สายลมที่พัดผ่านต้นไม้ใหญ่นั้นแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่กลับนำพาบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า—กลิ่นอายของอดีตที่หวนคืนมาในทุกลมหายใจ
ชายหนุ่มพลิกสมุดภาพในมืออย่างแผ่วเบา ทุกหน้ากระดาษเหมือนพาเขาดำดิ่งลึกลงไปในความทรงจำ ภาพเลือนรางที่เคยจางหายกลับชัดเจนขึ้น เสียงหัวเราะในวัยเยาว์สะท้อนขึ้นมาในใจ คำสัญญาที่หลงลืมกลับมาก่อตัวอีกครั้ง ทันใดนั้น บรรยากาศรอบตัวกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลหันมามองเขาด้วยสายตาสงสัย “เกิดอะไรขึ้น...” เธอเอ่ยออกมาเบาๆ ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อสายลมรอบๆ ต้นไม้เริ่มพัดไหวเบาๆ ราวกับกำลังแหวกม่านบางๆ เผยให้เห็นบางสิ่งที่อยู่อีกฟากของเวลา
และแล้ว...ภาพในสมุดภาพก็เหมือนจะก้าวข้ามหน้ากระดาษ
เบื้องหน้าของพวกเขาปรากฏเป็นภาพลวงตาที่ไม่อาจอธิบายได้ เด็กชายในชุดเรียบง่ายปรากฏตัวพร้อมเด็กสาวสองคน พวกเขาหัวเราะสดใสราวกับไม่ได้รับรู้ถึงสายตาของผู้ชมจากอนาคต ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยชีวิตชีวาเหมือนมองผ่านหน้าต่างแห่งเวลา
หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างชายหนุ่มมองภาพเหล่านั้นอย่างตกตะลึง “นี่มัน...” เธออ้าปากค้าง แต่เสียงของเธอกลับถูกกลืนหายไปกับเสียงหัวเราะแผ่วเบาที่ดังมาจากภาพลวงตา
ในภาพ เด็กชายในวัยเยาว์วิ่งเล่นรอบต้นไม้ใหญ่กับเด็กสาวสองคน ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยประกายสดใส ขณะที่เสียงหัวเราะของพวกเขาก้องอยู่ใต้ท้องฟ้าอันอบอุ่น
เด็กสาวผมสีเงินกอดสมุดวาดภาพแน่น มือเล็กๆ ของเธอค่อยๆ เปิดมันออก ขณะที่เด็กสาวผมสีทองนั่งลงพร้อมกล่องดินสอสี “มาวาดรูปกัน!” เด็กสาวผมสีเงินเอ่ยอย่างตื่นเต้น น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเบิกบาน
ชายหนุ่มเฝ้ามองภาพในอดีตด้วยความรู้สึกที่ปะปนกัน ทั้งอ่อนหวานและเจ็บปวด ขณะที่หญิงสาวข้างกายเหลือบมองเขาด้วยความสงสัย “ภาพเหล่านี้...” เธอเริ่มพูดแต่หยุดไว้แค่นั้น เพราะภาพในสมุดภาพเริ่มมีชีวิตอีกครั้ง
“รู้ไหม?” เสียงของเด็กสาวผมสีเงินดังขึ้นอย่างหนักแน่น “มีตำนานเล่าว่า ถ้าเราขอพรจากต้นไม้นี้ คำขอของเราจะเป็นจริง!”
เด็กสาวผมสีทองหันมามองเธอด้วยดวงตาเป็นประกาย “จริงเหรอ? งั้นฉันจะขอให้ตัวเองแข็งแกร่ง จะได้ปกป้องทุกคนที่อ่อนแอ!”
“ส่วนฉัน...” เด็กสาวผมสีเงินลุกขึ้นยืน ตะโกนออกมาอย่างมั่นใจ “ฉันจะขอให้โลกนี้สงบสุข ไม่มีใครต้องเจ็บปวดอีก!”
เด็กชายในภาพยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฉันขอให้คำขอของพวกเธอเป็นจริง”
“ขออะไรที่เป็นของตัวเองสิ!” เด็กสาวผมสีทองหันมาแกล้งทำหน้านิ่ว แต่เสียงหัวเราะของเธอก็เผยให้เห็นว่าเธอไม่ได้จริงจังนัก
เขาหัวเราะเบาๆ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ “นี่แหละความปรารถนาของฉัน ต่อให้ต้นไม้ไม่ช่วย ฉันจะช่วยพวกเธอเอง”
ภาพในอดีตดำเนินต่อไปเหมือนการฉายซ้ำ เด็กๆ หัวเราะ วิ่งเล่น และช่วยกันฝังสมุดภาพไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ เด็กสาวผมสีเงินหันมามองพวกเขาด้วยสายตาจริงจัง
“เราจะกลับมาที่นี่ด้วยกันอีกใช่ไหม?”
“แน่นอน!” เด็กชายตอบเสียงหนักแน่น “ไม่ว่าเราจะห่างกันแค่ไหน พวกเราจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง...ด้วยกัน”
หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างชายหนุ่มยืนนิ่ง มองภาพเหล่านั้นด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยคำถามและความเข้าใจใหม่
และแล้ว ภาพเหล่านั้นก็เริ่มเลือนลาง เสียงหัวเราะค่อยๆจางหาย สายลมที่พัดผ่านเหมือนกระซิบบางอย่างในใจ เขาก้มมองสมุดภาพในมือที่เหมือนจะมีชีวิต ความทรงจำที่เลือนรางค่อยๆหวนคืน ความอบอุ่นจากเสียงหัวเราะของเด็กๆ ในภาพสะท้อนกลับมาในจิตใจ ทำให้รู้สึกว่าอดีตไม่ได้ถูกลืมเลือนไป แต่มันยังอยู่ตรงนี้ ท่ามกลางสายลมและเงาของต้นไม้ใหญ่ในปัจจุบัน มันดูหนักแน่นขึ้นในความรู้สึก ก่อนจะเงยหน้ามองต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า
ต้นไม้ใหญ่ยังคงยืนหยัดอยู่ตรงนั้น ราวกับเป็นผู้พิทักษ์ที่คอยเฝ้ามองเรื่องราวของชีวิตที่เคยอยู่ใต้ร่มเงาของมัน
ชายหนุ่มยังคงจ้องมองต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า ความหนักอึ้งในใจถูกแทนที่ด้วยความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้น เขาก้มมองสมุดภาพในมือที่เหมือนจะสั่นไหวเบาๆ ใต้ปลายนิ้วของเขา
ทันใดนั้นเอง สายลมรอบๆ เริ่มเปลี่ยนแปลง มันไม่ใช่เพียงสายลมธรรมดาอีกต่อไป แต่เหมือนเป็นแรงลมหายใจสุดท้ายของสิ่งที่เคยมีชีวิตชีวา พลังงานบางอย่างเริ่มไหลซึมออกมาจากต้นไม้และหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของเขา
ลำแสงสีทองจากใบไม้ส่องผ่านร่างของชายหนุ่ม คล้ายกับพยายามหล่อหลอมบางสิ่งเข้าไปในตัวเขา เขารู้สึกถึงความร้อนอุ่นวาบที่ไม่ได้เพียงแค่สัมผัสร่างกาย แต่เหมือนมันกำลังฝังลงไปในจิตใจ ลึกเข้าไปในส่วนที่เขาเองไม่เคยเข้าถึงมาก่อน…
“นี่มัน...” เขาพึมพำเสียงเบา ราวกับกลัวว่าคำพูดจะทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของช่วงเวลานี้ ความรู้สึกอุ่นวาบแผ่ซ่านจากปลายนิ้วเข้าสู่ร่างกาย ราวกับกระแสคลื่นที่พัดพาความอบอุ่นเข้าสู่หัวใจ พลังนี้ไม่ใช่มานาธรรมดาที่พบเห็นได้ในธรรมชาติ แต่คือสิ่งที่มีชีวิต และสิ่งที่มีสติปัญญา…พลังเวทย์
พลังเวทของต้นไม้กำลังหลั่งไหลเข้ามา มันไม่ได้มีแค่พลังเพียงอย่างเดียว แต่มันมีเสียงกระซิบของความทรงจำ เรื่องราวที่ถูกจารึกไว้ในวงจรชีวิตของมัน ทุกแผลเป็นบนลำต้น ทุกกิ่งก้านที่แตกหน่อ ทุกใบไม้ที่ร่วงหล่น ล้วนส่งต่อเรื่องราวที่ก้องสะท้อนอยู่ในจิตใจของเขา เป็นการเชื่อมโยง เป็นการสัมผัสถึงแก่นแท้ของชีวิตที่ดำรงอยู่ และ ต่อสู้กับกาลเวลา มันคือการพบกันของอดีตและปัจจุบัน การหลอมรวมของชีวิตที่ต่างกันให้กลายเป็นหนึ่งเดียว…
หญิงสาวข้างกายมองเขาด้วยความตกตะลึง “การหลอมรวมของพลังเวทย์!?...เป็นไปไม่ได้” น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ ราวกับรู้ว่าเธอกำลังเป็นพยานในสิ่งที่ยากจะบรรยาย เธอเพียงยืนมองเขาอยู่ไม่ไกล แต่สายตาของเธอแฝงความคาดหวังบางอย่าง
ชายหนุ่มกุมสมุดภาพในมือแน่นขึ้น แต่สมุดภาพในมือเริ่มสั่นไหว เส้นร่างและสีสันที่เคยชัดเจนบนหน้ากระดาษค่อยๆเลือนหายไป ราวกับมันถูกลบออกจากความทรงจำ ขอบกระดาษกร่อนตัวเป็นเศษฝุ่นที่ปลิวไปกับสายลม กล่องเก็บสมุดภาพที่วางอยู่ไม่ไกลก็เริ่มแตกสลาย เศษซากเล็กๆ ร่วงหล่นสู่พื้นก่อนจะกลายเป็นละอองแสง
เขายืนมองสิ่งเหล่านั้นอย่างเงียบงัน จนในที่สุด สิ่งที่เคยอยู่ในมือของเขาก็ไม่เหลืออะไรเลย
“ความทรงจำเหล่านี้...” เขากระซิบเบาๆ ขณะความอบอุ่นจากพลังเวทแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ราวกับกระแสชีวิตที่ต้นไม้เก็บรักษามานับพันปีถูกถ่ายทอดมายังเขา ทุกภาพ ทุกเสียง ทุกคำสัญญา ทุกความรู้สึกที่มันเคยเป็นพยานค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามาในจิตใจ คล้ายกับคลื่นทะเลที่ไม่มีวันสงบลง และในชั่วขณะนั้น เขารับรู้ได้ถึงสิ่งที่ต้นไม้พยายามบอกเล่า มันได้หยุดเวลาของตัวเองไว้ยาวนานเพียงเพื่อรอคอยวันนี้—วันที่มันจะได้พบกับเขาอีกครั้งและส่งต่อสิ่งสุดท้ายของตัวเองให้เขาอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก ก่อนจะหลับตาลงรับมันไว้ทั้งหมด
ต้นไม้ที่เคยสง่างามค่อยๆ เสื่อมสลาย ลำต้นที่เคยตั้งตระหง่านกลายเป็นเถ้าฝุ่น ปลิวกระจายไปทั่วอากาศ สายลมพัดเอาเศษซากเหล่านั้นไปราวกับกระซิบบางอย่างในใจของเขา
เขายังคงยืนนิ่ง มองละอองเหล่านั้นล่องลอยหายไปเรื่อยๆ เขาหลับตาลง ปล่อยให้พลังสุดท้ายของต้นไม้ซึมซับเข้าสู่จิตใจ เรื่องราวทั้งหมดของมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเขา
เขาลืมตาขึ้น ดวงตาสีเทาของเขาเปล่งประกายแสงเรืองรองเบาบาง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สงบและมั่นคง “เวลาของมันถูกหยุดเอาไว้มานานมากแล้ว ตอนนี้มันก็ได้พักเสียที”
เขายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายลมแผ่วเบาพัดผ่านราวกับกำลังบอกลาบางสิ่งที่เคยอยู่ ณ ที่แห่งนี้มานานแสนนาน ลำแสงสุดท้ายจากต้นไม้ใหญ่จางหายไปพร้อมกับเศษละอองแสงที่ค่อยๆ ล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
"มันจบแล้ว..." เขาพึมพำเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวข้างกาย ใบหน้าของเธอยังคงแสดงความเศร้าสร้อย แต่ในดวงตาคู่นั้นกลับมีบางสิ่งที่เปลี่ยนไป
"ไม่หรอก" เธอพูดเสียงเบา แต่หนักแน่น "มันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น"
เขาหันมามองเธอ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย "เธอหมายความว่าอะไร?"
หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง เธอก้มหน้าลงราวกับลังเล แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเธอกลับเปล่งประกายแสงที่แฝงไว้ด้วยความแน่วแน่
"นายไม่เข้าใจงั้นหรอ?" เธอพูดช้าๆ ราวกับต้องการให้ทุกคำสลักลึกลงไปในใจของเขา
"สิ่งที่ฉันรอมานาน...หวังว่ามันจะกลับมาอีกครั้ง และในที่สุด ฉันก็ได้เจอกับความหวังนั้นเสียที"
"สิ่งที่เธอรอ?" เขาถามกลับ เสียงของเขาแฝงความกังวล "จอมปราชญ์ไรอัส...อย่างนั้นหรือ?"
ชื่อที่เขาเอ่ยทำให้เธอชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าอย่างช้าๆ
"ใช่ ไรอัส..." เธอสูดลมหายใจลึก ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้เขา "นายคือภาชนะที่เหมาะสมที่สุด เป็นคนเดียวที่สามารถรับหัวใจของเขาได้โดยไม่ถูกมันทำลาย และที่สำคัญ………สามารถจะกลายเป็นเขาได้"
เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่างในอากาศ ความนิ่งสงบของสายลมเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความตึงเครียดที่ไม่อาจอธิบาย
หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่น ดวงตาของเธอฉายแววโศกเศร้าแต่เต็มไปด้วยความตั้งใจ
"ฉันพยายามแล้ว...พยายามที่จะตัดใจจากเขาโดยตลอด" เธอก้าวเข้าไปใกล้อีก จนกระทั่งระยะห่างระหว่างพวกเขาแทบไม่มีเหลือ "ฉันไม่อยากทำแบบนี้ แต่ความจริงก็คือ...การที่นายสามารถจะกลายเป็นเขาได้ มันทำให้ฉันได้เห็นถึงความหวัง"
ลมที่เคยนิ่งสงบเริ่มหมุนวนเป็นพายุขนาดเล็ก เงาของเธอทอดยาวออกไปบนพื้นราวกับบางสิ่งที่เหนือธรรมชาติกำลังปลดปล่อยตัวเอง
ชายหนุ่มพยายามเอื้อมมือไปคว้าปืนที่ห้อยอยู่ข้างลำตัว แต่ก่อนที่นิ้วจะสัมผัสมัน พลังที่มองไม่เห็นกลับพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาถูกตรึงแน่นในอากาศ ราวกับเชือกที่มองไม่เห็นพันธนาการทุกส่วนไว้ ก่อนที่เขาจะทันได้ขยับตัว ปากของเขาถูกปิดด้วยพลังบางอย่างที่กดทับแน่นจนไม่สามารถส่งเสียงใดออกมาได้
"………..!" เขาพยายามเปล่งเสียง ดวงตาฉายแววกร้าว แต่ไม่มีแม้กระทั่งเสียงกระซิบเล็ดลอดออกไป หญิงสาวยังคงยืนนิ่ง ไม่ตอบสนองต่อการต่อต้านของเขา เธอหลับตาลง สีหน้าเต็มไปด้วยความลังเลและเจ็บปวด ราวกับกำลังต่อสู้กับความคิดบางอย่างที่ปั่นป่วนอยู่ภายในจิตใจ
"ขอโทษ..." เสียงกระซิบของเธอแผ่วเบา แทบจมหายไปกับสายลม ร่างกายของเธอสั่นเล็กน้อย แต่เธอก็ยังคงยืนนิ่ง มือข้างหนึ่งกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นมา ความตั้งใจบางอย่างฉายชัดในแววตาของเธอ ขณะที่พลังที่ตรึงเขาไว้ยิ่งรัดแน่นขึ้นอีก...
"นายทำให้ฉันไม่มีทางเลือก" เธอเอ่ยเสียงแผ่ว แต่ในคำพูดนั้นกลับเต็มไปด้วยน้ำหนักของการตัดสินใจ
เวลา 2 ทุ่ม ลมหนาวจากค่ำคืนพัดความหนาวเย็นเอื่อยๆมาแตะผิวเบาๆ ชวนให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงระเบียงยกผ้าคลุมไหล่ขึ้นห่มตัวแน่นขึ้น เธอทอดสายตามองบันไดหินที่ทอดยาวจากถนนเบื้องล่างขึ้นมาถึงหน้าห้องพัก ไม่มีเงาร่างของคนที่เธอเฝ้ารอเธอรอเขามาทั้งบ่าย ทั้งเย็น จนกระทั่งค่ำคืนนี้มาถึงอย่างเงียบงัน เพื่อจะมาขอความช่วยเหลือจากเขา ก่อนหน้านี้ เธอเคยส่งจดหมายไปแล้ว เนื้อความในนั้นสั้นแต่เร่งด่วน เป็นคำร้องขอให้ช่วยตามหาคู่หมั้นของเธอที่หายตัวไป ทว่าจดหมายนั้นกลับไร้คำตอบ กระทั่งเธอได้ยินข่าวมาว่าเขาออกเดินทางไปไกลเสียก่อนจดหมายนั้นจะไปถึงเสียอีกมันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เธอโล่งใจที่เขาไม่ได้ตั้งใจเมินเฉยต่อเธอ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกแย่กับความโล่งใจของตัวเอง เธอไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไป ความรู้สึกผิดที่ไม่เคยเลือนหายจากใจและในเช้าวันนี้ เธอจึงตัดสินใจจะทำในสิ่งที่หลีกเลี่ยงมานาน เธอไปดักรอเขาที่ริมถนนสายเล็กๆ ซึ่งเป็นเส้นทางที่เขามักใช้ประจำจนกระทั่งเธอเห็นเขาชายหนุ่มยืนอยู่ที่อีกฟากของถนน ร่างสูงในชุดทำงาน ใบหน้าของเขานิ่งเฉยจนแทบอ่านอารมณ์ไม่ได้ แต่แววตาของเขา—ดวงตาคู่นั้นเต็มไป
ชายหนุ่มอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น สติเลือนรางขณะที่สายตาเหลือบมองรูโหว่บริเวณหน้าอกของตัวเอง แม้หัวใจจะหายไป แต่ร่างกายของเขากลับไม่ยอมพังทลาย มันกำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดด้วยพลังบางอย่างที่ไม่อาจระบุได้ร่างของเขาลอยอยู่กลางอากาศ มวลมานาขนาดใหญ่แผ่กระจายโอบล้อมร่างที่กำลังถูกแทรกแซงจากจิตวิญญาณอีกดวงที่แฝงตัวอยู่ภายใน มันไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้เฝ้ามองอีกต่อไป แต่กำลังต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของตัวเองด้วยการพยายามครอบงำทุกส่วนของร่างกายเขาผิวสีขาวของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเข้มในหลายจุด ผมที่ดำสนิทกระเซอะกระเซิง บัดนี้มีสีเทาแซมอย่างเด่นชัด ดวงตาข้างหนึ่งกลายเป็นสีแดงเข้ม บ่งบอกถึงการแผ่ขยายอิทธิพลของจิตวิญญาณแปลกปลอม แม้ว่าการครอบงำจะยังไม่สมบูรณ์ แต่ร่องรอยของมันปรากฏชัดในทุกเส้นสายของร่างกายจิตวิญญาณที่แฝงอยู่พยายามอย่างสิ้นหวังที่จะฟื้นฟูรูโหว่บริเวณหน้าอก โดยการเปลี่ยนพลังงานที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้ฟื้นฟูหัวใจของเขาอย่างสิ้นหวัง แม้ว่ามันจะเป็นการพยายามที่สูญเปล่าก็ตามขณะเดียวกัน หญิงสาวผมดำ ดวงตาสีเงิน จับจ้องเขาด้วยความพึงพอใจปนความระแวดระวังเธอมองเห็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่กำล
ยามค่ำคืนที่เงียบสงัดปกคลุมเมืองไว้ด้วยความมืด เข็มนาฬิกาเดินเข้าสู่เวลาสามทุ่มครึ่ง บรรยากาศที่ควรคึกคักกลับดูอึดอัดและไม่ปกติ เอรอสเดินอยู่บนถนนสายเล็ก มุ่งหน้าไปยังหอพัก ดวงตาจับจ้องไปข้างหน้า แต่ในหัวของเขากำลังคำนวณแผนการหลบหนี‘สถานการณ์แบบนี้ อยู่ต่อไม่ได้แน่... ทางที่ดีที่สุดคือหาที่กบดานเมืองอื่นสักครึ่งปี แล้วค่อยกลับมาใหม่’เขาคิดในใจพลางประเมินตัวเลือกต่างๆ การสร้างตัวตนใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก หากใช้เครือข่ายเดิมที่มีหรือจ่ายเงินให้คนที่ไว้ใจได้ เขาสามารถแทรกซึมเข้าไปอยู่ในตระกูลสาขาสักตระกูล เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ จากนั้นก็ค่อยส่งนักเรียนบางคนแทรกซึมเข้าไปในหอคอย เพื่อล้วงข้อมูลที่จำเป็น‘ขอแค่หนีออกไปจากเมืองนี้ให้ได้ก่อน... แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย’เอรอสเลือกเดินผ่านตรอกวอยเล็กๆ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ใกล้ที่สุดไปยังหอพัก ถนนแคบๆ มีเพียงแสงจากโคมไฟเก่าๆ สลัวๆ ให้เห็นทาง เขาชอบทางนี้เพราะมันเปลี่ยวและไม่มีผู้คนพลุกพล่าน แต่คืนนี้มันกลับเงียบเกินไปอย่างผิดปกติ ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งเมื่อเขาเดินมาถึงลานกว้างข้างหน้า ความรู้สึกผิดปกติเริ่มกัดกินความสงบในใจ มันไม่มีผู้คนอยู่เลย เง
ในขณะที่หญิงสาวคนนึงกำลังเดินกลับคฤหาสน์ด้วยความเสียใจ เสียงพลังเวทที่แตกกระจายดังก้องสะท้อนผ่านตรอกแคบๆ ในยามค่ำคืน ทำให้เธอต้องหยุดชะงัก หัวใจของเอเลน่าเต้นแรงด้วยความกังวลและตื่นเต้น เธอกระชับดาบข้างกายและเร่งฝีเท้าตรงไปยังต้นตอของเสียงที่ลานเปิดกลางตรอก เธอพบกลุ่มจอมเวทย์ในชุดคลุมดำยืนล้อมร่างชายคนหนึ่งที่ถูกพันธนาการด้วยโซ่เวทมนตร์ที่เปล่งแสงริบหรี่ใต้แสงจันทร์ กลิ่นอายเวทมนตร์ที่เข้มข้นแผ่กระจายจนทำให้บรรยากาศรอบตัวหนักอึ้ง ชายที่ถูกจับมีผ้าคลุมหนาคลุมร่างจนมองไม่เห็นใบหน้า ข้างกายเขามีคฑาเวทมนตร์ที่ปลายแตกหักวางอยู่เอเลน่าก้าวออกจากเงามืด ดวงตาจับจ้องไปยังกลุ่มนั้นก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงด้วยความมั่นใจ"ข้า เอเลน่า วัลธอเรน ขอถามว่าพวกท่านกำลังทำอะไรกันอยู่ที่นี่?"ชายสูงวัยในชุดคลุมดำค่อยๆหันมามองเธอ ใบหน้าใต้ฮู้ดของเขาเผยรอยยิ้มที่ไม่ชัดเจน เขาก้าวออกมาด้านหน้าอย่างมั่นคง ก่อนโค้งตัวเล็กน้อยด้วยท่าทีที่เสแสร้ง "ท่านเอเลน่า แห่งตระกูลวัลธอเรน...นี้เอง นึกไม่ถึงว่าจะได้รับเกียรติพบเจอท่านในยามค่ำคืนเช่นนี้"เอเลน่าขมวดคิ้ว เธอยืดตัวตรงและกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น "การจั
ในความมืดมิดที่ไร้จุดสิ้นสุด ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมา ท่ามกลางเงาดำที่แผ่ขยายไปทุกทิศทาง ราวกับว่าความว่างเปล่าได้กลืนกินทุกสิ่ง รอบกายของเขาคือแอ่งน้ำสีดำสนิท เงาสะท้อนของมันไม่ใช่ใบหน้าของเขาเอง แต่กลับเป็นความว่างเปล่าที่ไร้ตัวตน ทุกอย่างเงียบงันจนดูเหมือนว่าเวลาได้หยุดลง ความเย็นเยือกของบรรยากาศรอบตัวแทรกซึมลึกลงไปในไขกระดูก หนาวจนแสบซ่าน—ทรมานจนหัวใจของเขาเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะจากเงามืดนั้น เสียงกระซิบแผ่วเบาคล้ายลมหายใจแผ่วดังขึ้น มันไม่ใช่เสียงจากที่ไกลโพ้น แต่เหมือนเป็นเสียงในหัวของเขาเอง เสียงที่กัดกร่อนจิตใจด้วยคำถามที่เขาไม่อยากได้ยิน“ยังมีสัญญาที่ยังทำไม่สำเร็จ เจ้าจะยอมแพ้แล้วงั้นหรือ?”เขาสะดุ้งสุดตัว หันขวับไปตามเสียงนั้น และพบ…ตัวเอง ตัวเขาที่ดูแตกต่าง ร่างนั้นผ่ายผอม ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาลึกโหลจนเหมือนเบ้าตาถูกกลืนหายไปในความมืด ทว่าภายใต้ความเหนื่อยล้าเหล่านั้น แววตาของร่างนั้นกลับแน่วแน่ ราวกับก้อนหินที่ไม่อาจถูกทำลายเมื่อเขาหันมองรอบตัว สิ่งที่เขาเห็นทำให้หัวใจหล่นวูบ ตัวเขา… ตัวเขาอีกหลายสิบคนยืนล้อมรอบ ทุกสายตาจับจ้องมายังเขา บางร่างดูมั่นคงและสง่างาม ดุจผู้นำที่ยืนอ
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากด้านนอก ดังก้องสะท้อนในโถงทางเดินแคบๆ ที่เงียบสงัด ชายหนุ่มไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อย แต่ดวงตาคมของเขาจับจ้องไปยังทิศทางของเสียง ร่างกายยังคงพิงกำแพงหินเย็นเฉียบ มือที่ถูกพันธนาการไว้ยังคงขยับไม่ได้มากนัก แต่เขาก็เตรียมพร้อมสำหรับทุกสิ่งที่จะตามมาประตูเหล็กที่มีรอยสนิมขึ้นเล็กน้อยถูกเปิดออก เสียงโลหะเสียดสีกันชวนให้ขนลุก ผู้คุมในชุดคลุมยาวสีดำสนิทก้าวเข้ามาในห้อง รัศมีเวทมนตร์บางเบาลอยอ้อยอิ่งรอบตัวเขา ร่างสูงสง่ามีท่าทางเงียบขรึม ดวงตาที่เปล่งประกายเยือกเย็นจับจ้องมายังชายหนุ่มที่นั่งอยู่กับพื้นโดยไม่เอ่ยคำใดเขาจ้องตอบกลับอย่างไม่ลดละ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหอคอยที่เป็นกลางมาตลอดถึงกล้าลักพาตัวคนกลางเมือง ถึงจะไม่ได้รู้จักผู้นำหอคอยเป็นการส่วนตัว แต่ผู้นำหอคอยเคยช่วยเขาไว้ครั้งนึง และ ไม่คิดว่าชายคนนั้นจะมีนิสัยแบบนี้ เว้นแต่จะเป็นฝีมือคนอื่น…ชื่อหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว “ฟาเรีย ดราโกร์น”รองผู้นำหอคอยและมีชื่อเสียงในแวดวงชนชั้นสูง เธอมีเส้นสายกับเหล่าขุนนาง แม้ชื่อเสียงในที่สาธารณะจะฟังดูดี แต่กลับมีข่าวลือว่าเธอใช้อำนาจในทางที่ไม่ชอบ
ในความมืดมิดที่ไร้จุดสิ้นสุด เอรอสลืมตาขึ้นมา ท่ามกลางเงาดำที่แผ่ขยายไปทุกทิศทาง ราวกับว่าความว่างเปล่าได้กลืนกินทุกสิ่ง รอบกายของเขาคือแอ่งน้ำสีดำสนิท เงาสะท้อนของมันไม่ใช่ใบหน้าของเขาเอง แต่กลับเป็นความว่างเปล่าที่ไร้ตัวตน ทุกอย่างเงียบงันจนดูเหมือนว่าเวลาได้หยุดลง ความเย็นเยือกของบรรยากาศรอบตัวแทรกซึมลึกลงไปในไขกระดูก หนาวจนแสบซ่าน—ทรมานจนหัวใจของเขาเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะจากเงามืดนั้น เสียงกระซิบแผ่วเบาคล้ายลมหายใจแผ่วดังขึ้น มันไม่ใช่เสียงจากที่ไกลโพ้น แต่เหมือนเป็นเสียงในหัวของเขาเอง เสียงที่กัดกร่อนจิตใจด้วยคำถามที่เขาไม่อยากได้ยิน“ยังมีสัญญาที่ยังทำไม่สำเร็จ เจ้าจะยอมแพ้แล้วงั้นหรือ?”เอรอสสะดุ้งสุดตัว หันขวับไปตามเสียงนั้น และพบ…ตัวเอง ตัวเขาที่ดูแตกต่าง ร่างนั้นผ่ายผอม ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาลึกโหลจนเหมือนเบ้าตาถูกกลืนหายไปในความมืด ทว่าภายใต้ความเหนื่อยล้าเหล่านั้น แววตาของร่างนั้นกลับแน่วแน่ ราวกับก้อนหินที่ไม่อาจถูกทำลายเมื่อเขาหันมองรอบตัว สิ่งที่เขาเห็นทำให้หัวใจหล่นวูบ ตัวเขา… ตัวเขาอีกหลายสิบคนยืนล้อมรอบ ทุกสายตาจับจ้องมายังเขา บางร่างดูมั่นคงและสง่างาม ดุจผู้นำที่ยืนอย
เอรอสก้าวออกจากห้องขังอย่างช้าๆท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด เขากวาดสายตาสำรวจรอบๆด้วยความระมัดระวัง ความเย็นเยียบและเงียบงันของคุกใต้ดินทำให้เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าที่แฝงอยู่ ไม่มีเสียงฝีเท้าของผู้คุม หรือแม้แต่เสียงสนทนาของผู้ใด สถานที่นี้ดูเหมือนถูกละเลย หรือแทบไม่มีนักโทษถูกนำมาคุมขังเท่าที่ควรจะเป็นเอรอสสันนิษฐานว่า คุกแห่งนี้อาจมีนักโทษเพียงน้อยนิด หรือบางทีอาจมีเพียงบางคนที่ถูกขังไว้อย่างลับๆ สิ่งที่ทำให้เขามั่นใจมากขึ้นคือ วงเวทย์ที่เคยสลักบนแผ่นหลังของเขา ซึ่งเคยทำหน้าที่บอกตำแหน่งของเขาต่อหอคอย ตอนนี้มันถูกย้ายไปยังร่างของชายชราที่เข้ามาเฝ้าเขาแทน ขณะนี้ชายชราคนนั้นนอนสลบอยู่บนพื้น ไร้สติ ราวกับหมดแรงจากการถูกครอบงำโดยปีศาจเอรอสคิดได้ในทันที ภายในหกชั่วโมงต่อจากนี้ จะไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ที่เกิดขึ้น เขายังมีเวลาสำรวจสถานที่แห่งนี้ต่อไป บางทีรุ่นพี่ไอลีนอาจถูกกักขังอยู่ที่นี่ แม้ว่าชายชราคนนั้นจะบอกว่า เขาไม่เห็นเธอที่นี่ก็ตาม... แต่เพื่อความแน่ใจ การสำรวจให้ทั่วก่อนเป็นสิ่งจำเป็นเอรอสเดินสำรวจไปตามทางเดินแคบๆท่ามกลางความเงียบสงัด ความมืดที่ปกคลุมทุกซอกทุกมุมร
ใต้ดินที่มืดมิดและอับชื้น กลิ่นดินและสนิมเหล็กตลบอบอวลเหมือนกลิ่นความตาย กรงขังที่ทำจากเหล็กเส้นเก่าๆ ถูกสร้างไว้ตามผนังของคุกโบราณแห่งนี้ แสงจากรูเล็กๆบนเพดานสูงเปิดให้เห็นเพียงเศษเสี้ยวของท้องฟ้าด้านบน เป็นแสงที่ไม่เพียงพอจะทำให้พื้นที่รอบตัวสว่าง แต่เพียงพอที่จะเตือนให้เธอจำได้ว่ายังมีโลกภายนอกเธอนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของกรง ดวงตาสีฟ้าอ่อนจ้องมองแสงที่ลอดผ่านลงมา ราวกับหวังว่ามันจะพาเธอหลุดพ้นจากกรงแห่งนี้ ผมสีดำยุ่งเหยิงของเธอห้อยปิดหน้าซีดเซียวที่ครั้งหนึ่งเคยดูสดใส แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนเธอถูกกักขังในฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่นเธอจำได้ถึงคืนที่ทุกอย่างพังทลาย หมู่บ้านเล็กๆ ที่เคยสงบสุขกลายเป็นนรกบนดินเมื่อกลุ่มโจรบุกเข้ามา เพลิงไฟโหมกระหน่ำ เสียงกรีดร้องของผู้คน เสียงไม้ลั่นดังขณะบ้านพังถล่ม ทุกสิ่งดูเหมือนภาพฝันร้ายที่เธอไม่มีวันลืม สิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้คือเสียงแม่ตะโกนเรียกเธอท่ามกลางควันไฟ แล้วความมืดก็เข้าครอบงำสองเดือนก่อน เธอยังอยู่บนเรือทาส ลอยกลางทะเลอันกว้างใหญ่ เสียงน้ำทะเลซัดกระแทกกับไม้กระดานดังแผ่วเบา แต่สำหรับเด็กสาวไร้ชื่อ เสียงนี้เหมือนเพลงบรรเลงแห่งความสิ้นหวัง แสงจัน
ห้องลับใต้ดิน คลินิกหลังจากตกลงแผนการทั้งหมด พวกเขาเดินลงไปยังห้องทดลองใต้ดินของคลินิก โจชัวถือกล่องที่ใส่อุปกรณ์และแก่นเวทย์สีดำไว้ในมือ ขณะที่เอรอสเดินตามหลังมาเงียบๆ ความเงียบครอบงำบรรยากาศ มีเพียงเสียงฝีเท้าของทั้งสองที่ดังก้องในทางเดินแคบเมื่อมาถึงห้องทดลองใต้ดิน ประตูเหล็กบานหนาถูกปิดอย่างแน่นหนา โจชัวเปิดสวิตช์ไฟ เผยให้เห็นเครื่องมือและอุปกรณ์มากมายที่จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ โต๊ะกลางห้องมีเตียงหินสำหรับการผ่าตัด โจชัววางกล่องลงก่อนหันไปมองเอรอส“ฉันต้องถามอีกครั้ง” โจชัวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะทำตอนนี้? อย่างน้อยถ้ามีเวลาเตรียมตัวอีกสักวัน…”เอรอสส่ายหัว “ไม่จำเป็น เริ่มลงมือกันเถอะ” น้ำเสียงหนักแน่นแต่แฝงความกดดันโจชัวถอนหายใจยาว “ก็ได้… ถ้างั้นขึ้นไปนอนบนเตียง ผมจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อน”เอรอสปีนขึ้นไปนอนบนเตียงหิน เย็นเยียบจากพื้นหินแผ่ซ่านผ่านร่างกาย แต่เขากลับไม่ใส่ใจ สายตาจับจ้องไปยังเพดานห้อง ขณะที่โจชัวจัดเตรียมเครื่องมือ มีดเวทย์เรืองแสงสีฟ้า และแก่นเวทย์สีดำที่ยังคงเปล่งประกายลึกลับ“ถึงจะมั่นใจในฝีมือ” โจชัวพูดขึ้นขณะเตรียมเครื่องมือ “แต่
“ไหนบอกว่านัดไว้แล้วไง ทำไมเขาบอกว่าไม่รู้เรื่อง?” ไอลีนหันมากระซิบถามอาร์วินด้วยสีหน้าไม่สบายใจอาร์วินยิ้มบางๆ ก่อนจะหันไปมองโจชัวที่ยังคงจับจ้องพวกเขาด้วยสายตานิ่งสงบ แฝงแววประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ"จำไม่ได้แล้วเหรอว่าเราเคยเดินทางด้วยกันตั้งเป็นเดือน? ตอนนั้นฉันต้องพกงานวิจัยของนายติดตัวไปด้วยตลอด เพราะกลัวว่านายจะสติหลุดแล้วเผลอทำลายมันไปซะเอง ตอนนี้ยังเก็บไว้อยู่ใช่ไหม? หรือว่าเผลอทำหายไปแล้ว?"คำพูดของอาร์วินทำให้โจชัวชะงักไปเล็กน้อย แววตาของเขาที่เดิมดูระวังตัว กลับฉายแววสงสัยปนระลึกอะไรบางอย่าง“งานวิจัย...” เขาทวนคำเบาๆคล้ายจะนึกย้อนถึงอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในความทรงจำ ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆราวกับจับทิศทางได้แล้ว“อ้อ คุณนี่เอง” โจชัวเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง รอยยิ้มบางๆปรากฏบนใบหน้า“จำได้แล้วครับ ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะ”อาร์วินพยักหน้าเล็กน้อย ท่าทางดูเหมือนสบายๆ แต่ในแววตากลับมีอะไรบางอย่างที่อ่านยาก“ใช่ ไม่ได้เจอกันตั้งแต่ตอนนั้นเลย ฉันก็สงสัยอยู่ว่านายจะยังจำฉันได้อยู่หรือเปล่า”“จะลืมได้ยังไงล่ะครับ ผมไม่ทีทางลืมหรอกครับ” โจชัวตอบ พลางหัวเราะเบาๆอาร์วินเอน
ไอลีนถือสมุดบันทึกเวทมนตร์เล่มเล็กไว้ในมือ ขณะเดินไปตามทางเดินในคฤหาสน์ที่เงียบสงบ ผมยาวสีดำสนิทของเธอถูกมัดรวบไว้หลวมๆด้านหลัง ปลายเส้นผมพลิ้วไหวไปตามจังหวะก้าวเดิน เธอสวมชุดคลุมสีม่วงอ่อนที่มีสัญลักษณ์เวทมนตร์สะท้อนแสงจันทร์เล็กน้อย ผ้าคลุมบางเบาดูสง่างามแต่คล่องตัวพอสำหรับการเคลื่อนไหวในยามค่ำคืน มืออีกข้างถือคทาไม้เนื้อแข็งที่ถูกแกะสลักอย่างประณีต ปลายคทาประดับด้วยคริสตัลสีใสที่เปล่งแสงเรืองรองจางๆ ราวกับกักเก็บพลังเวทไว้ภายในแสงจากโคมไฟติดผนังทอดเงาสะท้อนบนพื้นหินเย็นเยียบ เสียงฝีเท้าของเธอเบาบางจนแทบไม่ได้ยิน เธอสูดลมหายใจลึกขณะหยุดยืนอยู่ที่หน้าต่างบานใหญ่ จับจ้องไปยังเงาร่างหนึ่งที่เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังอยู่ด้านล่างของคฤหาสน์ร่างนั้นคืออาร์วิน เขาสวมชุดข้ารับใช้ในที่ดูเรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้าน เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวคาดด้วยเสื้อกั๊กสีดำเข้ารูปและกางเกงสีน้ำตาลเข้มที่พับปลายไว้เล็กน้อย หมวกแบนทรงกลมที่มียอดยกขึ้นนิดหน่อยปกปิดเส้นผมสีทองที่ยุ่งเล็กน้อย แว่นตาสีน้ำตาลอมแดงช่วยบดบังสายตาของเขาจากผู้พบเห็น ดวงตาสีเทาอันลึกลับถูกซ่อนเร้นไว้ราวกับต้องการปิดบังตัวตนเขาก้าวเดินอย่างเ
เอเลน่านั่งอยู่บนเตียง จ้องมองอาร์วินที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย ดวงตาสีเทาที่มองมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความลึกที่อธิบายไม่ได้ มีบางสิ่งในแววตานั้นที่ทำให้หัวใจเธอสั่นไหว แต่เธออ่านมันไม่ออกบรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด เสียงลมเบาๆ จากหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ดังก้องในห้องที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของผ้าปูที่นอนใต้ฝ่ามือ พยายามดึงสติกลับมา แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนถูกตรึงด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นอาร์วินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา"เอเลน่า... ฉันไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน แต่ฉันจะพยายามเล่าให้เธอฟัง"เสียงของเขานุ่มลึก แต่สั่นเครือเล็กน้อย เธอรู้ว่าเขากำลังแบกรับอะไรบางอย่างที่หนักหนา ทว่าในใจของเธอเองก็เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้จบ เอเลน่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงให้เขาพูดต่อ แม้ในใจจะปั่นป่วนจนแทบระเบิดอาร์วินถอนหายใจยาว เสียงนั้นเหมือนลมหายใจที่พยายามปลดปล่อยความกดดันบางอย่าง"ตอนที่ฉันถูกจับอยู่ในคุก... ฉ
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ เอเลน่าค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆ กลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันที่ไม่อยากตื่นจากมันเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งหลับพิงเก้าอี้อยู่ ใบหน้าสงบนิ่งในเงามืด เส้นผมสีทองของเขาดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เอเลน่าจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ช่วงเวลานี้เผยให้เห็นอีกด้านของเขา—ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนเร้นก่อนหน้า ทำให้เธอโล่งใจเล็กน้อย ดวงตาของเธอสบเข้ากับใบหน้าอ่อนล้าของเขา ความรู้สึกปะปนกันระหว่างความสับสนและความอบอุ่นไหลเวียนในอก“อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆเหมือนจะยืนยันว่าเขาอยู่ตรงนี้จริงๆ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อเหลือบมองตัวเองที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เตียงของเธอ แต่เป็นของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงข
เอรอสก้าวออกจากป่าทึบในรูปลักษณ์ของอาร์วิน สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านตัวเขาอย่างแผ่วเบา แสงจันทร์ยังคงสลัวทำให้เห็นเงาของคฤหาสน์ตระกูลวัลธอเรนลางๆ อยู่ไม่ไกล จุดที่เขามุ่งหน้าไปคือบริเวณใต้หน้าต่างห้องพักของเขาเองก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เขาเคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อนชายแปลกหน้าที่เอรอสช่วยเหลือไว้ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาวราวกับหยิบยกมาจากยุคโบราณ ชายคนนี้ดูเหมือนนักเดินทางที่หลงยุค เขาอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เอรอสจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวันแทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยมาให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ
คลินิกของโจชัว ตั้งอยู่ในเขตสามัญชน ตัวอาคารหินสีซีดดูเรียบง่ายแฝงความล้าสมัย ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึก หน้าต่างกระจกสีชั้นล่างสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไป ลวดลายบนกระจกดูเหมือนจะพร่ามัวในแสงสลัว คลินิกนี้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนโรงพยาบาล แต่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยประมาณสิบคน เหมาะสำหรับการดูแลแบบส่วนตัวยามตีสี่ ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ ความเงียบรอบตัวแทบจะทำให้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วงกระทบพื้น เอรอสยืนพิงกำแพงใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ตรงข้ามคลินิก แม้ลมหนาวจะพัดแรง แต่ร่างกายของเอรอสกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาต่อความเย็น ราวกับความหนาวนั้นไม่อาจแตะต้องเขาได้ ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยังหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท นั่นเป็นห้องทำงานของโจชัว ซึ่งเขาใช้สำหรับจัดการเอกสารในช่วงกลางวัน แต่ในยามนี้ ไม่มีแสงไฟส่องลอดออกมา“ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่…” เขาพึมพำเสียงเบา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงนั้นแทบชัดเจนในสายลม เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียง กระโดดขึ้นเกาะขอบหน้าต่างชั้นสอง เสียงลมแผ่วเบาและใบไม้ไหวกลบการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาสีแดงสังเกตการณ์ในห้องอีกครั้งเพื่อยืนยันว่
คาร์ลีนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้ในดันเจี้ยนที่ผสานเขากับเขตแดนของเธอ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ความสัมพันธ์ลึกลับนี้ ทำให้คาร์ลีนรับรู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอเรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของชายที่มีฉายาว่า จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มาเนิ่นนาน แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากของเขาโดยตรงเธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับคำพูดนั้นหนักเกินกว่าจะเปล่งออกมาดวงตาสีม่วงเข้มของเธอสะท้อนแสงจากโคมไฟ เธอนั่งนิ่งราวกับขบคิด แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ ความหนักใจเหมือนสายลมหนาวที่แผ่วผ่านกลับถูกเติมเต็มด้วยความหวังอันเปราะบาง เธออยากให้เขามาหา อยากได