ในห้องขังอับทึบและเย็นเยียบ ความเงียบงันครอบงำทุกซอกมุม มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของชายแก่ที่ถูกปีศาจเข้าสิงร่าง เขายืนนิ่งไม่ขยับ ราวกับถูกแช่แข็งไว้ในความมืด ดวงตาสีแดงฉานที่สะท้อนแสงจากช่องระบายอากาศเพียงเล็กน้อย เป็นเครื่องหมายเดียวที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของบางสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์
เสียงประตูเหล็กหนาหนักที่ถูกปิดด้วยกุญแจและเวทมนตร์ป้องกันเริ่มขยับ มันเปิดออกอย่างช้าๆ ราวกับไม่มีแรงต้านทาน เสียงโลหะเสียดสีกันเบาๆ ดังขึ้นและสะท้อนก้องไปตามผนังหิน บรรยากาศไม่เป็นธรรมชาตินี้ทำให้ทั้งห้องดูอึดอัดและน่าขนลุกยิ่งขึ้น
เอรอสยืนอยู่ตรงกรงขังของตนเอง แววตาของเขาเยือกเย็นและจับจ้องชายแก่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างนิ่งงัน ราวกับคาดการณ์ไว้ว่าสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้น เขาก้าวออกจากกรงขังโดยไม่รีบร้อน ชายชรายืนที่อยู่ปล่อยเขาไปโดยไม่ทำอะไร เขาที่ถูกควบคุมจิตใจไม่ได้แสดงท่าทางหรือมีท่าทีใดๆที่จะต่อต้าน หรือ ขัดขวาง เอรอสจึงเดินผ่านไปอย่างราบรื่น
เมื่อเอรอสก้าวผ่านไป เขาเหลือบมองชายแก่อยู่ชั่วครู่ก่อนพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า "ขั้นแรกเสร็จแล้ว..."
“ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะทำตามสัญญา”
ปีศาจกล่าวพลางเสกมีด และ ถ้วยเล็กๆขึ้นมาจากอากาศที่ว่างเปล่า มันลอยลงมาอยู่เบื้องหน้าเอรอสอย่างช้าๆ เอรอสไม่เสียเวลา เขาใช้มีดปาดมือตัวเอง เลือดสีแดงสดหยดลงไปในถ้วยจนเต็ม ปีศาจหยิบถ้วยขึ้นมา พลางจ้องมอง และ สัมผัสถ้วยนั้นอย่างพินิจวิเคราะห์
"หากมันไม่เพียงพอ……เจ้าต้องจ่ายด้วยวิญญาณของเจ้า หรือ ของชายชรานั้น"
ปีศาจไม่รอช้า มันกระดกเลือดจากถ้วยลงคอ ดวงตาของมันสว่างวาบอย่างมีนัยย่ะ ก่อนหัวเราะเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้
เมื่อจอมเวทย์หนุ่มที่เฝ้าเขาไว้ก่อนหน้า ออกไปยืนรอเปลี่ยนกะตามที่ตกลงกันไว้ล่วง เอรอสจึงเริ่มต้นพิธีกรรมอัญเชิญปีศาจทันที พิธีกรรมนี้ต้องใช้สมาธิอย่างสูง เพราะซับซ้อนและมีรายละเอียดที่ผิดพลาดไม่ได้ เขาต้องการให้ชายหนุ่มก่อนหน้าถ่วงเวลาให้นานพอ เพื่อให้เขาทำพิธีได้สำเร็จ
พิธีนี้เป็นสิ่งที่เอรอสเรียนรู้หลังจากการบุกทำลายองค์กรลับแห่งหนึ่ง เขาบังเอิญพบเอกสารเกี่ยวกับการอัญเชิญปีศาจที่ใช้แก่นมอนสเตอร์และเลือดที่มีพลังวิญญาณเป็นสื่อกลาง เอรอสได้จดจำและศึกษามันอย่างถี่ถ้วนจนสามารถทำตามได้ในที่สุด
เอรอสกัดปลายนิ้วจนเลือดหยดแรกซึมออกมาเป็นสีแดงสด จากนั้นเขาใช้แก่นมอนสเตอร์ระดับ A ที่กลืนเข้าไปก่อนหน้านี้เป็นสื่อกลางในการอัญเชิญ เขาใช้เลือดนั้นวาดสัญลักษณ์โบราณลงบนพื้นหิน วงเวทย์ขนาดใหญ่ถูกวาดขึ้นบนพื้นด้วยสีเลือดสดใหม่ที่ยังไม่แห้งสนิท เส้นสัญลักษณ์ที่แปลกประหลาดและซับซ้อนเริ่มเรืองแสงขึ้นเรื่อย ๆ แสงนั้นเริ่มเข้มข้นขึ้นทุกวินาที
เอรอสยืนอยู่ตรงกลางวงเวทย์ ดวงตาของเขามองดูด้วยความมุ่งมั่นแม้จะมีความกลัวซ่อนอยู่ลึกๆในใจ เมื่อเขาเปล่งเสียงบางอย่างที่แปลกประหลาด ยากจะรู้ความ เสียงของเขาก้องสะท้อนในคุกใต้ดินราวกับมีพลังที่ไม่สามารถอธิบายได้ เพียงชั่วขณะหนึ่ง พื้นดินใต้เท้าของเขาเริ่มสั่นสะเทือน และวงเวทย์ที่เคยเรืองแสงกลับกลายเป็นเงามืดที่คลืบคลานไปทั่วห้อง
ทันใดนั้น เงามืดเริ่มบิดตัวขึ้นจากพื้นวงเวทย์ กลายเป็นรูปร่างของปีศาจที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้น มันดูราวกับหลุดมาจากความมืดที่จับต้องไม่ได้ ผิวหนังของมันดำมันวาวเหมือนเงาที่กำลังดูดกลืนแสงรอบตัว ดวงตาแดงฉานของมันค่อย ๆ เปิดขึ้นอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นแสงเรืองรองดั่งเปลวเพลิงที่กำลังจะระเบิด
เสียงกระซิบเบาๆ แว่วขึ้นมาในอากาศ ราวกับปีศาจกำลังพูดบางอย่างที่ไม่มีใครเข้าใจได้ มันก้าวเท้าหนึ่งก้าวออกมาจากวงเวทย์ แต่ทุกการเคลื่อนไหวของมันดูราวกับเป็นส่วนหนึ่งของเงามืด เสียงฝีเท้าแทบจะไม่ได้ยิน แต่แรงกดดันจากการปรากฏตัวของมันทำให้บรรยากาศรอบตัวเหมือนจะหยุดนิ่ง
เมื่อมันยืนเต็มตัว ผิวที่ดำมันวาวสะท้อนแสงจากคบเพลิงเพียงเล็กน้อย ปีกที่พับเก็บไว้อย่างมิดชิดเผยให้เห็นลวดลายเหมือนไฟที่กำลังมอด ริมฝีปากของมันแย้มออกช้าๆ เผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคมเหมือนสัตว์นักล่าที่พร้อมจะโจมตี เสียงกระซิบดังก้องอยู่ในหัวของเอรอส ความกลัวที่เคยก่อตัวในใจเริ่มขยายใหญ่ขึ้น แต่พร้อมกันนั้น ความรู้สึกลุ่มหลงในพลังอันยิ่งใหญ่ของปีศาจก็แทรกซึมเข้ามา
ทุกอย่างเงียบงัน ราวกับเวลาหยุดเดิน เสียงเดียวที่ยังคงอยู่คือเสียงลมหายใจของเอรอสที่เริ่มหนักขึ้น เมื่อปีศาจตัวนี้ยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ความตึงเครียดและความน่ากลัวได้กลายเป็นความจริง ทุกวินาทีที่ผ่านไปเหมือนความเงียบสงัดนี้จะเต็มไปด้วยอันตรายที่ยังไม่ได้แสดงออกมา
เมื่อปีศาจถูกอัญเชิญขึ้นมาเต็มร่าง เอรอสจ้องมองมันนิ่งก่อนจะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง
“ฉันจะมอบวิญญาณของคนที่กำลังจะเข้ามาเป็นเครื่องสังเวย… ไปดักซุ่มที่ประตูและแบ่งปันสายตาของนายให้ฉันด้วย”
เอรอสพอจะรู้เรื่องปีศาจที่เขาอัญเชิญมาอยู่บ้าง จากเอกสารของพวกมัน นอกจากชื่อแล้ว เขารู้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความสามารถ และ ของเซ่นไหว้หลังจากเรียกมันมาใช้งานด้วย
ปีศาจจ้องเอรอสอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆ ลดศีรษะลงคล้ายเป็นการรับคำสั่ง มันเปล่งเสียงต่ำที่แทบไม่ได้ยิน
"ข้าจะทำตามที่เจ้าต้องการ... มนุษย์" น้ำเสียงเย็นเยียบจนทำให้บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกไปกว่าเดิม
จากนั้น มันไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่หายตัวไปในความมืด ร่างของมันค่อยๆ จางหายไปราวกับเป็นส่วนหนึ่งของเงามืดตรงมุมประตู การเคลื่อนไหวของมันเงียบสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้า เงาทึบตรงมุมกรอบประตูยิ่งเข้มขึ้น ไม่ใช่เพราะแสงที่ลดลง แต่เป็นเพราะการปรากฏตัวของปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้นอย่างแนบเนียน
ไม่นานนัก เอรอสรู้สึกถึงการเชื่อมต่อระหว่างจิตของตนกับปีศาจ เขามองเห็นภาพตรงหน้าผ่านสายตาของปีศาจ เขาเห็นชายแก่กำลังพูดคุยกับจอมเวทหนุ่มตามที่คาดการณ์ไว้ เอรอสตั้งใจจะข่มขู่ให้ชายหนุ่มหวาดกลัวจนถอยออกไป แต่ชายหนุ่มกลับไม่ถอยหนี ซ้ำยังเริ่มพูดคุยกับชายแก่มากยิ่งขึ้น แถมยังเป็นข้อมูลที่เขาให้กับชายหนุ่มอีกด้วย
เขารับฟังการสนทนานั้นเงียบๆ ข้อมูลที่ได้จากการพูดคุย ทำให้เขารู้ว่าชายแก่คนนี้มีความเชื่อมโยงกับไอลีน และทั้งสองดูเหมือนจะสนิทสนมผิดกับที่เขาคิดเอาไว้ การพูดคุยอย่างเป็นกันเองของทั้งคู่ทำให้เอรอสต้องทบทวนแผนการของตนเอง
“บางที...อาจจะต้องเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น” เขาคิดอย่างรอบคอบ ก่อนจะพิจารณาเปลี่ยนแผน
"ฉันจะมอบเลือดที่ผสมพลังชีวิตให้แทน"
ปีศาจแค่นเสียงหัวเราะเยาะอย่างดูถูก“หา? แค่เลือดมันจะไปพออะไรได้? เจ้าคิดจริงหรือว่ามันจะมีค่าเท่ากับสิ่งที่ข้าต้องการ อย่างน้อยข้าต้องการวิญญาณสักดวงหนึ่ง”
เอรอสยักไหล่ด้วยท่าทางสบายๆ ไม่แยแสต่อคำเย้ยหยัน “ทำไปเหอะน่า ถ้าไม่พอค่อยว่ากันอีกที”
ปีศาจจ้องมองเอรอสด้วยสายตาที่เย้ยหยันลึกขึ้น ก่อนจะถอนหายใจอย่างไม่เต็มใจนัก
“เจ้าเชื่อมั่นในตัวเองมากนัก ข้าจะยอมไปก่อนแล้ว แต่จำไว้... ข้าไม่ยอมเสียเปรียบแน่”
ปีศาจพูดตอบเขา และ รอเวลาจนกระทั่งเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน ชายหนุ่มออกไปพ้นสายตา และชายแก่เดินเข้ามาในห้องจนทุกอย่างสมบูรณ์ตามแผน ปีศาจได้เข้าควบคุมร่างของชายแก่และปล่อยเอรอสจากกรงขังทันที
กลับมาปัจจุปัน
"โอ้... ข้าไม่คิดว่าเลือดของเจ้าจะทรงพลังถึงเพียงนี้ พลังชีวิตและเวทย์มนตร์ที่ไหลเวียนอยู่นั้นน่าประทับใจเกินกว่ามนุษย์ทั่วไป จะว่าไปมันก็เหมือนไวน์ที่บ่มนาน... เข้มข้นและหอมหวาน"
ปีศาจดื่มเลือดจนหมดถ้วย ดวงตาของมันวาววับด้วยพลังที่ได้รับ
“เลือดของเจ้าอุดมไปด้วยพลังชีวิต ข้ารู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นในทุกวินาที”
มันเช็ดปากเบาๆ ก่อนวางถ้วยลง "ข้าต้องการอีกหนึ่งถ้วย…. แล้วข้าจะทำลายไอของน่ารำคาญนั้นให้"
มันกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำลึก รอยยิ้มบางเบาปรากฏบนใบหน้าที่เย็นชา ก่อนที่มือของมันจะยกขึ้นชี้ไปยังด้านหลังของเขา
เอรอสยืนนิ่ง แม้จะไม่เห็นด้วยตา แต่จากคำพูดของปีศาจ น่าจะมีวงเวทย์บางอย่างสลักไว้กลางหลังของเขา เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถสังเกตเห็นได้ เนื่องจากตอนนี้เขาสูญเสียสัมผัสการรับรู้ถึงมานา ทำให้ไม่สามารถรู้สึกถึงพลังที่แผ่ซ่านจากมันได้เลย
"ก็คิดอยู่แล้วว่าไม่มีทางหนีได้ง่ายๆแบบนี้…" เอรอสคิดในใจ เรื่องที่ชายชราพูดนั้นถูก—แต่พูดไม่หมด สถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อกักกันเพียงอย่างเดียว แต่มันมีไว้ทดสอบ และสอดส่องดูว่าคนที่ถูกจับจะหาทางหลบหนีไปได้ยังไงด้วยนี้แหละ
ความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นในหัวของเขาอย่างชัดเจน เขารู้อยู่แล้วว่าเฟลิเซียไม่มีทางปล่อยให้เขาหลบหนีไปได้ง่ายๆ เพราะยังไงซ่ะ เขาก็เป็นคนสอนเธอเรื่องเขตแดนเวทมนตร์ และ ภาษาโบราณเองกับมือ ถึงจะไม่ได้สอนเธอในร่างนี้ก็ตาม…
“ไม่คิดเลยว่าที่สอนไป จะกลับจะมาโดนเล่นงานเองแบบนี้…..ชักเสียใจแล้วสิ”เอรอสคิดในใจ
โชคดีที่ดูเหมือนสถานที่นี้จะไม่ค่อยถูกใช้งานมาหลายปีแล้ว มันจึงหละหลวมกว่าที่ควรจะเป็น ไม่มีใครหลบหนีได้สำเร็จเลยในช่วงเวลานี้ ทำให้การรักษาความปลอดภัยลดลงไปบ้าง แต่กระนั้น หากพวกนั้นเอาจริงขึ้นมา การหลบหนีครั้งนี้คงไม่ง่ายดายอย่างที่คิด
เอรอสหันกลับมาจ้องมองปีศาจอย่างราบเรียบ ร่างกายของเขายังมั่นคง แม้จะเสียเลือดไปเล็กน้อย
“ไม่จำเป็นต้องทำลาย... แค่ย้ายมันไปที่ร่างชายแก่ก็พอ”
ปีศาจไม่พูดอะไร มันเพียงยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้า ราวกับตอบรับข้อเสนอโดยไม่ลังเล เอรอสปล่อยให้เลือดหยดลงในถ้วยอีกครั้งจนเต็ม ความรู้สึกหน้ามืดเริ่มเข้าครอบงำ แต่เขายังคงยืนมั่นคง ไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น ปีศาจสะบัดมือเบาๆ และทำให้บาดแผลของเอรอสหายไปในทันที
“บริการพิเศษ” ปีศาจเสกขวดเล็กขึ้นมาจากอากาศ มันเทเลือดจากถ้วยลงในขวดและเก็บไว้ด้วยท่าทีระวังราวกับเก็บของล้ำค่า
"ข้าจะเก็บไว้มอบให้นายหญิงของข้า นางจะต้องพึงพอใจแน่นอน" ปีศาจกล่าว พร้อมกับรอยยิ้มบางที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
จากนั้นปีศาจเดินเข้ามาใกล้เอรอส ปลายนิ้วเรียวยาวของมันเริ่มแผ่พลังเย็นเยียบออกมา เอรอสหันหลังให้ เผยให้เห็นสัญลักษณ์สีดำที่ประทับอยู่กลางหลัง ปีศาจพึมพำคาถาบางอย่างเป็นภาษาโบราณ เสียงนั้นก้องกังวานในอากาศราวกับเสียงกระซิบของสิ่งเร้นลับ
เมื่อปลายนิ้วของปีศาจสัมผัสสัญลักษณ์ เส้นสัญลักษณ์สีดำค่อยๆบิดเบี้ยวและเลื่อนไปสู่ร่างของชายแก่ที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างช้าๆ ไม่มีเสียงใดๆ นอกจากความเงียบสงัดที่แฝงไปด้วยความตึงเครียด
เมื่อสัญลักษณ์ถูกย้ายสำเร็จ ปีศาจถอนหายใจเบาๆ
“เรียบร้อยแล้ว” มันกล่าวด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
“คราวหน้า ถ้าเจ้าต้องการบริการจากข้าอีก... ก็อย่าลังเลที่จะเรียกข้า”
ทันทีที่พูดจบ ปีศาจก็หายวับไปในอากาศ ปล่อยให้เอรอสยืนเงียบงันท่ามกลางบรรยากาศที่อึดอัดอยู่เพียงลำพัง พร้อมร่างของชายแก่ที่สลบเหมือนทันทีที่ปีศาจจากไป
เอรอสก้าวออกจากห้องขังอย่างช้าๆท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด เขากวาดสายตาสำรวจรอบๆด้วยความระมัดระวัง ความเย็นเยียบและเงียบงันของคุกใต้ดินทำให้เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าที่แฝงอยู่ ไม่มีเสียงฝีเท้าของผู้คุม หรือแม้แต่เสียงสนทนาของผู้ใด สถานที่นี้ดูเหมือนถูกละเลย หรือแทบไม่มีนักโทษถูกนำมาคุมขังเท่าที่ควรจะเป็นเอรอสสันนิษฐานว่า คุกแห่งนี้อาจมีนักโทษเพียงน้อยนิด หรือบางทีอาจมีเพียงบางคนที่ถูกขังไว้อย่างลับๆ สิ่งที่ทำให้เขามั่นใจมากขึ้นคือ วงเวทย์ที่เคยสลักบนแผ่นหลังของเขา ซึ่งเคยทำหน้าที่บอกตำแหน่งของเขาต่อหอคอย ตอนนี้มันถูกย้ายไปยังร่างของชายชราที่เข้ามาเฝ้าเขาแทน ขณะนี้ชายชราคนนั้นนอนสลบอยู่บนพื้น ไร้สติ ราวกับหมดแรงจากการถูกครอบงำโดยปีศาจเอรอสคิดได้ในทันที ภายในหกชั่วโมงต่อจากนี้ จะไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ที่เกิดขึ้น เขายังมีเวลาสำรวจสถานที่แห่งนี้ต่อไป บางทีรุ่นพี่ไอลีนอาจถูกกักขังอยู่ที่นี่ แม้ว่าชายชราคนนั้นจะบอกว่า เขาไม่เห็นเธอที่นี่ก็ตาม... แต่เพื่อความแน่ใจ การสำรวจให้ทั่วก่อนเป็นสิ่งจำเป็นเอรอสเดินสำรวจไปตามทางเดินแคบๆท่ามกลางความเงียบสงัด ความมืดที่ปกคลุมทุกซอกทุกมุมร
เอรอสค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้ร่างของอาร์วินที่นอนนิ่งอยู่กับพื้น กลิ่นอับชื้นในห้องลับผสานกับกลิ่นเลือดและเหงื่อรุนแรงทำให้บรรยากาศยิ่งกดดัน ดวงตาของเขาสำรวจไปทั่วร่างกายของชายผู้ที่เคยหายตัวไป อาร์วิน แคร์นัส—ชายหนุ่มที่มีความมั่นใจ นัยน์ตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจกลับเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ดูอ่อนแอเกินกว่าจะลุกขึ้นได้ ใบหน้าซีดเซียวราวกับคนที่ขาดสารอาหารมานานเอรอสนั่งลงข้างๆเขา มือหนึ่งจับที่คอเพื่อตรวจสอบชีพจรที่เต้นแผ่วเบา เอรอสเคยพบเห็นเขาบ่อยๆในตอนที่เขามารับงานปราบมอนเตอร์ในกิล แต่นี่คือครั้งแรกที่เอรอสเห็นอาร์วินในสภาพที่เปราะบางเช่นนี้"เกิดอะไรขึ้นกับนาย..." เขาพึมพำเบาๆ พลางสำรวจบาดแผลตามร่างกายของอาร์วินใกล้ๆบนแขนและขาของอาร์วินเต็มไปด้วยรอยช้ำสีน้ำเงินและดำ บ่งบอกถึงการถูกทุบตีและทำร้ายอย่างรุนแรง ที่แผ่นหลังมีรอยบาดลึกและรอยแส้ที่ขีดข่วนเป็นแผลเก่าและใหม่สลับกันไป บาดแผลเหล่านี้ไม่ได้มาจากการถูกซ้อมเพียงอย่างเดียว แต่บางรอยมีลักษณะผิดธรรมชาติ เหมือนถูกทำร้ายด้วยเวทมนตร์บางอย่าง ร่องรอยที่เอรอสเห็นได้จากบาดแผลเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว"นี่มัน.….สายเกินไปแล้
ดวงตาสีเทาของเอรอสหรี่ลงเล็กน้อยขณะที่เขามองอาร์วิน ความประหลาดใจผุดขึ้นในใจ แม้ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน ความคิดวนเวียนในหัว—“อาร์วินรู้ได้ยังไง?” ทั้งที่รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปแทบจะสิ้นเชิง…อาร์วินเงยหน้ามองเอรอส แม้ร่างกายอ่อนแรงจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงจะพูด ดวงตาสีฟ้าของเขากลับพยายามสื่อความจริงบางอย่างที่ถูกปิดซ่อนเอาไว้ ราวกับต้องการบอกเอรอสถึงสิ่งที่เขาแบกรับมาตลอด แสงสีฟ้าค่อยๆ เปล่งประกายออกมาจากดวงตา ภาพความทรงจำพรั่งพรูเข้าสู่จิตใจของเอรอสอย่างไม่ทันตั้งตัวความทรงจำหนักอึ้งของอาร์วินยังคงปะทุอยู่ในหัวใจ ภาพเหตุการณ์ในอดีตฉายชัดขึ้นทุกวินาที—ช่วงเวลาวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความกดดัน ตระกูลของเขากำลังล่มสลายหลังการสูญเสียผู้นำในสงคราม อาร์วินต้องกลายเป็นผู้นำตระกูลตั้งแต่เด็ก รับผิดชอบในการรักษาชื่อเสียงและสถานะของตระกูล ท่ามกลางตระกูลรอบข้างที่จ้องจะเล่นงานพวกเขาทุกครั้งที่มีโอกาสเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของอาร์วินเกิดขึ้นในคืนหนึ่ง ขณะที่เขากำลังสำรวจตรอกซอยในเมืองเงียบสงัด สายตาของเขาเหลือบไปเห็นเด็กสาวในชุดหรูหรากำลังถูกชายปริศนาฉุดกระชากออกมาจากที่ซ่อน และ ตั้งใจจะทำร้ายเธอ
ภายในโกดังเก็บของที่อึมครึม แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ยังอ่อนแรงค่อย ๆ ส่องผ่านหน้าต่างบานเดียวที่ฝุ่นจับหนา ทำให้ภายในโกดังยังคงมืดสลัว เงาของลังไม้ที่วางซ้อนกันสูงบดบังพื้นที่บางส่วน แต่เงาเหล่านั้นกลับเป็นข้อได้เปรียบที่เอรอสใช้ให้เกิดประโยชน์เขาหลบซ่อนตัวในเงามืด ดวงตาจับจ้องไปยังประตู มือกำแน่นข้างลำตัว ความกดดันค่อยๆ เพิ่มขึ้นพร้อมเสียงสัญญาณเตือนภัยที่ดังไม่หยุดยั้ง เหมือนจะคอยย้ำเตือนถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะทันใดนั้น เสียงบานประตูเหล็กของโกดังตรงหน้าดังขึ้น ก้องสะท้อนท่ามกลางความเงียบ เสียงคล้ายโลหะกระทบกันเมื่อวงเวทย์ที่ปิดผนึกไว้ถูกปลดออก เสียงนั้นเป็นเหมือนเสียงเตือนให้เอรอสตระหนักถึงอันตรายที่เข้ามาใกล้ จนบรรยากาศภายในโกดังยิ่งอึดอัดกว่าเดิม เขาตั้งสมาธิอีกครั้ง พลางรู้สึกถึงสัมผัสมานาที่เริ่มกลับมาบางส่วนแล้ว แต่ยังไม่มากพอที่จะรู้จำนวนคนที่เข้ามา ทำให้เขาประหม่าเล็กน้อยไม่นานนัก จอมเวทย์แปลกหน้าสองคนพุ่งเข้ามาภายในโกดังด้วยความระมัดระวัง พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างช่ำชองและสำรวจทุกจุดราวกับคุ้นเคยกับสถานที่นี้เป็นอย่างดีเอรอสยังคงนิ่ง หลบตัวอยู่ในเงาอย่างสมบูรณ์แบบ เ
เสียงนกร้องแว่วเบาๆในสวนยามเช้าจากที่ไกลๆ แสงแดดอ่อนๆเริ่มทอประกายบนยอดไม้ แต่ความเงียบสงบกลับตัดกับภาพของชายหนุ่มที่ถูกจับตรึงไว้กับพื้น ใบไม้สั่นไหวตามแรงลมแรงที่เคยเกิดขึ้น ทว่าบรรยากาศโดยภายในกลับขัดแย้งกับสภาพอากาศโดยรอบเมื่อเอเลน่าพยามวิ่งเข้ามาเพื่อดูอาการของเอรอส หนึ่งในจอมเวทย์อาวุโสขวางทางเอเลน่าเอาไว้ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เอรอสด้วยสายตาเคร่งขรึม มุมปากกระตุกเบาๆ สายตานั้นเต็มไปด้วยความระมัดระวัง แววตายังคงลังเลกับใส่สิ่งที่เห็น ก่อนจะหันไปพูดกับเอเลน่าที่อยู่ตรงหน้า "ท่านเอเลน่า เรายังไม่อาจเชื่อว่าเป็นคนเดียวกับที่ท่านรู้จัก จนกว่าจะพิสูจน์ให้แน่ชัด…" เสียงนั้นเย็นชาและเด็ดขาดเอเลน่าชะงักไปชั่วครู่ เธอกลืนน้ำลายลงคอแล้วปรับสีหน้าจากความอ่อนโยนเป็นเยือกเย็น ริมฝีปากบิดเป็นรอยยิ้มเล็กๆด้วยความเสแสร้ง"นี่คือวิธีที่พวกคุณปฏิบัติต่อคู่หมั้นของฉันหรอ?"เธอกล่าวอย่างเด็ดขาด แววตามุ่งมั่นแสดงถึงการตัดสินใจที่จะไม่ยอมอ่อนข้อใดๆชายทั้งสามคนสบตากันอย่างลังเล ในที่สุดลูกน้องของเขา ก็ยอมปล่อยเอรอสจากการจับกุม เอรอสพยายามลุกแต่ แต่ด้วยสภาพของร่างกายนี้ทำให้เขาร่วงลงไปกับพื้นอีกรอบ
แสงสีส้มของยามเย็นสาดเข้ามาในห้อง ส่องผ่านหน้าต่างบานเล็กที่เปิดไว้เพียงบางส่วน ความสงบเงียบของช่วงเวลาพลบค่ำถูกทำลายด้วยเสียงหอบหายใจแผ่วเบาของชายที่นอนนิ่งบนเตียง เอรอสลืมตาขึ้นช้าๆ ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง ราวกับทุกอวัยวะต่างกรีดร้องพร้อมกัน หัวใจของเขาเต้นอย่างเชื่องช้าและหนักอึ้ง ราวกับย้ำเตือนให้รู้ว่าอาการบาดเจ็บนั้นยังคงฝังลึกอยู่ทุกวินาทีเขาพยายามขยับตัว ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง แต่ทันทีที่เปลี่ยนท่าทาง ความเจ็บปวดจากอวัยวะภายใน ก็เริ่มปะทุขึ้นเหมือนไฟลุกโหมทำให้เขาหยุดชะงักในทันที เขากัดฟันแน่นเพื่อข่มเสียงครางไม่ให้เล็ดรอดออกมา มือข้างหนึ่งกดลงบนหน้าท้อง หวังบรรเทาความเจ็บปวด แต่กลับไม่มีอะไรดีขึ้น เหงื่อเย็นไหลซึมลงตามกรอบหน้าผาก จนทำให้ผมของเขาชื้นไปหมด ร่างกายนี้ อยู่ในสภาพย่ำแย่กว่าที่เขาคาดคิดเมื่อเอรอสเหลือบสายตาไปที่กระจกบานเล็กข้างเตียง ภาพสะท้อนที่ปรากฏคือใบหน้าของ อาร์วิน มันดูซีดขาว และ ไร้ชีวิตจนทำให้รู้สึกน่าสังเวช เขาจ้องมันอยู่ชั่วครู่ ราวกับกำลังประเมินสภาพตัวเอง ก่อนพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแห้งผาก“หนักกว่าที่คิด...”ความหงุดหงิดพลุ่งพล่านในใจ เพราะ
เอเลน่านั่งเงียบอยู่ข้างเตียงในห้องที่แสงเทียนสลัวๆ กำลังเต้นรำไปตามแรงลมที่ลอดผ่านเข้ามา บรรยากาศรอบตัวราวกับหยุดนิ่ง ไม่มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงลมหายใจเบาๆ ของเธอ ใบหน้าที่เธอคุ้นเคย แต่มีบางสิ่งที่แปลกไป—บางสิ่งที่เธอไม่สามารถอธิบายได้ ความปั่นป่วนในใจกลับค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นทีละน้อยรอยยิ้มอบอุ่นของอาร์วิน และความอ่อนโยนในแววตาของเขาทำให้เธอเคยรู้สึกปลอดภัยเสมอ แต่ครั้งนี้... เธอเริ่มสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ต่างไป มันอาจเป็นเพียงความเครียดจากสถานการณ์รอบตัวหรือความเหนื่อยล้าที่สะสม แต่ไม่ว่าสิ่งใดในตอนนี้ ตัวเขาดูจะไม่เหมือนเดิม ถึงแม้ใบหน้าของเขายังคงเหมือนอาร์วินทุกประการ ยกเว้นเพียงสีของดวงตาที่ไม่ใช่ฟ้าอมเงินอีกต่อไป ตอนนี้มันกลายเป็นสีเทานิ่งเรียบ—สีที่แตกต่างจากความทรงจำของเธอ คล้ายกับใครบางคนที่เธอรู้จักเอเลน่าถอนหายใจเบาๆ พลางบีบจดหมายในมือแน่นขึ้น จดหมายที่นำพาความทรงจำอันเจ็บปวดเกี่ยวกับการถูกไล่ล่าโดย "จอมเชือด" ภาพเหตุการณ์นั้นยังคงแจ่มชัดในหัวเธอ เลือดที่หลั่งไหล และ เสียงฝีเท้าของผู้ไล่ล่าเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจลืมได้การได้เจอกับอาร์วินอีกครั้ง แม้เขาจะบาดเจ็บสาหั
หลังจากที่เอเลน่าเรียกอัศวินและสาวใช้ไปดูแลอาร์วิน เธอก็ตั้งใจที่จะกลับห้อง พลางยกมือขึ้นแตะขมับเบาๆด้วยอาการเหนื่อยล้าตลอดทั้งวัน แต่แล้ว ขณะที่เธอเดินผ่านทางเดินที่ทอดยาวเชื่อมระหว่างห้องโถงหลักกับสวนในคฤหาสน์ เสียงสนทนาของกลุ่มอัศวินที่ยืนเฝ้าอยู่ใกล้ๆก็แว่วเข้าหู“รู้เรื่องที่ท่านอาร์วินสูญเสียวงแหวนมานาไปรึยัง?”หนึ่งในอัศวินเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่ไม่เบาพอที่จะหลุดรอดจากการได้ยินของเธอเอเลน่าชะงักฝีเท้า หัวใจเต้นแรงขณะที่เธอพยายามทำท่าเดินผ่านไปอย่างเรียบเฉย แต่ความกังวลกลับเพิ่มขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอีกคนหนึ่งตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ได้ยินจากสาวใช้แล้ว บาดแผลสาหัสแทบจะกลายเป็นคนพิการ หนำซ้ำยังสูญเสียวงแหวนมานาไปอีก”“ท่านผู้อาวุโสคงไม่ปล่อยเอาไว้หรอก ถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ตระกูลอาจจะเสื่อมเสียชื่อเสียงเอาได้”“บางที… อาจถึงขั้นขับออกจากตระกูล” เสียงนั้นราบเรียบแต่กลับแฝงความเย็นยะเยือกไว้ จนเอเลน่ารู้สึกเหมือนเงามืดคืบคลานเข้ามารอบตัว“การอยู่ในตระกูลโดยไร้วงแหวนมานา ก็เป็นได้แค่ตัวภาระเปล่าๆ ดีซะอีกที่ยังเมตตาให้มีชีวิตอยู่"หลังจากนั้นเขาดูครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมา