คำพูดของเฟรย์ทำให้บรรยากาศในห้องประชุมเงียบงัน ลีน่ากับโซเฟียสบตากันอย่างเคร่งเครียด หอคอยนักปราชญ์เป็นหนึ่งในองค์กรที่ทรงอำนาจที่สุดในประเทศ มีอิทธิพลเทียบเท่ากับตระกูลขุนนางชั้นสูงและราชวงศ์ เป็นศูนย์กลางขององค์ความรู้และเวทมนตร์ หากใครปรารถนาจะก้าวขึ้นเป็นจอมเวทชั้นแนวหน้า หอคอยนี้คือที่ที่พวกเขาต้องผ่านไป ไม่เพียงแต่ขึ้นชื่อในเรื่องการสอนเวทมนตร์ แต่ยังสร้างนักเวทผู้ทรงพลังมานับไม่ถ้วน
การคัดเลือกผู้เข้าสู่หอคอยนั้นแสนเข้มงวด ผู้สมัครต้องมีวงแหวนอย่างน้อยสองวง และอายุไม่เกิน 20 ปี แม้ว่าพวกเขาจะผ่านเงื่อนไขที่กำหนดไว้ได้ การอยู่รอดในหอคอยก็ยังเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่น เพราะภายในนั้นเต็มไปด้วยการแข่งขัน และการต่อสู้เพื่อความเป็นหนึ่ง ที่นั่นยังเป็นสถานที่รวมเหล่าลูกหลานขุนนางที่ทรงอำนาจไว้อย่างมากมาย ทุกย่างก้าวในหอคอยจึงเต็มไปด้วยความอันตรายอยู่เสมอ
เฟรย์เอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่น “ไม่คิดเลยว่าหอคอยจะเข้ามาเกี่ยวข้อง... มันอันตรายเกินไปที่เราจะยุ่งกับเรื่องนี้”
พวกทุกคนเข้าใจถึงความอันตรายของหอคอยเป็นอย่างดี เอรอสได้บอกข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับหอคอย และ เตือนพวกเขาว่าห้ามไปยุ่ง หรือ หาเรื่องกับองค์กรนี้เด็ดขาด
ภายในหอคอยนักปราชญ์นั้นมีการแบ่งขั้วอำนาจกันอย่างชัดเจน ผู้นำของหอคอยแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งนำโดยเซนริก เวลด์รอส จอมเวทผู้สุขุมและเยือกเย็น เขายึดถืออุดมการณ์ในการรักษาความมั่นคงของหอคอย มากกว่าการแสวงหาอำนาจ และไม่ฝักใฝ่การเมืองหรือยุ่งเกี่ยวกับขุนนางใดๆ เซนริกได้รับการนับถือจากเหล่าจอมเวทที่ภักดีต่อหอคอยอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม นิสัยไม่เปิดเผยของเขาทำให้คนทั่วไปไม่รู้เรื่องส่วนตัวมากนัก แม้จะมีข่าวลือว่าเขามีคนรักอย่างลับๆ แต่ข่าวนี้ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันใดๆ ท่าทีเย็นชาของเขามักถูกจับตามอง และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากเหล่าขุนนางเสมอ
อีกฝ่ายหนึ่งคือเรย์น่า คาไลสตร้า หญิงสาวที่มีเสน่ห์และพลังอำนาจ เธอเป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำที่ต้องการขยายอำนาจของตนไปทั่วดินแดน เรย์น่าได้รับการสนับสนุนลับๆ จากตระกูลแบล็คการ์ด และ ดราโกร์น อำนาจของเรย์น่าไม่ได้มีดีแค่เปลือกเหมือนเหล่าขุนนางทั่วไป เธอมีเครือข่ายข้อมูลที่กว้างขวาง มีสายสืบอยู่ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นนักฆ่า พ่อค้า คนรับใช้ หรือแม้แต่ชาวเมือง ทุกคนล้วนเป็นหูตาให้กับเธอ ด้วยการมอบแก่นมานาระดับกลางที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว ให้กับเหล่าผู้คนที่มอบข้อมูลที่มีค่ามาให้
แก่นมานามอนเตอร์เป็นสิ่งที่หาได้ยาก โดยเฉพาะจากมอนเตอร์ระดับกลางขึ้นไป ซึ่งแก่นเหล่านี้มีมานาของมอนเตอร์ที่ตายไปสถิตอยู่ มันสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานของอุปกรณ์ต่างๆได้อย่างมากมาย และยังสามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการสร้างอาวุธหรือสิ่งประดิษฐ์พิเศษ
อย่างไรก็ตาม แก่นมานาที่ใช้แล้วนั้นจะมีพลังงานน้อยลง และ ขาดความเสถียร แต่ด้วยประสิทธิภาพการใช้งานที่เรียกได้ว่าสูงมากๆ มันก็ยังเป็นที่ต้องการของผู้คนในตลาดมืดอยู่เสมอ การได้ครอบครองแม้เพียงแก่นมานาที่ใช้แล้วจึงถือเป็นของล้ำค่าสำหรับคนธรรมดา หรือ นักเวทก็ตาม
โซเฟียพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“หากเป็นความต้องการของเบื้องบนจริงๆ เราก็รับมือไม่ไหว เพียงแต่…”
เธอหยุดครู่หนึ่ง ราวกับกำลังชั่งใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ “มันมีอะไรแปลกเกินไป”
ลีน่าหันไปมองเธออย่างเคร่งเครียด “แปลกยังไง?”
“หลักฐานยังไงล่ะ…” โซเฟียเอ่ยด้วยเสียงแผ่ว
“หากเป็นเรย์น่า คาไลสตร้า….มันก็สมเหตุสมผล ถ้าเธอจะให้ความร่วมมือในการลักพาตัวว่าที่ลูกเขาของตระกูลวัลธอเรนไป เพียงแต่…ถ้าเธอสั่งการเรื่องนี้จริงๆ ฉันไม่คิดว่าลูกน้องของเธอ จะเหลือร่องรอยให้พวกเราตามเจอได้ง่ายๆขนาดนี้”
ลีน่าขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เธอพูดถูก ถ้าเป็นเรย์น่าจริง ไม่มีทางที่จะเหลือร่องรอยไว้แน่ๆ...แปลว่าคนที่ลงมือต้องไม่ใช่ลูกน้องของเธอ”
โซเฟียหันกลับมาสบตาลีน่าอย่างสงสัย “งั้นเธอคิดว่าใคร?”
ลีน่าหันไปทางไคลน์ ซึ่งยังคงยืนเงียบอยู่ เขาดูเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง แต่ลังเลที่จะพูดออกมา เธอจึงเอ่ยถามเขา“ไคลน์ ร่องรอยที่นายไปเจอ มันเป็นอะไร?”
ไคลน์ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาว และ พูดออกมา
“แน่นอน แม้ว่าจะเหลือเพียงเล็กน้อย แต่หนูของฉันได้กลิ่นสิ่งนี้…มานาธาตุแสง อันเป็นเอกลักษณ์ของตระกูลแอคนัส และ กลิ่นเหม็นฉุนที่มาจากการอยู่กับแก่นมอนเตอร์มาเป็นเวลานาน”
เขาล้วงไปที่กระเป๋า หยิบขวดใสเล็กๆขึ้นมา ภายในมีมานาธาตุแสงสีทองอันเป็นเอกลักษณ์ที่เป็นข้อบ่งชี้ถึงคนจากตระกูลแอคนัสจริงๆ และขวดอีกใบซึ่งมีเศษผ้าชิ้นเล็กๆ สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้ไวต่อมานา พวกเขาจะไม่ได้กลิ่นแก่นมอนเตอร์ เว้นแต่พวกสัตว์ที่ไวต่อกลิ่นเท่านั้น ซึ่งกลิ่นนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสัมผัสกับแก่นมานานานพอ หรือยุ่งเกี่ยวกับมันเป็นเวลานาน มีเพียงแค่คนไม่กี่จำพวกที่จะยุ่งเกี่ยวกับแก่นมานาขนาดนั้น
ไคลน์เป็นผู้เชี่ยวชาญในการติดตาม และ แกะรอยที่ยากจะหาใครเทียบได้ ด้วยความสามารถพิเศษของเขาในการสื่อสารกับสัตว์ และ หนูของเขาก็มีความสามารถในการติดตามมานา และ สามารถแยกแยะพลังงานที่ละเอียดอ่อนได้ เช่น มานาธาตุแสง และกลิ่นเฉพาะตัวจากแก่นมอนเตอร์ ความสามารถนี้มีความแม่นยำอย่างมากถึงขั้นที่สามารถติดตามร่องรอยที่คนทั่วไปไม่อาจสังเกตเห็นได้
ไคลน์เว้นระยะเล็กน้อยก่อนพูดต่อ “ฉันลองไปถามพวกนกแถวนั้นดูแล้ว ดูเหมือนว่ากลุ่มคนที่ลักพาตัวไป จะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน แถมดูท่าทางอายุก็ไม่ได้เยอะมากด้วย”
“แบบนั้นมัน…” โซเฟียขมวดคิ้ว
ไคลน์สบตากับลีน่า และ โซเฟีย “จากความคิดของฉัน…. น่าจะเป็นฝีมือของพวกนักเรียนมากกว่า”
“นักเรียน?” ลีน่าทวนคำด้วยน้ำเสียงตกใจ
“ใช่ พวกนักเรียน บางที่พวกเขาอาจจะทำด้วยตนเอง โดยไม่ได้รับการช่วยเหลือจากใคร” ไคลน์ตอบ
โซเฟียนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะวิเคราะห์ต่อ “ถ้าพวกนั้นเป็นนักเรียน แปลว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเบื้องบน หรืออาจไม่มีใครสั่งการให้พวกนั้นทำด้วยซ้ำ พวกเขาทำกันเอง?”
เฟรย์ที่นิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดก็พูดขึ้นมา“และนั่นก็หมายความว่าพวกเรายังพอมีโอกาสอยู่"
ลีน่าพูดขึ้นมา"ถ้าอย่างนั้น ฉัน เอเลน่า และ ไคลน์ จะออกไปดูสำรวจสถานที่รอบๆนั้นเพิ่มเติม เผื่อจะได้หลักฐานมากขึ้น"
โซเฟียพูดเสริมขึ้นมา "งั้นฉันกับเฟรย์จะไปสอบถามข้อมูลจากเหล่านักเรียนล่ะกัน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเอง"
เฟรย์และโซเฟียทำงานร่วมกันมานาน ทั้งคู่รู้จุดแข็งของกันและกันดี โซเฟียมีทักษะในการเจรจาและเข้ากับคนได้ง่าย ความเป็นมิตรของเธอทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ใกล้ การถามข้อมูลจากนักเรียนชายจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ เพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยและถามไถ่อย่างเป็นกันเอง นักเรียนชายก็เริ่มคลายความระมัดระวังและเปิดปากพูดอย่างง่ายดาย นอกจากนี้เธอยังมีเทคนิคในการสังเกตพฤติกรรมของคนอื่น ซึ่งช่วยให้เธอสามารถแยกแยะว่าข้อมูลใดจริงหรือเท็จได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนเฟรย์เองก็มีจุดแข็งในแบบของเขา ความสงบนิ่งและสุภาพทำให้เขาเป็นที่น่าไว้วางใจในสายตาของคนทั่วไป โดยเฉพาะนักเรียนหญิงที่มักรู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้พูดคุยกับเขา เฟรย์รู้วิธีที่จะตั้งคำถามที่ไม่กดดัน แต่เจาะลึกและได้ข้อมูลมากกว่าที่คนทั่วไปจะคิด เมื่อเขาถามคำถามด้วยท่าทีใจเย็นและสุภาพ นักเรียนหญิงมักจะตอบคำถามของเขาโดยไม่รู้ตัวว่าพวกเขากำลังให้ข้อมูลสำคัญออกมา
โซเฟียหันไปทางเฟรย์พร้อมรอยยิ้มมั่นใจ “ฉันจะจัดการกับนักเรียนชายเอง ไม่น่าจะมีปัญหา” เธอรู้ดีว่าเฟรย์จะทำหน้าที่ของเขาได้ดีเช่นกัน
เฟรย์พยักหน้าเบาๆตอบกลับอย่างสุภาพ “ฉันจะรับผิดชอบนักเรียหหญิงเอง ถึงจะไม่อยาก แต่มันจำเป็น…”
ลีน่าหันไปทางเอเลน่าที่กำลังตรวจสอบอุปกรณ์เวทมนตร์ที่พกติดตัวมา เอเลน่าพยักหน้า ก่อนตอบ
“ถ้ามีการใช้เครื่องมือเวทมนตร์ จะต้องมีร่องรอยที่เหลือทิ้งไว้แน่นอน ฉันจะตรวจสอบให้ละเอียดที่สุด”
โซเฟียยิ้มอย่างมั่นใจ "ถ้างั้นเราแยกย้ายกันไปจัดการตามหน้าที่กันเถอะ"
บรรยากาศในห้องประชุมที่เงียบงันก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอีกครั้ง เมื่อทุกคนรู้หน้าที่ของตนเองและพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า พวกเขาแต่ละคนต่างแยกย้ายไปปฏิบัติภารกิจของตัวเองโดยมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการตามหาตัวอาร์วิน แคร์นัส ที่ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสภาพ เป็น หรือ ตาย ก็ต้องพาเขากลับมาให้ได้
ในความมืดมิด เอรอสลืมตาขึ้นมา ท่ามกลางเงาดำไร้ขอบเขต พื้นที่เขาเหยียบย่ำเป็นแอ่งน้ำสีดำสนิท ลึกจนไร้ก้นบึ้ง ทุกสิ่งเงียบงันจนดูเหมือนเวลาได้หยุดลง ความเย็นเฉียบของบรรยากาศนั้นไม่เพียงแค่โอบล้อมร่างกายของเขา แต่ราวกับแทรกซึมลึกเข้าไปในไขกระดูก เย็นจนแสบซ่าน ทรมานจนหัวใจของเขาเต้นรัว เสียงกระซิบแผ่วเบาจากเงามืดดังขึ้นรอบตัวเขา คล้ายกับความคิดแฝงซ่อนอยู่ในหัวของเขาเองที่คอยกัดกร่อน“ยังมีสัญญาที่ยังทำไม่สำเร็จอีกไม่ใช่หรือ? จะยอมแพ้แล้วงั้นหรอ?”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง เมื่อนั้นเอรอสหันไปมอง เขาเห็นตัวเอง... ในอีกรูปแบบหนึ่ง รูปร่างนั้นผ่ายผอม ใบหน้าอิดโรย ความเหนื่อยล้าฉายชัดบนใบหน้าของร่างนั้น แต่ดวงตา และ ท่าทางกลับแน่วแน่ดั่งก้อนหินที่ไม่อาจถูกทำลายเมื่อเอรอสหันมองไปรอบๆ เขาพบว่ามีตัวเองอีกนับสิบยืนล้อมรอบเขาอยู่ บางคนดูมั่นคง เยือกเย็น ราวกับผู้นำที่ยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบพร้อมด้วยชุดเกราะสีเงินที่เปล่งประกาย บางคนสวมเสื้อคลุมสีดำสนิท ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าแต่ท่าทางยังแฝงความเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้ ทั้งหมดล้วนสะท้อนตัวตนของเขาในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกสายตาจับจ้องมาที่เ
เอรอสยังคงนั่งอยู่ในความเงียบ หัวใจของเขาเต้นช้าลงเมื่อความคิดเยือกเย็นและสิ้นหวังเริ่มแผ่ซ่านไปทั่ว ความจริงที่ว่าเขาอาจหายไปจากโลกนี้โดยไม่มีใครพบเจอ ทำให้ทุกอย่างในห้องขังหนักอึ้งกว่าเดิม แม้เขาพยายามปิดกั้นความคิดเหล่านั้น แต่เงาแห่งความกลัวก็ยังคืบคลานเข้ามาความเย็นชาจากพื้นหินและผนังคุกเหมือนซึมลึกเข้ามาในใจ ความสิ้นหวังที่หนักอึ้งขึ้นทุกวินาที แต่ในขณะเดียวกัน เอรอสยังคงบอกตัวเองให้ยืนหยัด และต้องหาทางเอาชีวิตรอดเขามองไปรอบๆ ห้องขังที่เย็นเยียบ พื้นหินแตกร้าวและมีน้ำซึม กลิ่นอับชื้นชวนให้คิดถึงสถานที่ที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครสนใจ และไร้ทางออก แม้เขาบอกตัวเองว่าไม่กลัว แต่ลึกๆ เขารู้ดีว่าการอยู่ที่นี่นานเกินไปจะกัดกร่อนจิตใจของเขา เหมือนกำแพงหินที่ถูกเวลาบั่นทอนลงเรื่อยๆเสียงฝีเท้าของเฟลิเซียยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา แม้ว่าเธอจะเดินจากไปแล้ว สีหน้าของเธอตอนที่บอกว่า “นายจะต้องอยู่ที่นี่... จนกว่าเราจะตัดสินใจ” ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของเอรอส เขาจำได้ถึงความสั่นไหวเล็กน้อยในน้ำเสียงของเธอ ราวกับว่าเธอเองก็ไม่ได้มั่นใจในสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ แต่เธอไม่มีทางช่วยเขาแน่นอนบานประตูเล
ในยามที่ดวงจันทร์หลบซ่อนอยู่หลังม่านหมอกหนา ความเงียบเยือกเย็นปกคลุมทั่วบริเวณเหมือนกับผืนโลกถูกแช่แข็ง เสียงลมหวีดหวิวผ่านทางเดินแคบๆ ของอุโมงค์ใต้ดินรกร้าง บรรยากาศอึมครึมที่ไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิตอื่นเพิ่มความรู้สึกอึดอัดเข้าไปอีกเสียงฝีเท้าหนักแน่นของยามคนใหม่สะท้อนก้องภายในอุโมงค์ เสียงนั้นเชื่องช้า หนักหน่วงเหมือนพลังงานในตัวเขาเหลือเพียงน้อยนิด ราวกับเขาถูกถ่วงด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงานมายาวนานจนไม่ใส่ใจความรวดเร็วอีกแล้ว เขายกมือขึ้นลูบเคราที่เริ่มยาวและหยาบ พลางหาวเบาๆ ความง่วงค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่จิตใจถึงกระนั้นเขายังคงก้าวเดินต่อไปตามหน้าที่ จนมาถึงหน้าห้องขัง เหลียวมองเห็นยามหนุ่มคนหนึ่งยืนพิงกำแพงหินเย็นเยียบด้วยท่าทางเงียบขรึม“มาช้าจัง” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงแววความสงสัยในน้ำเสียง ดวงตาของเขาจ้องอีกฝ่ายอย่างคมกริบ“ตีสามตรงขนาดนี้ ยังจะเรียกว่าช้าอีกรึ??” ชายแก่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ ขณะยักไหล่อย่างไม่คิดมากชายแก่เดินเข้าไปใกล้ประตูเหล็กหนาที่กั้นหน้าห้องขัง มองมันอย่างเชื่องช้า ดวงตาแสดงถึงความชินชาในการทำงานแบบนี้มา
ในห้องขังอับทึบและเย็นเยียบ ความเงียบงันครอบงำทุกซอกมุม มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของชายแก่ที่ถูกปีศาจเข้าสิงร่าง เขายืนนิ่งไม่ขยับ ราวกับถูกแช่แข็งไว้ในความมืด ดวงตาสีแดงฉานที่สะท้อนแสงจากช่องระบายอากาศเพียงเล็กน้อย เป็นเครื่องหมายเดียวที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของบางสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์เสียงประตูเหล็กหนาหนักที่ถูกปิดด้วยกุญแจและเวทมนตร์ป้องกันเริ่มขยับ มันเปิดออกอย่างช้าๆ ราวกับไม่มีแรงต้านทาน เสียงโลหะเสียดสีกันเบาๆ ดังขึ้นและสะท้อนก้องไปตามผนังหิน บรรยากาศไม่เป็นธรรมชาตินี้ทำให้ทั้งห้องดูอึดอัดและน่าขนลุกยิ่งขึ้นเอรอสยืนอยู่ตรงกรงขังของตนเอง แววตาของเขาเยือกเย็นและจับจ้องชายแก่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างนิ่งงัน ราวกับคาดการณ์ไว้ว่าสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้น เขาก้าวออกจากกรงขังโดยไม่รีบร้อน ชายชรายืนที่อยู่ปล่อยเขาไปโดยไม่ทำอะไร เขาที่ถูกควบคุมจิตใจไม่ได้แสดงท่าทางหรือมีท่าทีใดๆที่จะต่อต้าน หรือ ขัดขวาง เอรอสจึงเดินผ่านไปอย่างราบรื่นเมื่อเอรอสก้าวผ่านไป เขาเหลือบมองชายแก่อยู่ชั่วครู่ก่อนพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า "ขั้นแรกเสร็จแล้ว..."“ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะทำตามสัญญา”ปีศาจกล่าวพลางเสกมีด และ ถ้วยเ
เอรอสก้าวออกจากห้องขังอย่างช้าๆท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด เขากวาดสายตาสำรวจรอบๆด้วยความระมัดระวัง ความเย็นเยียบและเงียบงันของคุกใต้ดินทำให้เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าที่แฝงอยู่ ไม่มีเสียงฝีเท้าของผู้คุม หรือแม้แต่เสียงสนทนาของผู้ใด สถานที่นี้ดูเหมือนถูกละเลย หรือแทบไม่มีนักโทษถูกนำมาคุมขังเท่าที่ควรจะเป็นเอรอสสันนิษฐานว่า คุกแห่งนี้อาจมีนักโทษเพียงน้อยนิด หรือบางทีอาจมีเพียงบางคนที่ถูกขังไว้อย่างลับๆ สิ่งที่ทำให้เขามั่นใจมากขึ้นคือ วงเวทย์ที่เคยสลักบนแผ่นหลังของเขา ซึ่งเคยทำหน้าที่บอกตำแหน่งของเขาต่อหอคอย ตอนนี้มันถูกย้ายไปยังร่างของชายชราที่เข้ามาเฝ้าเขาแทน ขณะนี้ชายชราคนนั้นนอนสลบอยู่บนพื้น ไร้สติ ราวกับหมดแรงจากการถูกครอบงำโดยปีศาจเอรอสคิดได้ในทันที ภายในหกชั่วโมงต่อจากนี้ จะไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ที่เกิดขึ้น เขายังมีเวลาสำรวจสถานที่แห่งนี้ต่อไป บางทีรุ่นพี่ไอลีนอาจถูกกักขังอยู่ที่นี่ แม้ว่าชายชราคนนั้นจะบอกว่า เขาไม่เห็นเธอที่นี่ก็ตาม... แต่เพื่อความแน่ใจ การสำรวจให้ทั่วก่อนเป็นสิ่งจำเป็นเอรอสเดินสำรวจไปตามทางเดินแคบๆท่ามกลางความเงียบสงัด ความมืดที่ปกคลุมทุกซอกทุกมุมร
เอรอสค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้ร่างของอาร์วินที่นอนนิ่งอยู่กับพื้น กลิ่นอับชื้นในห้องลับผสานกับกลิ่นเลือดและเหงื่อรุนแรงทำให้บรรยากาศยิ่งกดดัน ดวงตาของเขาสำรวจไปทั่วร่างกายของชายผู้ที่เคยหายตัวไป อาร์วิน แคร์นัส—ชายหนุ่มที่มีความมั่นใจ นัยน์ตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจกลับเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ดูอ่อนแอเกินกว่าจะลุกขึ้นได้ ใบหน้าซีดเซียวราวกับคนที่ขาดสารอาหารมานานเอรอสนั่งลงข้างๆเขา มือหนึ่งจับที่คอเพื่อตรวจสอบชีพจรที่เต้นแผ่วเบา เอรอสเคยพบเห็นเขาบ่อยๆในตอนที่เขามารับงานปราบมอนเตอร์ในกิล แต่นี่คือครั้งแรกที่เอรอสเห็นอาร์วินในสภาพที่เปราะบางเช่นนี้"เกิดอะไรขึ้นกับนาย..." เขาพึมพำเบาๆ พลางสำรวจบาดแผลตามร่างกายของอาร์วินใกล้ๆบนแขนและขาของอาร์วินเต็มไปด้วยรอยช้ำสีน้ำเงินและดำ บ่งบอกถึงการถูกทุบตีและทำร้ายอย่างรุนแรง ที่แผ่นหลังมีรอยบาดลึกและรอยแส้ที่ขีดข่วนเป็นแผลเก่าและใหม่สลับกันไป บาดแผลเหล่านี้ไม่ได้มาจากการถูกซ้อมเพียงอย่างเดียว แต่บางรอยมีลักษณะผิดธรรมชาติ เหมือนถูกทำร้ายด้วยเวทมนตร์บางอย่าง ร่องรอยที่เอรอสเห็นได้จากบาดแผลเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว"นี่มัน.….สายเกินไปแล้
ดวงตาสีเทาของเอรอสหรี่ลงเล็กน้อยขณะที่เขามองอาร์วิน ความประหลาดใจผุดขึ้นในใจ แม้ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน ความคิดวนเวียนในหัว—“อาร์วินรู้ได้ยังไง?” ทั้งที่รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปแทบจะสิ้นเชิง…อาร์วินเงยหน้ามองเอรอส แม้ร่างกายอ่อนแรงจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงจะพูด ดวงตาสีฟ้าของเขากลับพยายามสื่อความจริงบางอย่างที่ถูกปิดซ่อนเอาไว้ ราวกับต้องการบอกเอรอสถึงสิ่งที่เขาแบกรับมาตลอด แสงสีฟ้าค่อยๆ เปล่งประกายออกมาจากดวงตา ภาพความทรงจำพรั่งพรูเข้าสู่จิตใจของเอรอสอย่างไม่ทันตั้งตัวความทรงจำหนักอึ้งของอาร์วินยังคงปะทุอยู่ในหัวใจ ภาพเหตุการณ์ในอดีตฉายชัดขึ้นทุกวินาที—ช่วงเวลาวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความกดดัน ตระกูลของเขากำลังล่มสลายหลังการสูญเสียผู้นำในสงคราม อาร์วินต้องกลายเป็นผู้นำตระกูลตั้งแต่เด็ก รับผิดชอบในการรักษาชื่อเสียงและสถานะของตระกูล ท่ามกลางตระกูลรอบข้างที่จ้องจะเล่นงานพวกเขาทุกครั้งที่มีโอกาสเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของอาร์วินเกิดขึ้นในคืนหนึ่ง ขณะที่เขากำลังสำรวจตรอกซอยในเมืองเงียบสงัด สายตาของเขาเหลือบไปเห็นเด็กสาวในชุดหรูหรากำลังถูกชายปริศนาฉุดกระชากออกมาจากที่ซ่อน และ ตั้งใจจะทำร้ายเธอ
ภายในโกดังเก็บของที่อึมครึม แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ยังอ่อนแรงค่อย ๆ ส่องผ่านหน้าต่างบานเดียวที่ฝุ่นจับหนา ทำให้ภายในโกดังยังคงมืดสลัว เงาของลังไม้ที่วางซ้อนกันสูงบดบังพื้นที่บางส่วน แต่เงาเหล่านั้นกลับเป็นข้อได้เปรียบที่เอรอสใช้ให้เกิดประโยชน์เขาหลบซ่อนตัวในเงามืด ดวงตาจับจ้องไปยังประตู มือกำแน่นข้างลำตัว ความกดดันค่อยๆ เพิ่มขึ้นพร้อมเสียงสัญญาณเตือนภัยที่ดังไม่หยุดยั้ง เหมือนจะคอยย้ำเตือนถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะทันใดนั้น เสียงบานประตูเหล็กของโกดังตรงหน้าดังขึ้น ก้องสะท้อนท่ามกลางความเงียบ เสียงคล้ายโลหะกระทบกันเมื่อวงเวทย์ที่ปิดผนึกไว้ถูกปลดออก เสียงนั้นเป็นเหมือนเสียงเตือนให้เอรอสตระหนักถึงอันตรายที่เข้ามาใกล้ จนบรรยากาศภายในโกดังยิ่งอึดอัดกว่าเดิม เขาตั้งสมาธิอีกครั้ง พลางรู้สึกถึงสัมผัสมานาที่เริ่มกลับมาบางส่วนแล้ว แต่ยังไม่มากพอที่จะรู้จำนวนคนที่เข้ามา ทำให้เขาประหม่าเล็กน้อยไม่นานนัก จอมเวทย์แปลกหน้าสองคนพุ่งเข้ามาภายในโกดังด้วยความระมัดระวัง พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างช่ำชองและสำรวจทุกจุดราวกับคุ้นเคยกับสถานที่นี้เป็นอย่างดีเอรอสยังคงนิ่ง หลบตัวอยู่ในเงาอย่างสมบูรณ์แบบ เ