แม้ว่าเอรอสจะพยายามรักษาระยะห่างจากเธอ แต่ทุกครั้งที่เกิดอันตรายขึ้น เขากลับปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือเสมอ แม้จะไม่ใช่ตัวตนเดิมก็ตาม
ในช่วงเวลาปกติ เขาก็คอยแนะนำสถานที่สำหรับหาข้อมูล ของใช้ที่จำเป็นสำหรับการทำงาน หรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับคดีที่พวกเขาทำอยู่ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่พวกรุ่นพี่ที่ทำงานมาก่อนหน้านี้ไม่ยอมบอก ทำให้คำแนะนำของเอรอสกลายเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกขอบคุณมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม ภารกิจที่เขาได้รับจากกิลด์ส่วนใหญ่กลับเป็นเพียงงานธรรมดา ไม่เกี่ยวข้องกับแผนกสืบสวนเลย เช่น การส่งจดหมายไปที่เมืองอื่น หาแมวที่หายไป หรือแม้แต่ทำความสะอาดสถานที่บางแห่ง ภารกิจเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นงานที่ไม่สำคัญและไม่มีใครสนใจ นักผจญภัยคนอื่นมักเลือกทำภารกิจที่ท้าทายและมีผลตอบแทนมากกว่า
เหตุผลที่เอรอสได้รับภารกิจเหล่านี้มาจากผู้จัดการของกิลด์เอง ผู้จัดการอ้างว่า ‘หน้าตาทางสังคมของกิลด์จะเสียหาย ถ้างานพวกนี้ไม่ถูกจัดการ’ เขามอบงานเหล่านั้นให้เอรอส โดยเจตนาซ่อนความสามารถของเขา เพื่อป้องกันไม่ให้เด่นเกินหน้าลูกชายหรือผู้จัดการเอง แม้ว่าหากจนปัญญาจริงๆ ก็จะตกมาถึงมือเขาเสมอ
ลีน่าที่พยายามรักษาระยะห่างจากผู้คนมาตลอด รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองเฝ้ามองเอรอสอยู่เสมอ คอยสังเกตว่าเขากำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน และความรู้สึกของเธอก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปโดยไม่ทันรู้ตัว
แม้ว่าความเป็นจริง มันจะไม่ได้เป็นสิ่งที่เธอคิดเองทั้งหมดก็ตาม และ พวกเขาจะไม่มีวันรู้ถึงความจริงพวกนั้น
ในห้องหนึ่งของกิลด์นักผจญภัย บรรยากาศภายในเงียบสงัด แสงแดดยามบ่ายส่องผ่านหน้าต่าง ทำให้เงาของโต๊ะและเก้าอี้ทอดยาวบนพื้น ลีน่านั่งอยู่บนเก้าอี้ ดวงตาของเธอว่างเปล่า มองออกไปที่ประตู เธอขยับนิ้วเบาๆ บนโต๊ะเหมือนกำลังนับเวลาที่ผ่านไปอย่างช้าๆ หัวใจของเธอเต้นรัวในอก ความรู้สึกกังวลแผ่กระจายเต็มห้อง
เอเลียที่นั่งอยู่ข้างๆ ลีน่า หันมองเพื่อนอย่างเงียบๆ เธอสังเกตเห็นความไม่สบายใจที่เขียนชัดเจนบนใบหน้าของลีน่า เอเลียค่อยๆยื่นมือไปแตะเบาๆที่บ่าของลีน่า ราวกับพยายามจะถ่ายทอดความอุ่นใจบางอย่างให้เธอ
“อย่ากังวลไปเลย รุ่นพี่จะต้องไม่เป็นอะไร เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา..” เสียงของเอเลียอ่อนโยน ใบหน้าของเธอยิ้มอย่างให้กำลังใจ เธอเองก็รู้สึกกังวล แต่เธอพยายามรักษารอยยิ้มเอาไว้ เพื่อไม่ให้ลีน่าหรือใครรู้สึกแย่ไปกว่านี้ แต่ดูเหมือนคำพูดนั้นไม่ทำให้ลีน่าสงบลงได้เลย
ลีน่าขมวดคิ้วเบาๆ ริมฝีปากของเธอเม้มเข้าหากันแน่น ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
“แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป... ผู้จัดการตั้งใจจะไล่เขาออกจริงๆ”
น้ำเสียงเยือกเย็นของโซเฟียดังขึ้น ขัดจังหวะบรรยากาศที่คุกรุ่นไปด้วยความกังวล
“เราทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ และโฟกัสกับงานที่อยู่ตรงหน้า” โซเฟียพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ เธอนั่งอยู่ตรงข้ามกับลีน่า ใบหน้าที่เยือกเย็นนั้นสะท้อนถึงความมุ่งมั่น เธอรับรู้ได้ถึงความกังวลของทุกคน แต่เธอเชื่อว่าการตัดสินใจที่หนักแน่นในตอนนี้ เป็นสิ่งเดียวที่จะพาพวกเขาไปข้างหน้าต่อได้
“กังวลไปตอนนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เธอก็รู้ดีนี้น่า ลีน่า”
คำพูดของโซเฟียทำให้ลีน่าเม้มปากแน่นขึ้น เธอเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น แต่ความห่วงที่มีต่อเอรอสก็ยังทำให้เธอกังวลไม่หยุด ลึกๆในใจยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถลบออกไปได้
เฟร์ยที่ยืนอยู่ไม่ห่าง มองลีน่าด้วยสายตาสงบนิ่ง เขาถอนหายใจเบาๆก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่หนักแน่น
“ลีน่า ฉันเข้าใจว่าเธอเป็นห่วงเอรอส...แต่...”เขาเดินเข้ามาใกล้ นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเธอ และสบตาเธออย่างจริงจัง ความกังวลปรากฏอยู่ในใจของเขา แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดออกไป เขารู้ว่าตอนนี้การรักษาความสงบเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
“ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการตามหาลูกชายของบารอนแคลนัส เธอเข้าใจใช่ไหม? เขาหายไปเกือบสองอาทิตย์แล้ว เราไม่มีเวลาแล้ว..”
ลีน่านิ่งเงียบ สีหน้าของเธอยังแสดงถึงความไม่พอใจ เธอไม่ต้องการยอมรับความจริงนี้ แต่ก็รู้ดีว่ามันถูกต้อง ความคิดภายในของเธอสับสน ขัดแย้งกับสิ่งที่เธอต้องทำ เธออยากจะออกไปช่วยเอรอสทำภารกิจ แต่ก็รู้สึกผิด ที่ต้องละทิ้งหน้าที่ของตัวเอง
เฟร์ยพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น“ถ้าเราละทิ้งภารกิจนี้ เมืองทั้งเมืองจะได้รับผลกระทบหนัก เราต้องหาเขาให้เร็วที่สุด”
การหายตัวไปของลูกชายบารอนแคลนัสส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของตระกูลวัลธอเรนอย่างหนัก เขาคือว่าที่ลูกเขยของตระกูล และ จากเรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้ตระกูลวัลธอเรน ตกเป็นหัวข้อซุบซิบในหมู่ชนชั้นสูง และ ผู้คนมากมาย หลายคนเริ่มพูดว่าตระกูลวัลธอเรนไม่สามารถปกป้องลูกเขยของตนเองได้ เรื่องนี้ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลวัลธอเรนที่ตกต่ำอยู่แล้ว ดิ่งลงไปอีก หากช้าไปกว่านี้ ตระกูลแบล็คการ์ด และ ดราโกร์นอาจใช้โอกาสนี้โจมตีชื่อเสียงของพวกเขา
โซเฟียพยักหน้าเห็นด้วย “คดีนี้ถูกยื้อมานานจนไม่เหลือเบาะแสอะไรเลย… ถ้าเราทิ้งมันเพื่อช่วยเอรอส เธอก็รู้ว่าผลจะเป็นยังไง...”
ลีน่ามองหน้าเพื่อนร่วมงานทั้งสองคน สายตาของเธอแสดงถึงความสับสนระหว่างความห่วงใยที่มีต่อตัวเอรอส และ ความรับผิดชอบต่อภารกิจที่ได้รับ แต่ท้ายที่สุด เธอก็พยักหน้าช้าๆ สายตาของเธอเปลี่ยนไปจากความกังวลเป็นความมุ่งมั่น หัวใจของเธอยังคงสั่นไหว แต่เธอต้องก้าวข้ามความรู้สึกนั้น
“ฉันเข้าใจแล้ว...” เสียงของเธอเบาแต่หนักแน่น เธอหันไปมองเฟร์ย และ โซเฟียด้วยสายตามุ่งมั่น
“เราคงทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ ฉันจะตั้งใจทำภารกิจของเราให้ดีที่สุด”
เฟร์ยส่งยิ้มอ่อนโยนให้เธอ สายตาที่มองเธอนั้นเต็มไปด้วยความเข้าใจ
“ดีแล้วล่ะ ลีน่า สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้ตอนนี้คือทำงานของเราให้สำเร็จ เมื่อเอรอสกลับมา เขาคงอยากเห็นว่าพวกเราสามารถรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายได้ โดยที่เขาไม่ต้องเป็นห่วง”
โซเฟียพยักหน้า เธอเหยียดตัวขึ้นจากท่าพิงผนัง พลางพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“ใช่ เอรอสเคยผ่านเหตุการณ์มามาก แต่เขาก็รอดมาได้ทุกครั้ง ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน”
เอเลีย ที่นั่งฟังอย่างเงียบๆ หันมายิ้มให้ลีน่า
“อย่างที่ฉันบอก รุ่นพี่ต้องไม่เป็นอะไร”
ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ประตูห้องก็ถูกเปิดออกเบาๆ ทุกสายตาหันไปมองพร้อมกัน คนที่เข้ามาคือไคลน์
ไคลน์เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับสีหน้าที่บ่งบอกถึงความกังวล ทุกคนต่างเงียบลงทันทีเมื่อเขาก้าวเข้ามา บรรยากาศที่ตึงเครียดอยู่แล้วเริ่มหนักขึ้น โซเฟียสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติในท่าทางของเขา จึงเอ่ยถามขึ้น
“มีอะไรจพูดหรือเปล่า ไคลน์?”
เขาพยักหน้า แต่กลับมีท่าทีลังเลอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของเขากวาดมองไปที่ทุกคน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ “ผมเจออะไรบางอย่างที่สำคัญ แต่…”
เฟร์ยขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ทำไม? พูดออกมาสิ”
ไคลน์ก้มหน้าลงเล็กน้อย สีหน้าเขาดูหนักใจ “ผมไม่แน่ใจว่าควรจะพูดมันดีไหม... เพราะสิ่งที่ผมเจอมา มันยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยัน”
โซเฟียจ้องมองเขาอย่างจริงจัง “หลักฐานหรือไม่ เราจำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง บอกมาเถอะ ไคลน์ ทุกวินาทีมีค่า”
ลีน่าที่นั่งฟังอย่างเงียบๆ ตลอดเวลาพูดขึ้นบ้าง “ใช่ ไม่มีเวลาให้ลังเลแล้ว ถ้าร่องรอยนั้นคือโอกาสเดียวที่เรามี เราก็ต้องไป...”
ไคลน์ยังคงเงียบไปชั่วครู่ สายตาของเขาสะท้อนถึงความรู้สึกขัดแย้งภายใน เขารู้ดีว่าข่าวนี้จะสร้างความกดดันและอาจทำให้ทุกคนตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้าไม่พูดออกไป ตอนนี้ก็อาจจะไม่มีโอกาสอื่นแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นสูดหายใจลึกก่อนพูดออกมาในที่สุด
“ร่องรอยสุดท้ายที่ผมเจอ... คือเขาเข้าไปในเขตของหอคอย”
คำพูดนั้นทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ลีน่ากับโซเฟียสบตากันอย่างเคร่งเครียด หอคอยนักปราชญ์เป็นสถานที่ที่ทรงอำนาจที่สุด มีอิทธิพลเหนือเหล่าตระกูลขุนนาง เป็นสถานที่ที่ลูกหลานขุนนางถูกฝึกให้กลายเป็นจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ แต่ไม่ใช่ใครก็สามารถเข้าไปได้ง่ายๆ และทุกก้าวที่ย่างเข้าไปในนั้นเต็มไปด้วยความเสี่ยง
เฟร์ยพึมพำด้วยเสียงเบา แต่หนักแน่น “ถ้าเป็นอย่างที่นายพูดจริงๆ... งานนี้ก็เกินกว่าที่เราจะรับมือไหวแล้ว….”
คำพูดของเฟรย์ทำให้บรรยากาศในห้องประชุมเงียบงัน ลีน่ากับโซเฟียสบตากันอย่างเคร่งเครียด หอคอยนักปราชญ์เป็นหนึ่งในองค์กรที่ทรงอำนาจที่สุดในประเทศ มีอิทธิพลเทียบเท่ากับตระกูลขุนนางชั้นสูงและราชวงศ์ เป็นศูนย์กลางขององค์ความรู้และเวทมนตร์ หากใครปรารถนาจะก้าวขึ้นเป็นจอมเวทชั้นแนวหน้า หอคอยนี้คือที่ที่พวกเขาต้องผ่านไป ไม่เพียงแต่ขึ้นชื่อในเรื่องการสอนเวทมนตร์ แต่ยังสร้างนักเวทผู้ทรงพลังมานับไม่ถ้วนการคัดเลือกผู้เข้าสู่หอคอยนั้นแสนเข้มงวด ผู้สมัครต้องมีวงแหวนอย่างน้อยสองวง และอายุไม่เกิน 20 ปี แม้ว่าพวกเขาจะผ่านเงื่อนไขที่กำหนดไว้ได้ การอยู่รอดในหอคอยก็ยังเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่น เพราะภายในนั้นเต็มไปด้วยการแข่งขัน และการต่อสู้เพื่อความเป็นหนึ่ง ที่นั่นยังเป็นสถานที่รวมเหล่าลูกหลานขุนนางที่ทรงอำนาจไว้อย่างมากมาย ทุกย่างก้าวในหอคอยจึงเต็มไปด้วยความอันตรายอยู่เสมอเฟรย์เอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่น “ไม่คิดเลยว่าหอคอยจะเข้ามาเกี่ยวข้อง... มันอันตรายเกินไปที่เราจะยุ่งกับเรื่องนี้”พวกทุกคนเข้าใจถึงความอันตรายของหอคอยเป็นอย่างดี เอรอสได้บอกข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับหอคอย และ เตือนพวกเขาว่าห้ามไปยุ่ง หรือ หาเรื่
ในความมืดมิด เอรอสลืมตาขึ้นมา ท่ามกลางเงาดำไร้ขอบเขต พื้นที่เขาเหยียบย่ำเป็นแอ่งน้ำสีดำสนิท ลึกจนไร้ก้นบึ้ง ทุกสิ่งเงียบงันจนดูเหมือนเวลาได้หยุดลง ความเย็นเฉียบของบรรยากาศนั้นไม่เพียงแค่โอบล้อมร่างกายของเขา แต่ราวกับแทรกซึมลึกเข้าไปในไขกระดูก เย็นจนแสบซ่าน ทรมานจนหัวใจของเขาเต้นรัว เสียงกระซิบแผ่วเบาจากเงามืดดังขึ้นรอบตัวเขา คล้ายกับความคิดแฝงซ่อนอยู่ในหัวของเขาเองที่คอยกัดกร่อน“ยังมีสัญญาที่ยังทำไม่สำเร็จอีกไม่ใช่หรือ? จะยอมแพ้แล้วงั้นหรอ?”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง เมื่อนั้นเอรอสหันไปมอง เขาเห็นตัวเอง... ในอีกรูปแบบหนึ่ง รูปร่างนั้นผ่ายผอม ใบหน้าอิดโรย ความเหนื่อยล้าฉายชัดบนใบหน้าของร่างนั้น แต่ดวงตา และ ท่าทางกลับแน่วแน่ดั่งก้อนหินที่ไม่อาจถูกทำลายเมื่อเอรอสหันมองไปรอบๆ เขาพบว่ามีตัวเองอีกนับสิบยืนล้อมรอบเขาอยู่ บางคนดูมั่นคง เยือกเย็น ราวกับผู้นำที่ยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบพร้อมด้วยชุดเกราะสีเงินที่เปล่งประกาย บางคนสวมเสื้อคลุมสีดำสนิท ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าแต่ท่าทางยังแฝงความเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้ ทั้งหมดล้วนสะท้อนตัวตนของเขาในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกสายตาจับจ้องมาที่เ
เอรอสยังคงนั่งอยู่ในความเงียบ หัวใจของเขาเต้นช้าลงเมื่อความคิดเยือกเย็นและสิ้นหวังเริ่มแผ่ซ่านไปทั่ว ความจริงที่ว่าเขาอาจหายไปจากโลกนี้โดยไม่มีใครพบเจอ ทำให้ทุกอย่างในห้องขังหนักอึ้งกว่าเดิม แม้เขาพยายามปิดกั้นความคิดเหล่านั้น แต่เงาแห่งความกลัวก็ยังคืบคลานเข้ามาความเย็นชาจากพื้นหินและผนังคุกเหมือนซึมลึกเข้ามาในใจ ความสิ้นหวังที่หนักอึ้งขึ้นทุกวินาที แต่ในขณะเดียวกัน เอรอสยังคงบอกตัวเองให้ยืนหยัด และต้องหาทางเอาชีวิตรอดเขามองไปรอบๆ ห้องขังที่เย็นเยียบ พื้นหินแตกร้าวและมีน้ำซึม กลิ่นอับชื้นชวนให้คิดถึงสถานที่ที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครสนใจ และไร้ทางออก แม้เขาบอกตัวเองว่าไม่กลัว แต่ลึกๆ เขารู้ดีว่าการอยู่ที่นี่นานเกินไปจะกัดกร่อนจิตใจของเขา เหมือนกำแพงหินที่ถูกเวลาบั่นทอนลงเรื่อยๆเสียงฝีเท้าของเฟลิเซียยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา แม้ว่าเธอจะเดินจากไปแล้ว สีหน้าของเธอตอนที่บอกว่า “นายจะต้องอยู่ที่นี่... จนกว่าเราจะตัดสินใจ” ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของเอรอส เขาจำได้ถึงความสั่นไหวเล็กน้อยในน้ำเสียงของเธอ ราวกับว่าเธอเองก็ไม่ได้มั่นใจในสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ แต่เธอไม่มีทางช่วยเขาแน่นอนบานประตูเล
ในยามที่ดวงจันทร์หลบซ่อนอยู่หลังม่านหมอกหนา ความเงียบเยือกเย็นปกคลุมทั่วบริเวณเหมือนกับผืนโลกถูกแช่แข็ง เสียงลมหวีดหวิวผ่านทางเดินแคบๆ ของอุโมงค์ใต้ดินรกร้าง บรรยากาศอึมครึมที่ไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิตอื่นเพิ่มความรู้สึกอึดอัดเข้าไปอีกเสียงฝีเท้าหนักแน่นของยามคนใหม่สะท้อนก้องภายในอุโมงค์ เสียงนั้นเชื่องช้า หนักหน่วงเหมือนพลังงานในตัวเขาเหลือเพียงน้อยนิด ราวกับเขาถูกถ่วงด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงานมายาวนานจนไม่ใส่ใจความรวดเร็วอีกแล้ว เขายกมือขึ้นลูบเคราที่เริ่มยาวและหยาบ พลางหาวเบาๆ ความง่วงค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่จิตใจถึงกระนั้นเขายังคงก้าวเดินต่อไปตามหน้าที่ จนมาถึงหน้าห้องขัง เหลียวมองเห็นยามหนุ่มคนหนึ่งยืนพิงกำแพงหินเย็นเยียบด้วยท่าทางเงียบขรึม“มาช้าจัง” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงแววความสงสัยในน้ำเสียง ดวงตาของเขาจ้องอีกฝ่ายอย่างคมกริบ“ตีสามตรงขนาดนี้ ยังจะเรียกว่าช้าอีกรึ??” ชายแก่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ ขณะยักไหล่อย่างไม่คิดมากชายแก่เดินเข้าไปใกล้ประตูเหล็กหนาที่กั้นหน้าห้องขัง มองมันอย่างเชื่องช้า ดวงตาแสดงถึงความชินชาในการทำงานแบบนี้มา
ในห้องขังอับทึบและเย็นเยียบ ความเงียบงันครอบงำทุกซอกมุม มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของชายแก่ที่ถูกปีศาจเข้าสิงร่าง เขายืนนิ่งไม่ขยับ ราวกับถูกแช่แข็งไว้ในความมืด ดวงตาสีแดงฉานที่สะท้อนแสงจากช่องระบายอากาศเพียงเล็กน้อย เป็นเครื่องหมายเดียวที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของบางสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์เสียงประตูเหล็กหนาหนักที่ถูกปิดด้วยกุญแจและเวทมนตร์ป้องกันเริ่มขยับ มันเปิดออกอย่างช้าๆ ราวกับไม่มีแรงต้านทาน เสียงโลหะเสียดสีกันเบาๆ ดังขึ้นและสะท้อนก้องไปตามผนังหิน บรรยากาศไม่เป็นธรรมชาตินี้ทำให้ทั้งห้องดูอึดอัดและน่าขนลุกยิ่งขึ้นเอรอสยืนอยู่ตรงกรงขังของตนเอง แววตาของเขาเยือกเย็นและจับจ้องชายแก่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างนิ่งงัน ราวกับคาดการณ์ไว้ว่าสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้น เขาก้าวออกจากกรงขังโดยไม่รีบร้อน ชายชรายืนที่อยู่ปล่อยเขาไปโดยไม่ทำอะไร เขาที่ถูกควบคุมจิตใจไม่ได้แสดงท่าทางหรือมีท่าทีใดๆที่จะต่อต้าน หรือ ขัดขวาง เอรอสจึงเดินผ่านไปอย่างราบรื่นเมื่อเอรอสก้าวผ่านไป เขาเหลือบมองชายแก่อยู่ชั่วครู่ก่อนพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า "ขั้นแรกเสร็จแล้ว..."“ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะทำตามสัญญา”ปีศาจกล่าวพลางเสกมีด และ ถ้วยเ
เอรอสก้าวออกจากห้องขังอย่างช้าๆท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด เขากวาดสายตาสำรวจรอบๆด้วยความระมัดระวัง ความเย็นเยียบและเงียบงันของคุกใต้ดินทำให้เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าที่แฝงอยู่ ไม่มีเสียงฝีเท้าของผู้คุม หรือแม้แต่เสียงสนทนาของผู้ใด สถานที่นี้ดูเหมือนถูกละเลย หรือแทบไม่มีนักโทษถูกนำมาคุมขังเท่าที่ควรจะเป็นเอรอสสันนิษฐานว่า คุกแห่งนี้อาจมีนักโทษเพียงน้อยนิด หรือบางทีอาจมีเพียงบางคนที่ถูกขังไว้อย่างลับๆ สิ่งที่ทำให้เขามั่นใจมากขึ้นคือ วงเวทย์ที่เคยสลักบนแผ่นหลังของเขา ซึ่งเคยทำหน้าที่บอกตำแหน่งของเขาต่อหอคอย ตอนนี้มันถูกย้ายไปยังร่างของชายชราที่เข้ามาเฝ้าเขาแทน ขณะนี้ชายชราคนนั้นนอนสลบอยู่บนพื้น ไร้สติ ราวกับหมดแรงจากการถูกครอบงำโดยปีศาจเอรอสคิดได้ในทันที ภายในหกชั่วโมงต่อจากนี้ จะไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ที่เกิดขึ้น เขายังมีเวลาสำรวจสถานที่แห่งนี้ต่อไป บางทีรุ่นพี่ไอลีนอาจถูกกักขังอยู่ที่นี่ แม้ว่าชายชราคนนั้นจะบอกว่า เขาไม่เห็นเธอที่นี่ก็ตาม... แต่เพื่อความแน่ใจ การสำรวจให้ทั่วก่อนเป็นสิ่งจำเป็นเอรอสเดินสำรวจไปตามทางเดินแคบๆท่ามกลางความเงียบสงัด ความมืดที่ปกคลุมทุกซอกทุกมุมร
เอรอสค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้ร่างของอาร์วินที่นอนนิ่งอยู่กับพื้น กลิ่นอับชื้นในห้องลับผสานกับกลิ่นเลือดและเหงื่อรุนแรงทำให้บรรยากาศยิ่งกดดัน ดวงตาของเขาสำรวจไปทั่วร่างกายของชายผู้ที่เคยหายตัวไป อาร์วิน แคร์นัส—ชายหนุ่มที่มีความมั่นใจ นัยน์ตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจกลับเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ดูอ่อนแอเกินกว่าจะลุกขึ้นได้ ใบหน้าซีดเซียวราวกับคนที่ขาดสารอาหารมานานเอรอสนั่งลงข้างๆเขา มือหนึ่งจับที่คอเพื่อตรวจสอบชีพจรที่เต้นแผ่วเบา เอรอสเคยพบเห็นเขาบ่อยๆในตอนที่เขามารับงานปราบมอนเตอร์ในกิล แต่นี่คือครั้งแรกที่เอรอสเห็นอาร์วินในสภาพที่เปราะบางเช่นนี้"เกิดอะไรขึ้นกับนาย..." เขาพึมพำเบาๆ พลางสำรวจบาดแผลตามร่างกายของอาร์วินใกล้ๆบนแขนและขาของอาร์วินเต็มไปด้วยรอยช้ำสีน้ำเงินและดำ บ่งบอกถึงการถูกทุบตีและทำร้ายอย่างรุนแรง ที่แผ่นหลังมีรอยบาดลึกและรอยแส้ที่ขีดข่วนเป็นแผลเก่าและใหม่สลับกันไป บาดแผลเหล่านี้ไม่ได้มาจากการถูกซ้อมเพียงอย่างเดียว แต่บางรอยมีลักษณะผิดธรรมชาติ เหมือนถูกทำร้ายด้วยเวทมนตร์บางอย่าง ร่องรอยที่เอรอสเห็นได้จากบาดแผลเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว"นี่มัน.….สายเกินไปแล้
ดวงตาสีเทาของเอรอสหรี่ลงเล็กน้อยขณะที่เขามองอาร์วิน ความประหลาดใจผุดขึ้นในใจ แม้ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน ความคิดวนเวียนในหัว—“อาร์วินรู้ได้ยังไง?” ทั้งที่รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปแทบจะสิ้นเชิง…อาร์วินเงยหน้ามองเอรอส แม้ร่างกายอ่อนแรงจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงจะพูด ดวงตาสีฟ้าของเขากลับพยายามสื่อความจริงบางอย่างที่ถูกปิดซ่อนเอาไว้ ราวกับต้องการบอกเอรอสถึงสิ่งที่เขาแบกรับมาตลอด แสงสีฟ้าค่อยๆ เปล่งประกายออกมาจากดวงตา ภาพความทรงจำพรั่งพรูเข้าสู่จิตใจของเอรอสอย่างไม่ทันตั้งตัวความทรงจำหนักอึ้งของอาร์วินยังคงปะทุอยู่ในหัวใจ ภาพเหตุการณ์ในอดีตฉายชัดขึ้นทุกวินาที—ช่วงเวลาวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความกดดัน ตระกูลของเขากำลังล่มสลายหลังการสูญเสียผู้นำในสงคราม อาร์วินต้องกลายเป็นผู้นำตระกูลตั้งแต่เด็ก รับผิดชอบในการรักษาชื่อเสียงและสถานะของตระกูล ท่ามกลางตระกูลรอบข้างที่จ้องจะเล่นงานพวกเขาทุกครั้งที่มีโอกาสเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของอาร์วินเกิดขึ้นในคืนหนึ่ง ขณะที่เขากำลังสำรวจตรอกซอยในเมืองเงียบสงัด สายตาของเขาเหลือบไปเห็นเด็กสาวในชุดหรูหรากำลังถูกชายปริศนาฉุดกระชากออกมาจากที่ซ่อน และ ตั้งใจจะทำร้ายเธอ