เอรอสก้าวออกจากห้องขังอย่างช้าๆท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด เขากวาดสายตาสำรวจรอบๆด้วยความระมัดระวัง ความเย็นเยียบและเงียบงันของคุกใต้ดินทำให้เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าที่แฝงอยู่ ไม่มีเสียงฝีเท้าของผู้คุม หรือแม้แต่เสียงสนทนาของผู้ใด สถานที่นี้ดูเหมือนถูกละเลย หรือแทบไม่มีนักโทษถูกนำมาคุมขังเท่าที่ควรจะเป็น
เอรอสสันนิษฐานว่า คุกแห่งนี้อาจมีนักโทษเพียงน้อยนิด หรือบางทีอาจมีเพียงบางคนที่ถูกขังไว้อย่างลับๆ สิ่งที่ทำให้เขามั่นใจมากขึ้นคือ วงเวทย์ที่เคยสลักบนแผ่นหลังของเขา ซึ่งเคยทำหน้าที่บอกตำแหน่งของเขาต่อหอคอย ตอนนี้มันถูกย้ายไปยังร่างของชายชราที่เข้ามาเฝ้าเขาแทน ขณะนี้ชายชราคนนั้นนอนสลบอยู่บนพื้น ไร้สติ ราวกับหมดแรงจากการถูกครอบงำโดยปีศาจ
เอรอสคิดได้ในทันที ภายในหกชั่วโมงต่อจากนี้ จะไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ที่เกิดขึ้น เขายังมีเวลาสำรวจสถานที่แห่งนี้ต่อไป บางทีรุ่นพี่ไอลีนอาจถูกกักขังอยู่ที่นี่ แม้ว่าชายชราคนนั้นจะบอกว่า เขาไม่เห็นเธอที่นี่ก็ตาม... แต่เพื่อความแน่ใจ การสำรวจให้ทั่วก่อนเป็นสิ่งจำเป็น
เอรอสเดินสำรวจไปตามทางเดินแคบๆท่ามกลางความเงียบสงัด ความมืดที่ปกคลุมทุกซอกทุกมุมราวกับแฝงความว่างเปล่า เสียงฝีเท้าของเขาก้องสะท้อนไปตามทางเดินที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด เขาสอดส่องรอบๆด้วยสายตาที่ระแวดระวัง ความเงียบที่เย็นเยียบของคุกใต้ดินไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเพียงแค่เดียวดาย แต่ยังทำให้ความกังวลและความสิ้นหวังเริ่มคืบคลานเข้ามาในจิตใจ ทุกย่างก้าวของเขาเต็มไปด้วยความหวังเล็กๆว่าจะพบเจอไอลีน รุ่นพี่ที่เขานับถือ
“รุ่นพี่... คุณอยู่ที่นี่หรือเปล่า?” เอรอสเอ่ยเรียกอย่างเบาๆ ก่อนค่อยๆ เปิดประตูเหล็กตรงหน้า ทว่าความจริงที่ปรากฏกลับเป็นเพียงความว่างเปล่า
เขาคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้—ความว่างเปล่า ไร้ซึ่งความหวัง มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพบกับความเงียบงันและความอึดอัดขณะที่ตามหาสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีวันพบเจอ เขาเคยสัมผัสกับความผิดหวังแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ประตูเหล็กทุกบานที่เขาเปิด มีแต่ความว่างเปล่ารออยู่
เขาหยุดอยู่หน้าประตูอีกบานหนึ่ง สูดลมหายใจเข้าลึก สัมผัสของโลหะเย็นเฉียบเตือนให้เขาจำไว้ว่าไม่มีอะไรแน่นอนในสถานการณ์นี้ ในทุกครั้งที่ผ่านมา ความผิดหวังเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเดินทาง แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงเปิดประตูทุกบานต่อไป หวังว่าสักวันหนึ่งคำตอบที่เขาตามหาจะปรากฏอยู่หลังประตูบานใดบานหนึ่ง
"รุ่นพี่... คุณอยู่ที่นี่ไหม?" เขาพึมพำเบาๆด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา สายตาที่อ่อนล้าสำรวจภายในห้องขังอีกครั้ง ร่างกายของเขายังคงก้าวเดินไปข้างหน้า แต่ใจของเขารู้ดีว่าครั้งนี้ก็คงไม่ต่างจากครั้งก่อนๆ
ประตูเหล็กบานแล้วบานเล่าถูกเปิดออก เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า สามสิบนาที หนึ่งชั่วโมง...สองชั่วโมง... ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งที่เอรอสกระชับลูกบิดและผลักประตู เขารู้ว่าความผิดหวังกำลังรออยู่ในอีกฟากหนึ่ง แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงทำต่อไป ความหวังริบหรี่ยังคงผลักดันเขา หวังว่าบางที สักครั้งหนึ่ง อาจจะมีบางสิ่งที่เขาตามหาซ่อนอยู่
เขายังคงก้าวเดินต่อ แม้หัวใจจะหนักอึ้งก็ตาม ท่าทางของเขายังคงสงบนิ่ง ความเจ็บปวดจากความผิดหวังที่เคยทำให้ใจเขาหวั่นไหวบัดนี้ดูเหมือนจะไร้ผล เขาเคยชินกับมันแล้ว—ความผิดหวังที่เกิดซ้ำๆ ทำให้ความหวังของเขาค่อยๆ ถูกลบหายไปในความมืดมิดของคุกใต้ดินนี้
แม้เอรอสจะรู้ดีว่าโอกาสพบรุ่นพี่ไอลีนเริ่มเลือนรางลงเรื่อยๆ แต่เขาก็ไม่ยอมหยุดเดิน เพราะการหยุดย่อมหมายถึงการยอมแพ้ และนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจยอมรับได้ เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าไอลีนไม่ได้อยู่ที่นี่
บานแล้วบานเล่า เขาผลักประตูเข้าไป แต่ไม่ว่าจะบานใดก็พบเพียงห้องว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยใดๆ สามชั่วโมงผ่านไปอย่างไร้ความหมาย ความหวังในใจของเขาค่อยๆ มอดดับลง เงียบสงัดที่เคยเป็นเพียงสิ่งรบกวนจิตใจ บัดนี้กลับกลายเป็นเงามืดที่ค่อยๆ กัดกร่อนทุกความคิด ความเหนื่อยล้าจากการสำรวจทุกซอกทุกมุมเริ่มกดทับจิตใจมากขึ้น ความรู้สึกเช่นนี้เขารู้จักดี—ความว่างเปล่า ความไร้ความหมาย ความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เอรอสหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานสุดท้าย ความหวังที่เคยเต็มเปี่ยมในหัวใจของเขาเหลือเพียงเศษเสี้ยว เขาสูดหายใจลึกก่อนจะยื่นมือไปจับลูกบิด ความเย็นเยียบของโลหะบาดผิวเขาเล็กน้อย เป็นสัญญาณเตือนว่าไม่มีสิ่งใดที่เขาจะพบเจอที่นี่อีก
เขาค่อยๆ ผลักประตูเปิดอย่างช้าๆ และสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้าก็ไม่ต่างจากทุกครั้ง—ห้องว่างเปล่า เงียบสงัด ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ ไม่มีใครถูกขังอยู่ที่นี่ มันเป็นเพียงความว่างเปล่าเหมือนที่เขาได้พบมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
"ไอลีน..." ชื่อของเธอหลุดออกจากปากเขาด้วยเสียงที่แผ่วเบา มันไร้ความหวัง เหมือนกับคนที่ยอมรับความจริงว่าไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นความผิดหวังเสมอ
ความสิ้นหวังเริ่มครอบงำจิตใจของเขาอย่างช้าๆ เอรอสยืนนิ่งอยู่หน้าประตูนั้นเป็นเวลานาน หัวใจที่เหนื่อยล้ากรีดร้องให้เขาหยุด แต่แม้จะถูกโอบล้อมด้วยความว่างเปล่าและความสิ้นหวัง เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ แม้จะเหลือเวลาเพียงน้อยนิด เขายังคงเชื่อว่าบางที่ในโลกนี้ ไอลีนอาจยังรอให้เขาพบเจอ
ทว่าทันใดนั้นเอง เขารู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ—มีลมอ่อนๆ พัดผ่านจากมุมหนึ่งของห้องที่ควรจะปิดทึบ ลมหายใจของเขาชะงักเมื่อได้ยินเสียงแผ่วเบา เสียงที่แทบไม่ได้ยิน แต่มันคือเสียงของการหายใจ—เสียงหายใจที่เหนื่อยล้า ราวกับผู้ที่กำลังจะสิ้นลม
สายตาของเอรอสหันไปยังมุมนั้นทันที หัวใจเต้นแรงขึ้น เขารู้ได้ทันทีว่านั่นไม่ใช่ภาพลวงตา มีบางอย่างอยู่หลังผนังนั้น และมันกำลังจะจากไปถ้าเขาไม่รีบลงมือ
“ที่หลังกำแพงนั้นมีอะไรบางอย่างอยู่…..”
เอรอสรวบรวมพลังของตัวเอง ความรู้สึกที่คุ้นเคยท่วมท้น กล้ามเนื้อเขาขยายออกอย่างรวดเร็ว ร่างกายเปลี่ยนแปลงเป็นอีกตัวตนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พลังงานมหาศาลไหลเวียนภายใน และด้วยความเร่งรีบ เขาใช้กำปั้นที่ทรงพลังทุบกำแพงโดยไม่ลังเล เสียงหินแตกร้าวสะท้อนไปทั่วห้อง
กำแพงพังทลายลง เผยให้เห็นห้องลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง เศษหินที่กระจายรอบตัวถูกกลบด้วยเสียงลมหายใจที่ใกล้สิ้นสุด เอรอสรีบก้าวเข้าไปด้านใน ก่อนที่ดวงตาของเขาจะจับจ้องไปยังร่างที่นอนอยู่บนพื้นในสภาพที่อิดโรยและแทบไม่มีแรงหายใจ
แต่สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่รุ่นพี่ไอลีนอย่างที่เขาคาดหวัง
“...อาร์วิน แคร์นัส?”
ร่างของชายที่หายตัวไปนานปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาในสภาพใกล้ตาย สภาพร่างกายของเขาย่ำแย่เกินจะบรรยาย ใบหน้าซีดเซียวและดวงตาที่หมดเรี่ยวแรงบ่งบอกว่าเขาถูกขังอยู่ที่นี่มาอย่างยาวนาน
"ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี้...?"
เอรอสค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้ร่างของอาร์วินที่นอนนิ่งอยู่กับพื้น กลิ่นอับชื้นในห้องลับผสานกับกลิ่นเลือดและเหงื่อรุนแรงทำให้บรรยากาศยิ่งกดดัน ดวงตาของเขาสำรวจไปทั่วร่างกายของชายผู้ที่เคยหายตัวไป อาร์วิน แคร์นัส—ชายหนุ่มที่มีความมั่นใจ นัยน์ตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจกลับเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ดูอ่อนแอเกินกว่าจะลุกขึ้นได้ ใบหน้าซีดเซียวราวกับคนที่ขาดสารอาหารมานานเอรอสนั่งลงข้างๆเขา มือหนึ่งจับที่คอเพื่อตรวจสอบชีพจรที่เต้นแผ่วเบา เอรอสเคยพบเห็นเขาบ่อยๆในตอนที่เขามารับงานปราบมอนเตอร์ในกิล แต่นี่คือครั้งแรกที่เอรอสเห็นอาร์วินในสภาพที่เปราะบางเช่นนี้"เกิดอะไรขึ้นกับนาย..." เขาพึมพำเบาๆ พลางสำรวจบาดแผลตามร่างกายของอาร์วินใกล้ๆบนแขนและขาของอาร์วินเต็มไปด้วยรอยช้ำสีน้ำเงินและดำ บ่งบอกถึงการถูกทุบตีและทำร้ายอย่างรุนแรง ที่แผ่นหลังมีรอยบาดลึกและรอยแส้ที่ขีดข่วนเป็นแผลเก่าและใหม่สลับกันไป บาดแผลเหล่านี้ไม่ได้มาจากการถูกซ้อมเพียงอย่างเดียว แต่บางรอยมีลักษณะผิดธรรมชาติ เหมือนถูกทำร้ายด้วยเวทมนตร์บางอย่าง ร่องรอยที่เอรอสเห็นได้จากบาดแผลเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว"นี่มัน.….สายเกินไปแล้
ดวงตาสีเทาของเอรอสหรี่ลงเล็กน้อยขณะที่เขามองอาร์วิน ความประหลาดใจผุดขึ้นในใจ แม้ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน ความคิดวนเวียนในหัว—“อาร์วินรู้ได้ยังไง?” ทั้งที่รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปแทบจะสิ้นเชิง…อาร์วินเงยหน้ามองเอรอส แม้ร่างกายอ่อนแรงจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงจะพูด ดวงตาสีฟ้าของเขากลับพยายามสื่อความจริงบางอย่างที่ถูกปิดซ่อนเอาไว้ ราวกับต้องการบอกเอรอสถึงสิ่งที่เขาแบกรับมาตลอด แสงสีฟ้าค่อยๆ เปล่งประกายออกมาจากดวงตา ภาพความทรงจำพรั่งพรูเข้าสู่จิตใจของเอรอสอย่างไม่ทันตั้งตัวความทรงจำหนักอึ้งของอาร์วินยังคงปะทุอยู่ในหัวใจ ภาพเหตุการณ์ในอดีตฉายชัดขึ้นทุกวินาที—ช่วงเวลาวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความกดดัน ตระกูลของเขากำลังล่มสลายหลังการสูญเสียผู้นำในสงคราม อาร์วินต้องกลายเป็นผู้นำตระกูลตั้งแต่เด็ก รับผิดชอบในการรักษาชื่อเสียงและสถานะของตระกูล ท่ามกลางตระกูลรอบข้างที่จ้องจะเล่นงานพวกเขาทุกครั้งที่มีโอกาสเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของอาร์วินเกิดขึ้นในคืนหนึ่ง ขณะที่เขากำลังสำรวจตรอกซอยในเมืองเงียบสงัด สายตาของเขาเหลือบไปเห็นเด็กสาวในชุดหรูหรากำลังถูกชายปริศนาฉุดกระชากออกมาจากที่ซ่อน และ ตั้งใจจะทำร้ายเธอ
ภายในโกดังเก็บของที่อึมครึม แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ยังอ่อนแรงค่อย ๆ ส่องผ่านหน้าต่างบานเดียวที่ฝุ่นจับหนา ทำให้ภายในโกดังยังคงมืดสลัว เงาของลังไม้ที่วางซ้อนกันสูงบดบังพื้นที่บางส่วน แต่เงาเหล่านั้นกลับเป็นข้อได้เปรียบที่เอรอสใช้ให้เกิดประโยชน์เขาหลบซ่อนตัวในเงามืด ดวงตาจับจ้องไปยังประตู มือกำแน่นข้างลำตัว ความกดดันค่อยๆ เพิ่มขึ้นพร้อมเสียงสัญญาณเตือนภัยที่ดังไม่หยุดยั้ง เหมือนจะคอยย้ำเตือนถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะทันใดนั้น เสียงบานประตูเหล็กของโกดังตรงหน้าดังขึ้น ก้องสะท้อนท่ามกลางความเงียบ เสียงคล้ายโลหะกระทบกันเมื่อวงเวทย์ที่ปิดผนึกไว้ถูกปลดออก เสียงนั้นเป็นเหมือนเสียงเตือนให้เอรอสตระหนักถึงอันตรายที่เข้ามาใกล้ จนบรรยากาศภายในโกดังยิ่งอึดอัดกว่าเดิม เขาตั้งสมาธิอีกครั้ง พลางรู้สึกถึงสัมผัสมานาที่เริ่มกลับมาบางส่วนแล้ว แต่ยังไม่มากพอที่จะรู้จำนวนคนที่เข้ามา ทำให้เขาประหม่าเล็กน้อยไม่นานนัก จอมเวทย์แปลกหน้าสองคนพุ่งเข้ามาภายในโกดังด้วยความระมัดระวัง พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างช่ำชองและสำรวจทุกจุดราวกับคุ้นเคยกับสถานที่นี้เป็นอย่างดีเอรอสยังคงนิ่ง หลบตัวอยู่ในเงาอย่างสมบูรณ์แบบ เ
เสียงนกร้องแว่วเบาๆในสวนยามเช้าจากที่ไกลๆ แสงแดดอ่อนๆเริ่มทอประกายบนยอดไม้ แต่ความเงียบสงบกลับตัดกับภาพของชายหนุ่มที่ถูกจับตรึงไว้กับพื้น ใบไม้สั่นไหวตามแรงลมแรงที่เคยเกิดขึ้น ทว่าบรรยากาศโดยภายในกลับขัดแย้งกับสภาพอากาศโดยรอบเมื่อเอเลน่าพยามวิ่งเข้ามาเพื่อดูอาการของเอรอส หนึ่งในจอมเวทย์อาวุโสขวางทางเอเลน่าเอาไว้ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เอรอสด้วยสายตาเคร่งขรึม มุมปากกระตุกเบาๆ สายตานั้นเต็มไปด้วยความระมัดระวัง แววตายังคงลังเลกับใส่สิ่งที่เห็น ก่อนจะหันไปพูดกับเอเลน่าที่อยู่ตรงหน้า "ท่านเอเลน่า เรายังไม่อาจเชื่อว่าเป็นคนเดียวกับที่ท่านรู้จัก จนกว่าจะพิสูจน์ให้แน่ชัด…" เสียงนั้นเย็นชาและเด็ดขาดเอเลน่าชะงักไปชั่วครู่ เธอกลืนน้ำลายลงคอแล้วปรับสีหน้าจากความอ่อนโยนเป็นเยือกเย็น ริมฝีปากบิดเป็นรอยยิ้มเล็กๆด้วยความเสแสร้ง"นี่คือวิธีที่พวกคุณปฏิบัติต่อคู่หมั้นของฉันหรอ?"เธอกล่าวอย่างเด็ดขาด แววตามุ่งมั่นแสดงถึงการตัดสินใจที่จะไม่ยอมอ่อนข้อใดๆชายทั้งสามคนสบตากันอย่างลังเล ในที่สุดลูกน้องของเขา ก็ยอมปล่อยเอรอสจากการจับกุม เอรอสพยายามลุกแต่ แต่ด้วยสภาพของร่างกายนี้ทำให้เขาร่วงลงไปกับพื้นอีกรอบ
แสงสีส้มของยามเย็นสาดเข้ามาในห้อง ส่องผ่านหน้าต่างบานเล็กที่เปิดไว้เพียงบางส่วน ความสงบเงียบของช่วงเวลาพลบค่ำถูกทำลายด้วยเสียงหอบหายใจแผ่วเบาของชายที่นอนนิ่งบนเตียง เอรอสลืมตาขึ้นช้าๆ ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง ราวกับทุกอวัยวะต่างกรีดร้องพร้อมกัน หัวใจของเขาเต้นอย่างเชื่องช้าและหนักอึ้ง ราวกับย้ำเตือนให้รู้ว่าอาการบาดเจ็บนั้นยังคงฝังลึกอยู่ทุกวินาทีเขาพยายามขยับตัว ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง แต่ทันทีที่เปลี่ยนท่าทาง ความเจ็บปวดจากอวัยวะภายใน ก็เริ่มปะทุขึ้นเหมือนไฟลุกโหมทำให้เขาหยุดชะงักในทันที เขากัดฟันแน่นเพื่อข่มเสียงครางไม่ให้เล็ดรอดออกมา มือข้างหนึ่งกดลงบนหน้าท้อง หวังบรรเทาความเจ็บปวด แต่กลับไม่มีอะไรดีขึ้น เหงื่อเย็นไหลซึมลงตามกรอบหน้าผาก จนทำให้ผมของเขาชื้นไปหมด ร่างกายนี้ อยู่ในสภาพย่ำแย่กว่าที่เขาคาดคิดเมื่อเอรอสเหลือบสายตาไปที่กระจกบานเล็กข้างเตียง ภาพสะท้อนที่ปรากฏคือใบหน้าของ อาร์วิน มันดูซีดขาว และ ไร้ชีวิตจนทำให้รู้สึกน่าสังเวช เขาจ้องมันอยู่ชั่วครู่ ราวกับกำลังประเมินสภาพตัวเอง ก่อนพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแห้งผาก“หนักกว่าที่คิด...”ความหงุดหงิดพลุ่งพล่านในใจ เพราะ
เอเลน่านั่งเงียบอยู่ข้างเตียงในห้องที่แสงเทียนสลัวๆ กำลังเต้นรำไปตามแรงลมที่ลอดผ่านเข้ามา บรรยากาศรอบตัวราวกับหยุดนิ่ง ไม่มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงลมหายใจเบาๆ ของเธอ ใบหน้าที่เธอคุ้นเคย แต่มีบางสิ่งที่แปลกไป—บางสิ่งที่เธอไม่สามารถอธิบายได้ ความปั่นป่วนในใจกลับค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นทีละน้อยรอยยิ้มอบอุ่นของอาร์วิน และความอ่อนโยนในแววตาของเขาทำให้เธอเคยรู้สึกปลอดภัยเสมอ แต่ครั้งนี้... เธอเริ่มสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ต่างไป มันอาจเป็นเพียงความเครียดจากสถานการณ์รอบตัวหรือความเหนื่อยล้าที่สะสม แต่ไม่ว่าสิ่งใดในตอนนี้ ตัวเขาดูจะไม่เหมือนเดิม ถึงแม้ใบหน้าของเขายังคงเหมือนอาร์วินทุกประการ ยกเว้นเพียงสีของดวงตาที่ไม่ใช่ฟ้าอมเงินอีกต่อไป ตอนนี้มันกลายเป็นสีเทานิ่งเรียบ—สีที่แตกต่างจากความทรงจำของเธอ คล้ายกับใครบางคนที่เธอรู้จักเอเลน่าถอนหายใจเบาๆ พลางบีบจดหมายในมือแน่นขึ้น จดหมายที่นำพาความทรงจำอันเจ็บปวดเกี่ยวกับการถูกไล่ล่าโดย "จอมเชือด" ภาพเหตุการณ์นั้นยังคงแจ่มชัดในหัวเธอ เลือดที่หลั่งไหล และ เสียงฝีเท้าของผู้ไล่ล่าเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจลืมได้การได้เจอกับอาร์วินอีกครั้ง แม้เขาจะบาดเจ็บสาหั
หลังจากที่เอเลน่าเรียกอัศวินและสาวใช้ไปดูแลอาร์วิน เธอก็ตั้งใจที่จะกลับห้อง พลางยกมือขึ้นแตะขมับเบาๆด้วยอาการเหนื่อยล้าตลอดทั้งวัน แต่แล้ว ขณะที่เธอเดินผ่านทางเดินที่ทอดยาวเชื่อมระหว่างห้องโถงหลักกับสวนในคฤหาสน์ เสียงสนทนาของกลุ่มอัศวินที่ยืนเฝ้าอยู่ใกล้ๆก็แว่วเข้าหู“รู้เรื่องที่ท่านอาร์วินสูญเสียวงแหวนมานาไปรึยัง?”หนึ่งในอัศวินเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่ไม่เบาพอที่จะหลุดรอดจากการได้ยินของเธอเอเลน่าชะงักฝีเท้า หัวใจเต้นแรงขณะที่เธอพยายามทำท่าเดินผ่านไปอย่างเรียบเฉย แต่ความกังวลกลับเพิ่มขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอีกคนหนึ่งตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ได้ยินจากสาวใช้แล้ว บาดแผลสาหัสแทบจะกลายเป็นคนพิการ หนำซ้ำยังสูญเสียวงแหวนมานาไปอีก”“ท่านผู้อาวุโสคงไม่ปล่อยเอาไว้หรอก ถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ตระกูลอาจจะเสื่อมเสียชื่อเสียงเอาได้”“บางที… อาจถึงขั้นขับออกจากตระกูล” เสียงนั้นราบเรียบแต่กลับแฝงความเย็นยะเยือกไว้ จนเอเลน่ารู้สึกเหมือนเงามืดคืบคลานเข้ามารอบตัว“การอยู่ในตระกูลโดยไร้วงแหวนมานา ก็เป็นได้แค่ตัวภาระเปล่าๆ ดีซะอีกที่ยังเมตตาให้มีชีวิตอยู่"หลังจากนั้นเขาดูครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมา
เอรอสในร่างของเรย์นาร์คเดินลึกเข้าไปในเขตตอนใต้ของเมือง เขาคลุมผ้าคลุมศีรษะให้มิดชิดเพื่อซ่อนใบหน้า ดวงตาคมกวาดมองรอบๆ อย่างระมัดระวัง แสงไฟจากร้านค้าและแสงเทียนสลัวๆ ตามตรอกซอกซอยสะท้อนให้เห็นบรรยากาศที่มืดมน ราวกับโลกอีกใบที่ซ่อนตัวอยู่ข้างใต้เมืองอันศิวิไลซ์ ถนนเต็มไปด้วยฝุ่นคละคลุ้ง และมีกลิ่นเหม็นอับจากของไม่พึงประสงค์วางเรียงรายอยู่ในแผงลอย เหล่าพ่อค้าแม่ค้ากำลังลักลอบขายของต้องห้ามอย่างลับๆ เสียงการเจรจาต่อรองดังขึ้นเป็นระยะ เติมเต็มบรรยากาศแห่งนี้ไปด้วยความรู้สึกทะแม่งๆ แต่สำหรับที่นี้ มันเป็นเรื่องปกติเอรอสแทรกตัวเข้าไปในฝูงชนอย่างแนบเนียน เดินลัดเลาะผ่านตรอกซอยที่สลับซับซ้อนจนกระทั่งมาถึงร้านขายของจิปาถะตามจุด จากสายตาคนทั่วไป ร้านนี้ดูธรรมดาๆ เหมือนร้านขายของทั่วไป แต่นี่เป็นเพียงฉากบังหน้าขององค์กรเขาเท่านั้น ภายในสถานที่แห่งนี้ มีทางเข้าที่เชื่อมไปถึงฐานทัพขององค์กรที่เขาอยู่เมื่อเขาเดินเข้ามา กลิ่นธูปหอมอ่อนๆ ลอยตลบอบอวลไปทั่วร้าน บนชั้นวางสินค้าถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ มีผลิตภัณฑ์มากมายที่องค์กรของเขาผลิตขึ้น วางปะปนอยู่กับสินค้าประเภทอื่นๆ สินค้าของพวกเขามีราคา