร้านนี้ดูธรรมดาๆ เหมือนร้านขายของทั่วไป แต่นี่เป็นเพียงฉากบังหน้าขององค์กรเขาเท่านั้น ภายในสถานที่แห่งนี้ มีทางเข้าที่เชื่อมไปถึงฐานทัพขององค์กรที่เขาอยู่
เมื่อเขาเดินเข้ามา กลิ่นธูปหอมอ่อนๆ ลอยตลบอบอวลไปทั่วร้าน บนชั้นวางสินค้าถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ มีผลิตภัณฑ์มากมายที่องค์กรของเขาผลิตขึ้น วางปะปนอยู่กับสินค้าประเภทอื่นๆ สินค้าของพวกเขามีราคาย่อมเยาและใช้งานได้จริง ทำให้แทรกซึมอยู่ในบ้านเรือนของผู้คนเป็นจำนวนมาก จนแทบจะกล่าวได้ว่า ในบ้านแต่ละหลังมีสิ่งของที่เขาสามารถใช้เพื่อหลบหนี หรือ ขโมย อยู่ในสถานที่ทุกแห่งในเมืองนี้ เครื่องหอมที่เขาใช้ก่อนหน้านี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
เขาเดินไปยังเคาน์เตอร์ที่หญิงสูงวัยยืนอยู่ สายตาเธอสบกับเขาแวบหนึ่งก่อนเบนไปทางหลังร้าน เสียงของเธอเอ่ยขึ้นเบาๆ แต่หนักแน่น
“อยากได้ของพิเศษบ้างไหม?”เอรอสพยักหน้า และ กล่าวรหัสลับที่ใช้มาตลอดอย่างเบาๆ ทว่านิ่งชัดเจน หญิงสูงวัยพยักหน้ารับ แล้วเลื่อนกุญแจที่ซ่อนอยู่ใต้เคาน์เตอร์ออกมา ไขประตูบานเล็กที่ซ่อนอยู่หลังชั้นวาง ก่อนที่เขาจะก้าวผ่านประตูนั้นไปยังเส้นทางลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังร้านขายของ
เมื่อประตูปิดลง ความมืดและอากาศอับชื้นต้อนรับเขา ทางเดินคับแคบ และ ขรุขระเหมือนเดินผ่านเขาวงกตใต้ดินที่ถูกซ่อนเร้น แสงไฟริบหรี่จากหินเรืองแสงโบราณติดประปรายตามกำแพงหินที่มีรอยร้าว และ ร่องรอยการทรุดโทรมจากกาลเวลา ทางเดินนี้ยังเต็มไปด้วยเถาวัลย์หนาที่เลื้อยพันแน่น เสียงน้ำหยดเป็นจังหวะจากสายธารบางๆ ที่ซึมผ่านกำแพงดินช่วยให้สัมผัสถึงความชื้นและกลิ่นดินเก่าแก่ที่ปกคลุมทั่วอากาศ ทำให้รู้สึกถึงความลึกลับและบรรยากาศที่แฝงไปด้วยความอันตราย
เอเอรอสก้าวลึกเข้าไปในดันเจี้ยนร้าง เขารู้สึกได้ทันทีถึงแรงกดดันอันหนักอึ้งจากพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากเขตแดนที่ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีต มวลมานาไหลเวียนรอบตัวราวกับสายน้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้ง ทั้งหมดนี้ยังคงรักษาความสมบูรณ์ของอาณาเขตเอาไว้
แม้คอร์หลักของดันเจี้ยนจะถูกทำลายไปแล้วก็ตาม แต่ผู้นำของสถานที่แห่งนี้ได้ผสานเขตแดนเข้ากับกระแสมานาที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ใช้ไอเทมเวทมนตร์โบราณ และ อาคมลี้ลับเป็นรากฐาน ยกระดับอาณาเขตให้กว้างใหญ่และล้ำลึกเกินกว่าที่ขอบเขตทางกายภาพจะกำหนดได้
บรรยากาศอันหนาวเย็น และ อับชื้นที่อาบไล้เขาเหมือนกับกำแพงที่สร้างมาจากมานาที่มีอยู่ในธรรมชาติ สถานที่แห่งนี้จึงไม่เพียงแต่ดำรงอยู่ แต่ยังถูกครอบงำจากตัวตนของดันเจี้ยนที่ถูกฟื้นขึ้นมาจากความว่างเปล่าอีกครั้งในฐานะผู้เฝ้ามองในสถานที่แห่งนี้
ในความเงียบอันลึกล้ำ เอรอสรู้สึกได้ถึงสายตานับไม่ถ้วนที่จับจ้องมองมาที่เขา แต่ทว่าความรู้สึกนั้นไม่ได้ชวนให้หวาดกลัวหรืออึดอัด กลับกัน มันเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความยินดี เหมือนเขาเป็นผู้ที่ดันเจี้ยนแห่งนี้คุ้นเคย และ เฝ้ารอการมาของเขาอยู่เสมอ คล้ายกับได้พบเพื่อนเก่าที่ห่างหายไปนาน
เมื่อเอรอสเดินทะลุผ่านเขตแดนเข้าสู่โถงกลาง สายตาของเขาถูกดึงดูดด้วยทิวทัศน์ที่ชวนให้ต้องหยุดดู อาคารทรงโบราณขนาดกลางตั้งตระหง่านท่ามกลางบรรยากาศเขียวชอุ่ม ประกายแสงจากดอกไม้เรืองแสงประดับอยู่ตามผนังทำให้ที่นี่ดูเหมือนเป็นป่าอันน่าพิศวงที่แฝงตัวอยู่ในมิติอันแปลกตา ท้องฟ้าที่ถูกจำลองขึ้นอย่างปราณีตและสภาพธรรมชาติรอบข้างดูเหมือนจริงจนแทบไม่อาจเชื่อได้ว่านี่คือภายในดันเจี้ยนร้าง สายธารมานาที่ไหลผ่านยังคงหล่อเลี้ยงพลังของเขตแดน ช่วยให้ทุกสิ่งยังคงสภาพและแฝงพลังอันน่าพิศวงที่ไม่เคยมีใครทำลายลงได้
ตัวอาคารมีพลังลึกลับแผ่ออกมา ไอเทมเวทมนตร์หลากชนิดที่ได้มาจากองค์กรหลายแห่งที่เขาเคยทำลาย ถูกนำมาจัดแสดงไว้รอบโถงกลาง ทุกชิ้นแผ่กระแสพลังที่บอกถึงความแข็งแกร่ง และ อันตรายที่ซ่อนเร้น การที่ผู้นำหญิงผู้มากความสามารถนี้สามารถนำไอเทมและพลังเวทเหล่านี้มารวมกันในสถานที่เดียวได้ สะท้อนถึงทั้งความทะเยอทะยานและพลังอำนาจที่เธอสะสมขึ้นใหม่ในนามขององค์กรแห่งนี้
ในโถงกลางอันกว้างใหญ่ เอรอสสัมผัสได้ถึงพลังงานที่สั่นไหวเบาๆ ในอากาศ บรรยากาศเงียบสงบที่แฝงด้วยความอบอุ่น แต่ก็เหมือนกับว่าที่นี่กำลังจับตามองเขาอยู่ตลอดเวลา ขณะที่เขาก้าวเดินเข้ามาใกล้ตัวอาคารมากขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนนั้น เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ผมสีดำยุ่งเหยิง สวมชุดเสื้อผ้าหยาบๆ แต่สะอาดสะอ้าน วิ่งตรงเข้ามาทางเอรอสด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้มกว้าง และเมื่อมาถึงตัวก็เรียกเสียงดังอย่างไม่ลังเล
“พี่ใหญ่! กลับมาแล้วหรือ?”
เอรอสยกคิ้วขึ้นเล็กน้อยใต้ผ้าคลุมศีรษะ ก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นสีหน้านิ่งๆ เขามองเด็กหนุ่มก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่แฝงไปด้วยความคุ้นเคย
“ใช่ ฉันกลับมาแล้ว” เอรอสตอบ ก่อนจะปลดผ้าคลุมศีรษะออก เผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กน้อยที่ขัดกับรูปลักษณ์ที่แสดงออกมา
เด็กหนุ่มยิ้มกว้างขึ้น “ทุกคนกำลังรอพี่ใหญ่อยู่เลยครับ! พอรู้ว่าพี่ใหญ่จะมา ทุกคนก็เตรียมตัวกันใหญ่”
เขาหันไปมองรอบๆ และในไม่ช้าก็มีเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้น สมาชิกหลายคนที่สวมชุดหลากหลายรูปแบบ ต่างทยอยเดินออกมาจากมุมต่างๆ ของโถงกลาง บ้างเดินออกมาจากทางเดินลับหลังเสา บ้างโผล่ออกมาจากห้องด้านหลังผ้าม่าน แววตาทุกคู่เต็มไปด้วยความสนิทสนม และ ปีติยินดี
“ยินดีต้อนรับกลับ!” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากชายวัยกลางคนผู้มีรอยแผลเป็นยาวพาดผ่านแก้ม เขายืนกอดอกด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ก็ยิ้มเล็กๆ ขณะที่เอ่ยทักทาย
“นึกว่าจะไม่กลับมาแล้วเสียอีก” หญิงสาวรูปร่างสูงสง่า ผมสีน้ำตาลเข้มรวบขึ้นอย่างเรียบร้อย เธอยืนพิงกำแพงอยู่ไม่ไกล แววตาฉายแววความอุ่นใจเมื่อเห็นเอรอสกลับมา
เอรอสพยักหน้าเล็กน้อย “ทุกอย่างเรียบร้อยดีที่นี่หรือเปล่า?”
ชายวัยกลางคนพยักหน้า “เรียบร้อยดี เอ็งไม่ต้องห่วงหรอกหน่า”
เมื่อเสียงฝีเท้าคนเริ่มเบาบางลงและทุกคนทยอยเข้ามายืนล้อมวงใกล้เอรอส เด็กหนุ่มที่วิ่งมาก่อนหน้านี้ก็เอียงคอมองเขาอย่างแหย่ๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขี้เล่นปนขุ่นเคือง“พี่ใหญ่ ไอพวกนั้นมันล้อข้าว่าเป็นไอหนุ่มเวอร์จิ้น! เมื่อไหร่ท่านจะพาข้าไปเปิดประสบการณ์เสียที?”
เอรอสหยุดชั่วครู่แล้วเหลือบมองเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้มมุมปาก ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงขำขันและขี้เล่น
“รออีกปีนึง ไว้ตอนนั้นฉันจะพานายไปเอง ถ้าไปตอนนี้นายโดนพวกสาวๆ ที่นั่นเล่นงานจนโงหัวไม่ขึ้นแน่ๆ”
เด็กหนุ่มเบิกตากว้างนิดๆ ก่อนจะยิ้มอย่างเข้าใจ “ท่านสัญญาแล้วนะ!” เขาพูดพลางหัวเราะ
พวกชายที่ยืนอยู่ด้านหลังพากันหัวเราะลั่น ชอบใจกับการหยอกล้อของเอรอสและเด็กหนุ่ม บางคนถึงกับตีไหล่กันเบาๆ ด้วยความสนุกสนาน
เอรอสเลิกคิ้วแล้วหันกลับไปมองพวกที่หัวเราะเสียงดัง “ขืนยังแกล้งเขาอยู่ ข้าจะบอกให้ที่นั้นปิดรับพวกแกเข้าบริการสักเดือนน่ะเว้ย”
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็เปลี่ยนเป็นเสียงโอดครวญ พวกชายหนุ่มรีบยกมือขอโทษกันจ้าละหวั่น
“พี่ใหญ่! ข้าขอโทษ ข้าจะไม่แกล้งเขาแล้ว! อย่าทำแบบนั้นเลย!”
เด็กหนุ่มที่ถูกแกล้งอยู่หัวเราะชอบใจ รู้สึกถึงความเป็นครอบครัวที่อบอุ่น แม้ว่าจะถูกล้อเลียนบ้างแต่ก็เป็นการหยอกล้อที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ
เอรอสยืนคุยกับกลุ่มสมาชิกอยู่ที่โถงทางเดิน บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการหยอกล้อระหว่างพวกเขา“จะว่าไปพี่ใหญ่ พี่มาประชุมงั้นหรอ?” หนึ่งในสมาชิกถามพลางยิ้มกว้างเอรอสทำหน้างงเล็กน้อย ก่อนที่จะคำถามออกมา“ประชุม? เรื่องอะไร?”ชายวัยกลางคนทำสีหน้าเบื่อหน่ายเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสริมขึ้นมา“เฮ้อ ก็เรื่องของโบสถ์นั้นแหละ แม่หนูนั้นยังดื้อด้าน ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเราดีๆเลยเนี่ยสิ”ชายวัยกลางคนทำท่าปวดหัว และ เบื่อหน่ายพอสมควร เอรอสถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้น โบสถ์ที่พวกเขาเคยพยายามจะให้เป็นพันธมิตรทางการค้าเพิ่งถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา แต่เพียงไม่กี่เดือนก่อน นักบวชระดับสูงคนหนึ่งถูกจับเพราะยักยอกเงินบริจาค แถมยังไปกู้หนี้จากองค์กรอื่นมาใช้จ่ายส่วนตัว ปล่อยให้โบสถ์ต้องเผชิญหนี้สินมหาศาลจนสาขาหลักตัดความช่วยเหลือ สถานการณ์ของโบสถ์จึงเสี่ยงล่มสลายเต็มทีแม้การที่นักบวชคนนั้นยักยอกเงินจะเป็นผลจากแผนของพวกเขา แต่การที่เขากลับไปกู้ยืมเงินจากองค์กรอื่นโดยไม่บอก แถมยังชิงฆ่าตัวตายเพื่อหนีความผิดกลับทำให้เรื่องราวยุ่งยากยิ่งกว่าเดิม อำนาจทั้งหมดตกไปอยู่ในมือผ
เอรอสนั่งนิ่ง มองจดหมายที่อยู่ในมืออย่างเงียงงัน หัวใจของเขารู้สึกหนักอึ้ง แม้ใบหน้าจะดูสงบนิ่งไร้อารมณ์ แต่ภายในกลับสับสนวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม เขาหันไปยังคาร์ลีนก่อนจะพูดออกมา“สนามประลองจะเริ่มเมื่อไหร่?” เอรอสเอ่ยถาม น้ำเสียงต่ำและหนักแน่น สะท้อนความถึงมุ่งมั่นที่กำลังถูกสั่นคลอนอยู่ลึกๆคาร์ลีนช้อนตามองเขา ความสงสัยปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในแววตาของเธอ“อีกห้าวัน... พวกมันต้องเวลาในการโปรโมทงาน และ ดึงดูดความสนใจจากชนชั้นสูงทุกระดับ”คำตอบของเธอทำให้เอรอสถึงกับนิ่งไป เสียงของคาร์ลีนค่อยๆเลือนหายไปในความคิดของเขา เขานึกถึงวงแหวนมานาที่ถูกทำลายในเขตแดน ในช่วงที่เขากำลังถูกครอบงำ ส่งผลให้พลังเวทของเขาลดน้อยลง จนแทบจะใช้งานอะไรไม่ได้ การฟื้นฟูวงแหวนมานาในเวลาสั้นๆมันมีวิธีอยู่ ถึงแม้ว่าลึกๆแล้ว เขาจะไม่อยากใช้มันก็ตาม"คงต้องใช้วิธีนั้นแล้วสินะ…” เอรอสคิดอย่างฝืนใจ แม้จะรู้ดีว่านี่คือการข้ามเส้นในสิ่งที่ไม่ควรทำ ความหวาดหวั่นบางอย่างแทรกซึมในใจจนรู้สึกถึงมันได้ชัดเจนเอรอสคิดอย่างฝืนใจ แม้จะรู้ดีว่าจะเป็นการข้ามเส้นในสิ่งที่ไม่ควรทำคาร์ลีนมองเขาด้วยความสงสัย คิ้วของเธอขมวดแน่นขึ้น“ดูเหมือน
แต่ทันทีที่เห็นเธอ เขาก็ต้องหยุดชะงักไปชั่วขณะ ดวงตาสีฟ้าสุกไสวของเธอ สะท้อนแสงอ่อนโยนคล้ายแสงจันทร์ในตอนกลางคืน ชวนให้ละสายตาไม่ได้ ผมยาวสีฟ้าระยับเหมือนเกลียวคลื่นในมหาสมุทรที่โอบรับประกายระยิบระยับของดวงดาว ทุกการเคลื่อนไหวของเธอให้ความรู้สึกที่สงบเยือกเย็น และยังแฝงความลึกลับไว้ลึกๆ ราวกับมีบางสิ่งซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังเอรอสพยายามดึงตัวเองกลับมาให้หลุดจากความตะลึงนั้น พลางปรับสีหน้าให้เรียบเฉยเหมือนเดิม สายตาเยือกเย็นของเขาประสานกับหญิงสาวแปลกหน้าที่ดูมีท่าทีเป็นมิตรและอบอุ่นเกินไป จนทำให้เขารู้สึกแปลกใจและเริ่มระแวดระวัง พร้อมกับตั้งคำถามถึงแรงจูงใจที่แท้จริงของเธอในใจ“สวัสดี ฉันเป็นผู้สืบสวนที่เพิ่งย้ายมาเมื่อไม่นานมานี้.. ยินดีที่รู้จัก”เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่มั่นใจ รอยยิ้มอ่อนๆ แฝงด้วยความเป็นมิตรยังคงประดับอยู่บนใบหน้า ท่าทีที่เธอแสดงออกทำให้เธอดูเหมือนคนที่เข้าถึงได้ง่าย แต่ในสายตาของเอรอส ความมีเสน่ห์เย้ายวนที่เธอแผ่ออกมานั้นกลับทำให้เขารู้สึกระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม“ฉันกำลังตามสืบเรื่องกลุ่มคนที่รีดไถเงินในแถวนี้อยู่... เธอพอจะรู้อะไรบ้างไหม?”เอรอสหรี่ตามองเธอด้วย
ในดันเจี้ยนร้างที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงหายใจแผ่วเบาของคาร์ลิน และ เอรอสที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเรย์ราร์คยืนห่างกันเล็กน้อย แสงสลัวจากเพดานหินเหนือศีรษะทำให้พื้นที่ๆดูรกร้างแห่งนี้ มีบรรยกาศที่ชวนขนลุก และ น่าหวาดกลัว แต่เอรอสกลับยืนนิ่งสงบ ไม่แสดงท่าทีวิตกใดๆเขามองดูคาร์ลินที่ยืนพยายามควบคุมมานา และ สร้างเขตแดนด้วยสีหน้าครุ่นคิด เอรอสยื่นมือออกมาแตะแขนเธอเบาๆ สอนให้เธอหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ แล้วควบคุมมานาอย่างประณีตที่สุด“ผ่อนคลาย แล้วค่อยๆโฟกัสที่พื้นที่รอบ เชื่อมต่อความรู้สึก ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของมัน” เขาเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงมั่นคง และผ่อนคลาย “อย่ากดดันตัวเอง ค่อยๆปล่อยให้มานาของเธอขยายออกไปทีละนิด”คาร์ลินหลับตาลง พยายามทำตามคำแนะนำของเขาอย่างตั้งใจ รู้สึกถึงมานาที่เริ่มขยายออกเป็นวงเล็กๆ รอบตัว เสียงของเขาช่วยเสริมความมั่นใจให้แก่เธอมากขึ้น เธอเริ่มสร้างเขตแดนขึ้นมาได้ทีละน้อย จนเริ่มเห็นเขตแดนเป็นรูปวงกลมรอบตัวเธอทีละนิด โดยมีเอรอสคอยดูแลอยู่ไม่ห่างเอรอสยืนอมองดูคาร์ลินที่กำลังพยายามสร้างเขตแดนด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม เขายืนเงียบๆอยู่ข้างๆเธอ ดวงตาสะท้อนความทรงจำที่ชัดเจนขึ
ในคืนที่เงียบสงัด แสงจันทร์ที่คล้อยต่ำสะท้อนแสงบนพื้นของอาคารร้าง เสียงลมพัดเอื่อยๆผ่านช่องหน้าต่างแตก และ กำแพงที่เต็มไปด้วยรอยกัดกร่อน เอรอสยืนอยู่บนขอบดาดฟ้าชั้นบนสุด มองลงไปยังเงาร่างบางของหญิงสาวที่กำลังเดินอย่างไม่รีบร้อนในตรอกด้านล่างเธอคือไอลีน ฟรอนเทียร์ หญิงสาวที่มีเส้นผมสีฟ้ายาวทอประกายอ่อนโยนภายใต้แสงจันทร์ ดวงตาคมฉายแววแห่งความมุ่งมั่น ผิวขาวซีดของเธอสะท้อนแสงทำให้ดูราวกับเทพธิดาที่ก้าวเดินท่ามกลางโลกแห่งความมืด แม้จะอยู่คนเดียวในตรอกซอยที่เงียบเหงาและอันตราย แต่ท่าทางของไอลีนกลับนิ่งสงบไร้ร่องรอยความหวาดกลัว ไม่หวั่นไหวแม้เสียงลมแรงพัดผ่าน หรือ เงาแมวดำที่วิ่งตัดหน้าเอรอสเฝ้ามองเธอด้วยสายตาคมกริบ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของเขา การเดินของเธอมั่นคง สง่างาม และ รอบคอบ เธอดูเหมือนกำลังสำรวจบางสิ่งในพื้นที่ร้าง ราวกับต้องการค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ ความเยือกเย็นในท่าทีของเธอสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่ไม่เหมือนใคร ท่ามกลางความมืด เธอเหมือนจะกลายเป็นจุดสว่างที่โดนเด่น ยากจะละสายตาสำหรับเอรอสที่สูญเสียความทรงจำทุกอย่างก่อนเกิดโศกนาฏกรรมเมื่อ 4 ปีก่อน
เสียงรองเท้าบูตของไอลีนดังกระทบพื้นในเงามืด แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความมั่นคง เงาของเธอทอดยาวตามผนังซอยแคบ อันธพาลทั้งกลุ่มจ้องมองด้วยสายตาฉงนสงสัย ทันทีที่เห็นอาวุธในมือเธอ บูมเมอแรงสีเงินลวดลายวิจิตรสะท้อนแสงไฟสีฟ้าจางๆ พวกมันถึงกับนิ่งเงียบไปเมื่อเห็นแสงสีฟ้าระยิบระยับที่ปลายอาวุธ อันธพาลคนหนึ่งขมวดคิ้วและกระซิบกับเพื่อนๆด้วยน้ำเสียงประหม่า จนในที่สุดก็อดไม่ได้ต้องพูดออกมา“อย่าบอกนะว่าเธอจะเอาของแบบนั้นมาสู้กับเรา?”เขาหัวเราะเบาๆ แต่สายตายังจับจ้องอย่างหวาดระแวง ขณะที่หนึ่งในแสดงออกด้วยท่าทางงที่เย้ยหยัน"อะไรจ่ะน้องสาว? จะเอาของสิ่งนั้นมาปาใส่พวกเรา?” มันหัวเราะเสียงเยาะขณะที่จ้องมองเธอด้วยสายตาไม่เกรงกลัวไอลีนเพียงแค่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เธอไม่ตอบคำใดๆ ก่อนจะยกสิ่งนั้นขึ้นเล็งไปที่กลุ่มคนตรงหน้า ท่าทางของเธอแน่วแน่ มั่นคง ไร้ความลังเลทันใดนั้น อันธพาลคนหนึ่งที่รู้สึกถึงอันตราย มันพุ่งเข้าใส่เธอด้วยความรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่มือของมันจะสัมผัสตัวเธอ ไอลีนก็เหนี่ยวไก วงแหวนสีฟ้าเรืองแสงพุ่งออกจากปลายอาวุธ กระแทกเข้าที่กลางตัวของชายคนนั้นอย่างจัง ร่างของเขาลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อยก่อนจะล
เอรอสยืนมองไอลีนที่เก็บ Arcane Pulse Gun เข้าที่ ท่าทางของเธอแน่วแน่ แต่สายตากลับแฝงด้วยความเหนื่อยล้า เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงทุ้มสงบ“ยังตามหาพวกรีดไถ่อยู่อีกงั้นเหรอ?”ไอลีนยักไหล่ แววตาฉายความมุ่งมั่น“ใช่สิ จะให้พวกนั้นอยู่เฉย ๆ แล้วทำร้ายคนอื่นไปเรื่อยเหรอ?”ไอลีนปรายตามองเขาด้วยรอยยิ้มล้อเลียน พร้อมเอียงศีรษะเล็กน้อย“แล้วคุณ หมาป่าเดียวดาย มาทำอะไรแถวนี้? มาตามหาฉันหรือไง?”เอรอสถอนหายใจเบาๆ เขาส่ายหัวอย่างระอากับชื่อเล่นที่เธอตั้งให้เขา แม้ในใจจะรู้สึกไม่ชอบใจนัก แต่ก็เลือกที่จะทำสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆกับฉายาที่เธอแกล้งตั้งให้ ก่อนที่จะขยับตัว เอามือไพล่ไว้ด้านหลัง“ใช่ ฉันมาที่นี่เพื่อเตือนเธอ”ไอลีนเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าสงสัยปนฉงน “เตือน? เตือนเรื่องอะไร?”เอรอสถอนหายใจแผ่วเบา เผยให้เห็นถึงน้ำเสียงจริงจังขึ้น “ฉันอยากให้เธอหยุดพาเด็กๆ จากสลัมไปอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าแบบนั้น มันเปล่าประโยชน์”คำพูดนั้นทำให้ไอลีนชะงักไป เธอมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ"คุณหมายความว่าไง? ฉันแค่พาเด็กๆ ไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยกว่า ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย"เอ
เอรอส และ ไอลีนเฝ้ามองเหตุการณ์ในอาคารเก่า จากทางด้านหน้าในระยะไกล เขาใช้กล้องส่องทางไกลแบบตาเดียวที่ดูเก่าโทรม มันมีผ้าพันรอบตัวกล้อง และถูกทาสีทับในหลายชั้นจนพื้นผิวดูขรุขระ และ ซีดเก่า ดูราวกับเป็นของใช้มานาน แต่ไอลีนที่เคยเห็นกล้องแบบนี้มาก่อน กลับรู้ดีว่ากล้องตาเดียวทุกชิ้นต่างมีคุณภาพ และ มีราคาค่อนข้างสูง ไม่น่าจะถูกเจอในสภาพแบบนี้เลนส์ของกล้องก็ดูแปลกตา คล้ายมีชั้นฟิล์มบางๆสีดำด้านเคลือบไว้ ทำให้มันไม่สะท้อนแสงออกมาจากภายในเหมือนกล้องทั่วไป เธออดคิดไม่ได้ว่ากล้องนี้อาจเคยเป็นของมีค่ามาก่อน แต่ด้วยสภาพที่เขาใช้ ผู้อื่นที่มองเห็น คงนึกว่าเป็นของเก่าๆไร้ค่าในขณะที่ทั้งคู่สังเกตสถานการณ์ในนั้น ไอลีนเห็นชายในชุดทหารรักษาการณ์นั่งดื่มกินร่วมกับพวกคนในนั้นอย่างสนุกสนาน ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวในใจของเธอ เพราะสิ่งที่เธอเห็นนั้นแตกต่างจากที่บ้านเกิดของเธออย่างสิ้นเชิงบ้านเกิดของไอลีนเป็นสถานที่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของเธอกับชาวบ้าน และ ผู้ใต้บังคับบัญชาผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น บรรยากาศที่นั่นอบอุ่น เปี่ยมไปด้วยความรัก ความใกล้ชิด ตระกูลของเธอไม่เคยแบ่งแยกชนชั้น หรือ ถือว่าตนสูงส่ง
เอเลน่านั่งอยู่บนเตียง จ้องมองอาร์วินที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย ดวงตาสีเทาที่มองมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความลึกที่อธิบายไม่ได้ มีบางสิ่งในแววตานั้นที่ทำให้หัวใจเธอสั่นไหว แต่เธออ่านมันไม่ออกบรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด เสียงลมเบาๆ จากหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ดังก้องในห้องที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของผ้าปูที่นอนใต้ฝ่ามือ พยายามดึงสติกลับมา แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนถูกตรึงด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นอาร์วินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา"เอเลน่า... ฉันไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน แต่ฉันจะพยายามเล่าให้เธอฟัง"เสียงของเขานุ่มลึก แต่สั่นเครือเล็กน้อย เธอรู้ว่าเขากำลังแบกรับอะไรบางอย่างที่หนักหนา ทว่าในใจของเธอเองก็เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้จบ เอเลน่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงให้เขาพูดต่อ แม้ในใจจะปั่นป่วนจนแทบระเบิดอาร์วินถอนหายใจยาว เสียงนั้นเหมือนลมหายใจที่พยายามปลดปล่อยความกดดันบางอย่าง"ตอนที่ฉันถูกจับอยู่ในคุก... ฉ
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ เอเลน่าค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆ กลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันที่ไม่อยากตื่นจากมันเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งหลับพิงเก้าอี้อยู่ ใบหน้าสงบนิ่งในเงามืด เส้นผมสีทองของเขาดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เอเลน่าจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ช่วงเวลานี้เผยให้เห็นอีกด้านของเขา—ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนเร้นก่อนหน้า ทำให้เธอโล่งใจเล็กน้อย ดวงตาของเธอสบเข้ากับใบหน้าอ่อนล้าของเขา ความรู้สึกปะปนกันระหว่างความสับสนและความอบอุ่นไหลเวียนในอก“อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆเหมือนจะยืนยันว่าเขาอยู่ตรงนี้จริงๆ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อเหลือบมองตัวเองที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เตียงของเธอ แต่เป็นของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงข
เอรอสก้าวออกจากป่าทึบในรูปลักษณ์ของอาร์วิน สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านตัวเขาอย่างแผ่วเบา แสงจันทร์ยังคงสลัวทำให้เห็นเงาของคฤหาสน์ตระกูลวัลธอเรนลางๆ อยู่ไม่ไกล จุดที่เขามุ่งหน้าไปคือบริเวณใต้หน้าต่างห้องพักของเขาเองก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เขาเคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อนชายแปลกหน้าที่เอรอสช่วยเหลือไว้ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาวราวกับหยิบยกมาจากยุคโบราณ ชายคนนี้ดูเหมือนนักเดินทางที่หลงยุค เขาอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เอรอสจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวันแทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยมาให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ
คลินิกของโจชัว ตั้งอยู่ในเขตสามัญชน ตัวอาคารหินสีซีดดูเรียบง่ายแฝงความล้าสมัย ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึก หน้าต่างกระจกสีชั้นล่างสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไป ลวดลายบนกระจกดูเหมือนจะพร่ามัวในแสงสลัว คลินิกนี้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนโรงพยาบาล แต่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยประมาณสิบคน เหมาะสำหรับการดูแลแบบส่วนตัวยามตีสี่ ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ ความเงียบรอบตัวแทบจะทำให้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วงกระทบพื้น เอรอสยืนพิงกำแพงใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ตรงข้ามคลินิก แม้ลมหนาวจะพัดแรง แต่ร่างกายของเอรอสกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาต่อความเย็น ราวกับความหนาวนั้นไม่อาจแตะต้องเขาได้ ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยังหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท นั่นเป็นห้องทำงานของโจชัว ซึ่งเขาใช้สำหรับจัดการเอกสารในช่วงกลางวัน แต่ในยามนี้ ไม่มีแสงไฟส่องลอดออกมา“ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่…” เขาพึมพำเสียงเบา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงนั้นแทบชัดเจนในสายลม เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียง กระโดดขึ้นเกาะขอบหน้าต่างชั้นสอง เสียงลมแผ่วเบาและใบไม้ไหวกลบการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาสีแดงสังเกตการณ์ในห้องอีกครั้งเพื่อยืนยันว่
คาร์ลีนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้ในดันเจี้ยนที่ผสานเขากับเขตแดนของเธอ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ความสัมพันธ์ลึกลับนี้ ทำให้คาร์ลีนรับรู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอเรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของชายที่มีฉายาว่า จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มาเนิ่นนาน แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากของเขาโดยตรงเธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับคำพูดนั้นหนักเกินกว่าจะเปล่งออกมาดวงตาสีม่วงเข้มของเธอสะท้อนแสงจากโคมไฟ เธอนั่งนิ่งราวกับขบคิด แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ ความหนักใจเหมือนสายลมหนาวที่แผ่วผ่านกลับถูกเติมเต็มด้วยความหวังอันเปราะบาง เธออยากให้เขามาหา อยากได
เอรอสค่อยๆตื่นขึ้นในห้องประชุมท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ มีเพียงแสงริบหรี่ที่ส่องลอดเข้ามาจากขอบประตู ร่องรอยของเวทมนตร์เก่าก่อนยังคงอบอวลอยู่ในอากาศจางๆ แม้แสงจากเทียนเวทมนตร์ที่เคยให้ความสว่างจะดับไปจากการตัดการเชื่อมต่อกับเวทมนตร์ทำให้บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกและว่างเปล่า แต่กลิ่นอายของพลังที่เหลืออยู่ยังคงสร้างแรงกดดันให้ผู้ที่อยู่ภายในเล็กน้อยเขาขยับตัวกึ่งลุกกึ่งนั่งจากเก้าอี้ที่ดูเหมือนจะทำให้เขาหลับไปลึกเกินคาด โต๊ะยาวตรงหน้าเขามีแฟ้มเอกสารเล็กๆวางไว้อยู่ ดูเหมือนจะเป็นเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะรับปากจะจัดการให้เขาหยิบแฟ้มเอกสารที่วางไว้บนโต๊ะมาตรวจสอบ ใช้มือสีคล้ำที่มีกล้ามเนื้อชัดเจนลูบเส้นผมสีเทาของตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกความกระปรี้กระเปร่า สายตาสีแดงฉานของเขากวาดมองไปทั่วห้องเล็กๆที่ยังคงอบอวลด้วยบรรากาศที่ชวนให้รู้สึกพิศวง พลางเหลือบมองเวลาที่บอกเขาว่านี้เป็นเวลาตี 1 ดูเหมือนเขาจะเผลอหลับไปแค่ชั่วโมงเดียว ยังดีที่เสียเวลาแค่นั้นหลังจากตรวจดูเอกสารครู่หนึ่งโดยที่ไม่มีใจความสำคัญอะไรที่ทำให้เขาต้องรีบร้อนเป็นพิเศษ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ และก้าวออกจาก
เสียงกระซิบแห่งเวทมนตร์ แผ่วเบา แต่ทรงพลัง ดังก้องอยู่ในอากาศอันเย็นเยียบ ริบบิ้นสีดำ ที่ราวกับเงาแห่งความมืดจากอีกโลกหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า มันเคลื่อนไหวดั่งมีชีวิต เลื้อยวนรอบร่างของ เอรอส ซ้อนชั้นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับงูพิษที่กำลังจู่โจมเหยื่อ ความแน่นหนาของริบบิ้นทำให้แม้แต่ลมหายใจยังรู้สึกตึงเครียด แขนขาถูกตรึงแน่น ริบบิ้นเลื้อยขึ้นสูง ปิดริมฝีปาก และบดบังดวงตาของเขาไว้อย่างมิดชิด ไม่ว่าจะดิ้นรนหรือใช้พลังทั้งหมดที่มี พันธนาการเหล่านั้นยังคงรัดแน่น น้ำหนักของเวทมนตร์ที่โอบล้อมร่างเขาเหมือนโซ่ตรวนหนักอึ้งที่ไม่มีวันปลดได้จอมเวทย์ผู้ร่ายมนตรามองดูภาพตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา รอยยิ้มที่มุมปากของเขา แฝงความพอใจอย่างปิดไม่มิด ในขณะที่อีกคนหนึ่งในกลุ่มของเขาเดินเข้ามาใกล้ กระชากคอเสื้อของเอรอสอย่างรุนแรง พร้อมๆกับลากเขาไปกับพื้น ราวกับเป็นเพียงสิ่งของไร้ค่าไม่ไกลออกไป ไอลีน ยืนตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างขณะมองสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไปได้ ก่อนที่วิ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความแน่วแน่ แล้วตะโกนเสียงดังลั่น"หยุดเดี๋ยวนี้! คุณตั้งใจจะพาเขาไปที่ไหน?"น้ำเสียง
เมื่อเอรอสเฝ้ามองไอลีนอยู่นาน สีหน้าเย็นชาของเขาเริ่มแสดงความไม่พอใจออกมาเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ"ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ช่วยหลบไปหน่อย"เขาเบี่ยงตัวไปด้านข้าง เตรียมเดินผ่าน แต่ก่อนที่เขาจะก้าวออกไป ไอลีนก็ยื่นมือออกมาคว้าข้อมือเขาไว้ ดวงตาของเธอที่เคยลังเลกลับแน่วแน่ขึ้น"ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว" ไอลีนพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามเก็บความกังวลเอรอสหยุดชะงัก แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นไม่พอใจชัดเจนยิ่งขึ้น เขาหันไปมองรอบๆ เห็นสายตาของเด็กบางคนที่อาจกำลังแอบมองอยู่จากหน้าต่าง และหญิงชราที่ครัวกำลังหันมามองเช่นกันหลังจากที่ประเมินสถานการณ์ เขาเลื่อนสายตาไปยังมุมโล่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก"ตามมา" เขาเอ่ยสั้นๆก่อนจะดึงมือออกจากการเกาะกุมของเธอ และเดินนำไปยังที่ที่เขาเลือกไว้ไอลีนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินตามเขาไป ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ สายลมอ่อนๆพัดผ่านเบาๆ ท่ามกลางความเงียบที่อึดอัด ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน เอรอสกอดอกและเอนตัวพิงต้นไม้ สายตาของเขาจ้องมองเธออย่างเย็นชา"พูดมา จะพูดอะไรก็รีบพูด" เขาเร่งด้วยน้ำเสียงที่ราวกับไม่สนใจ แต่ก
บรรยากาศในห้องทำงานของผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าช่างอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก กลิ่นอับของเอกสารเก่าผสมกับกลิ่นบุหรี่จางๆ โอบล้อมพื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองเอกสารและบัญชีการเงิน ผู้อำนวยการนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้หนังเก่าซึ่งดูเหมือนพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชวนให้รู้สึกระแวงมากกว่าสบายใจ"คุณเอรอสใช่ไหม? ฉันได้รับการแจ้งมาว่าคุณต้องการบริจาคเงินให้เหล่าเด็กๆที่คุณหนูไอลีนพามา" เสียงของเขาเนิบนาบ ท่าทางเหมือนพยายามจับจุดอีกฝ่ายเอรอสนั่งนิ่งอยู่ตรงข้าม เขาสูงโปร่งสำหรับเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สายตาสีเทาของเขาเย็นชาและไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ“ใช่ ผมมาที่นี่ บริจาคเงิน ให้เด็กๆที่เพิ่งเข้ามา" เขาเอ่ยเสียงเรียบผู้อำนวยการชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ"อืม น่าชื่นชมจริงๆนะครับ แต่การรับผิดชอบเงินจำนวนมากขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอมาจากครอบครัวไหนหรือ ถึงได้ใจกว้างขนาดนี้?"คำถามนั้นเหมือนมีความนัย แต่เอรอสไม่แสดงอาการใดๆ เขาเพียงหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางมันลงบนโต๊ะ เสียงเหรียญกระทบกันดังชัดเจน"ไม่จำเป็นต้องถาม" เขาตอบสั้นๆน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่น