เอรอสก้าวผ่านตรอกซอยที่เงียบสงบในยามค่ำคืนของเมืองอัลเธอเรียน แม้ความมืดจะปกคลุม แต่แสงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้าเบื้องบนยังคงสาดส่องให้เห็นเส้นทางอันคดเคี้ยว ท้องฟ้าปลอดโปร่ง มีเพียงก้อนเมฆบางๆ ที่ลอยอยู่ห่างไกล
เอรอสย่ำเท้าไปอย่างระมัดระวัง สายลมพัดเบาๆพอให้สัมผัสได้ถึงความเย็นที่ค่อยๆซึมผ่านผิวของเขา เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำที่ปิดบังร่างกายได้เป็นอย่างดี แม้จะซ่อนตัวจากสายตาคนทั่วไปได้ แต่ในใจของเขายังเต้นแรงด้วยความกังวล
เมื่อเขามาถึงหอพักที่เขาใช้เป็นที่พักอาศัย มันเป็นอาคารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยก่อน เสื่อมโทรมลงตามกาลเวลา ผนังถูกปกคลุมด้วยรอยแตกและสีที่ซีดลง แต่อาคารนี้ยังคงมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ผู้คนไม่อยากละสายตา สนามหญ้าด้านหน้าถูกดูแลอย่างดี แม้ว่าจะไม่ได้หรูหรา แต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่น
เอรอสเดินขึ้นไปบนชั้นสองของหอพัก เขาก้าวผ่านประตูเข้ามาโดยไม่รีบร้อนจนเกินไป สายตาของเขากวาดมองไปรอบๆ ตรวจดูทุกมุมทุกซอกที่อาจมีความเคลื่อนไหวใดๆ ที่ผิดปกติ
ภายในห้องพักของเขา เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดเป็นของเรียบง่าย โต๊ะไม้เก่าๆที่มีรอยขีดข่วนจากการใช้งานมาหลายปีถูกวางไว้ตรงกลางห้อง ข้างบนโต๊ะมีกระดาษ และ แผนที่ที่ถูกวางเกลื่อนไปหมด ราวกับสถานที่แห่งนี้ เป็นแหล่งเก็บข้อมูลจำนวนมากของเมืองเอาไว้ ผนังห้องมีภาพของอัลเธอเรียนแขวนอยู่ เป็นภาพวาดที่บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองในอดีตของเมืองนี้ เอรอสเดินไปที่โต๊ะทันที และสายตาของเขาหยุดอยู่ที่แผนที่อันหนึ่ง
เอรอสกลับมาที่ห้องพักของเขา เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องยังคงดูเรียบง่าย โต๊ะไม้เก่าๆ ที่มีรอยขีดข่วนจากการใช้งานมานานถูกวางอยู่ตรงกลางห้อง บนโต๊ะมีเอกสารและแผนที่กระจายอยู่ทั่วไป ทุกแผ่นเต็มไปด้วยข้อมูลล้ำค่าที่เขาได้รวบรวมเกี่ยวกับเมืองอัลเธอเรียน ผนังห้องด้านหนึ่งมีภาพวาดของเมืองนี้ในยุครุ่งเรือง แขวนอยู่ท่ามกลางห้องที่เงียบสงัด แต่สิ่งที่สะดุดตาเขากลับไม่ใช่แผนที่หรือเอกสารอื่นๆ
สายตาของเอรอสหยุดอยู่ที่รูปถ่ายขนาดเล็กซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ภาพของหญิงสาวคนหนึ่ง ผมยาวสยาย ใบหน้าของเธอเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา แต่แฝงไปด้วยความแข็งแกร่งและมุ่งมั่น เธอคือรุ่นพี่ของเขา—ไม่ใช่เพียงแค่คนที่คอยช่วยเหลือเขาในวันที่เขาออกห่างจากตระกูล แต่ยังเป็นผู้ที่สอนให้เขาเข้าใจความหมายของชีวิต มอบความรู้และฝึกฝนเขา เปรียบเสมือนอาจารย์และพี่สาวในเวลาเดียวกัน
เธอเป็นคนที่นำเขาเข้าสู่วงการนักสืบ ชี้นำเส้นทางชีวิตที่เขาเลือกเดิน แม้ว่าเวลาจะผ่านไป แต่ความทรงจำที่มีต่อเธอยังคงสดใสในใจเขา
เอรอสยกมือขึ้น หยิบรูปนั้นขึ้นมาดู สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของเธอในภาพ ความทรงจำหลากหลายเกี่ยวกับการฝึกฝนและการทำงานร่วมกันผุดขึ้นในหัว เขาสัมผัสได้ถึงช่องว่างที่เหลืออยู่ในชีวิตหลังจากที่เธอหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ภาพนี้กลายเป็นสิ่งเดียวที่เขายังเก็บไว้จากเธอ—หลักฐานเพียงเล็กน้อยที่ยืนยันว่าเธอเคยมีตัวตนในชีวิตของเขา
เอรอสหยุดมองภาพนั้นครู่หนึ่ง ความทรงจำในอดีตค่อยๆวนเวียนขึ้นมาในหัว เขายังเชื่อว่ารุ่นพี่ยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมารำลึกความหลัง ก่อนที่จะวางรูป และ หันกลับไปสนใจแผนที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องให้ความสำคัญในตอนนี้
แผนที่ที่อยู่ตรงหน้าแสดงให้เห็นภาพรวมของเมืองอัลเธอเรียน แต่แตกต่างจากแผนที่ที่คนทั่วไปใช้ มันเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ลึกลับที่บอกถึง การเคลื่อนไหวของตระกูลต่างๆ สายลับที่ซุ่มซ่อนอยู่ในมุมมืด ตำแหน่งหอคอยที่เป็นหัวใจของการป้องกันเมือง และฐานที่มั่นลับที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อวางแผนกลยุทธ์ทุกอย่างที่เกี่ยวกับความมั่นคงของเมือง ทุกจุดที่ถูกทำเครื่องหมายเป็นผลจากการสืบสวนและการเฝ้าระวังของเขาอย่างละเอียด แม้จะเปีนเพียงสำเนา แต่มันเป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ สำหรับเหล่าผู้มีอำนาจในเมือง
เขาหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งที่วางอยู่ข้างโต๊ะขึ้นมา มีดนี้เป็นอาวุธคู่กายของเขาในการป้องกันตัว แต่ในวันนี้มันจะถูกใช้เพื่อทำลายสิ่งสำคัญที่เขาต้องการจะซ่อนจากโลกภายนอก เอรอสเริ่มกรีดแผนที่อย่างชำนาญ เขาตัดมันออกเป็นชิ้นเล็กๆ อย่างไม่มีความลังเล ความแน่วแน่ในดวงตาของเขาบ่งบอกถึงการตัดสินใจที่ผ่านการคิดมาแล้วอย่างดี เขาไม่สามารถปล่อยให้แผนที่นี้ตกไปอยู่ในมือของคนอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม
เศษกระดาษค่อยๆ ตกลงพื้นทีละชิ้น ขณะที่เอรอสกรีดมันออกเป็นส่วนเล็กๆ และเมื่อแผนที่ถูกทำลายลงจนหมด เขาก็เดินไปที่เตาไฟเล็กๆ ที่อยู่มุมห้อง จุดไฟแล้วโยนเศษกระดาษทั้งหมดลงไป เปลวไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว เผาผลาญกระดาษเหล่านั้นให้กลายเป็นเถ้าถ่าน เสียงแตกโพละๆ ของกระดาษที่ถูกเผาดังขึ้นเบาๆ ในห้องเงียบสงบแห่งนี้
แสงจากเปลวไฟส่องให้เห็นดวงตาของเอรอสที่มองไปยังแผนที่ที่ถูกเผาจนหมดสิ้น ไม่เหลืออะไรให้ใครค้นพบอีกต่อไป สำหรับเอรอส การทำลายแผนที่นี้เป็นการตัดสินใจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันมีความสำคัญต่ออนาคตของเขาอย่างยิ่ง
เมื่อเศษกระดาษถูกเผาจนหมดสิ้น เอรอสก็เริ่มจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็นสำหรับการหลบหนี เขารู้ดีว่าหากยังอยู่ที่นี่นานกว่านี้ จะมีความเสี่ยงที่จะโดนเจอตัวเร็วขึ้น เขาเริ่มจากการเก็บมีดสั้น ขวดน้ำยาสีเข้ม และเสื้อคลุมที่เขาใช้สำหรับการลอบเร้นใส่ลงในกระเป๋า แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เขาต้องไม่ลืมคือหินมานาสีฟ้าครามที่ซ่อนอยู่ใต้เตียง
เอรอสย่อกายลง หยิบกล่องไม้เล็กๆ ที่ถูกซ่อนอยู่ใต้เตียงขึ้นมา เมื่อเขาเปิดกล่องนั้น หินมานาก็เปล่งแสงสีฟ้าอ่อนๆ ออกมา ความเย็นของมันแผ่ซ่านไปทั่วฝ่ามือ หินมานาก้อนนี้เป็นสิ่งที่เขาได้รับมาจากการเดินทางไกลในอดีต มันเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เขาหลบหนีออกจากเมืองอัลเธอเรียนได้โดยไม่ถูกตามเจอ
"ยังใช้ได้อยู่…" เอรอสพึมพำเบาๆ ขณะที่เขาจับจ้องไปยังหินที่เปล่งแสงอยู่ในมือ สายตาของเขาหนักแน่นและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาไม่สามารถปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับก้าวถัดไป
หลังจากนั้น เอรอสก็เก็บของสำคัญทั้งหมดลงกระเป๋า เสื้อคลุมหนาถูกสวมทับลงบนร่างกายของเขาอีกครั้ง พร้อมกับดาบสั้นที่เขาหยิบออกมาจากมุมห้อง ดาบเล่มนี้เป็นอาวุธที่เขาใช้ต่อสู้มาตลอดหลายปี แม้มันจะไม่ได้ดูหรูหรา แต่สำหรับเอรอส มันเป็นอาวุธที่เขาไว้วางใจ
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาเดินไปที่ประตูหน้าของห้องพัก สายลมเย็นพัดเข้ามาทันทีเมื่อเขาเปิดประตูออก สัมผัสของอากาศในยามค่ำคืนทำให้เอรอสรู้สึกตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง เขาหันมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง และเมื่อเห็นว่าทุกอย่างปลอดภัย เขาก็เดินออกจากห้องทันที
ขณะที่เอรอสก้าวเท้าออกมาข้างนอก เสียงฝีเท้าของเขาแทบไม่มีเสียง เขาเคยชินกับการเคลื่อนไหวในความเงียบเสมอ แต่ในค่ำคืนนี้ ความเงียบสงัดกลับรู้สึกผิดปกติมากกว่าทุกครั้ง ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังคืบคลานเข้ามาในเงามืด
ทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นจากทองออกของหอพัก หญิงสาวผมสีแดงเพลิงก้าวออกมาพร้อมกับแสงจันทร์ที่ส่องลงมาเหนือหัวของเธอ ดวงตาสีเขียวเข้มของเธอจ้องมาที่เขา ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะมาที่นี่
“คิดจะหนีไปไหนงั้นหรือ?” น้ำเสียงของเธอเยือกเย็นแฝงด้วยความยโส ดวงตาคมกริบของเฟลิเซีย ดราโกน จ้องเขาอย่างไม่ลดละ เธอมีชื่อเสียงในวงการเวทมนตร์ สวมเสื้อคลุมสีดำเข้มที่ทำจากวัสดุคุณภาพสูง ร่างกายเพรียวบางแต่มีความแข็งแกร่ง เส้นผมสีแดงเพลิงของเธอปลิวไปตามลม สร้างความโดดเด่นในความมืด ความมั่นใจและท้าทายสะท้อนอยู่ในแววตานั้น
แต่ทว่าในขณะเดียวกัน เอรอสก็สังเกตเห็นความลังเลในใจบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายในแววตาคู่นั้น ความรู้สึกต่อต้านที่แม้เธอพยายามซ่อน แต่มันก็เผยออกมาแค่เพียงชั่วครู่
ไม่ทันที่เขาจะได้ตอบโต้ จอมเวทย์อีกหลายคนปรากฏตัวจากเงามืด ล้อมเขาไว้จากทุกทิศทาง พวกมันเคลื่อนตัวอย่างเงียบงันรักษาระยะห่างจากเขา เอรอสขยับตัวเล็กน้อย พยายามหาทางหนีทีไล่ แต่สายตาของนักเวทย์เหล่านั้นจับจ้องเขาอยู่ทุกฝีก้าว เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นทุกวินาที บรรยากาศโดยรอบตึงเครียดและหนักอึ้ง
เขาพึ่งมารู้ตัว เอรอสคุ้นชินกับการรับรู้ถึง"มานา"มาตลอด มันเป็นเสมือนสัญชาตญาณในตัวเขา การสัมผัสมานาคือการรับรู้ถึงกลิ่นอายของพลังเวทที่ล่องลอยอยู่รอบตัว ราวกับกระแสลมบางเบาที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ในใจ มานาทำให้เขารู้สึกถึงการมีอยู่ของสิ่งต่างๆ แม้ห่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มมานาที่กระจุกตัวหรือกระแสเวทมนตร์ที่เข้ามาใกล้ เขาสามารถแยกแยะได้ว่าพลังเหล่านั้นบริสุทธิ์หรือแฝงไปด้วยเจตนาอะไร
แต่ตอนนี้ สัมผัสนั้นกลับจางหายไป เขาไม่สามารถรับรู้ถึงมานารอบตัวได้เลย ราวกับทุกสิ่งกลายเป็นความว่างเปล่า แม้มีนักเวทย์อยู่ตรงหน้า แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของพลังเวทจากพวกมัน เหมือนว่ามีบางอย่างกำลังขัดขวางการรับรู้ของเขา ราวกับกระแสพลังเวททั้งหมดถูกกลืนหายไปจากการรับรู้ของเขาโดยสิ้นเชิง และเขาพึ่งตระหนักได้ว่า ตั้งแต่หัวใจของไรอัสถูกฝังในร่าง เขาก็สัมผัสถึงมานาโดบรอบไม่ได้เลย...
"เป็นอะไรไปล่ะ? ทำไมไม่ตอบ?" เฟลิเซียเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแต่แฝงด้วยความสงสัย เธอยืนมองเอรอสที่ยังไม่ยอมตอบคำถาม ความเงียบนี้ช่างอึดอัดราวกับสายลมหนาวที่พัดผ่านหัวใจ เธอไม่ได้เร่งรัด เพียงจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของเขาอย่างละเอียดเอรอสยืนนิ่ง มือของเขาเริ่มสั่นเล็กน้อย ความเจ็บปวดแปลบที่หน้าอกจากหัวใจของไรอัสเริ่มทวีความรุนแรง มันทำให้ร่างกายของเขารู้สึกว่างเปล่า เหมือนบางอย่างภายในถูกดึงออกไปทีละน้อย ความสามารถการรับรู้ของเขาหายไป ทำให้ต้องตระหนักถึงสถานการณ์อย่างรอบคอบมากขึ้น“พวกเบื้องบนน่ะ ไม่ได้คาดหวังอะไรไว้กับนายเลย……"เธอพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา“คิดแค่ว่าเสียงร้องเรียนของพวกชนชั้นสูงมันน่ารำคาญ ก็เลยกะจะหาคนมารับผิดชอบให้มันจบๆไป”ก่อนจะพูดต่อ เฟลิเซีย มองเอรอสตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับพยายามสำรวจเขาอย่างละเอียด"แต่ดันให้ผลลัพท์เหนือความคาดหมาย….นายหาทางเข้าที่บังเอิญเกิดขึ้นมาแค่เพียงเสี้ยววินาทีได้ยังไง?”เธอเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะถามอย่างคาดคั้น“แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาตรวจสอบเรื่องนั้น ที่สำคัญกว่า.…..นายได้รับอะไรมาจากแม่มด?”เอรอสคิดในใจ "แม่มด? เธอน่ะเหรอ?" ก่อนจะนิ่งคิ
ก่อนหน้านี้เล็กน้อย ที่กิลนักผจญภัย บรรยากาศในห้องหนึ่งค่อยๆ เงียบลง เสียงจานและแก้วที่กระทบกันอย่างต่อเนื่องในมื้ออาหารเริ่มเบาลง สมาชิกในกลุ่มทั้งห้าต่างจมอยู่ในความคิดของตน มีเพียง “ลีน่า” หญิงสาววัย 20 ปี ที่ดูร้อนใจที่สุดลีน่านั่งกุมมือไว้บนตัก ดวงตาสีทองที่ซ่อนอยู่หลังแว่นหนา มองออกไปยังท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง ความกังวลสะท้อนชัดเจนบนใบหน้าเล็กๆ ของเธอ ผมสีน้ำตาลอมแดงที่มักมัดไว้หลังศีรษะ หลุดออกมาบางส่วน เธอเฝ้ามองนอกหน้าต่างอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันสายตากลับไปยังเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ตรงข้าม แต่ไม่มีใครดูเหมือนจะสนใจความกังวลของเธอมากนัก"รุ่นพี่เขาจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรอคะ? ไปตั้งแต่เช้าแล้ว... ตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย…"ลีน่าถามเสียงเบาแต่ชัดเจน น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยราวกับพยายามเก็บซ่อนความกังวลบรรยากาศรอบโต๊ะนิ่งเงียบลงเล็กน้อยจากคำถามของลีน่า เฟรย์ ชายหนุ่มวัยเดียวกัน รูปร่างสูงโปร่ง ผิวซีดแบบขุนนาง เอียงตัวไปข้างหน้าวางข้อศอกลงบนโต๊ะ มือข้างหนึ่งยกแก้วชาขึ้นจิบ ก่อนจะพูดตอบเธอด้วยน้ำเสียงสุขุม“ไม่เป็นไรหรอกลีน่า เขาไม่ใช่คนที่จะตายง่ายๆขนาดนั้น ก็เห็นรอดกลับมาตลอด”เขาพูดด้วยท่
“หยุดสิวะ... หยุด!!!”เอรอสที่ทรุดตัวนั่งอยู่บนพื้น ตะโกนในใจด้วยความอึดอัด ความเหนื่อยล้าที่กดทับร่างทำให้เขาหายใจหอบ สายตาของเขาพร่ามัว เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และความรู้สึกเจ็บปวดที่บีบคั้นราวกับถูกบีบรัดจากภายใน ความทรมานที่รู้สึกนั้นเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหวนี่เป็นครั้งที่สองแล้ว... ครั้งที่สองที่เขาถูกมันคุกคามหนักถึงขนาดนี้น ยิ่งเขาปล่อยให้มันเข้ามาในจิตใจมากเท่าไหร่ ทั้งสองก็ยิ่งเชื่อมต่อกันแน่นแฟ้นขึ้นทุกที เหมือนมีบางอย่างในตัวเขาถูกดึงออกไป... และในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ถูกถ่ายโอนกลับมา แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำก็ตามหลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ผลกระทบที่ยืดเยื้อก็ค่อยๆ จางหาย เอรอสนอนราบลงกับพื้น ถอนหายใจยาวเพื่อระบายความอึดอัดที่ยังหลงเหลืออยู่ เขาไม่สนใจเสื้อผ้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อหรือความอ่อนล้าที่ปกคลุมร่างกาย สิ่งที่เขาสนใจกลับเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามา ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเขา...มันเป็นภาพครอบครัวของเรย์นาร์ค... แม้เพียงเสี้ยวหนึ่งก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงในความทรงจำนั้น เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งและเด็กสาวอายุราว 8 ขวบ ทั้งสองมีผิวสี
แม้ว่าเอรอสจะพยายามรักษาระยะห่างจากเธอ แต่ทุกครั้งที่เกิดอันตรายขึ้น เขากลับปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือเสมอ แม้จะไม่ใช่ตัวตนเดิมก็ตามในช่วงเวลาปกติ เขาก็คอยแนะนำสถานที่สำหรับหาข้อมูล ของใช้ที่จำเป็นสำหรับการทำงาน หรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับคดีที่พวกเขาทำอยู่ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่พวกรุ่นพี่ที่ทำงานมาก่อนหน้านี้ไม่ยอมบอก ทำให้คำแนะนำของเอรอสกลายเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกขอบคุณมาโดยตลอดอย่างไรก็ตาม ภารกิจที่เขาได้รับจากกิลด์ส่วนใหญ่กลับเป็นเพียงงานธรรมดา ไม่เกี่ยวข้องกับแผนกสืบสวนเลย เช่น การส่งจดหมายไปที่เมืองอื่น หาแมวที่หายไป หรือแม้แต่ทำความสะอาดสถานที่บางแห่ง ภารกิจเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นงานที่ไม่สำคัญและไม่มีใครสนใจ นักผจญภัยคนอื่นมักเลือกทำภารกิจที่ท้าทายและมีผลตอบแทนมากกว่าเหตุผลที่เอรอสได้รับภารกิจเหล่านี้มาจากผู้จัดการของกิลด์เอง ผู้จัดการอ้างว่า ‘หน้าตาทางสังคมของกิลด์จะเสียหาย ถ้างานพวกนี้ไม่ถูกจัดการ’ เขามอบงานเหล่านั้นให้เอรอส โดยเจตนาซ่อนความสามารถของเขา เพื่อป้องกันไม่ให้เด่นเกินหน้าลูกชายหรือผู้จัดการเอง แม้ว่าหากจนปัญญาจริงๆ ก็จะตกมาถึงมือเขาเสมอลีน่าที่พยายามรักษาระยะห่างจากผู้
คำพูดของเฟรย์ทำให้บรรยากาศในห้องประชุมเงียบงัน ลีน่ากับโซเฟียสบตากันอย่างเคร่งเครียด หอคอยนักปราชญ์เป็นหนึ่งในองค์กรที่ทรงอำนาจที่สุดในประเทศ มีอิทธิพลเทียบเท่ากับตระกูลขุนนางชั้นสูงและราชวงศ์ เป็นศูนย์กลางขององค์ความรู้และเวทมนตร์ หากใครปรารถนาจะก้าวขึ้นเป็นจอมเวทชั้นแนวหน้า หอคอยนี้คือที่ที่พวกเขาต้องผ่านไป ไม่เพียงแต่ขึ้นชื่อในเรื่องการสอนเวทมนตร์ แต่ยังสร้างนักเวทผู้ทรงพลังมานับไม่ถ้วนการคัดเลือกผู้เข้าสู่หอคอยนั้นแสนเข้มงวด ผู้สมัครต้องมีวงแหวนอย่างน้อยสองวง และอายุไม่เกิน 20 ปี แม้ว่าพวกเขาจะผ่านเงื่อนไขที่กำหนดไว้ได้ การอยู่รอดในหอคอยก็ยังเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่น เพราะภายในนั้นเต็มไปด้วยการแข่งขัน และการต่อสู้เพื่อความเป็นหนึ่ง ที่นั่นยังเป็นสถานที่รวมเหล่าลูกหลานขุนนางที่ทรงอำนาจไว้อย่างมากมาย ทุกย่างก้าวในหอคอยจึงเต็มไปด้วยความอันตรายอยู่เสมอเฟรย์เอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่น “ไม่คิดเลยว่าหอคอยจะเข้ามาเกี่ยวข้อง... มันอันตรายเกินไปที่เราจะยุ่งกับเรื่องนี้”พวกทุกคนเข้าใจถึงความอันตรายของหอคอยเป็นอย่างดี เอรอสได้บอกข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับหอคอย และ เตือนพวกเขาว่าห้ามไปยุ่ง หรือ หาเรื่
ในความมืดมิด เอรอสลืมตาขึ้นมา ท่ามกลางเงาดำไร้ขอบเขต พื้นที่เขาเหยียบย่ำเป็นแอ่งน้ำสีดำสนิท ลึกจนไร้ก้นบึ้ง ทุกสิ่งเงียบงันจนดูเหมือนเวลาได้หยุดลง ความเย็นเฉียบของบรรยากาศนั้นไม่เพียงแค่โอบล้อมร่างกายของเขา แต่ราวกับแทรกซึมลึกเข้าไปในไขกระดูก เย็นจนแสบซ่าน ทรมานจนหัวใจของเขาเต้นรัว เสียงกระซิบแผ่วเบาจากเงามืดดังขึ้นรอบตัวเขา คล้ายกับความคิดแฝงซ่อนอยู่ในหัวของเขาเองที่คอยกัดกร่อน“ยังมีสัญญาที่ยังทำไม่สำเร็จอีกไม่ใช่หรือ? จะยอมแพ้แล้วงั้นหรอ?”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง เมื่อนั้นเอรอสหันไปมอง เขาเห็นตัวเอง... ในอีกรูปแบบหนึ่ง รูปร่างนั้นผ่ายผอม ใบหน้าอิดโรย ความเหนื่อยล้าฉายชัดบนใบหน้าของร่างนั้น แต่ดวงตา และ ท่าทางกลับแน่วแน่ดั่งก้อนหินที่ไม่อาจถูกทำลายเมื่อเอรอสหันมองไปรอบๆ เขาพบว่ามีตัวเองอีกนับสิบยืนล้อมรอบเขาอยู่ บางคนดูมั่นคง เยือกเย็น ราวกับผู้นำที่ยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบพร้อมด้วยชุดเกราะสีเงินที่เปล่งประกาย บางคนสวมเสื้อคลุมสีดำสนิท ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าแต่ท่าทางยังแฝงความเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้ ทั้งหมดล้วนสะท้อนตัวตนของเขาในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกสายตาจับจ้องมาที่เ
เอรอสยังคงนั่งอยู่ในความเงียบ หัวใจของเขาเต้นช้าลงเมื่อความคิดเยือกเย็นและสิ้นหวังเริ่มแผ่ซ่านไปทั่ว ความจริงที่ว่าเขาอาจหายไปจากโลกนี้โดยไม่มีใครพบเจอ ทำให้ทุกอย่างในห้องขังหนักอึ้งกว่าเดิม แม้เขาพยายามปิดกั้นความคิดเหล่านั้น แต่เงาแห่งความกลัวก็ยังคืบคลานเข้ามาความเย็นชาจากพื้นหินและผนังคุกเหมือนซึมลึกเข้ามาในใจ ความสิ้นหวังที่หนักอึ้งขึ้นทุกวินาที แต่ในขณะเดียวกัน เอรอสยังคงบอกตัวเองให้ยืนหยัด และต้องหาทางเอาชีวิตรอดเขามองไปรอบๆ ห้องขังที่เย็นเยียบ พื้นหินแตกร้าวและมีน้ำซึม กลิ่นอับชื้นชวนให้คิดถึงสถานที่ที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครสนใจ และไร้ทางออก แม้เขาบอกตัวเองว่าไม่กลัว แต่ลึกๆ เขารู้ดีว่าการอยู่ที่นี่นานเกินไปจะกัดกร่อนจิตใจของเขา เหมือนกำแพงหินที่ถูกเวลาบั่นทอนลงเรื่อยๆเสียงฝีเท้าของเฟลิเซียยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา แม้ว่าเธอจะเดินจากไปแล้ว สีหน้าของเธอตอนที่บอกว่า “นายจะต้องอยู่ที่นี่... จนกว่าเราจะตัดสินใจ” ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของเอรอส เขาจำได้ถึงความสั่นไหวเล็กน้อยในน้ำเสียงของเธอ ราวกับว่าเธอเองก็ไม่ได้มั่นใจในสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ แต่เธอไม่มีทางช่วยเขาแน่นอนบานประตูเล
ในยามที่ดวงจันทร์หลบซ่อนอยู่หลังม่านหมอกหนา ความเงียบเยือกเย็นปกคลุมทั่วบริเวณเหมือนกับผืนโลกถูกแช่แข็ง เสียงลมหวีดหวิวผ่านทางเดินแคบๆ ของอุโมงค์ใต้ดินรกร้าง บรรยากาศอึมครึมที่ไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิตอื่นเพิ่มความรู้สึกอึดอัดเข้าไปอีกเสียงฝีเท้าหนักแน่นของยามคนใหม่สะท้อนก้องภายในอุโมงค์ เสียงนั้นเชื่องช้า หนักหน่วงเหมือนพลังงานในตัวเขาเหลือเพียงน้อยนิด ราวกับเขาถูกถ่วงด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงานมายาวนานจนไม่ใส่ใจความรวดเร็วอีกแล้ว เขายกมือขึ้นลูบเคราที่เริ่มยาวและหยาบ พลางหาวเบาๆ ความง่วงค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่จิตใจถึงกระนั้นเขายังคงก้าวเดินต่อไปตามหน้าที่ จนมาถึงหน้าห้องขัง เหลียวมองเห็นยามหนุ่มคนหนึ่งยืนพิงกำแพงหินเย็นเยียบด้วยท่าทางเงียบขรึม“มาช้าจัง” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงแววความสงสัยในน้ำเสียง ดวงตาของเขาจ้องอีกฝ่ายอย่างคมกริบ“ตีสามตรงขนาดนี้ ยังจะเรียกว่าช้าอีกรึ??” ชายแก่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ ขณะยักไหล่อย่างไม่คิดมากชายแก่เดินเข้าไปใกล้ประตูเหล็กหนาที่กั้นหน้าห้องขัง มองมันอย่างเชื่องช้า ดวงตาแสดงถึงความชินชาในการทำงานแบบนี้มา