สายลมที่พัดผ่านต้นไม้ใหญ่นั้นแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่กลับนำพาบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า—กลิ่นอายของอดีตที่หวนคืนมาในทุกลมหายใจ
เอรอสพลิกสมุดภาพในมืออย่างแผ่วเบา ทุกหน้ากระดาษเหมือนพาเขาดำดิ่งลึกลงไปในความทรงจำ ภาพเลือนรางที่เคยจางหายกลับชัดเจนขึ้น เสียงหัวเราะในวัยเยาว์สะท้อนขึ้นมาในใจ คำสัญญาที่หลงลืมกลับมาก่อตัวอีกครั้ง ทันใดนั้น บรรยากาศรอบตัวกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกล หันมามองเขาด้วยสายตาสงสัย "เกิดอะไรขึ้น..." เธอเอ่ยออกมาเบาๆก่อนจะหยุดชะงักเมื่อสายลมรอบๆ ต้นไม้เริ่มพัดไหวเบาๆ เหมือนกำลังแหวกม่านบางๆ เผยให้เห็นบางสิ่งที่อยู่อีกฟากของเวลา
และแล้ว...ภาพในสมุดภาพก็เหมือนจะก้าวข้ามหน้ากระดาษ
เบื้องหน้าของพวกเขาปรากฏเป็นภาพลวงตาที่ไม่อาจอธิบายได้ เด็กชายในชุดเรียบง่ายปรากฏตัวพร้อมเด็กสาวสองคน พวกเขาหัวเราะสดใสราวกับไม่ได้รับรู้ถึงสายตาของผู้ชมจากอนาคต ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยชีวิตชีวาเหมือนมองผ่านหน้าต่างแห่งเวลา
หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ เอรอส มองภาพเหล่านั้นอย่างตกตะลึง "นี่มัน..." เธออ้าปากค้าง แต่เสียงของเธอกลับถูกกลืนหายไปกับเสียงหัวเราะแผ่วเบาที่ดังมาจากภาพลวงตา
ในภาพ เอรอสในวัยเด็กวิ่งเล่นรอบต้นไม้ใหญ่กับเด็กสาวสองคน ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยประกายสดใส ขณะที่เสียงหัวเราะของพวกเขาก้องอยู่ใต้ท้องฟ้าอันอบอุ่น
เด็กสาวผมสีเงินกอดสมุดวาดภาพแน่น มือเล็กๆ ของเธอค่อยๆ เปิดมันออก ขณะที่เด็กสาวผมสีทองนั่งลงพร้อมกล่องดินสอสี "มาวาดรูปกัน!" เด็กสาวผมสีเงินเอ่ยอย่างตื่นเต้น น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเบิกบาน
เอรอสเฝ้ามองภาพในอดีตด้วยความรู้สึกที่ปะปนกัน ทั้งอ่อนหวานและเจ็บปวด ขณะที่หญิงสาวข้างกายเขาเหลือบมองเขาด้วยความสงสัย "ภาพเหล่านี้..." เธอเริ่มพูดแต่หยุดไว้แค่นั้น เพราะภาพในสมุดภาพเริ่มมีชีวิตอีกครั้ง
"รู้ไหม?" เสียงของเด็กสาวผมสีเงินดังขึ้นอย่างหนักแน่น "มีตำนานเล่าว่า ถ้าเราขอพรจากต้นไม้นี้ คำขอของเราจะเป็นจริง!"
เด็กสาวผมสีทองหันมามองเธอด้วยดวงตาเป็นประกาย "จริงเหรอ? งั้นฉันจะขอให้ตัวเองแข็งแกร่ง จะได้ปกป้องทุกคนที่อ่อนแอ!"
"ส่วนฉัน..." เด็กสาวผมสีเงินลุกขึ้นยืน ตะโกนออกมาอย่างมั่นใจ "ฉันจะขอให้โลกนี้สงบสุข ไม่มีใครต้องเจ็บปวดอีก!"
เอรอสในวัยเด็กยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ฉันขอให้คำขอของพวกเธอเป็นจริง"
"ขออะไรที่เป็นของตัวเองสิ!" เด็กสาวผมสีทองหันมาแกล้งทำหน้านิ่ว แต่เสียงหัวเราะของเธอก็เผยให้เห็นว่าเธอไม่ได้จริงจังนัก
เอรอสหัวเราะเบาๆ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ "นี่แหละความปรารถนาของฉัน ต่อให้ต้นไม้ไม่ช่วย ฉันจะช่วยพวกเธอเอง"
ภาพในอดีตดำเนินต่อไปเหมือนการฉายซ้ำ เด็กๆ หัวเราะ วิ่งเล่น และช่วยกันฝังสมุดภาพไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ เด็กสาวผมสีเงินหันมามองพวกเขาด้วยสายตาจริงจัง
"เราจะกลับมาที่นี่ด้วยกันอีกใช่ไหม?"
"แน่นอน!" เอรอสตอบเสียงหนักแน่น "ไม่ว่าเราจะห่างกันแค่ไหน พวกเราจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง...ด้วยกัน"
หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างเขายืนนิ่ง มองภาพเหล่านั้นด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยคำถามและความเข้าใจใหม่
และแล้ว ภาพเหล่านั้นก็เริ่มเลือนลาง เสียงหัวเราะค่อยๆจางหาย สายลมที่พัดผ่านเหมือนกระซิบบางอย่างในใจของเอรอส เขาก้มมองสมุดภาพในมือที่เหมือนจะมีชีวิต และความทรงจำที่เลือนรางค่อยๆหวนคืน ความอบอุ่นจากเสียงหัวเราะของเด็กๆ ในภาพสะท้อนกลับมาในจิตใจ ทำให้เขารู้สึกว่าอดีตไม่ได้ถูกลืมเลือนไป แต่มันยังอยู่ตรงนี้ ท่ามกลางสายลมและเงาของต้นไม้ใหญ่ในปัจจุบัน มันดูหนักแน่นขึ้นในความรู้สึก ก่อนจะเงยหน้ามองต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า
หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา "มันรอคอยเธอมานาน เพื่อบอกเล่าความจริงให้เธอรับรู้..."
เอรอสยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบา แต่หนักแน่น "คงใช่...ตลอดเวลาที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ รอมาโดยตลอด"
ต้นไม้ใหญ่ยังคงยืนหยัดอยู่ตรงนั้น ราวกับผู้พิทักษ์ที่คอยเฝ้ามองเรื่องราวของชีวิตที่เคยอยู่ใต้ร่มเงาของมัน
เอรอสยังคงจ้องมองต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า ความหนักอึ้งในใจถูกแทนที่ด้วยความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้น" เขาก้มมองสมุดภาพในมือที่เหมือนจะสั่นไหวเบาๆ ใต้ปลายนิ้วของเขาทันใดนั้นเอง สายลมรอบๆ เริ่มเปลี่ยนแปลง มันไม่ใช่เพียงสายลมธรรมดาอีกต่อไป แต่เหมือนเป็นแรงลมหายใจสุดท้ายของสิ่งที่เคยมีชีวิตชีวา พลังงานบางอย่างเริ่มไหลซึมออกมาจากต้นไม้และหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของเขา
ลำแสงสีทองจากใบไม้ส่องผ่านร่างของเอรอส คล้ายกับพยายามหล่อหลอมบางสิ่งเข้าไปในตัวเขา เอรอสรู้สึกถึงความร้อนอุ่นวาบที่ไม่ได้เพียงแค่สัมผัสร่างกาย แต่เหมือนมันกำลังฝังลงไปในจิตใจ ลึกเข้าไปในส่วนที่เขาเองไม่เคยเข้าถึงมาก่อน…
“นี่มัน...” เอรอสพึมพำเสียงเบา ราวกับกลัวว่าคำพูดจะทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของช่วงเวลานี้ ความรู้สึกอุ่นวาบแผ่ซ่านจากปลายนิ้วเข้าสู่ร่างกาย ราวกับกระแสคลื่นที่พัดพาความอบอุ่นเข้าสู่หัวใจ พลังนี้ไม่ใช่มานาธรรมดาที่พบเห็นได้ในธรรมชาติ แต่คือสิ่งที่มีชีวิต และ สิ่งที่มีสติปัญญา พึงมี…. พลังเวทย์
พลังเวทของต้นไม้กำลังหลั่งไหลเข้ามา มันไม่ได้มีแค่พลังเพียงอย่างเดียว แต่มันมีเสียงกระซิบของความทรงจำ เรื่องราวที่ถูกจารึกไว้ในวงจรชีวิตของมัน ทุกแผลเป็นบนลำต้น ทุกกิ่งก้านที่แตกหน่อ ทุกใบไม้ที่ร่วงหล่น ล้วนส่งต่อเรื่องราวที่ก้องสะท้อนอยู่ในจิตใจของเอรอส
นี่ไม่ใช่แค่การรับรู้ หากแต่เป็นการเชื่อมโยง เป็นการสัมผัสถึงแก่นแท้ของชีวิตที่ดำรงอยู่และต่อสู้กับกาลเวลา มันคือการพบกันของอดีตและปัจจุบัน การหลอมรวมของชีวิตที่ต่างกันให้กลายเป็นหนึ่งเดียว…
หญิงสาวข้างกายมองเขาด้วยความตกตะลึง “พลังเวทย์!?...เป็นไปไม่ได้” น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ ราวกับรู้ว่าเธอกำลังเป็นพยานในสิ่งที่ยากจะบรรยาย เธอเพียงยืนมองเขาอยู่ไม่ไกล แต่สายตาของเธอแฝงความคาดหวังบางอย่าง
เอรอสกุมสมุดภาพในมือแน่นขึ้น แต่สมุดภาพในมือเริ่มสั่นไหว เส้นร่างและสีสันที่เคยชัดเจนบนหน้ากระดาษค่อยๆเลือนหายไป ราวกับมันถูกลบออกจากความทรงจำ ขอบกระดาษกร่อนตัวเป็นเศษฝุ่นที่ปลิวไปกับสายลม กล่องเก็บสมุดภาพที่วางอยู่ไม่ไกลก็เริ่มแตกสลาย เศษซากเล็กๆร่วงหล่นสู่พื้นก่อนจะกลายเป็นละอองแสง
เขายืนมองสิ่งเหล่านั้นอย่างเงียบงัน จนในที่สุด สิ่งที่เคยอยู่ในมือของเขาก็ไม่เหลืออะไรเลย
“ความทรงจำเหล่านี้...” เขากระซิบเบาๆขณะความอบอุ่นจากพลังเวทแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ราวกับกระแสชีวิตที่ต้นไม้เก็บรักษามานับพันปีถูกถ่ายทอดมายังเขา ทุกภาพ ทุกเสียง ทุกคำสัญญา ทุกความรู้สึกที่มันเคยเป็นพยานค่อยๆหลั่งไหลเข้ามาในจิตใจ คล้ายกับคลื่นทะเลที่ไม่มีวันสงบลง และในชั่วขณะนั้น เขารับรู้ได้ถึงสิ่งที่ต้นไม้พยายามบอกเล่า มันได้หยุดเวลาของตัวเองไว้ยาวนานเพียงเพื่อรอคอยวันนี้—วันที่มันจะได้พบกับเขาอีกครั้งและส่งต่อสิ่งสุดท้ายของตัวเองให้เขาอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด เอรอสสูดลมหายใจลึก ก่อนจะหลับตาลงรับมันไว้ทั้งหมด
ต้นไม้ที่เคยสง่างามค่อยๆ เสื่อมสลาย ลำต้นที่เคยตั้งตระหง่านกลายเป็นเถ้าฝุ่น ปลิวกระจายไปทั่วอากาศ สายลมพัดเอาเศษซากเหล่านั้นไปราวกับกระซิบบางอย่างในใจของเอรอส
“มันกำลังจากไป...” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ขณะที่ต้นไม้ต้นสุดท้ายของผืนดินนี้กลายเป็นเพียงละอองแสงที่ล่องลอยขึ้นไปบนฟากฟ้า
เอรอสยังคงยืนนิ่ง มองละอองเหล่านั้นล่องลอยหายไปเรื่อยๆ เขาหลับตาลง ปล่อยให้พลังสุดท้ายของต้นไม้ซึมซับเข้าสู่จิตใจ เรื่องราวทั้งหมดของมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเขา
“เธอเป็นสิ่งสุดท้ายที่มันเลือก...” หญิงสาวพูดเบาๆ ราวกับเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้ง
เอรอสลืมตาขึ้น ดวงตาสีเทาของเขาเปล่งประกายแสงเรืองรองเบาบาง “ก็คงจะเป็นอย่างนั้น” เขาตอบ น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความสงบและมั่นคง “เวลาของมันถูกหยุดเอาไว้มานานมากแล้ว ตอนนี้มันก็ได้พักเสียที”
เอรอสยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายลมแผ่วเบาพัดผ่านราวกับกำลังบอกลาบางสิ่งที่เคยอยู่ ณ ที่แห่งนี้มานานแสนนาน ลำแสงสุดท้ายจากต้นไม้ใหญ่จางหายไปพร้อมกับเศษละอองแสงที่ค่อยๆ ล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
"มันจบแล้ว..." เขาพึมพำเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวข้างกาย ใบหน้าของเธอยังคงแสดงความเศร้าสร้อย แต่ในดวงตาคู่นั้นกลับมีบางสิ่งที่เปลี่ยนไป
"ไม่หรอก" เธอพูดเสียงเบา แต่หนักแน่น "มันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น"
เอรอสหันมามองเธอ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย "เธอหมายความว่าอะไร?"
หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง เธอก้มหน้าลงราวกับลังเล แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเธอกลับเปล่งประกายแสงที่แฝงไว้ด้วยความแน่วแน่
"นายไม่เข้าใจงั้นหรอ?" เธอพูดช้าๆ ราวกับต้องการให้ทุกคำสลักลึกลงไปในใจของเขา
"สิ่งที่ฉันรอมานาน...หวังว่ามันจะกลับมาอีกครั้ง นายคงไม่ได้ลืมไปแล้วใช่ไหมว่าที่แห่งนี้มีไว้เพื่ออะไร?"
"สิ่งที่เธอรอ?" เอรอสถามกลับ เสียงของเขาแฝงความกังวล "จอมปราชญ์ไรอัส...อย่างนั้นหรอ?"
ชื่อที่เขาเอ่ยทำให้เธอชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าอย่างช้าๆ
"ใช่ ไรอัส..." เธอสูดลมหายใจลึก ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้เขา "นายคือภาชนะที่เหมาะสมที่สุด นายเป็นคนเดียวที่สามารถรับหัวใจของเขาได้โดยไม่ถูกมันทำลาย"
เอรอสรู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่างในอากาศ ความนิ่งสงบของสายลมเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความตึงเครียดที่ไม่อาจอธิบาย
"ฉันไม่ใช่คนที่เธอตามหา" เอรอสตอบเสียงหนักแน่น แม้ดวงตาของเขาจะเต็มไปด้วยความสงสารและเข้าใจ
"ฉันไม่สามารถเป็นไรอัสให้เธอได้ ไม่ว่ามันจะสำคัญกับเธอแค่ไหนก็ตาม"
หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่น ดวงตาของเธอฉายแววโศกเศร้าแต่เต็มไปด้วยความตั้งใจ
"ฉันพยายามแล้ว...พยายามที่จะตัดใจจากเขาโดยตลอด" เธอก้าวเข้าไปใกล้อีก จนกระทั่งระยะห่างระหว่างพวกเขาแทบไม่มีเหลือ "ฉันไม่อยากทำแบบนี้ แต่ความจริงก็คือ..."
ลมที่เคยนิ่งสงบเริ่มหมุนวนเป็นพายุขนาดเล็ก เงาของเธอทอดยาวออกไปบนพื้นราวกับบางสิ่งที่เหนือธรรมชาติกำลังปลดปล่อยตัวเอง
เอรอสพยายามเอื้อมมือไปคว้าปืนที่ห้อยอยู่ข้างลำตัว แต่ก่อนที่นิ้วจะสัมผัสมัน พลังที่มองไม่เห็นกลับพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาถูกตรึงแน่นในอากาศ ราวกับเชือกที่มองไม่เห็นพันธนาการทุกส่วนไว้ ก่อนที่เขาจะทันได้ขยับตัว ปากของเขาถูกปิดด้วยพลังบางอย่างที่กดทับแน่นจนไม่สามารถส่งเสียงใดออกมาได้
"………..!" เอรอสพยายามเปล่งเสียงประท้วง ดวงตาฉายแววกร้าว แต่ไม่มีแม้กระทั่งเสียงกระซิบเล็ดลอดออกไป หญิงสาวยังคงยืนนิ่ง ไม่ตอบสนองต่อการต่อต้านของเขา เธอหลับตาลง สีหน้าเต็มไปด้วยความลังเลและเจ็บปวด ราวกับกำลังต่อสู้กับความคิดบางอย่างที่ปั่นป่วนอยู่ภายในจิตใจ
"ขอโทษ..." เสียงกระซิบของเธอแผ่วเบา แทบจมหายไปกับสายลม ร่างกายของเธอสั่นเล็กน้อย แต่เธอก็ยังคงยืนนิ่ง มือข้างหนึ่งกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นมา ความตั้งใจบางอย่างฉายชัดในแววตาของเธอ ขณะที่พลังที่ตรึงเอรอสไว้ยิ่งรัดแน่นขึ้นอีก...
"นายทำให้ฉันไม่มีทางเลือก" เธอเอ่ยเสียงแผ่ว แต่ในคำพูดนั้นกลับเต็มไปด้วยน้ำหนักของการตัดสินใจ
ในความมืดมิด เอรอสลืมตาขึ้นมา ท่ามกลางเงาดำไร้ขอบเขต พื้นที่เขาเหยียบย่ำเป็นแอ่งน้ำสีดำสนิท ลึกจนไร้ก้นบึ้ง ทุกสิ่งเงียบงันจนดูเหมือนเวลาได้หยุดลง ความเย็นเฉียบของบรรยากาศนั้นไม่เพียงแค่โอบล้อมร่างกายของเขา แต่ราวกับแทรกซึมลึกเข้าไปในไขกระดูก เย็นจนแสบซ่าน ทรมานจนหัวใจของเขาเต้นรัว เสียงกระซิบแผ่วเบาจากเงามืดดังขึ้นรอบตัวเขา คล้ายกับความคิดแฝงซ่อนอยู่ในหัวของเขาเองที่คอยกัดกร่อน“ยังมีสัญญาที่ยังทำไม่สำเร็จอีกไม่ใช่หรือ? จะยอมแพ้แล้วงั้นหรอ?”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง เมื่อนั้นเอรอสหันไปมอง เขาเห็นตัวเอง... ในอีกรูปแบบหนึ่ง รูปร่างนั้นผ่ายผอม ใบหน้าอิดโรย ความเหนื่อยล้าฉายชัดบนใบหน้าของร่างนั้น แต่ดวงตา และ ท่าทางกลับแน่วแน่ดั่งก้อนหินที่ไม่อาจถูกทำลายเมื่อเอรอสหันมองไปรอบๆ เขาพบว่ามีตัวเองอีกนับสิบยืนล้อมรอบเขาอยู่ บางคนดูมั่นคง เยือกเย็น ราวกับผู้นำที่ยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบพร้อมด้วยชุดเกราะสีเงินที่เปล่งประกาย บางคนสวมเสื้อคลุมสีดำสนิท ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าแต่ท่าทางยังแฝงความเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้ ทั้งหมดล้วนสะท้อนตัวตนของเขาในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกสายตาจับจ้องมาที่เ
เอรอสยังคงนั่งอยู่ในความเงียบ หัวใจของเขาเต้นช้าลงเมื่อความคิดเยือกเย็นและสิ้นหวังเริ่มแผ่ซ่านไปทั่ว ความจริงที่ว่าเขาอาจหายไปจากโลกนี้โดยไม่มีใครพบเจอ ทำให้ทุกอย่างในห้องขังหนักอึ้งกว่าเดิม แม้เขาพยายามปิดกั้นความคิดเหล่านั้น แต่เงาแห่งความกลัวก็ยังคืบคลานเข้ามาความเย็นชาจากพื้นหินและผนังคุกเหมือนซึมลึกเข้ามาในใจ ความสิ้นหวังที่หนักอึ้งขึ้นทุกวินาที แต่ในขณะเดียวกัน เอรอสยังคงบอกตัวเองให้ยืนหยัด และต้องหาทางเอาชีวิตรอดเขามองไปรอบๆ ห้องขังที่เย็นเยียบ พื้นหินแตกร้าวและมีน้ำซึม กลิ่นอับชื้นชวนให้คิดถึงสถานที่ที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครสนใจ และไร้ทางออก แม้เขาบอกตัวเองว่าไม่กลัว แต่ลึกๆ เขารู้ดีว่าการอยู่ที่นี่นานเกินไปจะกัดกร่อนจิตใจของเขา เหมือนกำแพงหินที่ถูกเวลาบั่นทอนลงเรื่อยๆเสียงฝีเท้าของเฟลิเซียยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา แม้ว่าเธอจะเดินจากไปแล้ว สีหน้าของเธอตอนที่บอกว่า “นายจะต้องอยู่ที่นี่... จนกว่าเราจะตัดสินใจ” ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของเอรอส เขาจำได้ถึงความสั่นไหวเล็กน้อยในน้ำเสียงของเธอ ราวกับว่าเธอเองก็ไม่ได้มั่นใจในสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ แต่เธอไม่มีทางช่วยเขาแน่นอนบานประตูเล
ในยามที่ดวงจันทร์หลบซ่อนอยู่หลังม่านหมอกหนา ความเงียบเยือกเย็นปกคลุมทั่วบริเวณเหมือนกับผืนโลกถูกแช่แข็ง เสียงลมหวีดหวิวผ่านทางเดินแคบๆ ของอุโมงค์ใต้ดินรกร้าง บรรยากาศอึมครึมที่ไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิตอื่นเพิ่มความรู้สึกอึดอัดเข้าไปอีกเสียงฝีเท้าหนักแน่นของยามคนใหม่สะท้อนก้องภายในอุโมงค์ เสียงนั้นเชื่องช้า หนักหน่วงเหมือนพลังงานในตัวเขาเหลือเพียงน้อยนิด ราวกับเขาถูกถ่วงด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงานมายาวนานจนไม่ใส่ใจความรวดเร็วอีกแล้ว เขายกมือขึ้นลูบเคราที่เริ่มยาวและหยาบ พลางหาวเบาๆ ความง่วงค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่จิตใจถึงกระนั้นเขายังคงก้าวเดินต่อไปตามหน้าที่ จนมาถึงหน้าห้องขัง เหลียวมองเห็นยามหนุ่มคนหนึ่งยืนพิงกำแพงหินเย็นเยียบด้วยท่าทางเงียบขรึม“มาช้าจัง” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงแววความสงสัยในน้ำเสียง ดวงตาของเขาจ้องอีกฝ่ายอย่างคมกริบ“ตีสามตรงขนาดนี้ ยังจะเรียกว่าช้าอีกรึ??” ชายแก่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ ขณะยักไหล่อย่างไม่คิดมากชายแก่เดินเข้าไปใกล้ประตูเหล็กหนาที่กั้นหน้าห้องขัง มองมันอย่างเชื่องช้า ดวงตาแสดงถึงความชินชาในการทำงานแบบนี้มา
ในห้องขังอับทึบและเย็นเยียบ ความเงียบงันครอบงำทุกซอกมุม มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของชายแก่ที่ถูกปีศาจเข้าสิงร่าง เขายืนนิ่งไม่ขยับ ราวกับถูกแช่แข็งไว้ในความมืด ดวงตาสีแดงฉานที่สะท้อนแสงจากช่องระบายอากาศเพียงเล็กน้อย เป็นเครื่องหมายเดียวที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของบางสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์เสียงประตูเหล็กหนาหนักที่ถูกปิดด้วยกุญแจและเวทมนตร์ป้องกันเริ่มขยับ มันเปิดออกอย่างช้าๆ ราวกับไม่มีแรงต้านทาน เสียงโลหะเสียดสีกันเบาๆ ดังขึ้นและสะท้อนก้องไปตามผนังหิน บรรยากาศไม่เป็นธรรมชาตินี้ทำให้ทั้งห้องดูอึดอัดและน่าขนลุกยิ่งขึ้นเอรอสยืนอยู่ตรงกรงขังของตนเอง แววตาของเขาเยือกเย็นและจับจ้องชายแก่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างนิ่งงัน ราวกับคาดการณ์ไว้ว่าสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้น เขาก้าวออกจากกรงขังโดยไม่รีบร้อน ชายชรายืนที่อยู่ปล่อยเขาไปโดยไม่ทำอะไร เขาที่ถูกควบคุมจิตใจไม่ได้แสดงท่าทางหรือมีท่าทีใดๆที่จะต่อต้าน หรือ ขัดขวาง เอรอสจึงเดินผ่านไปอย่างราบรื่นเมื่อเอรอสก้าวผ่านไป เขาเหลือบมองชายแก่อยู่ชั่วครู่ก่อนพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า "ขั้นแรกเสร็จแล้ว..."“ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะทำตามสัญญา”ปีศาจกล่าวพลางเสกมีด และ ถ้วยเ
เอรอสก้าวออกจากห้องขังอย่างช้าๆท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด เขากวาดสายตาสำรวจรอบๆด้วยความระมัดระวัง ความเย็นเยียบและเงียบงันของคุกใต้ดินทำให้เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าที่แฝงอยู่ ไม่มีเสียงฝีเท้าของผู้คุม หรือแม้แต่เสียงสนทนาของผู้ใด สถานที่นี้ดูเหมือนถูกละเลย หรือแทบไม่มีนักโทษถูกนำมาคุมขังเท่าที่ควรจะเป็นเอรอสสันนิษฐานว่า คุกแห่งนี้อาจมีนักโทษเพียงน้อยนิด หรือบางทีอาจมีเพียงบางคนที่ถูกขังไว้อย่างลับๆ สิ่งที่ทำให้เขามั่นใจมากขึ้นคือ วงเวทย์ที่เคยสลักบนแผ่นหลังของเขา ซึ่งเคยทำหน้าที่บอกตำแหน่งของเขาต่อหอคอย ตอนนี้มันถูกย้ายไปยังร่างของชายชราที่เข้ามาเฝ้าเขาแทน ขณะนี้ชายชราคนนั้นนอนสลบอยู่บนพื้น ไร้สติ ราวกับหมดแรงจากการถูกครอบงำโดยปีศาจเอรอสคิดได้ในทันที ภายในหกชั่วโมงต่อจากนี้ จะไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ที่เกิดขึ้น เขายังมีเวลาสำรวจสถานที่แห่งนี้ต่อไป บางทีรุ่นพี่ไอลีนอาจถูกกักขังอยู่ที่นี่ แม้ว่าชายชราคนนั้นจะบอกว่า เขาไม่เห็นเธอที่นี่ก็ตาม... แต่เพื่อความแน่ใจ การสำรวจให้ทั่วก่อนเป็นสิ่งจำเป็นเอรอสเดินสำรวจไปตามทางเดินแคบๆท่ามกลางความเงียบสงัด ความมืดที่ปกคลุมทุกซอกทุกมุมร
เอรอสค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้ร่างของอาร์วินที่นอนนิ่งอยู่กับพื้น กลิ่นอับชื้นในห้องลับผสานกับกลิ่นเลือดและเหงื่อรุนแรงทำให้บรรยากาศยิ่งกดดัน ดวงตาของเขาสำรวจไปทั่วร่างกายของชายผู้ที่เคยหายตัวไป อาร์วิน แคร์นัส—ชายหนุ่มที่มีความมั่นใจ นัยน์ตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจกลับเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ดูอ่อนแอเกินกว่าจะลุกขึ้นได้ ใบหน้าซีดเซียวราวกับคนที่ขาดสารอาหารมานานเอรอสนั่งลงข้างๆเขา มือหนึ่งจับที่คอเพื่อตรวจสอบชีพจรที่เต้นแผ่วเบา เอรอสเคยพบเห็นเขาบ่อยๆในตอนที่เขามารับงานปราบมอนเตอร์ในกิล แต่นี่คือครั้งแรกที่เอรอสเห็นอาร์วินในสภาพที่เปราะบางเช่นนี้"เกิดอะไรขึ้นกับนาย..." เขาพึมพำเบาๆ พลางสำรวจบาดแผลตามร่างกายของอาร์วินใกล้ๆบนแขนและขาของอาร์วินเต็มไปด้วยรอยช้ำสีน้ำเงินและดำ บ่งบอกถึงการถูกทุบตีและทำร้ายอย่างรุนแรง ที่แผ่นหลังมีรอยบาดลึกและรอยแส้ที่ขีดข่วนเป็นแผลเก่าและใหม่สลับกันไป บาดแผลเหล่านี้ไม่ได้มาจากการถูกซ้อมเพียงอย่างเดียว แต่บางรอยมีลักษณะผิดธรรมชาติ เหมือนถูกทำร้ายด้วยเวทมนตร์บางอย่าง ร่องรอยที่เอรอสเห็นได้จากบาดแผลเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว"นี่มัน.….สายเกินไปแล้
ดวงตาสีเทาของเอรอสหรี่ลงเล็กน้อยขณะที่เขามองอาร์วิน ความประหลาดใจผุดขึ้นในใจ แม้ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน ความคิดวนเวียนในหัว—“อาร์วินรู้ได้ยังไง?” ทั้งที่รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปแทบจะสิ้นเชิง…อาร์วินเงยหน้ามองเอรอส แม้ร่างกายอ่อนแรงจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงจะพูด ดวงตาสีฟ้าของเขากลับพยายามสื่อความจริงบางอย่างที่ถูกปิดซ่อนเอาไว้ ราวกับต้องการบอกเอรอสถึงสิ่งที่เขาแบกรับมาตลอด แสงสีฟ้าค่อยๆ เปล่งประกายออกมาจากดวงตา ภาพความทรงจำพรั่งพรูเข้าสู่จิตใจของเอรอสอย่างไม่ทันตั้งตัวความทรงจำหนักอึ้งของอาร์วินยังคงปะทุอยู่ในหัวใจ ภาพเหตุการณ์ในอดีตฉายชัดขึ้นทุกวินาที—ช่วงเวลาวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความกดดัน ตระกูลของเขากำลังล่มสลายหลังการสูญเสียผู้นำในสงคราม อาร์วินต้องกลายเป็นผู้นำตระกูลตั้งแต่เด็ก รับผิดชอบในการรักษาชื่อเสียงและสถานะของตระกูล ท่ามกลางตระกูลรอบข้างที่จ้องจะเล่นงานพวกเขาทุกครั้งที่มีโอกาสเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของอาร์วินเกิดขึ้นในคืนหนึ่ง ขณะที่เขากำลังสำรวจตรอกซอยในเมืองเงียบสงัด สายตาของเขาเหลือบไปเห็นเด็กสาวในชุดหรูหรากำลังถูกชายปริศนาฉุดกระชากออกมาจากที่ซ่อน และ ตั้งใจจะทำร้ายเธอ
ภายในโกดังเก็บของที่อึมครึม แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ยังอ่อนแรงค่อย ๆ ส่องผ่านหน้าต่างบานเดียวที่ฝุ่นจับหนา ทำให้ภายในโกดังยังคงมืดสลัว เงาของลังไม้ที่วางซ้อนกันสูงบดบังพื้นที่บางส่วน แต่เงาเหล่านั้นกลับเป็นข้อได้เปรียบที่เอรอสใช้ให้เกิดประโยชน์เขาหลบซ่อนตัวในเงามืด ดวงตาจับจ้องไปยังประตู มือกำแน่นข้างลำตัว ความกดดันค่อยๆ เพิ่มขึ้นพร้อมเสียงสัญญาณเตือนภัยที่ดังไม่หยุดยั้ง เหมือนจะคอยย้ำเตือนถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะทันใดนั้น เสียงบานประตูเหล็กของโกดังตรงหน้าดังขึ้น ก้องสะท้อนท่ามกลางความเงียบ เสียงคล้ายโลหะกระทบกันเมื่อวงเวทย์ที่ปิดผนึกไว้ถูกปลดออก เสียงนั้นเป็นเหมือนเสียงเตือนให้เอรอสตระหนักถึงอันตรายที่เข้ามาใกล้ จนบรรยากาศภายในโกดังยิ่งอึดอัดกว่าเดิม เขาตั้งสมาธิอีกครั้ง พลางรู้สึกถึงสัมผัสมานาที่เริ่มกลับมาบางส่วนแล้ว แต่ยังไม่มากพอที่จะรู้จำนวนคนที่เข้ามา ทำให้เขาประหม่าเล็กน้อยไม่นานนัก จอมเวทย์แปลกหน้าสองคนพุ่งเข้ามาภายในโกดังด้วยความระมัดระวัง พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างช่ำชองและสำรวจทุกจุดราวกับคุ้นเคยกับสถานที่นี้เป็นอย่างดีเอรอสยังคงนิ่ง หลบตัวอยู่ในเงาอย่างสมบูรณ์แบบ เ
เอเลน่านั่งอยู่บนเตียง จ้องมองอาร์วินที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย ดวงตาสีเทาที่มองมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความลึกที่อธิบายไม่ได้ มีบางสิ่งในแววตานั้นที่ทำให้หัวใจเธอสั่นไหว แต่เธออ่านมันไม่ออกบรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด เสียงลมเบาๆ จากหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ดังก้องในห้องที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของผ้าปูที่นอนใต้ฝ่ามือ พยายามดึงสติกลับมา แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนถูกตรึงด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นอาร์วินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา"เอเลน่า... ฉันไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน แต่ฉันจะพยายามเล่าให้เธอฟัง"เสียงของเขานุ่มลึก แต่สั่นเครือเล็กน้อย เธอรู้ว่าเขากำลังแบกรับอะไรบางอย่างที่หนักหนา ทว่าในใจของเธอเองก็เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้จบ เอเลน่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงให้เขาพูดต่อ แม้ในใจจะปั่นป่วนจนแทบระเบิดอาร์วินถอนหายใจยาว เสียงนั้นเหมือนลมหายใจที่พยายามปลดปล่อยความกดดันบางอย่าง"ตอนที่ฉันถูกจับอยู่ในคุก... ฉ
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ เอเลน่าค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆ กลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันที่ไม่อยากตื่นจากมันเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งหลับพิงเก้าอี้อยู่ ใบหน้าสงบนิ่งในเงามืด เส้นผมสีทองของเขาดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เอเลน่าจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ช่วงเวลานี้เผยให้เห็นอีกด้านของเขา—ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนเร้นก่อนหน้า ทำให้เธอโล่งใจเล็กน้อย ดวงตาของเธอสบเข้ากับใบหน้าอ่อนล้าของเขา ความรู้สึกปะปนกันระหว่างความสับสนและความอบอุ่นไหลเวียนในอก“อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆเหมือนจะยืนยันว่าเขาอยู่ตรงนี้จริงๆ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อเหลือบมองตัวเองที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เตียงของเธอ แต่เป็นของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงข
เอรอสก้าวออกจากป่าทึบในรูปลักษณ์ของอาร์วิน สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านตัวเขาอย่างแผ่วเบา แสงจันทร์ยังคงสลัวทำให้เห็นเงาของคฤหาสน์ตระกูลวัลธอเรนลางๆ อยู่ไม่ไกล จุดที่เขามุ่งหน้าไปคือบริเวณใต้หน้าต่างห้องพักของเขาเองก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เขาเคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อนชายแปลกหน้าที่เอรอสช่วยเหลือไว้ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาวราวกับหยิบยกมาจากยุคโบราณ ชายคนนี้ดูเหมือนนักเดินทางที่หลงยุค เขาอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เอรอสจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวันแทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยมาให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ
คลินิกของโจชัว ตั้งอยู่ในเขตสามัญชน ตัวอาคารหินสีซีดดูเรียบง่ายแฝงความล้าสมัย ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึก หน้าต่างกระจกสีชั้นล่างสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไป ลวดลายบนกระจกดูเหมือนจะพร่ามัวในแสงสลัว คลินิกนี้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนโรงพยาบาล แต่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยประมาณสิบคน เหมาะสำหรับการดูแลแบบส่วนตัวยามตีสี่ ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ ความเงียบรอบตัวแทบจะทำให้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วงกระทบพื้น เอรอสยืนพิงกำแพงใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ตรงข้ามคลินิก แม้ลมหนาวจะพัดแรง แต่ร่างกายของเอรอสกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาต่อความเย็น ราวกับความหนาวนั้นไม่อาจแตะต้องเขาได้ ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยังหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท นั่นเป็นห้องทำงานของโจชัว ซึ่งเขาใช้สำหรับจัดการเอกสารในช่วงกลางวัน แต่ในยามนี้ ไม่มีแสงไฟส่องลอดออกมา“ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่…” เขาพึมพำเสียงเบา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงนั้นแทบชัดเจนในสายลม เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียง กระโดดขึ้นเกาะขอบหน้าต่างชั้นสอง เสียงลมแผ่วเบาและใบไม้ไหวกลบการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาสีแดงสังเกตการณ์ในห้องอีกครั้งเพื่อยืนยันว่
คาร์ลีนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้ในดันเจี้ยนที่ผสานเขากับเขตแดนของเธอ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ความสัมพันธ์ลึกลับนี้ ทำให้คาร์ลีนรับรู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอเรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของชายที่มีฉายาว่า จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มาเนิ่นนาน แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากของเขาโดยตรงเธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับคำพูดนั้นหนักเกินกว่าจะเปล่งออกมาดวงตาสีม่วงเข้มของเธอสะท้อนแสงจากโคมไฟ เธอนั่งนิ่งราวกับขบคิด แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ ความหนักใจเหมือนสายลมหนาวที่แผ่วผ่านกลับถูกเติมเต็มด้วยความหวังอันเปราะบาง เธออยากให้เขามาหา อยากได
เอรอสค่อยๆตื่นขึ้นในห้องประชุมท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ มีเพียงแสงริบหรี่ที่ส่องลอดเข้ามาจากขอบประตู ร่องรอยของเวทมนตร์เก่าก่อนยังคงอบอวลอยู่ในอากาศจางๆ แม้แสงจากเทียนเวทมนตร์ที่เคยให้ความสว่างจะดับไปจากการตัดการเชื่อมต่อกับเวทมนตร์ทำให้บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกและว่างเปล่า แต่กลิ่นอายของพลังที่เหลืออยู่ยังคงสร้างแรงกดดันให้ผู้ที่อยู่ภายในเล็กน้อยเขาขยับตัวกึ่งลุกกึ่งนั่งจากเก้าอี้ที่ดูเหมือนจะทำให้เขาหลับไปลึกเกินคาด โต๊ะยาวตรงหน้าเขามีแฟ้มเอกสารเล็กๆวางไว้อยู่ ดูเหมือนจะเป็นเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะรับปากจะจัดการให้เขาหยิบแฟ้มเอกสารที่วางไว้บนโต๊ะมาตรวจสอบ ใช้มือสีคล้ำที่มีกล้ามเนื้อชัดเจนลูบเส้นผมสีเทาของตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกความกระปรี้กระเปร่า สายตาสีแดงฉานของเขากวาดมองไปทั่วห้องเล็กๆที่ยังคงอบอวลด้วยบรรากาศที่ชวนให้รู้สึกพิศวง พลางเหลือบมองเวลาที่บอกเขาว่านี้เป็นเวลาตี 1 ดูเหมือนเขาจะเผลอหลับไปแค่ชั่วโมงเดียว ยังดีที่เสียเวลาแค่นั้นหลังจากตรวจดูเอกสารครู่หนึ่งโดยที่ไม่มีใจความสำคัญอะไรที่ทำให้เขาต้องรีบร้อนเป็นพิเศษ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ และก้าวออกจาก
เสียงกระซิบแห่งเวทมนตร์ แผ่วเบา แต่ทรงพลัง ดังก้องอยู่ในอากาศอันเย็นเยียบ ริบบิ้นสีดำ ที่ราวกับเงาแห่งความมืดจากอีกโลกหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า มันเคลื่อนไหวดั่งมีชีวิต เลื้อยวนรอบร่างของ เอรอส ซ้อนชั้นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับงูพิษที่กำลังจู่โจมเหยื่อ ความแน่นหนาของริบบิ้นทำให้แม้แต่ลมหายใจยังรู้สึกตึงเครียด แขนขาถูกตรึงแน่น ริบบิ้นเลื้อยขึ้นสูง ปิดริมฝีปาก และบดบังดวงตาของเขาไว้อย่างมิดชิด ไม่ว่าจะดิ้นรนหรือใช้พลังทั้งหมดที่มี พันธนาการเหล่านั้นยังคงรัดแน่น น้ำหนักของเวทมนตร์ที่โอบล้อมร่างเขาเหมือนโซ่ตรวนหนักอึ้งที่ไม่มีวันปลดได้จอมเวทย์ผู้ร่ายมนตรามองดูภาพตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา รอยยิ้มที่มุมปากของเขา แฝงความพอใจอย่างปิดไม่มิด ในขณะที่อีกคนหนึ่งในกลุ่มของเขาเดินเข้ามาใกล้ กระชากคอเสื้อของเอรอสอย่างรุนแรง พร้อมๆกับลากเขาไปกับพื้น ราวกับเป็นเพียงสิ่งของไร้ค่าไม่ไกลออกไป ไอลีน ยืนตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างขณะมองสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไปได้ ก่อนที่วิ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความแน่วแน่ แล้วตะโกนเสียงดังลั่น"หยุดเดี๋ยวนี้! คุณตั้งใจจะพาเขาไปที่ไหน?"น้ำเสียง
เมื่อเอรอสเฝ้ามองไอลีนอยู่นาน สีหน้าเย็นชาของเขาเริ่มแสดงความไม่พอใจออกมาเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ"ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ช่วยหลบไปหน่อย"เขาเบี่ยงตัวไปด้านข้าง เตรียมเดินผ่าน แต่ก่อนที่เขาจะก้าวออกไป ไอลีนก็ยื่นมือออกมาคว้าข้อมือเขาไว้ ดวงตาของเธอที่เคยลังเลกลับแน่วแน่ขึ้น"ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว" ไอลีนพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามเก็บความกังวลเอรอสหยุดชะงัก แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นไม่พอใจชัดเจนยิ่งขึ้น เขาหันไปมองรอบๆ เห็นสายตาของเด็กบางคนที่อาจกำลังแอบมองอยู่จากหน้าต่าง และหญิงชราที่ครัวกำลังหันมามองเช่นกันหลังจากที่ประเมินสถานการณ์ เขาเลื่อนสายตาไปยังมุมโล่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก"ตามมา" เขาเอ่ยสั้นๆก่อนจะดึงมือออกจากการเกาะกุมของเธอ และเดินนำไปยังที่ที่เขาเลือกไว้ไอลีนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินตามเขาไป ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ สายลมอ่อนๆพัดผ่านเบาๆ ท่ามกลางความเงียบที่อึดอัด ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน เอรอสกอดอกและเอนตัวพิงต้นไม้ สายตาของเขาจ้องมองเธออย่างเย็นชา"พูดมา จะพูดอะไรก็รีบพูด" เขาเร่งด้วยน้ำเสียงที่ราวกับไม่สนใจ แต่ก
บรรยากาศในห้องทำงานของผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าช่างอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก กลิ่นอับของเอกสารเก่าผสมกับกลิ่นบุหรี่จางๆ โอบล้อมพื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองเอกสารและบัญชีการเงิน ผู้อำนวยการนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้หนังเก่าซึ่งดูเหมือนพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชวนให้รู้สึกระแวงมากกว่าสบายใจ"คุณเอรอสใช่ไหม? ฉันได้รับการแจ้งมาว่าคุณต้องการบริจาคเงินให้เหล่าเด็กๆที่คุณหนูไอลีนพามา" เสียงของเขาเนิบนาบ ท่าทางเหมือนพยายามจับจุดอีกฝ่ายเอรอสนั่งนิ่งอยู่ตรงข้าม เขาสูงโปร่งสำหรับเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สายตาสีเทาของเขาเย็นชาและไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ“ใช่ ผมมาที่นี่ บริจาคเงิน ให้เด็กๆที่เพิ่งเข้ามา" เขาเอ่ยเสียงเรียบผู้อำนวยการชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ"อืม น่าชื่นชมจริงๆนะครับ แต่การรับผิดชอบเงินจำนวนมากขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอมาจากครอบครัวไหนหรือ ถึงได้ใจกว้างขนาดนี้?"คำถามนั้นเหมือนมีความนัย แต่เอรอสไม่แสดงอาการใดๆ เขาเพียงหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางมันลงบนโต๊ะ เสียงเหรียญกระทบกันดังชัดเจน"ไม่จำเป็นต้องถาม" เขาตอบสั้นๆน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่น