Home / แฟนตาซี / พันธะสัญญาของผู้กลืนกิน / ตอนที่ 8 เส้นทางที่ขาดหาย

Share

ตอนที่ 8 เส้นทางที่ขาดหาย

เอรอสก้าวผ่านตรอกซอยที่เงียบสงบในยามค่ำคืนของเมืองอัลเธอเรียน แม้ความมืดจะปกคลุม แต่แสงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้าเบื้องบนยังคงสาดส่องให้เห็นเส้นทางอันคดเคี้ยว ท้องฟ้าปลอดโปร่ง มีเพียงก้อนเมฆบางๆ ที่ลอยอยู่ห่างไกล

เอรอสย่ำเท้าไปอย่างระมัดระวัง สายลมพัดเบาๆพอให้สัมผัสได้ถึงความเย็นที่ค่อยๆซึมผ่านผิวของเขา เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำที่ปิดบังร่างกายได้เป็นอย่างดี แม้จะซ่อนตัวจากสายตาคนทั่วไปได้ แต่ในใจของเขายังเต้นแรงด้วยความกังวล

เมื่อเขามาถึงหอพักที่เขาใช้เป็นที่พักอาศัย มันเป็นอาคารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยก่อน เสื่อมโทรมลงตามกาลเวลา ผนังถูกปกคลุมด้วยรอยแตกและสีที่ซีดลง แต่อาคารนี้ยังคงมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ผู้คนไม่อยากละสายตา สนามหญ้าด้านหน้าถูกดูแลอย่างดี แม้ว่าจะไม่ได้หรูหรา แต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่น

เอรอสเดินขึ้นไปบนชั้นสองของหอพัก เขาก้าวผ่านประตูเข้ามาโดยไม่รีบร้อนจนเกินไป สายตาของเขากวาดมองไปรอบๆ ตรวจดูทุกมุมทุกซอกที่อาจมีความเคลื่อนไหวใดๆ ที่ผิดปกติ

ภายในห้องพักของเขา เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดเป็นของเรียบง่าย โต๊ะไม้เก่าๆที่มีรอยขีดข่วนจากการใช้งานมาหลายปีถูกวางไว้ตรงกลางห้อง ข้างบนโต๊ะมีกระดาษ และ แผนที่ที่ถูกวางเกลื่อนไปหมด ราวกับสถานที่แห่งนี้ เป็นแหล่งเก็บข้อมูลจำนวนมากของเมืองเอาไว้ ผนังห้องมีภาพของอัลเธอเรียนแขวนอยู่ เป็นภาพวาดที่บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองในอดีตของเมืองนี้ เอรอสเดินไปที่โต๊ะทันที และสายตาของเขาหยุดอยู่ที่แผนที่อันหนึ่ง

เอรอสกลับมาที่ห้องพักของเขา เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องยังคงดูเรียบง่าย โต๊ะไม้เก่าๆ ที่มีรอยขีดข่วนจากการใช้งานมานานถูกวางอยู่ตรงกลางห้อง บนโต๊ะมีเอกสารและแผนที่กระจายอยู่ทั่วไป ทุกแผ่นเต็มไปด้วยข้อมูลล้ำค่าที่เขาได้รวบรวมเกี่ยวกับเมืองอัลเธอเรียน ผนังห้องด้านหนึ่งมีภาพวาดของเมืองนี้ในยุครุ่งเรือง แขวนอยู่ท่ามกลางห้องที่เงียบสงัด แต่สิ่งที่สะดุดตาเขากลับไม่ใช่แผนที่หรือเอกสารอื่นๆ

สายตาของเอรอสหยุดอยู่ที่รูปถ่ายขนาดเล็กซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ภาพของหญิงสาวคนหนึ่ง ผมยาวสยาย ใบหน้าของเธอเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา แต่แฝงไปด้วยความแข็งแกร่งและมุ่งมั่น เธอคือรุ่นพี่ของเขา—ไม่ใช่เพียงแค่คนที่คอยช่วยเหลือเขาในวันที่เขาออกห่างจากตระกูล แต่ยังเป็นผู้ที่สอนให้เขาเข้าใจความหมายของชีวิต มอบความรู้และฝึกฝนเขา เปรียบเสมือนอาจารย์และพี่สาวในเวลาเดียวกัน

เธอเป็นคนที่นำเขาเข้าสู่วงการนักสืบ ชี้นำเส้นทางชีวิตที่เขาเลือกเดิน แม้ว่าเวลาจะผ่านไป แต่ความทรงจำที่มีต่อเธอยังคงสดใสในใจเขา

เอรอสยกมือขึ้น หยิบรูปนั้นขึ้นมาดู สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของเธอในภาพ ความทรงจำหลากหลายเกี่ยวกับการฝึกฝนและการทำงานร่วมกันผุดขึ้นในหัว เขาสัมผัสได้ถึงช่องว่างที่เหลืออยู่ในชีวิตหลังจากที่เธอหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ภาพนี้กลายเป็นสิ่งเดียวที่เขายังเก็บไว้จากเธอ—หลักฐานเพียงเล็กน้อยที่ยืนยันว่าเธอเคยมีตัวตนในชีวิตของเขา

เอรอสหยุดมองภาพนั้นครู่หนึ่ง ความทรงจำในอดีตค่อยๆวนเวียนขึ้นมาในหัว เขายังเชื่อว่ารุ่นพี่ยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมารำลึกความหลัง ก่อนที่จะวางรูป และ หันกลับไปสนใจแผนที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องให้ความสำคัญในตอนนี้ 

แผนที่ที่อยู่ตรงหน้าแสดงให้เห็นภาพรวมของเมืองอัลเธอเรียน แต่แตกต่างจากแผนที่ที่คนทั่วไปใช้ มันเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ลึกลับที่บอกถึง การเคลื่อนไหวของตระกูลต่างๆ สายลับที่ซุ่มซ่อนอยู่ในมุมมืด ตำแหน่งหอคอยที่เป็นหัวใจของการป้องกันเมือง และฐานที่มั่นลับที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อวางแผนกลยุทธ์ทุกอย่างที่เกี่ยวกับความมั่นคงของเมือง ทุกจุดที่ถูกทำเครื่องหมายเป็นผลจากการสืบสวนและการเฝ้าระวังของเขาอย่างละเอียด แม้จะเปีนเพียงสำเนา แต่มันเป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ สำหรับเหล่าผู้มีอำนาจในเมือง

เขาหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งที่วางอยู่ข้างโต๊ะขึ้นมา มีดนี้เป็นอาวุธคู่กายของเขาในการป้องกันตัว แต่ในวันนี้มันจะถูกใช้เพื่อทำลายสิ่งสำคัญที่เขาต้องการจะซ่อนจากโลกภายนอก เอรอสเริ่มกรีดแผนที่อย่างชำนาญ เขาตัดมันออกเป็นชิ้นเล็กๆ อย่างไม่มีความลังเล ความแน่วแน่ในดวงตาของเขาบ่งบอกถึงการตัดสินใจที่ผ่านการคิดมาแล้วอย่างดี เขาไม่สามารถปล่อยให้แผนที่นี้ตกไปอยู่ในมือของคนอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม

เศษกระดาษค่อยๆ ตกลงพื้นทีละชิ้น ขณะที่เอรอสกรีดมันออกเป็นส่วนเล็กๆ และเมื่อแผนที่ถูกทำลายลงจนหมด เขาก็เดินไปที่เตาไฟเล็กๆ ที่อยู่มุมห้อง จุดไฟแล้วโยนเศษกระดาษทั้งหมดลงไป เปลวไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว เผาผลาญกระดาษเหล่านั้นให้กลายเป็นเถ้าถ่าน เสียงแตกโพละๆ ของกระดาษที่ถูกเผาดังขึ้นเบาๆ ในห้องเงียบสงบแห่งนี้

แสงจากเปลวไฟส่องให้เห็นดวงตาของเอรอสที่มองไปยังแผนที่ที่ถูกเผาจนหมดสิ้น ไม่เหลืออะไรให้ใครค้นพบอีกต่อไป สำหรับเอรอส การทำลายแผนที่นี้เป็นการตัดสินใจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันมีความสำคัญต่ออนาคตของเขาอย่างยิ่ง

เมื่อเศษกระดาษถูกเผาจนหมดสิ้น เอรอสก็เริ่มจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็นสำหรับการหลบหนี เขารู้ดีว่าหากยังอยู่ที่นี่นานกว่านี้ จะมีความเสี่ยงที่จะโดนเจอตัวเร็วขึ้น เขาเริ่มจากการเก็บมีดสั้น ขวดน้ำยาสีเข้ม และเสื้อคลุมที่เขาใช้สำหรับการลอบเร้นใส่ลงในกระเป๋า แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เขาต้องไม่ลืมคือหินมานาสีฟ้าครามที่ซ่อนอยู่ใต้เตียง

เอรอสย่อกายลง หยิบกล่องไม้เล็กๆ ที่ถูกซ่อนอยู่ใต้เตียงขึ้นมา เมื่อเขาเปิดกล่องนั้น หินมานาก็เปล่งแสงสีฟ้าอ่อนๆ ออกมา ความเย็นของมันแผ่ซ่านไปทั่วฝ่ามือ หินมานาก้อนนี้เป็นสิ่งที่เขาได้รับมาจากการเดินทางไกลในอดีต มันเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เขาหลบหนีออกจากเมืองอัลเธอเรียนได้โดยไม่ถูกตามเจอ

"ยังใช้ได้อยู่…" เอรอสพึมพำเบาๆ ขณะที่เขาจับจ้องไปยังหินที่เปล่งแสงอยู่ในมือ สายตาของเขาหนักแน่นและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาไม่สามารถปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับก้าวถัดไป

หลังจากนั้น เอรอสก็เก็บของสำคัญทั้งหมดลงกระเป๋า เสื้อคลุมหนาถูกสวมทับลงบนร่างกายของเขาอีกครั้ง พร้อมกับดาบสั้นที่เขาหยิบออกมาจากมุมห้อง ดาบเล่มนี้เป็นอาวุธที่เขาใช้ต่อสู้มาตลอดหลายปี แม้มันจะไม่ได้ดูหรูหรา แต่สำหรับเอรอส มันเป็นอาวุธที่เขาไว้วางใจ

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาเดินไปที่ประตูหน้าของห้องพัก สายลมเย็นพัดเข้ามาทันทีเมื่อเขาเปิดประตูออก สัมผัสของอากาศในยามค่ำคืนทำให้เอรอสรู้สึกตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง เขาหันมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง และเมื่อเห็นว่าทุกอย่างปลอดภัย เขาก็เดินออกจากห้องทันที

ขณะที่เอรอสก้าวเท้าออกมาข้างนอก เสียงฝีเท้าของเขาแทบไม่มีเสียง เขาเคยชินกับการเคลื่อนไหวในความเงียบเสมอ แต่ในค่ำคืนนี้ ความเงียบสงัดกลับรู้สึกผิดปกติมากกว่าทุกครั้ง ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังคืบคลานเข้ามาในเงามืด

ทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นจากทองออกของหอพัก หญิงสาวผมสีแดงเพลิงก้าวออกมาพร้อมกับแสงจันทร์ที่ส่องลงมาเหนือหัวของเธอ ดวงตาสีเขียวเข้มของเธอจ้องมาที่เขา ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะมาที่นี่

“คิดจะหนีไปไหนงั้นหรือ?” น้ำเสียงของเธอเยือกเย็นแฝงด้วยความยโส ดวงตาคมกริบของเฟลิเซีย ดราโกน จ้องเขาอย่างไม่ลดละ เธอมีชื่อเสียงในวงการเวทมนตร์ สวมเสื้อคลุมสีดำเข้มที่ทำจากวัสดุคุณภาพสูง ร่างกายเพรียวบางแต่มีความแข็งแกร่ง เส้นผมสีแดงเพลิงของเธอปลิวไปตามลม สร้างความโดดเด่นในความมืด ความมั่นใจและท้าทายสะท้อนอยู่ในแววตานั้น

แต่ทว่าในขณะเดียวกัน เอรอสก็สังเกตเห็นความลังเลในใจบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายในแววตาคู่นั้น ความรู้สึกต่อต้านที่แม้เธอพยายามซ่อน แต่มันก็เผยออกมาแค่เพียงชั่วครู่

ไม่ทันที่เขาจะได้ตอบโต้ จอมเวทย์อีกหลายคนปรากฏตัวจากเงามืด ล้อมเขาไว้จากทุกทิศทาง พวกมันเคลื่อนตัวอย่างเงียบงันรักษาระยะห่างจากเขา เอรอสขยับตัวเล็กน้อย พยายามหาทางหนีทีไล่ แต่สายตาของนักเวทย์เหล่านั้นจับจ้องเขาอยู่ทุกฝีก้าว เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นทุกวินาที บรรยากาศโดยรอบตึงเครียดและหนักอึ้ง

เขาพึ่งมารู้ตัว เอรอสคุ้นชินกับการรับรู้ถึง"มานา"มาตลอด มันเป็นเสมือนสัญชาตญาณในตัวเขา การสัมผัสมานาคือการรับรู้ถึงกลิ่นอายของพลังเวทที่ล่องลอยอยู่รอบตัว ราวกับกระแสลมบางเบาที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ในใจ มานาทำให้เขารู้สึกถึงการมีอยู่ของสิ่งต่างๆ แม้ห่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มมานาที่กระจุกตัวหรือกระแสเวทมนตร์ที่เข้ามาใกล้ เขาสามารถแยกแยะได้ว่าพลังเหล่านั้นบริสุทธิ์หรือแฝงไปด้วยเจตนาอะไร

แต่ตอนนี้ สัมผัสนั้นกลับจางหายไป เขาไม่สามารถรับรู้ถึงมานารอบตัวได้เลย ราวกับทุกสิ่งกลายเป็นความว่างเปล่า แม้มีนักเวทย์อยู่ตรงหน้า แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของพลังเวทจากพวกมัน เหมือนว่ามีบางอย่างกำลังขัดขวางการรับรู้ของเขา ราวกับกระแสพลังเวททั้งหมดถูกกลืนหายไปจากการรับรู้ของเขาโดยสิ้นเชิง และเขาพึ่งตระหนักได้ว่า ตั้งแต่หัวใจของไรอัสถูกฝังในร่าง เขาก็สัมผัสถึงมานาโดบรอบไม่ได้เลย...

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status