หลังจากที่เอเลน่าเรียกอัศวินและสาวใช้ไปดูแลอาร์วิน เธอก็ตั้งใจที่จะกลับห้อง พลางยกมือขึ้นแตะขมับเบาๆด้วยอาการเหนื่อยล้าตลอดทั้งวัน แต่แล้ว ขณะที่เธอเดินผ่านทางเดินที่ทอดยาวเชื่อมระหว่างห้องโถงหลักกับสวนในคฤหาสน์ เสียงสนทนาของกลุ่มอัศวินที่ยืนเฝ้าอยู่ใกล้ๆก็แว่วเข้าหู
“รู้เรื่องที่ท่านอาร์วินสูญเสียวงแหวนมานาไปรึยัง?”หนึ่งในอัศวินเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่ไม่เบาพอที่จะหลุดรอดจากการได้ยินของเธอ
เอเลน่าชะงักฝีเท้า หัวใจเต้นแรงขณะที่เธอพยายามทำท่าเดินผ่านไปอย่างเรียบเฉย แต่ความกังวลกลับเพิ่มขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอีกคนหนึ่งตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ได้ยินจากสาวใช้แล้ว บาดแผลสาหัสแทบจะกลายเป็นคนพิการ หนำซ้ำยังสูญเสียวงแหวนมานาไปอีก”
“ท่านผู้อาวุโสคงไม่ปล่อยเอาไว้หรอก ถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ตระกูลอาจจะเสื่อมเสียชื่อเสียงเอาได้”
“บางที… อาจถึงขั้นขับออกจากตระกูล” เสียงนั้นราบเรียบแต่กลับแฝงความเย็นยะเยือกไว้ จนเอเลน่ารู้สึกเหมือนเงามืดคืบคลานเข้ามารอบตัว
“การอยู่ในตระกูลโดยไร้วงแหวนมานา ก็เป็นได้แค่ตัวภาระเปล่าๆ ดีซะอีกที่ยังเมตตาให้มีชีวิตอยู่"หลังจากนั้นเขาดูครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมา
"แต่หากทำเพื่อตระกูลล่ะก็…. ตายไปซ่ะยังจะดีกว่า คนไร้ความสามารถหน่ะ แค่คนเดียวก็พอแล้ว”เขาพูดออกมาอย่างเรียบเฉย ขณะที่อีกคนทำท่าไม่เห็นพอใจพอสมควร แต่ก็ไม่มีท่าทีจะโต้แย้งกลับ การจะอยู่สังคมชั้นสูงนั้น ความสามารถคือทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นดั่งตัวกำหนดโชคชะตาของตระกูลด้วยซ้ำ
หัวใจของเธอคล้ายถูกบีบรัดด้วยความวิตก เธอรู้ดีว่าคำพูดของอัศวินอาจจะดูรุนแรง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ความจริงนั้นทิ่มแทงใจของเธอเช่นกัน ความอ่อนแอของอาร์วินย่อมกระทบต่อตระกูล และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป อนาคตของเขาอาจถึงขั้นต้องดับลงเลยก็ได้
สถานะของตระกูลในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก ตั้งแต่เกิดโศกนาฏกรรมในอดีต พ่อของเธอ และ ลูกหลานของสามัญชนจำนวนมากที่เข้ารับการทดสอบในวันนั้นต่างก็หายตัวไปในเหตุการณ์ดันเจี้ยนถล่ม ความหวังสุดท้ายคู่หมั้นคนแรกที่รอดชีวิตกลับมา เคยเป็นว่าที่นักผจญภัยฝีมือดี อนาคตไกล ก็ต้องฝันสลาย กลายเป็นคนไร้ความทรงจำ ไร้ความสามารถ แถมมีอาการจิตเภทอีก
แล้วถ้ารวมเรื่องที่คู่หมั้นคนปัจจุปันของเธอเสียวงแหวนมานาไปล่ะก็ ชื่อเสียงของตระกูลได้ถูกทำลายจนหมดสิ้นแน่ๆ หลังจากนั้น พวกผู้อาวุโสจะบังคับให้เราตัดขาดกับตระกูลแคลนัส ส่งผลทำให้ตระกูลของเขาล่มสลาย เธอไม่อยากทำให้ตระกูลของคนที่เธอรักพังลง แต่หากสถานการณ์เป็นแบบนี้ ก็ยากที่จะแก้ไข หรือโต้แย้งใดๆ
เอเลน่าเดินต่อไปตามทางเดินในคฤหาสน์ รู้สึกเหมือนบรรยากาศโดยรอบเย็นลง แสงไฟจากโคมติดผนังสะท้อนบนพื้นหินเย็นเฉียบราวกับทุกสิ่งกำลังจับจ้องมาที่เธอ เสียงฝีเท้าดังก้องเบาๆ ท่ามกลางความเงียบสงัด ความคิดในหัวเธอเริ่มตีกันวุ่นวาย
และแล้วคำว่า "ประตูแห่งการทดสอบ" ที่เธอเคยได้ยินจากการปากของอาร์วินก็ผุดขึ้นมาในใจ ก่อนที่เธอจะเปลี่ยนเส้นทางจากห้องของเธอ เพื่อแวะไปที่อื่นก่อน
เอเลน่ายืนอยู่หน้าประตูไม้บานหนึ่งที่ประดับด้วยลวดลายซับซ้อน เสียงเคาะเบาๆ ดังขึ้น ไม่นานนักประตูก็ค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นหญิงสาวในชุดคลุมเวทมนตร์สีม่วงอ่อน ผมยาวสีดำเป็นมันถูกมัดหลวมๆ ไว้ด้านหลัง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอมองตรงมาที่เอเลน่าด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
“เอเลน่า! เธอเองเหรอ?” เสียงอันคุ้นเคยของไอริส เพื่อนสนิทของเธอ ทำให้เอเลน่ารู้สึกโล่งขึ้นเล็กน้อย แต่ความกังวลในใจเธอยังคงไม่คลาย
“ไอริส…” เอเลน่าพูดชื่อเพื่อนเบาๆ สูดลมหายใจลึกเพื่อควบคุมอารมณ์ที่สับสน เธอพยายามฝืนยิ้ม แต่ความกังวลที่ค้างคายังคงฉายชัดในดวงตาของเธอ
ไอริสมองเธออย่างจับสังเกต ขณะที่ความอ่อนโยนในแววตานั้นดูเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกทั้งหมดที่เอเลน่ากำลังเผชิญ
“เธอกำลังกังวลเรื่องของอาร์วินใช่ไหม?” น้ำเสียงของไอริสเบาและนุ่มนวลเหมือนกับจะปลอบใจ ขณะเธอเอื้อมมือมาจับมือเอเลน่าเบาๆ
เอเลน่าพยักหน้าอย่างช้าๆ ดวงตาของเธอสั่นไหวเล็กน้อย “ฉัน… ฉันอดคิดไม่ได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันไม่รู้จะทำยังไงดี”
ไอริสมองเอเลน่าด้วยความเห็นใจ ก่อนจะเปิดประตูเชิญเธอเข้าไปในห้องส่วนตัว "เข้ามาก่อนเถอะ"
เอเลน่าเดินตามเข้าไปโดยไม่พูดอะไร บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่น และ ลึกลับ เธอมองรอบห้อง ก่อนที่จะนั่งลงตามคำเชิญของไอริส
“ฉันรู้ทุกอย่างแล้ว เอเลน่า” ไอริสตอบเบา ๆ “วงแหวนมานาของเขาถูกทำลาย มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาแน่ๆ”
เอเลน่าก้มหน้าลง เหมือนมีบางอย่างทับถมอยู่บนอก ไอริสจึงเอื้อมมือมาจับไหล่ของเธออย่างอ่อนโยน
“ไม่ต้องฝืน ถ้าเธออยากพูดก็พูดออกมาได้เสมอ”
เอเลน่าหลับตาลงลึกๆก่อนเงยหน้าขึ้นด้วยความลังเล “ไอริส… เธอเคยได้ยินเกี่ยวกับ ประตูแห่งการทดสอบ บ้างไหม?”
ไอริสชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ทำไมเธอถึงรู้จักคำนั้น?”
“ฉัน…ได้ยินที่อาร์วินพูดกับผู้อาวุโส พวกเขาดูตกใจกับมันมาก” เอลีน่าพูดพร้อมกับหลบสายตา
ไอริสนิ่งคิด ก่อนถอนหายใจ“ฉันไม่รู้รายละเอียดทั้งหมดหรอก แต่ว่านี่เป็นความลับเฉพาะนักเวทเท่านั้นที่รู้ ขนาดครอบครัวของตัวเองยังบอกไม่ได้เลย”เธอหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วหันไปสบตาเพื่อน“แต่เพราะเธอเป็นเพื่อนสนิท ฉันจะบอกล่ะกัน”
เอเลน่ายิ้มเล็กน้อย แม้จะยังรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจ“ขอบใจนะ ไอริส”
ไอริสถอนหายใจลึก ราวกับต้องการเก็บความกังวลที่สะสมไว้ให้หมดไป ก่อนจะเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความลึกลับ
“ประตูแห่งการทดสอบ… มันเป็นเหตุการณ์แปลกประหลาดที่ไม่สามารถคาดเดาเวลาที่มันจะเกิดขึ้นได้เลย”
เธอหันมามองเอเลน่าที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเครียด
“แต่ในช่วงเวลานั้น จะเกิดวงเวทย์ที่สุ่มเวลาเกิดขึ้นมา… มันเป็นทางเข้าไปสู่เขตแดนลี้ลับที่ไม่มีใครรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน”
เอเลน่าเริ่มรู้สึกตื่นเต้นและวิตกกังวลในเวลาเดียวกัน เธอเลื่อนสายตามองไปที่พื้นห้องที่มีแสงเทียนส่องระยิบระยับ ราวกับมีจังหวะเต้นของหัวใจที่ดังขึ้นในหู ขณะที่ไอริสพูดต่อ
“ใครก็ตามที่เดินเข้าไปในนั้นจะต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบของแม่มดที่อาศัยอยู่ข้างใน…” คำพูดของเธอส่งเสียงสะท้อนในหูของเอเลน่า จนทำให้เธอรู้สึกเหมือนมีลมหายใจของแม่มดอยู่ใกล้ๆ
“การทดสอบจะใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์…” ไอริสกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงต่ำลง
“ซึ่งหลังจากครบ 2 สัปดาห์แล้ว คนที่เข้าไป ก็จะโผล่กลับมาแบบสุ่มในสถานที่ต่างๆ" ไอริสเสริม ในขณะที่เธอทำท่าทางครุ่นคิดถึงเหตุการณ์บางอย่าง ก่อนจะพูดต่อ
"ถ้าผ่านการทดสอบ ก็จะได้รับรางวัล… แต่ถ้าไม่…” เธอหยุดไปครู่หนึ่ง เหมือนน้ำเสียงที่พูดต่อจากนี้จะทำให้บรรยากาศรอบตัวแปรเปลี่ยนไป “ก็จะสูญเสียความทรงจำในช่วงที่ทำการทดสอบไป…”
เอเลน่ารู้สึกหนาวสั่นไหล่ ขณะที่เธอพยายามพยักหน้าให้กำลังใจตัวเอง แต่ความกังวลกลับแทรกซึมเข้ามาในใจอย่างไม่อาจควบคุมได้
“จนถึงตอนนี้… ยังไม่มีข้อมูลของผู้ที่ผ่านการทดสอบเลย”ไอริสพูดต่อ โดยเสียงของเธอเริ่มสั่น
“เพราะในสมัยก่อน ไม่มีการควบคุมผู้เข้ารับการทดสอบ ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่บางคนหลังจากผ่านการทดสอบแล้ว ก็ไม่มีการรายงานตัว หรืออยู่ดีๆ ก็หายตัวไปเลย…”
เอเลน่าได้ฟังใจของเธอเหมือนจะหยุดเต้น ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความวิตกกังวล
“แล้วการทดสอบนั้นมีไว้เพื่ออะไร? ทำไมพวกเธอถึงต้องทำการทดสอบนั้น?” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย ขณะส่งสายตาไปยังไอริสที่ดูเหมือนจะลังเลอยู่
ไอริสหยุดชั่วคราว ราวกับกำลังตัดสินใจว่าจะพูดหรือไม่ “เป็นเรื่องที่เขาลือกัน น่ะเอเลน่า…”เธอเริ่มพูดช้าๆ
“แต่เขาว่ากันว่า…” เสียงของไอริสกระซิบเบาๆดังขึ้น สร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความลึกลับ
“รางวัลที่ได้… คือการปลูกถ่ายชิ้นส่วนร่างกายบางส่วนของไรอัส มหาจอมเวทย์ในตำนานคนนั้น…” เมื่อได้ยินชื่อของ ไรอัส เอเลน่ารู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่าง ทำให้เธอตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในการทดสอบนัี้
มหาจอมเวทย์ในตำนาน ไรอัส เป็นบุคคลในตำนานที่ขึ้นชื่อว่าเป็นจอมเวทย์คนแรกและคนเดียวของโลกที่สามารถบรรลุถึงระดับ 10 วงแหวน ซึ่งเป็นจุดสูงสุดที่มีเพียงแค่มนุษญ์คนเดียวสามารถไปถึงได้ การปลูกถ่ายชิ้นส่วนร่างกายของเขาอาจหมายถึงการได้รับพลังที่ไม่มีใครสามารถจินตนาการ หรือ อาจถึงขั้นพลิกประวัติศาสตร์ของโลกเวทมนตร์ได้เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม พลังอันมหาศาลนั้น…ก็ต้องมาพร้อมกับราคาที่ต้องจ่าย ยิ่งเป็นชิ้นส่วนของไรอัส เธอไม่ทางเชื่อได้เลยว่าจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
เอรอสในร่างของเรย์นาร์คเดินลึกเข้าไปในเขตตอนใต้ของเมือง เขาคลุมผ้าคลุมศีรษะให้มิดชิดเพื่อซ่อนใบหน้า ดวงตาคมกวาดมองรอบๆ อย่างระมัดระวัง แสงไฟจากร้านค้าและแสงเทียนสลัวๆ ตามตรอกซอกซอยสะท้อนให้เห็นบรรยากาศที่มืดมน ราวกับโลกอีกใบที่ซ่อนตัวอยู่ข้างใต้เมืองอันศิวิไลซ์ ถนนเต็มไปด้วยฝุ่นคละคลุ้ง และมีกลิ่นเหม็นอับจากของไม่พึงประสงค์วางเรียงรายอยู่ในแผงลอย เหล่าพ่อค้าแม่ค้ากำลังลักลอบขายของต้องห้ามอย่างลับๆ เสียงการเจรจาต่อรองดังขึ้นเป็นระยะ เติมเต็มบรรยากาศแห่งนี้ไปด้วยความรู้สึกทะแม่งๆ แต่สำหรับที่นี้ มันเป็นเรื่องปกติเอรอสแทรกตัวเข้าไปในฝูงชนอย่างแนบเนียน เดินลัดเลาะผ่านตรอกซอยที่สลับซับซ้อนจนกระทั่งมาถึงร้านขายของจิปาถะตามจุด จากสายตาคนทั่วไป ร้านนี้ดูธรรมดาๆ เหมือนร้านขายของทั่วไป แต่นี่เป็นเพียงฉากบังหน้าขององค์กรเขาเท่านั้น ภายในสถานที่แห่งนี้ มีทางเข้าที่เชื่อมไปถึงฐานทัพขององค์กรที่เขาอยู่เมื่อเขาเดินเข้ามา กลิ่นธูปหอมอ่อนๆ ลอยตลบอบอวลไปทั่วร้าน บนชั้นวางสินค้าถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ มีผลิตภัณฑ์มากมายที่องค์กรของเขาผลิตขึ้น วางปะปนอยู่กับสินค้าประเภทอื่นๆ สินค้าของพวกเขามีราคา
เอรอสยืนคุยกับกลุ่มสมาชิกอยู่ที่โถงทางเดิน บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการหยอกล้อระหว่างพวกเขา“จะว่าไปพี่ใหญ่ พี่มาประชุมงั้นหรอ?” หนึ่งในสมาชิกถามพลางยิ้มกว้างเอรอสทำหน้างงเล็กน้อย ก่อนที่จะคำถามออกมา“ประชุม? เรื่องอะไร?”ชายวัยกลางคนทำสีหน้าเบื่อหน่ายเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสริมขึ้นมา“เฮ้อ ก็เรื่องของโบสถ์นั้นแหละ แม่หนูนั้นยังดื้อด้าน ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเราดีๆเลยเนี่ยสิ”ชายวัยกลางคนทำท่าปวดหัว และ เบื่อหน่ายพอสมควร เอรอสถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้น โบสถ์ที่พวกเขาเคยพยายามจะให้เป็นพันธมิตรทางการค้าเพิ่งถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา แต่เพียงไม่กี่เดือนก่อน นักบวชระดับสูงคนหนึ่งถูกจับเพราะยักยอกเงินบริจาค แถมยังไปกู้หนี้จากองค์กรอื่นมาใช้จ่ายส่วนตัว ปล่อยให้โบสถ์ต้องเผชิญหนี้สินมหาศาลจนสาขาหลักตัดความช่วยเหลือ สถานการณ์ของโบสถ์จึงเสี่ยงล่มสลายเต็มทีแม้การที่นักบวชคนนั้นยักยอกเงินจะเป็นผลจากแผนของพวกเขา แต่การที่เขากลับไปกู้ยืมเงินจากองค์กรอื่นโดยไม่บอก แถมยังชิงฆ่าตัวตายเพื่อหนีความผิดกลับทำให้เรื่องราวยุ่งยากยิ่งกว่าเดิม อำนาจทั้งหมดตกไปอยู่ในมือผ
เอรอสนั่งนิ่ง มองจดหมายที่อยู่ในมืออย่างเงียงงัน หัวใจของเขารู้สึกหนักอึ้ง แม้ใบหน้าจะดูสงบนิ่งไร้อารมณ์ แต่ภายในกลับสับสนวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม เขาหันไปยังคาร์ลีนก่อนจะพูดออกมา“สนามประลองจะเริ่มเมื่อไหร่?” เอรอสเอ่ยถาม น้ำเสียงต่ำและหนักแน่น สะท้อนความถึงมุ่งมั่นที่กำลังถูกสั่นคลอนอยู่ลึกๆคาร์ลีนช้อนตามองเขา ความสงสัยปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในแววตาของเธอ“อีกห้าวัน... พวกมันต้องเวลาในการโปรโมทงาน และ ดึงดูดความสนใจจากชนชั้นสูงทุกระดับ”คำตอบของเธอทำให้เอรอสถึงกับนิ่งไป เสียงของคาร์ลีนค่อยๆเลือนหายไปในความคิดของเขา เขานึกถึงวงแหวนมานาที่ถูกทำลายในเขตแดน ในช่วงที่เขากำลังถูกครอบงำ ส่งผลให้พลังเวทของเขาลดน้อยลง จนแทบจะใช้งานอะไรไม่ได้ การฟื้นฟูวงแหวนมานาในเวลาสั้นๆมันมีวิธีอยู่ ถึงแม้ว่าลึกๆแล้ว เขาจะไม่อยากใช้มันก็ตาม"คงต้องใช้วิธีนั้นแล้วสินะ…” เอรอสคิดอย่างฝืนใจ แม้จะรู้ดีว่านี่คือการข้ามเส้นในสิ่งที่ไม่ควรทำ ความหวาดหวั่นบางอย่างแทรกซึมในใจจนรู้สึกถึงมันได้ชัดเจนเอรอสคิดอย่างฝืนใจ แม้จะรู้ดีว่าจะเป็นการข้ามเส้นในสิ่งที่ไม่ควรทำคาร์ลีนมองเขาด้วยความสงสัย คิ้วของเธอขมวดแน่นขึ้น“ดูเหมือน
แต่ทันทีที่เห็นเธอ เขาก็ต้องหยุดชะงักไปชั่วขณะ ดวงตาสีฟ้าสุกไสวของเธอ สะท้อนแสงอ่อนโยนคล้ายแสงจันทร์ในตอนกลางคืน ชวนให้ละสายตาไม่ได้ ผมยาวสีฟ้าระยับเหมือนเกลียวคลื่นในมหาสมุทรที่โอบรับประกายระยิบระยับของดวงดาว ทุกการเคลื่อนไหวของเธอให้ความรู้สึกที่สงบเยือกเย็น และยังแฝงความลึกลับไว้ลึกๆ ราวกับมีบางสิ่งซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังเอรอสพยายามดึงตัวเองกลับมาให้หลุดจากความตะลึงนั้น พลางปรับสีหน้าให้เรียบเฉยเหมือนเดิม สายตาเยือกเย็นของเขาประสานกับหญิงสาวแปลกหน้าที่ดูมีท่าทีเป็นมิตรและอบอุ่นเกินไป จนทำให้เขารู้สึกแปลกใจและเริ่มระแวดระวัง พร้อมกับตั้งคำถามถึงแรงจูงใจที่แท้จริงของเธอในใจ“สวัสดี ฉันเป็นผู้สืบสวนที่เพิ่งย้ายมาเมื่อไม่นานมานี้.. ยินดีที่รู้จัก”เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่มั่นใจ รอยยิ้มอ่อนๆ แฝงด้วยความเป็นมิตรยังคงประดับอยู่บนใบหน้า ท่าทีที่เธอแสดงออกทำให้เธอดูเหมือนคนที่เข้าถึงได้ง่าย แต่ในสายตาของเอรอส ความมีเสน่ห์เย้ายวนที่เธอแผ่ออกมานั้นกลับทำให้เขารู้สึกระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม“ฉันกำลังตามสืบเรื่องกลุ่มคนที่รีดไถเงินในแถวนี้อยู่... เธอพอจะรู้อะไรบ้างไหม?”เอรอสหรี่ตามองเธอด้วย
ในดันเจี้ยนร้างที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงหายใจแผ่วเบาของคาร์ลิน และ เอรอสที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเรย์ราร์คยืนห่างกันเล็กน้อย แสงสลัวจากเพดานหินเหนือศีรษะทำให้พื้นที่ๆดูรกร้างแห่งนี้ มีบรรยกาศที่ชวนขนลุก และ น่าหวาดกลัว แต่เอรอสกลับยืนนิ่งสงบ ไม่แสดงท่าทีวิตกใดๆเขามองดูคาร์ลินที่ยืนพยายามควบคุมมานา และ สร้างเขตแดนด้วยสีหน้าครุ่นคิด เอรอสยื่นมือออกมาแตะแขนเธอเบาๆ สอนให้เธอหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ แล้วควบคุมมานาอย่างประณีตที่สุด“ผ่อนคลาย แล้วค่อยๆโฟกัสที่พื้นที่รอบ เชื่อมต่อความรู้สึก ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของมัน” เขาเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงมั่นคง และผ่อนคลาย “อย่ากดดันตัวเอง ค่อยๆปล่อยให้มานาของเธอขยายออกไปทีละนิด”คาร์ลินหลับตาลง พยายามทำตามคำแนะนำของเขาอย่างตั้งใจ รู้สึกถึงมานาที่เริ่มขยายออกเป็นวงเล็กๆ รอบตัว เสียงของเขาช่วยเสริมความมั่นใจให้แก่เธอมากขึ้น เธอเริ่มสร้างเขตแดนขึ้นมาได้ทีละน้อย จนเริ่มเห็นเขตแดนเป็นรูปวงกลมรอบตัวเธอทีละนิด โดยมีเอรอสคอยดูแลอยู่ไม่ห่างเอรอสยืนอมองดูคาร์ลินที่กำลังพยายามสร้างเขตแดนด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม เขายืนเงียบๆอยู่ข้างๆเธอ ดวงตาสะท้อนความทรงจำที่ชัดเจนขึ
ในคืนที่เงียบสงัด แสงจันทร์ที่คล้อยต่ำสะท้อนแสงบนพื้นของอาคารร้าง เสียงลมพัดเอื่อยๆผ่านช่องหน้าต่างแตก และ กำแพงที่เต็มไปด้วยรอยกัดกร่อน เอรอสยืนอยู่บนขอบดาดฟ้าชั้นบนสุด มองลงไปยังเงาร่างบางของหญิงสาวที่กำลังเดินอย่างไม่รีบร้อนในตรอกด้านล่างเธอคือไอลีน ฟรอนเทียร์ หญิงสาวที่มีเส้นผมสีฟ้ายาวทอประกายอ่อนโยนภายใต้แสงจันทร์ ดวงตาคมฉายแววแห่งความมุ่งมั่น ผิวขาวซีดของเธอสะท้อนแสงทำให้ดูราวกับเทพธิดาที่ก้าวเดินท่ามกลางโลกแห่งความมืด แม้จะอยู่คนเดียวในตรอกซอยที่เงียบเหงาและอันตราย แต่ท่าทางของไอลีนกลับนิ่งสงบไร้ร่องรอยความหวาดกลัว ไม่หวั่นไหวแม้เสียงลมแรงพัดผ่าน หรือ เงาแมวดำที่วิ่งตัดหน้าเอรอสเฝ้ามองเธอด้วยสายตาคมกริบ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของเขา การเดินของเธอมั่นคง สง่างาม และ รอบคอบ เธอดูเหมือนกำลังสำรวจบางสิ่งในพื้นที่ร้าง ราวกับต้องการค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ ความเยือกเย็นในท่าทีของเธอสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่ไม่เหมือนใคร ท่ามกลางความมืด เธอเหมือนจะกลายเป็นจุดสว่างที่โดนเด่น ยากจะละสายตาสำหรับเอรอสที่สูญเสียความทรงจำทุกอย่างก่อนเกิดโศกนาฏกรรมเมื่อ 4 ปีก่อน
เสียงรองเท้าบูตของไอลีนดังกระทบพื้นในเงามืด แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความมั่นคง เงาของเธอทอดยาวตามผนังซอยแคบ อันธพาลทั้งกลุ่มจ้องมองด้วยสายตาฉงนสงสัย ทันทีที่เห็นอาวุธในมือเธอ บูมเมอแรงสีเงินลวดลายวิจิตรสะท้อนแสงไฟสีฟ้าจางๆ พวกมันถึงกับนิ่งเงียบไปเมื่อเห็นแสงสีฟ้าระยิบระยับที่ปลายอาวุธ อันธพาลคนหนึ่งขมวดคิ้วและกระซิบกับเพื่อนๆด้วยน้ำเสียงประหม่า จนในที่สุดก็อดไม่ได้ต้องพูดออกมา“อย่าบอกนะว่าเธอจะเอาของแบบนั้นมาสู้กับเรา?”เขาหัวเราะเบาๆ แต่สายตายังจับจ้องอย่างหวาดระแวง ขณะที่หนึ่งในแสดงออกด้วยท่าทางงที่เย้ยหยัน"อะไรจ่ะน้องสาว? จะเอาของสิ่งนั้นมาปาใส่พวกเรา?” มันหัวเราะเสียงเยาะขณะที่จ้องมองเธอด้วยสายตาไม่เกรงกลัวไอลีนเพียงแค่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เธอไม่ตอบคำใดๆ ก่อนจะยกสิ่งนั้นขึ้นเล็งไปที่กลุ่มคนตรงหน้า ท่าทางของเธอแน่วแน่ มั่นคง ไร้ความลังเลทันใดนั้น อันธพาลคนหนึ่งที่รู้สึกถึงอันตราย มันพุ่งเข้าใส่เธอด้วยความรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่มือของมันจะสัมผัสตัวเธอ ไอลีนก็เหนี่ยวไก วงแหวนสีฟ้าเรืองแสงพุ่งออกจากปลายอาวุธ กระแทกเข้าที่กลางตัวของชายคนนั้นอย่างจัง ร่างของเขาลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อยก่อนจะล
เอรอสยืนมองไอลีนที่เก็บ Arcane Pulse Gun เข้าที่ ท่าทางของเธอแน่วแน่ แต่สายตากลับแฝงด้วยความเหนื่อยล้า เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงทุ้มสงบ“ยังตามหาพวกรีดไถ่อยู่อีกงั้นเหรอ?”ไอลีนยักไหล่ แววตาฉายความมุ่งมั่น“ใช่สิ จะให้พวกนั้นอยู่เฉย ๆ แล้วทำร้ายคนอื่นไปเรื่อยเหรอ?”ไอลีนปรายตามองเขาด้วยรอยยิ้มล้อเลียน พร้อมเอียงศีรษะเล็กน้อย“แล้วคุณ หมาป่าเดียวดาย มาทำอะไรแถวนี้? มาตามหาฉันหรือไง?”เอรอสถอนหายใจเบาๆ เขาส่ายหัวอย่างระอากับชื่อเล่นที่เธอตั้งให้เขา แม้ในใจจะรู้สึกไม่ชอบใจนัก แต่ก็เลือกที่จะทำสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆกับฉายาที่เธอแกล้งตั้งให้ ก่อนที่จะขยับตัว เอามือไพล่ไว้ด้านหลัง“ใช่ ฉันมาที่นี่เพื่อเตือนเธอ”ไอลีนเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าสงสัยปนฉงน “เตือน? เตือนเรื่องอะไร?”เอรอสถอนหายใจแผ่วเบา เผยให้เห็นถึงน้ำเสียงจริงจังขึ้น “ฉันอยากให้เธอหยุดพาเด็กๆ จากสลัมไปอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าแบบนั้น มันเปล่าประโยชน์”คำพูดนั้นทำให้ไอลีนชะงักไป เธอมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ"คุณหมายความว่าไง? ฉันแค่พาเด็กๆ ไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยกว่า ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย"เอ