ในชั่วพริบตา วงเวทขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเบื้องหน้า มันแผ่กระจายแสงสีแดงเข้มออกมาอย่างน่ากลัว พลังเวทที่แผ่ซ่านออกมากดทับทุกสิ่งรอบตัวจนบิดเบือนมานาในบรรยากาศกลายเป็นพายุหมุน เส้นอักขระซับซ้อนที่เคลื่อนที่บนวงเวทบ่งบอกถึงความรุนแรงและบ้าคลั่ง แม้เอรอสจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของมันโดยตรง แต่ความรู้สึกเย็นวาบที่วิ่งผ่านร่างบอกเขาว่า วงเวทนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายเขาโดยเฉพาะ
"บางอย่าง...กำลังจะมา" เอรอสพึมพำเบาๆ ขณะที่พยายามรวบรวมสมาธิ
แต่ก่อนที่เขาจะเตรียมพร้อมได้เต็มที่ ศรเวทสีเงินก็พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันเร็วราวกับฉีกอากาศออกเป็นเสี่ยงๆ เขาไม่ทันได้เห็นมันอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ สัญชาตญาณของเขาบังคับให้ยกแขนขึ้นป้องกัน แต่ศรนั้นพุ่งทะลุผ่านแขนของเขาไปอย่างง่ายดาย ราวกับว่าแขนของเขาไร้ความหมายต่อพลังนั้น
ไม่มีแรงกระแทก ไม่มีความรู้สึกจากการสัมผัสเนื้อหนัง—แค่ความเจ็บปวดที่เกิดจากพลังบางอย่างที่ลึกกว่าร่างกาย ศรเวทนั้นพุ่งเข้าปักกลางอกของเขาอย่างแม่นยำ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านราวกับคลื่นพลังที่แทรกซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา เอรอสทรุดลงกับพื้นทันที ร่างกายแทบจะตอบสนองไม่ได้ ความเจ็บปวดนั้นล้นทะลักเกินกว่าจะรับไหว เหมือนทุกสิ่งภายในตัวเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
“นี่มัน...” เอรอสกัดฟัน น้ำเสียงสั่นสะท้านเมื่อความเจ็บปวดแผ่ซ่านจากหน้าอก เขารู้สึกถึงบางสิ่งที่กำลังถูกฉีกออกจากจิตวิญญาณ ความทรงจำบางอย่างเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความหวาดกลัวและความรู้สึกถึงการสูญเสียที่ค่อยๆ ทวีขึ้น
แต่ก่อนที่เขาจะสิ้นสติ ต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้าเขาก็สั่นไหว กิ่งก้านยืดออกมาโอบล้อมเขา ใบไม้สีเขียวอ่อนเปล่งแสงสว่างออกมาต้านทานพลังมืดที่ถาโถมเข้ามา กิ่งก้านของมันยืดออกเหมือนเกราะคุ้มกันที่อ่อนโยน แต่มั่นคง รากใหญ่ของมันโอบล้อมเอรอสไว้เหมือนแม่ที่ปกป้องลูก แม้จะมีเพียงเล็กน้อย แต่มันช่วยลดความเจ็บปวดได้ในขณะที่เขาพยายามตั้งสติ
อย่างไรก็ตาม การโจมตีจากวงเวทไม่หยุดลง พลังเวทมหาศาลถาโถมใส่ต้นไม้อย่างไม่หยุดยั้ง เสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง ราวกับโลกทั้งใบกำลังตอบสนองต่อพลังนี้ กิ่งก้านที่เคยแข็งแกร่งเริ่มแตกหัก เปลือกไม้ที่เคยหนาแน่นเริ่มแยกออกเป็นชิ้นๆ ใบไม้ร่วงโรยลงมาเป็นชั้นๆ ต้นไม้ที่เคยเป็นที่พึ่งพิงของเอรอสกำลังถูกทำลายไปอย่างช้าๆ
“ไม่… ไม่นะ…” เอรอสพึมพำ เสียงแผ่วเบาของเขาแฝงไปด้วยความเจ็บปวด หัวใจของเขาหนักอึ้ง เขาพยายามจะลุกขึ้นสู้ แต่ร่างของเขาถูกตรึงไว้แน่น พลังเวทที่กัดกินจิตวิญญาณของเขาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ความเจ็บปวดจากภายในร่างกายทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังหลุดลอย ความทรงจำหายไปทีละชั้น เหมือนถูกลบเลือนอย่างไร้ปรานี
สุดท้าย เสียงแตกหักสุดท้ายก็ดังขึ้น ต้นไม้ที่ปกป้องเขาแตกสลายลง กิ่งก้านและรากที่โอบล้อมเขาหายไปเหมือนผุยผงที่กระจายสู่พื้นดิน ความหวังที่เขาเคยมีถูกทำลายลงพร้อมกับต้นไม้ใหญ่ที่เคยยืนหยัดอย่างสง่างาม
เมื่อทุกสิ่งดูเหมือนจะสิ้นสุด วงเวทที่เคยหมุนวนด้วยความบ้าคลั่งก็ค่อยๆ หยุดลง อักขระที่วิ่งไปมาบนวงเวทก็หายไปเหมือนควันบางเบา บรรยากาศรอบตัวกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ราวกับพายุที่พัดผ่านไป
“…มันปกป้องฉัน…” เอรอสพูดเบาๆ จิตวิญญาณของเขาบางส่วนถูกทำลายไป แม้เขาจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ความรู้สึกบางอย่างในตัวเขาได้สูญหายไปตลอดกาล ร่างกายของเขาหนักอึ้ง เหมือนถูกกดทับด้วยความโศกเศร้า เขานอนหายใจหนักอยู่กับพื้น ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป
ทันใดนั้น ร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งก็ก้าวเข้ามา เธอหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ มองลงมาที่เขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย แม้เอรอสจะสับสนและเจ็บปวด แต่เขารู้สึกได้ว่าผู้หญิงคนนี้เข้าใจความรู้สึกของเขา… ราวกับเธอเคยสูญเสียมาก่อน สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเศร้าและความรู้สึกผิด
“ขอโทษนะ…” เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
"เจตจำนงแห่งโลก…มันไม่ใช่สิ่งที่ใครจะขัดขวางได้ ตราบใดที่มานายังมีอยู่ มันก็จะไม่หยุด ใครก็ตามที่ขัดขวางมันก็จะถูกทำลาย...เหมือนกับต้นไม้นี้"
เอรอสมองซากต้นไม้ที่แตกสลายเป็นเถ้าถ่าน ความรู้สึกโทษตัวเองแฝงอยู่ในน้ำเสียงของหญิงสาว เขาไม่ตอบอะไร แค่จ้องมองลงไปที่พื้นดินเย็นเยียบ ความคิดมากมายวิ่งพล่านอยู่ในหัวของเขา ร่างกายของเขายังคงสั่นสะท้านจากความเจ็บปวดที่แทรกซึมลึกถึงจิตวิญญาณ
ร่างกายเขาแทบจะตอบสนองไม่ได้ ความเจ็บปวดที่ท่วมท้นนี้ ราวกับทำให้โลกรอบตัวเขาเบลอไปชั่วขณะ หูของเขาได้ยินเสียงแตกของกิ่งไม้ เสียงใบไม้ที่ร่วงหล่น แม้กระทั่งลมหายใจของตัวเองก็ฟังดูไกลออกไปเรื่อยๆ แต่ในความเบลอนั้น สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่บางสิ่งใต้ต้นไม้ที่กำลังพังทลาย—กล่องไม้เล็กๆ ที่เขาเคยลืมมันไป ร่างกายที่บอบช้ำถูกบังคับให้เคลื่อนไหว เอรอสค่อยๆ ยืดมือไปขุดดินตงนั้น ราวกับว่านี่เป็นสิ่งเดียวที่ยังยึดเหนี่ยวความเป็นตัวของเขาไว้"
"ในที่สุด..." เสียงของเขาเบา แฝงไปด้วยความอบอุ่นที่แทรกผ่านความเจ็บปวดในใจ เอรอสดึงกล่องขึ้นมา มือของเขายังคงสั่นเล็กน้อยเมื่อเปิดฝา เสียงสนิมขัดของบานพับดังก้องขึ้น ฝาฝนของกล่องเปิดออก เผยให้เห็นสมุดภาพเล่มเก่าและดินสอสีที่เคยถูกเก็บไว้อย่างดี
สายตาของเขาจับจ้องไปที่สมุดภาพนั้น เขาเปิดมันออกอย่างระมัดระวัง ภาพวาดแต่ละหน้าเผยให้เห็นความไร้เดียงสาในวัยเด็ก ทุกภาพสะท้อนความทรงจำที่เคยสดใส และ มีชีวิตชีวา แต่ในเวลานี้ ทุกสิ่งที่ปรากฏกลับเป็นเพียงเงาของสิ่งที่สูญเสียไป
“นี่มัน…” เอรอสพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่ว ขณะที่นิ้วของเขาลูบไปบนภาพวาดสุดท้าย ภาพของเด็กสามคนที่เคยเล่นกันอย่างมีความสุขในวันวาน ภาพใบหน้าของเด็กหญิงผมสีเงินเริ่มเลือนลางตามกาลเวลา ความทรงจำที่ครั้งหนึ่งเคยชัดเจน ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงภาพที่จางหายไป
ขณะที่เอรอสกำลังจมอยู่ในอดีต หญิงสาวก็ก้าวเข้ามาใกล้ เสียงฝีเท้าของเธอแผ่วเบาแต่หนักแน่นในความเงียบงัน เมื่อเธอหยุดยืนอยู่ใกล้เขา เธอมองไปที่กล่องในมือเขาแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ
“ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นของสำคัญมากสินะ…?”
เอรอสเงยหน้าขึ้นมองเธอ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย แต่คำตอบของเขากลับสั้นและชัดเจน
“มันคืออดีต... อดีตที่ฉันต้องตามหากลับคืนมา”
เขาหลบสายตา ความรู้สึกในใจหนักหน่วงราวกับถูกกดทับด้วยความทรงจำที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่หญิงสาวยืนอยู่ข้างๆ เธอสัมผัสได้ถึงความทุกข์และความเศร้าโศกที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจของเขา
“นาย...” น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา และ อบอุ่น ราวกับสายลมอ่อนๆที่ช่วยปลอบโยน
"ฉันเข้าใจดี ว่ามันยากที่จะปล่อยวางความทรงจำที่เสียไป แต่การยึดติดกับอดีตแบบนี้จะทำให้นายก้าวไปข้างหน้าไม่ได้"
เอรอสถอนหายใจยาว ราวกับทุกลมหายใจถูกดึงเอาความเจ็บปวดจากภายในออกมา
“แต่...ฉันรู้สึกเหมือนกำลังสูญเสียทุกอย่าง ความทรงจำเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้ฉันเป็นตัวของตัวเอง” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ หัวใจของเขายังคงหนักหน่วงด้วยความเจ็บปวดที่ไม่จางหาย
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเข้าใจ และ เห็นอกเห็นใจ
“ฉันเข้าใจ... แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาสำหรับการจมอยู่กับอดีต เธอจำเป็นต้องมองไปข้างหน้า” เธอพูดเบาๆแต่แฝงไปด้วยความจริงจัง
เธอชี้ไปที่หน้าอกของเอรอส ซึ่งบอบช้ำจากการโจมตีเมื่อครู่ โดยที่เขายังไม่ได้สังเกตมาก่อน
“ดูสิ...หัวใจของเธอถูกทำลาย แต่กลับมีหัวใจดวงใหม่กำลังก่อตัวขึ้น...แต่ความรู้สึกที่แผ่ออกมา...เหมือนกับว่าไม่ใช่ของเธอ”
ทันใดนั้น เอรอสรู้สึกถึงความร้อนที่วิ่งผ่านเส้นเลือด ราวกับเปลวไฟที่แผดเผาภายในร่างกายของเขา ผมสีดำที่เคยเรียบลื่นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาหย่อมๆ ผิวที่เคยเนียนกลับกลายเป็นคล้ำ และ หยาบกร้าน เขาสัมผัสได้ถึงมานาสีแดงที่แผ่ซ่านออกมาจากหน้าอกของเขาอย่างน่าสะพรึงกลัว ความโกรธแค้นที่เขาไม่รู้ที่มาถาโถมเข้าใส่ ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม มือที่กำแน่นขึ้นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ มีเลือดไหลซึมออกมา แต่เขาไม่สนใจ
หญิงสาวมองดูเขาด้วยความเป็นห่วง รู้ว่ากำลังเกิดสิ่งผิดปกติขึ้นกับร่างกายและจิตใจของเอรอส
“ถ้านายต้องการ...ฉันมีวิธี” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงความลังเล
เอรอสขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาของเขาฉายแววสงสัย “วิธีอะไร...?”
เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับไม่อยากเอ่ยมันออกมา
“มันจะต้องฝังหัวใจดวงใหม่เข้าไป...แต่ความเสี่ยงมีมาก หากมันไม่ยอมรับร่างของนาย...”
เอรอสยืนนิ่ง ดวงตาของเขาหรี่ลง ขณะที่คำพูดของเธอเหมือนก้องกังวานอยู่ในหู ความคิดวูบผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่หัวใจของเขากลับหนักอึ้งกว่าที่เคย
“แล้ว...หัวใจดวงนั้น...มันเป็นของใคร?”
เธอมองตรงมาที่เขา แววตาเต็มไปด้วยความเศร้าลึก ก่อนตอบเสียงเบา
“มันคือ...หัวใจของไรอัส คนที่ฉันเคยรัก...”
เอรอสพยักหน้าช้าๆเมื่อชื่อของ ไรอัส อาร์แคนเทีย ถูกกล่าวถึง ชายผู้เป็นตำนานจอมเวทผู้บุกเบิกเส้นทางเวทมนตร์ ชื่อของเขายังคงเป็นที่เล่าขานแม้เวลาจะผ่านไปนับหมื่นปี สายตาของเอรอสจับจ้องหญิงสาวตรงหน้า ราวกับเขาได้เห็นภาพของชายในตำนานนั้นสะท้อนออกมาผ่านดวงตาของเธอ“หลายหมื่นปีที่แล้ว ไรอัส อาร์แคนเทีย คือชื่อที่ไม่มีใครไม่รู้จัก เขาเป็นจอมเวทที่ปฏิวัติโลกเวทมนตร์ จนทำให้ผู้คนเคารพนับถือเขาด้วยความศรัทธา แต่ทว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่ทำให้เขาหายตัวไป ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่ไหน ตำนานของเขากลับกลายเป็นเครื่องหมายคำถามที่ยังไม่มีใครหาคำตอบได้” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความเศร้า“แล้ว... ประวัติศาสตร์ของไรอัสมีบางส่วนที่ขาดหายไป ไม่มีใครรู้ว่าวาระสุดท้ายของเขาเป็นอย่างไร” เอรอสกล่าว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย “มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้”“ใช่… ไม่มีใครรู้จุดจบของไรอัส... เขาหายตัวไป เหลือเพียงแค่ตำนานที่บอกเล่าถึงความยิ่งใหญ่ แม้ฉันจะรู้ แต่... นั่นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพูดได้” เธอหยุดไปชั่วครู่ ดวงตาของเธอวูบไหว แสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่เก็บซ่อนอยู่ใ
เอรอสลืมตาตื่นขึ้นในความมืด ห่างจากจุดที่เขาหายตัวไปก่อนหน้านี้เล็กน้อย เสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านซากอาคารที่พังทลาย แสงจันทร์ที่ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ ทำให้บรรยากาศรอบตัวดูน่าอึดอัด และ เย็นยะเยือก กลิ่นเหม็นอับจากเศษซากจากกองขยะที่สุมกระจายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้แต่เอรอสไม่ได้ใส่ใจสิ่งเหล่านั้น.. เพราะสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขามากที่สุดในตอนนี้ คือความจริงที่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และ ความเจ็บปวดในร่างกายที่ยังคงเหลืออยู่บ้างเล็กน้อยเขานอนนิ่งไปกับพื้นถนนสักพัก ก่อนจะเลื่อนมือไปแตะที่หน้าอก ในตำแหน่งที่มีรอยฉีกขาด รอยแผลเป็นเล็กๆยังคงมีอาการเจ็บแปลบหลงเหลืออยู่ เป็นเครื่องยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน“จอมเวทย์ในตำนาน...หรอ?” เอรอสพึมพำถึงจิตวิญญาณของไรอัสที่ติดมากับหัวใจ ตอนนี้จิตวิญญาณนั้นสงบนิ่ง ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับไม่มีเจตจำนงเป็นของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่ปกติ จิตวิญญาณของเขาที่เคยฉีกขาดค่อยๆ ผสาน และหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติแต่ถึงแม้มันจะหลอมรวมกัน ก็ยังรู้สึกถึงการแบ่งแยกได้อย่างชัดเจน เหมือนกับน้ำทะเล
เอรอสก้าวผ่านตรอกซอยที่เงียบสงบในยามค่ำคืนของเมืองอัลเธอเรียน แม้ความมืดจะปกคลุม แต่แสงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้าเบื้องบนยังคงสาดส่องให้เห็นเส้นทางอันคดเคี้ยว ท้องฟ้าปลอดโปร่ง มีเพียงก้อนเมฆบางๆ ที่ลอยอยู่ห่างไกลเอรอสย่ำเท้าไปอย่างระมัดระวัง สายลมพัดเบาๆพอให้สัมผัสได้ถึงความเย็นที่ค่อยๆซึมผ่านผิวของเขา เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำที่ปิดบังร่างกายได้เป็นอย่างดี แม้จะซ่อนตัวจากสายตาคนทั่วไปได้ แต่ในใจของเขายังเต้นแรงด้วยความกังวลเมื่อเขามาถึงหอพักที่เขาใช้เป็นที่พักอาศัย มันเป็นอาคารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยก่อน เสื่อมโทรมลงตามกาลเวลา ผนังถูกปกคลุมด้วยรอยแตกและสีที่ซีดลง แต่อาคารนี้ยังคงมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ผู้คนไม่อยากละสายตา สนามหญ้าด้านหน้าถูกดูแลอย่างดี แม้ว่าจะไม่ได้หรูหรา แต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นเอรอสเดินขึ้นไปบนชั้นสองของหอพัก เขาก้าวผ่านประตูเข้ามาโดยไม่รีบร้อนจนเกินไป สายตาของเขากวาดมองไปรอบๆ ตรวจดูทุกมุมทุกซอกที่อาจมีความเคลื่อนไหวใดๆ ที่ผิดปกติภายในห้องพักของเขา เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดเป็นของเรียบง่าย โต๊ะไม้เก่าๆที่มีรอยขีดข่วนจากการใช้งานมาหลายปีถูกวางไว้ตรงกลางห้อง ข้างบนโต๊ะมีกระ
"เป็นอะไรไปล่ะ? ทำไมไม่ตอบ?" เฟลิเซียเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแต่แฝงด้วยความสงสัย เธอยืนมองเอรอสที่ยังไม่ยอมตอบคำถาม ความเงียบนี้ช่างอึดอัดราวกับสายลมหนาวที่พัดผ่านหัวใจ เธอไม่ได้เร่งรัด เพียงจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของเขาอย่างละเอียดเอรอสยืนนิ่ง มือของเขาเริ่มสั่นเล็กน้อย ความเจ็บปวดแปลบที่หน้าอกจากหัวใจของไรอัสเริ่มทวีความรุนแรง มันทำให้ร่างกายของเขารู้สึกว่างเปล่า เหมือนบางอย่างภายในถูกดึงออกไปทีละน้อย ความสามารถการรับรู้ของเขาหายไป ทำให้ต้องตระหนักถึงสถานการณ์อย่างรอบคอบมากขึ้น“พวกเบื้องบนน่ะ ไม่ได้คาดหวังอะไรไว้กับนายเลย……"เธอพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา“คิดแค่ว่าเสียงร้องเรียนของพวกชนชั้นสูงมันน่ารำคาญ ก็เลยกะจะหาคนมารับผิดชอบให้มันจบๆไป”ก่อนจะพูดต่อ เฟลิเซีย มองเอรอสตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับพยายามสำรวจเขาอย่างละเอียด"แต่ดันให้ผลลัพท์เหนือความคาดหมาย….นายหาทางเข้าที่บังเอิญเกิดขึ้นมาแค่เพียงเสี้ยววินาทีได้ยังไง?”เธอเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะถามอย่างคาดคั้น“แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาตรวจสอบเรื่องนั้น ที่สำคัญกว่า.…..นายได้รับอะไรมาจากแม่มด?”เอรอสคิดในใจ "แม่มด? เธอน่ะเหรอ?" ก่อนจะนิ่งคิ
ก่อนหน้านี้เล็กน้อย ที่กิลนักผจญภัย บรรยากาศในห้องหนึ่งค่อยๆ เงียบลง เสียงจานและแก้วที่กระทบกันอย่างต่อเนื่องในมื้ออาหารเริ่มเบาลง สมาชิกในกลุ่มทั้งห้าต่างจมอยู่ในความคิดของตน มีเพียง “ลีน่า” หญิงสาววัย 20 ปี ที่ดูร้อนใจที่สุดลีน่านั่งกุมมือไว้บนตัก ดวงตาสีทองที่ซ่อนอยู่หลังแว่นหนา มองออกไปยังท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง ความกังวลสะท้อนชัดเจนบนใบหน้าเล็กๆ ของเธอ ผมสีน้ำตาลอมแดงที่มักมัดไว้หลังศีรษะ หลุดออกมาบางส่วน เธอเฝ้ามองนอกหน้าต่างอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันสายตากลับไปยังเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ตรงข้าม แต่ไม่มีใครดูเหมือนจะสนใจความกังวลของเธอมากนัก"รุ่นพี่เขาจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรอคะ? ไปตั้งแต่เช้าแล้ว... ตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย…"ลีน่าถามเสียงเบาแต่ชัดเจน น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยราวกับพยายามเก็บซ่อนความกังวลบรรยากาศรอบโต๊ะนิ่งเงียบลงเล็กน้อยจากคำถามของลีน่า เฟรย์ ชายหนุ่มวัยเดียวกัน รูปร่างสูงโปร่ง ผิวซีดแบบขุนนาง เอียงตัวไปข้างหน้าวางข้อศอกลงบนโต๊ะ มือข้างหนึ่งยกแก้วชาขึ้นจิบ ก่อนจะพูดตอบเธอด้วยน้ำเสียงสุขุม“ไม่เป็นไรหรอกลีน่า เขาไม่ใช่คนที่จะตายง่ายๆขนาดนั้น ก็เห็นรอดกลับมาตลอด”เขาพูดด้วยท่
“หยุดสิวะ... หยุด!!!”เอรอสที่ทรุดตัวนั่งอยู่บนพื้น ตะโกนในใจด้วยความอึดอัด ความเหนื่อยล้าที่กดทับร่างทำให้เขาหายใจหอบ สายตาของเขาพร่ามัว เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และความรู้สึกเจ็บปวดที่บีบคั้นราวกับถูกบีบรัดจากภายใน ความทรมานที่รู้สึกนั้นเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหวนี่เป็นครั้งที่สองแล้ว... ครั้งที่สองที่เขาถูกมันคุกคามหนักถึงขนาดนี้น ยิ่งเขาปล่อยให้มันเข้ามาในจิตใจมากเท่าไหร่ ทั้งสองก็ยิ่งเชื่อมต่อกันแน่นแฟ้นขึ้นทุกที เหมือนมีบางอย่างในตัวเขาถูกดึงออกไป... และในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ถูกถ่ายโอนกลับมา แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำก็ตามหลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ผลกระทบที่ยืดเยื้อก็ค่อยๆ จางหาย เอรอสนอนราบลงกับพื้น ถอนหายใจยาวเพื่อระบายความอึดอัดที่ยังหลงเหลืออยู่ เขาไม่สนใจเสื้อผ้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อหรือความอ่อนล้าที่ปกคลุมร่างกาย สิ่งที่เขาสนใจกลับเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามา ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเขา...มันเป็นภาพครอบครัวของเรย์นาร์ค... แม้เพียงเสี้ยวหนึ่งก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงในความทรงจำนั้น เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งและเด็กสาวอายุราว 8 ขวบ ทั้งสองมีผิวสี
แม้ว่าเอรอสจะพยายามรักษาระยะห่างจากเธอ แต่ทุกครั้งที่เกิดอันตรายขึ้น เขากลับปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือเสมอ แม้จะไม่ใช่ตัวตนเดิมก็ตามในช่วงเวลาปกติ เขาก็คอยแนะนำสถานที่สำหรับหาข้อมูล ของใช้ที่จำเป็นสำหรับการทำงาน หรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับคดีที่พวกเขาทำอยู่ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่พวกรุ่นพี่ที่ทำงานมาก่อนหน้านี้ไม่ยอมบอก ทำให้คำแนะนำของเอรอสกลายเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกขอบคุณมาโดยตลอดอย่างไรก็ตาม ภารกิจที่เขาได้รับจากกิลด์ส่วนใหญ่กลับเป็นเพียงงานธรรมดา ไม่เกี่ยวข้องกับแผนกสืบสวนเลย เช่น การส่งจดหมายไปที่เมืองอื่น หาแมวที่หายไป หรือแม้แต่ทำความสะอาดสถานที่บางแห่ง ภารกิจเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นงานที่ไม่สำคัญและไม่มีใครสนใจ นักผจญภัยคนอื่นมักเลือกทำภารกิจที่ท้าทายและมีผลตอบแทนมากกว่าเหตุผลที่เอรอสได้รับภารกิจเหล่านี้มาจากผู้จัดการของกิลด์เอง ผู้จัดการอ้างว่า ‘หน้าตาทางสังคมของกิลด์จะเสียหาย ถ้างานพวกนี้ไม่ถูกจัดการ’ เขามอบงานเหล่านั้นให้เอรอส โดยเจตนาซ่อนความสามารถของเขา เพื่อป้องกันไม่ให้เด่นเกินหน้าลูกชายหรือผู้จัดการเอง แม้ว่าหากจนปัญญาจริงๆ ก็จะตกมาถึงมือเขาเสมอลีน่าที่พยายามรักษาระยะห่างจากผู้
คำพูดของเฟรย์ทำให้บรรยากาศในห้องประชุมเงียบงัน ลีน่ากับโซเฟียสบตากันอย่างเคร่งเครียด หอคอยนักปราชญ์เป็นหนึ่งในองค์กรที่ทรงอำนาจที่สุดในประเทศ มีอิทธิพลเทียบเท่ากับตระกูลขุนนางชั้นสูงและราชวงศ์ เป็นศูนย์กลางขององค์ความรู้และเวทมนตร์ หากใครปรารถนาจะก้าวขึ้นเป็นจอมเวทชั้นแนวหน้า หอคอยนี้คือที่ที่พวกเขาต้องผ่านไป ไม่เพียงแต่ขึ้นชื่อในเรื่องการสอนเวทมนตร์ แต่ยังสร้างนักเวทผู้ทรงพลังมานับไม่ถ้วนการคัดเลือกผู้เข้าสู่หอคอยนั้นแสนเข้มงวด ผู้สมัครต้องมีวงแหวนอย่างน้อยสองวง และอายุไม่เกิน 20 ปี แม้ว่าพวกเขาจะผ่านเงื่อนไขที่กำหนดไว้ได้ การอยู่รอดในหอคอยก็ยังเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่น เพราะภายในนั้นเต็มไปด้วยการแข่งขัน และการต่อสู้เพื่อความเป็นหนึ่ง ที่นั่นยังเป็นสถานที่รวมเหล่าลูกหลานขุนนางที่ทรงอำนาจไว้อย่างมากมาย ทุกย่างก้าวในหอคอยจึงเต็มไปด้วยความอันตรายอยู่เสมอเฟรย์เอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่น “ไม่คิดเลยว่าหอคอยจะเข้ามาเกี่ยวข้อง... มันอันตรายเกินไปที่เราจะยุ่งกับเรื่องนี้”พวกทุกคนเข้าใจถึงความอันตรายของหอคอยเป็นอย่างดี เอรอสได้บอกข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับหอคอย และ เตือนพวกเขาว่าห้ามไปยุ่ง หรือ หาเรื่