ก่อนหน้านี้เล็กน้อย ที่กิลนักผจญภัย บรรยากาศในห้องหนึ่งค่อยๆ เงียบลง เสียงจานและแก้วที่กระทบกันอย่างต่อเนื่องในมื้ออาหารเริ่มเบาลง สมาชิกในกลุ่มทั้งห้าต่างจมอยู่ในความคิดของตน มีเพียง “ลีน่า” หญิงสาววัย 20 ปี ที่ดูร้อนใจที่สุด
ลีน่านั่งกุมมือไว้บนตัก ดวงตาสีทองที่ซ่อนอยู่หลังแว่นหนา มองออกไปยังท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง ความกังวลสะท้อนชัดเจนบนใบหน้าเล็กๆ ของเธอ ผมสีน้ำตาลอมแดงที่มักมัดไว้หลังศีรษะ หลุดออกมาบางส่วน เธอเฝ้ามองนอกหน้าต่างอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันสายตากลับไปยังเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ตรงข้าม แต่ไม่มีใครดูเหมือนจะสนใจความกังวลของเธอมากนัก
"รุ่นพี่เขาจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรอคะ? ไปตั้งแต่เช้าแล้ว... ตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย…"
ลีน่าถามเสียงเบาแต่ชัดเจน น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยราวกับพยายามเก็บซ่อนความกังวล
บรรยากาศรอบโต๊ะนิ่งเงียบลงเล็กน้อยจากคำถามของลีน่า เฟรย์ ชายหนุ่มวัยเดียวกัน รูปร่างสูงโปร่ง ผิวซีดแบบขุนนาง เอียงตัวไปข้างหน้าวางข้อศอกลงบนโต๊ะ มือข้างหนึ่งยกแก้วชาขึ้นจิบ ก่อนจะพูดตอบเธอด้วยน้ำเสียงสุขุม
“ไม่เป็นไรหรอกลีน่า เขาไม่ใช่คนที่จะตายง่ายๆขนาดนั้น ก็เห็นรอดกลับมาตลอด”
เขาพูดด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ ราวกับเป็นคำถามไร้สาระ แววตาของเฟรย์จ้องไปที่ลีน่า เพื่อย้ำให้เธอรู้สึกมั่นใจขึ้น ทว่าความกังวลในใจของเขาเองก็ไม่ได้ต่างจากลีน่ามากนัก เพียงแต่เขาเลือกที่จะไม่แสดงออก
แม้ว่าลีน่าจะสัมผัสได้ถึงความมั่นใจในน้ำเสียงของเฟรย์ แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะสลัดความกังวลในใจของเธอออกไป ตั้งแต่วันที่เธอหนีออกจากตระกูล ชีวิตของเธอในฐานะสามัญชนเต็มไปด้วยอุปสรรค เมื่อตอนที่เธอ และ เพื่อนๆมาถึงเมืองนี้ ก็โดนขโมยเงินตั้งแต่วันแรก แถมยังถูกโกงค่าที่พักที่จ่ายล่วงหน้าไปแล้ว จนเกือบไม่มีที่อยู่อาศัย แต่แล้วในช่วงเวลาที่ทุกอย่างดูสิ้นหวัง ก็มีใครบางคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ — คนคนนั้นคือ "เอรอส"
การพบกับเอรอสครั้งแรกนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ฝังลึกในใจเธอ เธอหวาดกลัวเขาอย่างมาก แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูเป็นมนุษย์ทั่วไป แต่ภายในร่างของเขามีจิตวิญญาณที่บ้าคลั่งซ่อนอยู่ มันพยายามแทรกซึมไปยังจิตใจของเขา และกัดกินวิญญาณของเขาอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม เอรอสกลับแสดงออกอย่างปกติ ราวกับไม่รู้สึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตัวเขา เหมือนสิ่งมีชีวิตที่ไม่สนใจปรสิตที่แฝงอยู่ในร่างกาย
และที่สำคัญ เธอมองเห็นอะไรบางอย่างในแก่นวิญญาณของเขา บางสิ่งที่ซ่อนอยู่ลึกจนไม่มีใครนอกจากเธอจะสัมผัสได้ เป็นเหมือนจุดกำเนิดของวิญญาณ แม้จะมีเพียงเล็กน้อย แต่มันคือแก่นของบางสิ่งที่ใกล้จะถูกย่อยสลายจนหมดสิ้นไปแล้ว มันทำให้เธอเชื่อว่าเอรอสคือปีศาจในร่างมนุษย์ เธอจึงพยายามตีตัวออกห่างจากเขาเสมอ
แต่โชคชะตาเล่นตลก เมื่อเอรอสกลายเป็นรุ่นพี่ที่ดูแลฝึกงานของเธอโดยตรง แม้เธออยากลาออกทันที แต่ก็ไม่มีที่ไป จึงต้องจำใจอยู่ต่อไป
ความกังวลของเธอนั้นอาจจะมากเกินไป เอรอสสังเกตเห็นถึงความอึดอัดของเธอ เขาพยายามเว้นระยะห่าง แต่ยังคอยสอนงานและฝากเอกสารผ่านเพื่อนของเธอ แม้จะดูไม่ดีนัก แต่มันทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่มีเขาอยู่ใกล้ๆ
แม้ลีน่าจะพยายามใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ แต่โชคชะตาก็ไม่เคยใจดีกับเธอ ลูกชายของผู้จัดการเริ่มรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของเธอ เมื่อวันหนึ่งแว่นของเธอหลุดออกตอนเดินชนเขา เขาเห็นดวงตาสีทองที่เธอพยายามปกปิด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาเริ่มตามจีบ และ ล่วงเกินเธอ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาวางยานอนหลับและพาเธอไปที่ห้องเอกสาร
แต่ในช่วงที่เธอคิดว่าทุกอย่างจบลงแล้ว ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นกลับเป็นแผ่นหลังของชายหนุ่มผมสีเทา ผิวคล้ำที่เข้ามาช่วยไว้ แม้รูปลักษณ์จะต่างออกไป แต่จิตวิญญาณข้างในนั้นเธอจำได้ดี เขาคือรุ่นพี่ที่เธอหวาดกลัวมาตลอด ตัวตนที่เป็นเหมือนฝันร้ายของเธอ กลับกลายเป็นความหวังเดียวที่เข้ามาช่วยในยามที่เธอลำบากที่สุด
แม้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดจะถูกสรุปว่า ลูกชายของผู้จัดการเป็นผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือเธอจากคนร้ายปริศนา แต่ทุกคนในที่ทำงานต่างก็รู้ดีว่าความจริงเป็นเช่นไร เพียงแต่ตัวตนที่ช่วยเหลือเธอนั้นไม่อาจถูกเปิดเผยหรือยอมรับได้ นั่นทำให้เธอรู้สึกเศร้าใจไม่น้อย
ในวันถัดมา เธอตื่นเช้ากว่าปกติเพื่อจะไปขอบคุณเขาที่ช่วยเหลือ แต่เมื่อไปถึงกลับไม่พบตัวเขา ได้ยินเพียงคำบอกเล่าว่า ก่อนที่เธอจะมาถึงไม่นาน เขาก็อ้างว่ามีธุระด่วนและออกไปแล้ว นั่นทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเป็นครั้งแรก ตัวตนที่เธอเคยหวาดกลัวกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้พบซะอย่างนั้น
สถานการณ์ดำเนินต่อไปเช่นนี้อยู่พักใหญ่ ไม่ว่าเธอจะพยายามส่งจดหมายขอบคุณไปเท่าไร ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ ในบางครั้งที่เธอเห็นเขาจากที่ไกลๆ เขาก็ดูเหมือนจะติดธุระและหายตัวไปก่อนที่เธอจะไปถึงเสมอ
จนกระทั่งการมาถึงของเพื่อนร่วมทีมใหม่ทั้งสามคน เฟรย์ โซเฟีย และไคลน์ ซึ่งจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีม เนื่องจากทั้งสามติดปัญหาบางอย่าง ทำให้มาช้ากว่ากำหนดเกือบสองเดือน แต่พวกเขาก็ถูกนับเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของเธอ
เนื่องจากจำนวนสมาชิกในทีมเพิ่มมากขึ้น ภารกิจที่พวกเขาได้รับจึงมีความอันตรายมากขึ้นตามไปด้วย ภารกิจล่าสุดในตอนนั้น คือการตามหาเด็กที่ถูกลักพาตัว การประเมินครั้งแรกจัดให้ภารกิจนี้เป็นเพียงงานที่มีความเสี่ยงเล็กน้อย แต่สิ่งที่พวกเขาเจอกลับต่างจากการประเมินโดยสิ้นเชิง
พวกเราทั้งห้าคนต้องเผชิญหน้ากับองค์กรลับที่ลักพาตัวผู้คนไปขายยังต่างแดน ศัตรูมีจำนวนกว่าร้อย ในขณะที่พวกเราทั้งหมดมีนักเวทสองวงแหวนสี่คนและสามวงแหวนเพียงหนึ่ง แม้ศัตรูจะมีเพียงวงแหวนเดียว แต่พวกเขากลับมีอาติแฟกต์จำนวนมาก คอยเพิ่มความแข็งแกร่งให้การต่อสู้ ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตที่ทุกคนต่างได้รับบาดเจ็บ แถมยังต้องคอยปกป้องเด็กที่ถูกลักพาตัว พวกเราก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด
ในตอนที่ความหวังดูเหมือนจะหมดลง ขวานยักษ์สีทองก็ถูกฟาดลงมากลางดงศัตรู ราวกับนักรบคลั่งในตำนานได้ปรากฏตัวขึ้น ชายผู้นั้นคล้ายดั่งเทพสงคราม แม้จะโดนโจมตีด้วยห่าฝนของธนู ดาบ และเวทมนตร์ เขาก็ยังคงกำขวานยักษ์ทองคำไว้แน่น กวาดล้างศัตรูหลายสิบคนเพียงลำพัง ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลของเขาดูไม่ได้ทำให้พลังของเขาลดลงเลยแม้แต่น้อย
หลังจากกวาดล้างศัตรูจนหมดสิ้น เขาก็กระโดดหายไปในรูเพดานที่พังถล่ม ทิ้งไว้เพียงพวกเราที่รอดชีวิตและชาวบ้านที่ถูกช่วยเหลือ
ชาวบ้านในตอนนั้นต่างก้มกราบ และ บูชาเขา โดยเรียกเขาว่า "เทพสงครามผู้บ้าคลั่ง ไซออน" ยอดนักรบจากฟากฟ้า ชายผู้ถูกสร้างขึ้นจากพลังแห่งเทพสงคราม เขาถือขวานยักษ์สีทองที่ว่ากันว่าหนักพอจะบดขยี้ภูเขา แต่กลับเบาในมือของเขาราวกับขนนก ฟาดฟันศัตรูจนฟ้าสั่นสะเทือนและพื้นดินแยกออก เขาเป็นดั่งเทพเจ้าในตำนาน ที่ชาวใต้ศรัทธาและยกย่อง
หลังจากพวกเขารอดชีวิตและกลับมายังกิลด์นักผจญภัยได้สำเร็จ พวกเขาก็ได้รับการยกย่องสรรเสริญจากชาวเมือง เว้นก็เพียงแค่ชายผู้หนึ่ง—ผู้ที่มาช่วยเหลือพวกเขา กลับไม่เคยถูกเอ่ยถึงเลย
ในระหว่างพิธีฉลอง เธอตั้งใจว่าครั้งนี้ต้องขอบคุณเขาให้ได้ เธอจึงถามไถ่ผู้ใหญ่ที่ทำงานอยู่ จนกระทั่งได้รับที่อยู่ของเขา และตามที่อยู่นั้นไปจนถึงที่พักของเขา เธอยืนอยู่หน้าประตูเก่าโทรมพักใหญ่ ก่อนจะเคาะประตู แต่ไม่มีวี่แววตอบรับ แม้เธอพยายามเรียกเสียงก็เงียบสนิท จนเธอเริ่มถอดใจ
ทันใดนั้นเอง เธอก็สังเกตเห็นหน้าต่างเล็กๆที่ถูกแง้มออกเล็กน้อย ด้วยสัญชาตญาณและความสงสัย เธอจึงตัดสินใจเสียมารยาทแอบมองเข้าไปข้างใน และตอนนั่นเอง คือช่วงเวลาที่เธอได้เห็นเขา... เอรอส ชายที่เคยช่วยเหลือเธอ กำลังถูกจิตวิญญาณบ้าคลั่งที่อยู่ภายในกลืนกินอย่างช้าๆ ราวกับกำลังคืบคลานเข้าครอบงำจนเกือบจะหมดสิ้น
“หยุดสิวะ... หยุด!!!”เอรอสที่ทรุดตัวนั่งอยู่บนพื้น ตะโกนในใจด้วยความอึดอัด ความเหนื่อยล้าที่กดทับร่างทำให้เขาหายใจหอบ สายตาของเขาพร่ามัว เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และความรู้สึกเจ็บปวดที่บีบคั้นราวกับถูกบีบรัดจากภายใน ความทรมานที่รู้สึกนั้นเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหวนี่เป็นครั้งที่สองแล้ว... ครั้งที่สองที่เขาถูกมันคุกคามหนักถึงขนาดนี้น ยิ่งเขาปล่อยให้มันเข้ามาในจิตใจมากเท่าไหร่ ทั้งสองก็ยิ่งเชื่อมต่อกันแน่นแฟ้นขึ้นทุกที เหมือนมีบางอย่างในตัวเขาถูกดึงออกไป... และในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ถูกถ่ายโอนกลับมา แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำก็ตามหลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ผลกระทบที่ยืดเยื้อก็ค่อยๆ จางหาย เอรอสนอนราบลงกับพื้น ถอนหายใจยาวเพื่อระบายความอึดอัดที่ยังหลงเหลืออยู่ เขาไม่สนใจเสื้อผ้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อหรือความอ่อนล้าที่ปกคลุมร่างกาย สิ่งที่เขาสนใจกลับเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามา ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเขา...มันเป็นภาพครอบครัวของเรย์นาร์ค... แม้เพียงเสี้ยวหนึ่งก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงในความทรงจำนั้น เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งและเด็กสาวอายุราว 8 ขวบ ทั้งสองมีผิวสี
แม้ว่าเอรอสจะพยายามรักษาระยะห่างจากเธอ แต่ทุกครั้งที่เกิดอันตรายขึ้น เขากลับปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือเสมอ แม้จะไม่ใช่ตัวตนเดิมก็ตามในช่วงเวลาปกติ เขาก็คอยแนะนำสถานที่สำหรับหาข้อมูล ของใช้ที่จำเป็นสำหรับการทำงาน หรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับคดีที่พวกเขาทำอยู่ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่พวกรุ่นพี่ที่ทำงานมาก่อนหน้านี้ไม่ยอมบอก ทำให้คำแนะนำของเอรอสกลายเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกขอบคุณมาโดยตลอดอย่างไรก็ตาม ภารกิจที่เขาได้รับจากกิลด์ส่วนใหญ่กลับเป็นเพียงงานธรรมดา ไม่เกี่ยวข้องกับแผนกสืบสวนเลย เช่น การส่งจดหมายไปที่เมืองอื่น หาแมวที่หายไป หรือแม้แต่ทำความสะอาดสถานที่บางแห่ง ภารกิจเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นงานที่ไม่สำคัญและไม่มีใครสนใจ นักผจญภัยคนอื่นมักเลือกทำภารกิจที่ท้าทายและมีผลตอบแทนมากกว่าเหตุผลที่เอรอสได้รับภารกิจเหล่านี้มาจากผู้จัดการของกิลด์เอง ผู้จัดการอ้างว่า ‘หน้าตาทางสังคมของกิลด์จะเสียหาย ถ้างานพวกนี้ไม่ถูกจัดการ’ เขามอบงานเหล่านั้นให้เอรอส โดยเจตนาซ่อนความสามารถของเขา เพื่อป้องกันไม่ให้เด่นเกินหน้าลูกชายหรือผู้จัดการเอง แม้ว่าหากจนปัญญาจริงๆ ก็จะตกมาถึงมือเขาเสมอลีน่าที่พยายามรักษาระยะห่างจากผู้
คำพูดของเฟรย์ทำให้บรรยากาศในห้องประชุมเงียบงัน ลีน่ากับโซเฟียสบตากันอย่างเคร่งเครียด หอคอยนักปราชญ์เป็นหนึ่งในองค์กรที่ทรงอำนาจที่สุดในประเทศ มีอิทธิพลเทียบเท่ากับตระกูลขุนนางชั้นสูงและราชวงศ์ เป็นศูนย์กลางขององค์ความรู้และเวทมนตร์ หากใครปรารถนาจะก้าวขึ้นเป็นจอมเวทชั้นแนวหน้า หอคอยนี้คือที่ที่พวกเขาต้องผ่านไป ไม่เพียงแต่ขึ้นชื่อในเรื่องการสอนเวทมนตร์ แต่ยังสร้างนักเวทผู้ทรงพลังมานับไม่ถ้วนการคัดเลือกผู้เข้าสู่หอคอยนั้นแสนเข้มงวด ผู้สมัครต้องมีวงแหวนอย่างน้อยสองวง และอายุไม่เกิน 20 ปี แม้ว่าพวกเขาจะผ่านเงื่อนไขที่กำหนดไว้ได้ การอยู่รอดในหอคอยก็ยังเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่น เพราะภายในนั้นเต็มไปด้วยการแข่งขัน และการต่อสู้เพื่อความเป็นหนึ่ง ที่นั่นยังเป็นสถานที่รวมเหล่าลูกหลานขุนนางที่ทรงอำนาจไว้อย่างมากมาย ทุกย่างก้าวในหอคอยจึงเต็มไปด้วยความอันตรายอยู่เสมอเฟรย์เอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่น “ไม่คิดเลยว่าหอคอยจะเข้ามาเกี่ยวข้อง... มันอันตรายเกินไปที่เราจะยุ่งกับเรื่องนี้”พวกทุกคนเข้าใจถึงความอันตรายของหอคอยเป็นอย่างดี เอรอสได้บอกข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับหอคอย และ เตือนพวกเขาว่าห้ามไปยุ่ง หรือ หาเรื่
ในความมืดมิด เอรอสลืมตาขึ้นมา ท่ามกลางเงาดำไร้ขอบเขต พื้นที่เขาเหยียบย่ำเป็นแอ่งน้ำสีดำสนิท ลึกจนไร้ก้นบึ้ง ทุกสิ่งเงียบงันจนดูเหมือนเวลาได้หยุดลง ความเย็นเฉียบของบรรยากาศนั้นไม่เพียงแค่โอบล้อมร่างกายของเขา แต่ราวกับแทรกซึมลึกเข้าไปในไขกระดูก เย็นจนแสบซ่าน ทรมานจนหัวใจของเขาเต้นรัว เสียงกระซิบแผ่วเบาจากเงามืดดังขึ้นรอบตัวเขา คล้ายกับความคิดแฝงซ่อนอยู่ในหัวของเขาเองที่คอยกัดกร่อน“ยังมีสัญญาที่ยังทำไม่สำเร็จอีกไม่ใช่หรือ? จะยอมแพ้แล้วงั้นหรอ?”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง เมื่อนั้นเอรอสหันไปมอง เขาเห็นตัวเอง... ในอีกรูปแบบหนึ่ง รูปร่างนั้นผ่ายผอม ใบหน้าอิดโรย ความเหนื่อยล้าฉายชัดบนใบหน้าของร่างนั้น แต่ดวงตา และ ท่าทางกลับแน่วแน่ดั่งก้อนหินที่ไม่อาจถูกทำลายเมื่อเอรอสหันมองไปรอบๆ เขาพบว่ามีตัวเองอีกนับสิบยืนล้อมรอบเขาอยู่ บางคนดูมั่นคง เยือกเย็น ราวกับผู้นำที่ยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบพร้อมด้วยชุดเกราะสีเงินที่เปล่งประกาย บางคนสวมเสื้อคลุมสีดำสนิท ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าแต่ท่าทางยังแฝงความเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้ ทั้งหมดล้วนสะท้อนตัวตนของเขาในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกสายตาจับจ้องมาที่เ
เอรอสยังคงนั่งอยู่ในความเงียบ หัวใจของเขาเต้นช้าลงเมื่อความคิดเยือกเย็นและสิ้นหวังเริ่มแผ่ซ่านไปทั่ว ความจริงที่ว่าเขาอาจหายไปจากโลกนี้โดยไม่มีใครพบเจอ ทำให้ทุกอย่างในห้องขังหนักอึ้งกว่าเดิม แม้เขาพยายามปิดกั้นความคิดเหล่านั้น แต่เงาแห่งความกลัวก็ยังคืบคลานเข้ามาความเย็นชาจากพื้นหินและผนังคุกเหมือนซึมลึกเข้ามาในใจ ความสิ้นหวังที่หนักอึ้งขึ้นทุกวินาที แต่ในขณะเดียวกัน เอรอสยังคงบอกตัวเองให้ยืนหยัด และต้องหาทางเอาชีวิตรอดเขามองไปรอบๆ ห้องขังที่เย็นเยียบ พื้นหินแตกร้าวและมีน้ำซึม กลิ่นอับชื้นชวนให้คิดถึงสถานที่ที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครสนใจ และไร้ทางออก แม้เขาบอกตัวเองว่าไม่กลัว แต่ลึกๆ เขารู้ดีว่าการอยู่ที่นี่นานเกินไปจะกัดกร่อนจิตใจของเขา เหมือนกำแพงหินที่ถูกเวลาบั่นทอนลงเรื่อยๆเสียงฝีเท้าของเฟลิเซียยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา แม้ว่าเธอจะเดินจากไปแล้ว สีหน้าของเธอตอนที่บอกว่า “นายจะต้องอยู่ที่นี่... จนกว่าเราจะตัดสินใจ” ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของเอรอส เขาจำได้ถึงความสั่นไหวเล็กน้อยในน้ำเสียงของเธอ ราวกับว่าเธอเองก็ไม่ได้มั่นใจในสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ แต่เธอไม่มีทางช่วยเขาแน่นอนบานประตูเล
ในยามที่ดวงจันทร์หลบซ่อนอยู่หลังม่านหมอกหนา ความเงียบเยือกเย็นปกคลุมทั่วบริเวณเหมือนกับผืนโลกถูกแช่แข็ง เสียงลมหวีดหวิวผ่านทางเดินแคบๆ ของอุโมงค์ใต้ดินรกร้าง บรรยากาศอึมครึมที่ไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิตอื่นเพิ่มความรู้สึกอึดอัดเข้าไปอีกเสียงฝีเท้าหนักแน่นของยามคนใหม่สะท้อนก้องภายในอุโมงค์ เสียงนั้นเชื่องช้า หนักหน่วงเหมือนพลังงานในตัวเขาเหลือเพียงน้อยนิด ราวกับเขาถูกถ่วงด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงานมายาวนานจนไม่ใส่ใจความรวดเร็วอีกแล้ว เขายกมือขึ้นลูบเคราที่เริ่มยาวและหยาบ พลางหาวเบาๆ ความง่วงค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่จิตใจถึงกระนั้นเขายังคงก้าวเดินต่อไปตามหน้าที่ จนมาถึงหน้าห้องขัง เหลียวมองเห็นยามหนุ่มคนหนึ่งยืนพิงกำแพงหินเย็นเยียบด้วยท่าทางเงียบขรึม“มาช้าจัง” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงแววความสงสัยในน้ำเสียง ดวงตาของเขาจ้องอีกฝ่ายอย่างคมกริบ“ตีสามตรงขนาดนี้ ยังจะเรียกว่าช้าอีกรึ??” ชายแก่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ ขณะยักไหล่อย่างไม่คิดมากชายแก่เดินเข้าไปใกล้ประตูเหล็กหนาที่กั้นหน้าห้องขัง มองมันอย่างเชื่องช้า ดวงตาแสดงถึงความชินชาในการทำงานแบบนี้มา
ในห้องขังอับทึบและเย็นเยียบ ความเงียบงันครอบงำทุกซอกมุม มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของชายแก่ที่ถูกปีศาจเข้าสิงร่าง เขายืนนิ่งไม่ขยับ ราวกับถูกแช่แข็งไว้ในความมืด ดวงตาสีแดงฉานที่สะท้อนแสงจากช่องระบายอากาศเพียงเล็กน้อย เป็นเครื่องหมายเดียวที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของบางสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์เสียงประตูเหล็กหนาหนักที่ถูกปิดด้วยกุญแจและเวทมนตร์ป้องกันเริ่มขยับ มันเปิดออกอย่างช้าๆ ราวกับไม่มีแรงต้านทาน เสียงโลหะเสียดสีกันเบาๆ ดังขึ้นและสะท้อนก้องไปตามผนังหิน บรรยากาศไม่เป็นธรรมชาตินี้ทำให้ทั้งห้องดูอึดอัดและน่าขนลุกยิ่งขึ้นเอรอสยืนอยู่ตรงกรงขังของตนเอง แววตาของเขาเยือกเย็นและจับจ้องชายแก่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างนิ่งงัน ราวกับคาดการณ์ไว้ว่าสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้น เขาก้าวออกจากกรงขังโดยไม่รีบร้อน ชายชรายืนที่อยู่ปล่อยเขาไปโดยไม่ทำอะไร เขาที่ถูกควบคุมจิตใจไม่ได้แสดงท่าทางหรือมีท่าทีใดๆที่จะต่อต้าน หรือ ขัดขวาง เอรอสจึงเดินผ่านไปอย่างราบรื่นเมื่อเอรอสก้าวผ่านไป เขาเหลือบมองชายแก่อยู่ชั่วครู่ก่อนพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า "ขั้นแรกเสร็จแล้ว..."“ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะทำตามสัญญา”ปีศาจกล่าวพลางเสกมีด และ ถ้วยเ
เอรอสก้าวออกจากห้องขังอย่างช้าๆท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด เขากวาดสายตาสำรวจรอบๆด้วยความระมัดระวัง ความเย็นเยียบและเงียบงันของคุกใต้ดินทำให้เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าที่แฝงอยู่ ไม่มีเสียงฝีเท้าของผู้คุม หรือแม้แต่เสียงสนทนาของผู้ใด สถานที่นี้ดูเหมือนถูกละเลย หรือแทบไม่มีนักโทษถูกนำมาคุมขังเท่าที่ควรจะเป็นเอรอสสันนิษฐานว่า คุกแห่งนี้อาจมีนักโทษเพียงน้อยนิด หรือบางทีอาจมีเพียงบางคนที่ถูกขังไว้อย่างลับๆ สิ่งที่ทำให้เขามั่นใจมากขึ้นคือ วงเวทย์ที่เคยสลักบนแผ่นหลังของเขา ซึ่งเคยทำหน้าที่บอกตำแหน่งของเขาต่อหอคอย ตอนนี้มันถูกย้ายไปยังร่างของชายชราที่เข้ามาเฝ้าเขาแทน ขณะนี้ชายชราคนนั้นนอนสลบอยู่บนพื้น ไร้สติ ราวกับหมดแรงจากการถูกครอบงำโดยปีศาจเอรอสคิดได้ในทันที ภายในหกชั่วโมงต่อจากนี้ จะไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ที่เกิดขึ้น เขายังมีเวลาสำรวจสถานที่แห่งนี้ต่อไป บางทีรุ่นพี่ไอลีนอาจถูกกักขังอยู่ที่นี่ แม้ว่าชายชราคนนั้นจะบอกว่า เขาไม่เห็นเธอที่นี่ก็ตาม... แต่เพื่อความแน่ใจ การสำรวจให้ทั่วก่อนเป็นสิ่งจำเป็นเอรอสเดินสำรวจไปตามทางเดินแคบๆท่ามกลางความเงียบสงัด ความมืดที่ปกคลุมทุกซอกทุกมุมร