หน้าหลัก / แฟนตาซี / พันธะสัญญาของผู้กลืนกิน / ตอนที่ 12 ระหว่างหน้าที่ และ ความรู้สึก

แชร์

ตอนที่ 12 ระหว่างหน้าที่ และ ความรู้สึก

แม้ว่าเอรอสจะพยายามรักษาระยะห่างจากเธอ แต่ทุกครั้งที่เกิดอันตรายขึ้น เขากลับปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือเสมอ แม้จะไม่ใช่ตัวตนเดิมก็ตาม

ในช่วงเวลาปกติ เขาก็คอยแนะนำสถานที่สำหรับหาข้อมูล ของใช้ที่จำเป็นสำหรับการทำงาน หรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับคดีที่พวกเขาทำอยู่ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่พวกรุ่นพี่ที่ทำงานมาก่อนหน้านี้ไม่ยอมบอก ทำให้คำแนะนำของเอรอสกลายเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกขอบคุณมาโดยตลอด

อย่างไรก็ตาม ภารกิจที่เขาได้รับจากกิลด์ส่วนใหญ่กลับเป็นเพียงงานธรรมดา ไม่เกี่ยวข้องกับแผนกสืบสวนเลย เช่น การส่งจดหมายไปที่เมืองอื่น หาแมวที่หายไป หรือแม้แต่ทำความสะอาดสถานที่บางแห่ง ภารกิจเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นงานที่ไม่สำคัญและไม่มีใครสนใจ นักผจญภัยคนอื่นมักเลือกทำภารกิจที่ท้าทายและมีผลตอบแทนมากกว่า

เหตุผลที่เอรอสได้รับภารกิจเหล่านี้มาจากผู้จัดการของกิลด์เอง ผู้จัดการอ้างว่า ‘หน้าตาทางสังคมของกิลด์จะเสียหาย ถ้างานพวกนี้ไม่ถูกจัดการ’ เขามอบงานเหล่านั้นให้เอรอส โดยเจตนาซ่อนความสามารถของเขา เพื่อป้องกันไม่ให้เด่นเกินหน้าลูกชายหรือผู้จัดการเอง แม้ว่าหากจนปัญญาจริงๆ ก็จะตกมาถึงมือเขาเสมอ

ลีน่าที่พยายามรักษาระยะห่างจากผู้คนมาตลอด รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองเฝ้ามองเอรอสอยู่เสมอ คอยสังเกตว่าเขากำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน และความรู้สึกของเธอก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปโดยไม่ทันรู้ตัว

แม้ว่าความเป็นจริง มันจะไม่ได้เป็นสิ่งที่เธอคิดเองทั้งหมดก็ตาม และ พวกเขาจะไม่มีวันรู้ถึงความจริงพวกนั้น

ในห้องหนึ่งของกิลด์นักผจญภัย บรรยากาศภายในเงียบสงัด แสงแดดยามบ่ายส่องผ่านหน้าต่าง ทำให้เงาของโต๊ะและเก้าอี้ทอดยาวบนพื้น ลีน่านั่งอยู่บนเก้าอี้ ดวงตาของเธอว่างเปล่า มองออกไปที่ประตู เธอขยับนิ้วเบาๆ บนโต๊ะเหมือนกำลังนับเวลาที่ผ่านไปอย่างช้าๆ หัวใจของเธอเต้นรัวในอก ความรู้สึกกังวลแผ่กระจายเต็มห้อง

เอเลียที่นั่งอยู่ข้างๆ ลีน่า หันมองเพื่อนอย่างเงียบๆ เธอสังเกตเห็นความไม่สบายใจที่เขียนชัดเจนบนใบหน้าของลีน่า เอเลียค่อยๆยื่นมือไปแตะเบาๆที่บ่าของลีน่า ราวกับพยายามจะถ่ายทอดความอุ่นใจบางอย่างให้เธอ

“อย่ากังวลไปเลย รุ่นพี่จะต้องไม่เป็นอะไร เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา..” เสียงของเอเลียอ่อนโยน ใบหน้าของเธอยิ้มอย่างให้กำลังใจ เธอเองก็รู้สึกกังวล แต่เธอพยายามรักษารอยยิ้มเอาไว้ เพื่อไม่ให้ลีน่าหรือใครรู้สึกแย่ไปกว่านี้ แต่ดูเหมือนคำพูดนั้นไม่ทำให้ลีน่าสงบลงได้เลย

ลีน่าขมวดคิ้วเบาๆ ริมฝีปากของเธอเม้มเข้าหากันแน่น ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย

“แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป... ผู้จัดการตั้งใจจะไล่เขาออกจริงๆ”

น้ำเสียงเยือกเย็นของโซเฟียดังขึ้น ขัดจังหวะบรรยากาศที่คุกรุ่นไปด้วยความกังวล

“เราทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ และโฟกัสกับงานที่อยู่ตรงหน้า” โซเฟียพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ เธอนั่งอยู่ตรงข้ามกับลีน่า ใบหน้าที่เยือกเย็นนั้นสะท้อนถึงความมุ่งมั่น เธอรับรู้ได้ถึงความกังวลของทุกคน แต่เธอเชื่อว่าการตัดสินใจที่หนักแน่นในตอนนี้ เป็นสิ่งเดียวที่จะพาพวกเขาไปข้างหน้าต่อได้

“กังวลไปตอนนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เธอก็รู้ดีนี้น่า ลีน่า”

คำพูดของโซเฟียทำให้ลีน่าเม้มปากแน่นขึ้น เธอเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น แต่ความห่วงที่มีต่อเอรอสก็ยังทำให้เธอกังวลไม่หยุด ลึกๆในใจยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถลบออกไปได้

เฟร์ยที่ยืนอยู่ไม่ห่าง มองลีน่าด้วยสายตาสงบนิ่ง เขาถอนหายใจเบาๆก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่หนักแน่น

“ลีน่า ฉันเข้าใจว่าเธอเป็นห่วงเอรอส...แต่...”เขาเดินเข้ามาใกล้ นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเธอ และสบตาเธออย่างจริงจัง ความกังวลปรากฏอยู่ในใจของเขา แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดออกไป เขารู้ว่าตอนนี้การรักษาความสงบเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

“ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการตามหาลูกชายของบารอนแคลนัส เธอเข้าใจใช่ไหม? เขาหายไปเกือบสองอาทิตย์แล้ว เราไม่มีเวลาแล้ว..”

ลีน่านิ่งเงียบ สีหน้าของเธอยังแสดงถึงความไม่พอใจ เธอไม่ต้องการยอมรับความจริงนี้ แต่ก็รู้ดีว่ามันถูกต้อง ความคิดภายในของเธอสับสน ขัดแย้งกับสิ่งที่เธอต้องทำ เธออยากจะออกไปช่วยเอรอสทำภารกิจ แต่ก็รู้สึกผิด ที่ต้องละทิ้งหน้าที่ของตัวเอง

เฟร์ยพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น“ถ้าเราละทิ้งภารกิจนี้ เมืองทั้งเมืองจะได้รับผลกระทบหนัก เราต้องหาเขาให้เร็วที่สุด”

การหายตัวไปของลูกชายบารอนแคลนัสส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของตระกูลวัลธอเรนอย่างหนัก เขาคือว่าที่ลูกเขยของตระกูล และ จากเรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้ตระกูลวัลธอเรน ตกเป็นหัวข้อซุบซิบในหมู่ชนชั้นสูง และ ผู้คนมากมาย หลายคนเริ่มพูดว่าตระกูลวัลธอเรนไม่สามารถปกป้องลูกเขยของตนเองได้ เรื่องนี้ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลวัลธอเรนที่ตกต่ำอยู่แล้ว ดิ่งลงไปอีก หากช้าไปกว่านี้ ตระกูลแบล็คการ์ด และ ดราโกร์นอาจใช้โอกาสนี้โจมตีชื่อเสียงของพวกเขา

โซเฟียพยักหน้าเห็นด้วย “คดีนี้ถูกยื้อมานานจนไม่เหลือเบาะแสอะไรเลย… ถ้าเราทิ้งมันเพื่อช่วยเอรอส เธอก็รู้ว่าผลจะเป็นยังไง...”

ลีน่ามองหน้าเพื่อนร่วมงานทั้งสองคน สายตาของเธอแสดงถึงความสับสนระหว่างความห่วงใยที่มีต่อตัวเอรอส และ ความรับผิดชอบต่อภารกิจที่ได้รับ แต่ท้ายที่สุด เธอก็พยักหน้าช้าๆ สายตาของเธอเปลี่ยนไปจากความกังวลเป็นความมุ่งมั่น หัวใจของเธอยังคงสั่นไหว แต่เธอต้องก้าวข้ามความรู้สึกนั้น

“ฉันเข้าใจแล้ว...” เสียงของเธอเบาแต่หนักแน่น เธอหันไปมองเฟร์ย และ โซเฟียด้วยสายตามุ่งมั่น

“เราคงทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ ฉันจะตั้งใจทำภารกิจของเราให้ดีที่สุด”

เฟร์ยส่งยิ้มอ่อนโยนให้เธอ สายตาที่มองเธอนั้นเต็มไปด้วยความเข้าใจ

“ดีแล้วล่ะ ลีน่า สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้ตอนนี้คือทำงานของเราให้สำเร็จ เมื่อเอรอสกลับมา เขาคงอยากเห็นว่าพวกเราสามารถรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายได้ โดยที่เขาไม่ต้องเป็นห่วง”

โซเฟียพยักหน้า เธอเหยียดตัวขึ้นจากท่าพิงผนัง พลางพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง

“ใช่ เอรอสเคยผ่านเหตุการณ์มามาก แต่เขาก็รอดมาได้ทุกครั้ง ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน”

เอเลีย ที่นั่งฟังอย่างเงียบๆ หันมายิ้มให้ลีน่า

“อย่างที่ฉันบอก รุ่นพี่ต้องไม่เป็นอะไร”

ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ประตูห้องก็ถูกเปิดออกเบาๆ ทุกสายตาหันไปมองพร้อมกัน คนที่เข้ามาคือไคลน์

ไคลน์เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับสีหน้าที่บ่งบอกถึงความกังวล ทุกคนต่างเงียบลงทันทีเมื่อเขาก้าวเข้ามา บรรยากาศที่ตึงเครียดอยู่แล้วเริ่มหนักขึ้น โซเฟียสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติในท่าทางของเขา จึงเอ่ยถามขึ้น

“มีอะไรจพูดหรือเปล่า ไคลน์?”

เขาพยักหน้า แต่กลับมีท่าทีลังเลอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของเขากวาดมองไปที่ทุกคน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ “ผมเจออะไรบางอย่างที่สำคัญ แต่…”

เฟร์ยขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ทำไม? พูดออกมาสิ”

ไคลน์ก้มหน้าลงเล็กน้อย สีหน้าเขาดูหนักใจ “ผมไม่แน่ใจว่าควรจะพูดมันดีไหม... เพราะสิ่งที่ผมเจอมา มันยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยัน”

โซเฟียจ้องมองเขาอย่างจริงจัง “หลักฐานหรือไม่ เราจำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง บอกมาเถอะ ไคลน์ ทุกวินาทีมีค่า”

ลีน่าที่นั่งฟังอย่างเงียบๆ ตลอดเวลาพูดขึ้นบ้าง “ใช่ ไม่มีเวลาให้ลังเลแล้ว ถ้าร่องรอยนั้นคือโอกาสเดียวที่เรามี เราก็ต้องไป...”

ไคลน์ยังคงเงียบไปชั่วครู่ สายตาของเขาสะท้อนถึงความรู้สึกขัดแย้งภายใน เขารู้ดีว่าข่าวนี้จะสร้างความกดดันและอาจทำให้ทุกคนตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้าไม่พูดออกไป ตอนนี้ก็อาจจะไม่มีโอกาสอื่นแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นสูดหายใจลึกก่อนพูดออกมาในที่สุด

“ร่องรอยสุดท้ายที่ผมเจอ... คือเขาเข้าไปในเขตของหอคอย”

คำพูดนั้นทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ลีน่ากับโซเฟียสบตากันอย่างเคร่งเครียด หอคอยนักปราชญ์เป็นสถานที่ที่ทรงอำนาจที่สุด มีอิทธิพลเหนือเหล่าตระกูลขุนนาง เป็นสถานที่ที่ลูกหลานขุนนางถูกฝึกให้กลายเป็นจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ แต่ไม่ใช่ใครก็สามารถเข้าไปได้ง่ายๆ และทุกก้าวที่ย่างเข้าไปในนั้นเต็มไปด้วยความเสี่ยง

เฟร์ยพึมพำด้วยเสียงเบา แต่หนักแน่น “ถ้าเป็นอย่างที่นายพูดจริงๆ... งานนี้ก็เกินกว่าที่เราจะรับมือไหวแล้ว….”

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status