ในชั่วพริบตา วงเวทขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเบื้องหน้า มันแผ่กระจายแสงสีแดงเข้มออกมาอย่างน่ากลัว พลังเวทที่แผ่ซ่านออกมากดทับทุกสิ่งรอบตัวจนบิดเบือนมานาในบรรยากาศกลายเป็นพายุหมุน เส้นอักขระซับซ้อนที่เคลื่อนที่บนวงเวทบ่งบอกถึงความรุนแรงและบ้าคลั่ง แม้เอรอสจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของมันโดยตรง แต่ความรู้สึกเย็นวาบที่วิ่งผ่านร่างบอกเขาว่า วงเวทนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายเขาโดยเฉพาะ
"บางอย่าง...กำลังจะมา" เอรอสพึมพำเบาๆ ขณะที่พยายามรวบรวมสมาธิ
แต่ก่อนที่เขาจะเตรียมพร้อมได้เต็มที่ ศรเวทสีเงินก็พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันเร็วราวกับฉีกอากาศออกเป็นเสี่ยงๆ เขาไม่ทันได้เห็นมันอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ สัญชาตญาณของเขาบังคับให้ยกแขนขึ้นป้องกัน แต่ศรนั้นพุ่งทะลุผ่านแขนของเขาไปอย่างง่ายดาย ราวกับว่าแขนของเขาไร้ความหมายต่อพลังนั้น
ไม่มีแรงกระแทก ไม่มีความรู้สึกจากการสัมผัสเนื้อหนัง—แค่ความเจ็บปวดที่เกิดจากพลังบางอย่างที่ลึกกว่าร่างกาย ศรเวทนั้นพุ่งเข้าปักกลางอกของเขาอย่างแม่นยำ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านราวกับคลื่นพลังที่แทรกซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา เอรอสทรุดลงกับพื้นทันที ร่างกายแทบจะตอบสนองไม่ได้ ความเจ็บปวดนั้นล้นทะลักเกินกว่าจะรับไหว เหมือนทุกสิ่งภายในตัวเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
“นี่มัน...” เอรอสกัดฟัน น้ำเสียงสั่นสะท้านเมื่อความเจ็บปวดแผ่ซ่านจากหน้าอก เขารู้สึกถึงบางสิ่งที่กำลังถูกฉีกออกจากจิตวิญญาณ ความทรงจำบางอย่างเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความหวาดกลัวและความรู้สึกถึงการสูญเสียที่ค่อยๆ ทวีขึ้น
แต่ก่อนที่เขาจะสิ้นสติ ต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้าเขาก็สั่นไหว กิ่งก้านยืดออกมาโอบล้อมเขา ใบไม้สีเขียวอ่อนเปล่งแสงสว่างออกมาต้านทานพลังมืดที่ถาโถมเข้ามา กิ่งก้านของมันยืดออกเหมือนเกราะคุ้มกันที่อ่อนโยน แต่มั่นคง รากใหญ่ของมันโอบล้อมเอรอสไว้เหมือนแม่ที่ปกป้องลูก แม้จะมีเพียงเล็กน้อย แต่มันช่วยลดความเจ็บปวดได้ในขณะที่เขาพยายามตั้งสติ
อย่างไรก็ตาม การโจมตีจากวงเวทไม่หยุดลง พลังเวทมหาศาลถาโถมใส่ต้นไม้อย่างไม่หยุดยั้ง เสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง ราวกับโลกทั้งใบกำลังตอบสนองต่อพลังนี้ กิ่งก้านที่เคยแข็งแกร่งเริ่มแตกหัก เปลือกไม้ที่เคยหนาแน่นเริ่มแยกออกเป็นชิ้นๆ ใบไม้ร่วงโรยลงมาเป็นชั้นๆ ต้นไม้ที่เคยเป็นที่พึ่งพิงของเอรอสกำลังถูกทำลายไปอย่างช้าๆ
“ไม่… ไม่นะ…” เอรอสพึมพำ เสียงแผ่วเบาของเขาแฝงไปด้วยความเจ็บปวด หัวใจของเขาหนักอึ้ง เขาพยายามจะลุกขึ้นสู้ แต่ร่างของเขาถูกตรึงไว้แน่น พลังเวทที่กัดกินจิตวิญญาณของเขาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ความเจ็บปวดจากภายในร่างกายทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังหลุดลอย ความทรงจำหายไปทีละชั้น เหมือนถูกลบเลือนอย่างไร้ปรานี
สุดท้าย เสียงแตกหักสุดท้ายก็ดังขึ้น ต้นไม้ที่ปกป้องเขาแตกสลายลง กิ่งก้านและรากที่โอบล้อมเขาหายไปเหมือนผุยผงที่กระจายสู่พื้นดิน ความหวังที่เขาเคยมีถูกทำลายลงพร้อมกับต้นไม้ใหญ่ที่เคยยืนหยัดอย่างสง่างาม
เมื่อทุกสิ่งดูเหมือนจะสิ้นสุด วงเวทที่เคยหมุนวนด้วยความบ้าคลั่งก็ค่อยๆ หยุดลง อักขระที่วิ่งไปมาบนวงเวทก็หายไปเหมือนควันบางเบา บรรยากาศรอบตัวกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ราวกับพายุที่พัดผ่านไป
“…มันปกป้องฉัน…” เอรอสพูดเบาๆ จิตวิญญาณของเขาบางส่วนถูกทำลายไป แม้เขาจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ความรู้สึกบางอย่างในตัวเขาได้สูญหายไปตลอดกาล ร่างกายของเขาหนักอึ้ง เหมือนถูกกดทับด้วยความโศกเศร้า เขานอนหายใจหนักอยู่กับพื้น ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป
ทันใดนั้น ร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งก็ก้าวเข้ามา เธอหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ มองลงมาที่เขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย แม้เอรอสจะสับสนและเจ็บปวด แต่เขารู้สึกได้ว่าผู้หญิงคนนี้เข้าใจความรู้สึกของเขา… ราวกับเธอเคยสูญเสียมาก่อน สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเศร้าและความรู้สึกผิด
“ขอโทษนะ…” เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
"เจตจำนงแห่งโลก…มันไม่ใช่สิ่งที่ใครจะขัดขวางได้ ตราบใดที่มานายังมีอยู่ มันก็จะไม่หยุด ใครก็ตามที่ขัดขวางมันก็จะถูกทำลาย...เหมือนกับต้นไม้นี้"
เอรอสมองซากต้นไม้ที่แตกสลายเป็นเถ้าถ่าน ความรู้สึกโทษตัวเองแฝงอยู่ในน้ำเสียงของหญิงสาว เขาไม่ตอบอะไร แค่จ้องมองลงไปที่พื้นดินเย็นเยียบ ความคิดมากมายวิ่งพล่านอยู่ในหัวของเขา ร่างกายของเขายังคงสั่นสะท้านจากความเจ็บปวดที่แทรกซึมลึกถึงจิตวิญญาณ
ร่างกายเขาแทบจะตอบสนองไม่ได้ ความเจ็บปวดที่ท่วมท้นนี้ ราวกับทำให้โลกรอบตัวเขาเบลอไปชั่วขณะ หูของเขาได้ยินเสียงแตกของกิ่งไม้ เสียงใบไม้ที่ร่วงหล่น แม้กระทั่งลมหายใจของตัวเองก็ฟังดูไกลออกไปเรื่อยๆ แต่ในความเบลอนั้น สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่บางสิ่งใต้ต้นไม้ที่กำลังพังทลาย—กล่องไม้เล็กๆ ที่เขาเคยลืมมันไป ร่างกายที่บอบช้ำถูกบังคับให้เคลื่อนไหว เอรอสค่อยๆ ยืดมือไปขุดดินตงนั้น ราวกับว่านี่เป็นสิ่งเดียวที่ยังยึดเหนี่ยวความเป็นตัวของเขาไว้"
"ในที่สุด..." เสียงของเขาเบา แฝงไปด้วยความอบอุ่นที่แทรกผ่านความเจ็บปวดในใจ เอรอสดึงกล่องขึ้นมา มือของเขายังคงสั่นเล็กน้อยเมื่อเปิดฝา เสียงสนิมขัดของบานพับดังก้องขึ้น ฝาฝนของกล่องเปิดออก เผยให้เห็นสมุดภาพเล่มเก่าและดินสอสีที่เคยถูกเก็บไว้อย่างดี
สายตาของเขาจับจ้องไปที่สมุดภาพนั้น เขาเปิดมันออกอย่างระมัดระวัง ภาพวาดแต่ละหน้าเผยให้เห็นความไร้เดียงสาในวัยเด็ก ทุกภาพสะท้อนความทรงจำที่เคยสดใส และ มีชีวิตชีวา แต่ในเวลานี้ ทุกสิ่งที่ปรากฏกลับเป็นเพียงเงาของสิ่งที่สูญเสียไป
“นี่มัน…” เอรอสพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่ว ขณะที่นิ้วของเขาลูบไปบนภาพวาดสุดท้าย ภาพของเด็กสามคนที่เคยเล่นกันอย่างมีความสุขในวันวาน ภาพใบหน้าของเด็กหญิงผมสีเงินเริ่มเลือนลางตามกาลเวลา ความทรงจำที่ครั้งหนึ่งเคยชัดเจน ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงภาพที่จางหายไป
ขณะที่เอรอสกำลังจมอยู่ในอดีต หญิงสาวก็ก้าวเข้ามาใกล้ เสียงฝีเท้าของเธอแผ่วเบาแต่หนักแน่นในความเงียบงัน เมื่อเธอหยุดยืนอยู่ใกล้เขา เธอมองไปที่กล่องในมือเขาแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ
“ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นของสำคัญมากสินะ…?”
เอรอสเงยหน้าขึ้นมองเธอ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย แต่คำตอบของเขากลับสั้นและชัดเจน
“มันคืออดีต... อดีตที่ฉันต้องตามหากลับคืนมา”
เขาหลบสายตา ความรู้สึกในใจหนักหน่วงราวกับถูกกดทับด้วยความทรงจำที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่หญิงสาวยืนอยู่ข้างๆ เธอสัมผัสได้ถึงความทุกข์และความเศร้าโศกที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจของเขา
“นาย...” น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา และ อบอุ่น ราวกับสายลมอ่อนๆที่ช่วยปลอบโยน
"ฉันเข้าใจดี ว่ามันยากที่จะปล่อยวางความทรงจำที่เสียไป แต่การยึดติดกับอดีตแบบนี้จะทำให้นายก้าวไปข้างหน้าไม่ได้"
เอรอสถอนหายใจยาว ราวกับทุกลมหายใจถูกดึงเอาความเจ็บปวดจากภายในออกมา
“แต่...ฉันรู้สึกเหมือนกำลังสูญเสียทุกอย่าง ความทรงจำเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้ฉันเป็นตัวของตัวเอง” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ หัวใจของเขายังคงหนักหน่วงด้วยความเจ็บปวดที่ไม่จางหาย
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเข้าใจ และ เห็นอกเห็นใจ
“ฉันเข้าใจ... แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาสำหรับการจมอยู่กับอดีต เธอจำเป็นต้องมองไปข้างหน้า” เธอพูดเบาๆแต่แฝงไปด้วยความจริงจัง
เธอชี้ไปที่หน้าอกของเอรอส ซึ่งบอบช้ำจากการโจมตีเมื่อครู่ โดยที่เขายังไม่ได้สังเกตมาก่อน
“ดูสิ...หัวใจของเธอถูกทำลาย แต่กลับมีหัวใจดวงใหม่กำลังก่อตัวขึ้น...แต่ความรู้สึกที่แผ่ออกมา...เหมือนกับว่าไม่ใช่ของเธอ”
ทันใดนั้น เอรอสรู้สึกถึงความร้อนที่วิ่งผ่านเส้นเลือด ราวกับเปลวไฟที่แผดเผาภายในร่างกายของเขา ผมสีดำที่เคยเรียบลื่นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาหย่อมๆ ผิวที่เคยเนียนกลับกลายเป็นคล้ำ และ หยาบกร้าน เขาสัมผัสได้ถึงมานาสีแดงที่แผ่ซ่านออกมาจากหน้าอกของเขาอย่างน่าสะพรึงกลัว ความโกรธแค้นที่เขาไม่รู้ที่มาถาโถมเข้าใส่ ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม มือที่กำแน่นขึ้นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ มีเลือดไหลซึมออกมา แต่เขาไม่สนใจ
หญิงสาวมองดูเขาด้วยความเป็นห่วง รู้ว่ากำลังเกิดสิ่งผิดปกติขึ้นกับร่างกายและจิตใจของเอรอส
“ถ้านายต้องการ...ฉันมีวิธี” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงความลังเล
เอรอสขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาของเขาฉายแววสงสัย “วิธีอะไร...?”
เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับไม่อยากเอ่ยมันออกมา
“มันจะต้องฝังหัวใจดวงใหม่เข้าไป...แต่ความเสี่ยงมีมาก หากมันไม่ยอมรับร่างของนาย...”
เอรอสยืนนิ่ง ดวงตาของเขาหรี่ลง ขณะที่คำพูดของเธอเหมือนก้องกังวานอยู่ในหู ความคิดวูบผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่หัวใจของเขากลับหนักอึ้งกว่าที่เคย
“แล้ว...หัวใจดวงนั้น...มันเป็นของใคร?”
เธอมองตรงมาที่เขา แววตาเต็มไปด้วยความเศร้าลึก ก่อนตอบเสียงเบา
“มันคือ...หัวใจของไรอัส คนที่ฉันเคยรัก...”
เอรอสเดินงัวเงียผ่านซอกซอยในย่านเมืองหลวง หลังจากที่ไปพบกับกลุ่มผู้เสียหายที่เพิ่งถูกพบตัวไม่นาน หลายคนให้ความร่วมมือกับเขาด้วยท่าทางอ่อนล้า เหมือนยังไม่สามารถดึงสติกลับมาได้เต็มที่ บางคนแม้จะมองเห็นเขาอยู่ตรงหน้า แต่ก็เหมือนสายตาล่องลอยออกไปที่อื่นขณะที่เอรอสคุยกับพวกเขา เขาสังเกตได้ว่าความทรงจำที่ขาดหายไปนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ช่วงเวลาที่พวกเขาหายตัวไปเท่านั้น แต่ยังมีบางส่วนของเหตุการณ์ก่อนการหายตัวที่ดูเหมือนจะถูกลบออกไปด้วย ผู้เสียหายแต่ละคนต่างจำเหตุการณ์หรือสถานการณ์ก่อนหน้าของตัวเองได้เพียงลางๆ ราวกับว่ามีบางสิ่งที่ทำให้พวกเขาสูญเสียช่วงเวลาสำคัญของตัวเองไปแม้ว่าการสอบปากคำจะไม่ได้ให้ข้อมูลใหม่ๆ ที่สำคัญ แต่เอรอสยังพอจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง—ร่องรอยของมานาที่ดูแปลกประหลาด แผ่กระจายอำนาจและพลังที่ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของโลก ในนั้นมีความรู้สึกอันรุนแรงบางอย่างที่เขาสัมผัสได้ชัดเจน ราวกับเป็นอำนาจที่สามารถหักล้างทุกกฎที่เคยรู้จักหนึ่งในตัวตนที่เขานึกถึงก็คือแม่มด ผู้ที่ลือกันว่าเป็นผู้เดียวที่มีพลังสามารถดัดแปลงและฝืนกฏเกณฑ์ของโลกได้ เอรอสจดบันทึกข้อมูลนี้ไว้ในใจ พลางเดินเปร
เอรอสพยายามเพ่งมองรอบตัว แม้จะรู้ว่าทุกสิ่งถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา แต่บางอย่างในสายตาของเขาเริ่มเปลี่ยนไป ทุกย่างก้าวดูเหมือนจะถอยห่างจากโลกความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเขาเต้นแรง แต่ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้น—มันคือความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่อาจอธิบายได้ขณะที่เขายกมือขึ้นเพื่อฝ่าหมอกหนานั้น สายตาเขาก็เหลือบเห็นบางสิ่งที่ผิดแปลกไปที่มือทั้งสองข้างของตัวเอง"นี่มันอะไรกัน…" เขาพึมพำมือทั้งสองข้างของเขาดูเล็กลง นิ้วเรียวยาวที่เคยหยาบกร้านจากการทำงาน และ รอยถลอกมากมาย กลับเปลี่ยนไปเป็นนิ้วมือของเด็กวัยสิบขวบ แขนที่เคยแข็งแรงเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ กลายเป็นแขนเล็กผอมบางของเด็กชาย ราวกับร่างกายทั้งหมดของเขาถูกย้อนกลับไปในวัยที่เขาไม่อาจจดจำได้อย่างแจ่มชัดเมื่อเขาก้มมองตัวเอง ชุดที่เคยเป็นเสื้อโค้ทสีดำเข้ม และกางเกงขายาวก็เปลี่ยนไปเป็นเสื้อผ้าแบบเด็กในยุคนั้น เสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดกับกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลอ่อน รองเท้าหนังเก่าที่ดูเรียบง่ายแต่เหมาะกับเด็กในวัยนั้น"นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกับตัวฉัน…" เอรอสพูดเสียงแผ่วก่อนที่เขาจะทันตั้งคำถามไปมากกว่านี้ เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นจากข้างหลัง เมื่อหันกลับ
เอรอสค่อยๆได้ยินเสียงบางอย่างที่ดังอยู่ไกลๆราวกับเสียงคลื่นซัดกระทบชายฝั่ง มันเป็นเสียงที่เขาไม่คุ้นเคย แต่กลับฟังดูปลอบโยน ในที่สุด เขาลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตายังพร่ามัวราวกับยังติดอยู่ในห้วงฝันอันยาวนานเขาไม่แน่ใจว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไร รู้เพียงว่าร่างกายที่เคยเล็กและอ่อนแรงกลับรู้สึกหนักแน่น และ มีเรี่ยงแรงขึ้นอีกครั้ง นิ้วมือที่เคยดูเล็กเหมือนของเด็ก ตอนนี้กลับมาเรียวยาวและหยาบกร้าน เขาก้มมองมือตัวเองในความมืด นิ้วที่เคยเปื้อนดิน และ รอยแผลเก่าๆที่คุ้นเคยปรากฏกลับมาอย่างชัดเจนร่างกายของเขากลับมาเป็นปกติ—เป็นร่างของผู้ใหญ่ที่เขาจำได้เขาค่อยๆลุกขึ้นยืน ขาและลำตัวที่กลับมาสมส่วนให้ความรู้สึกมั่นคง เสื้อโค้ทสีดำกับกางเกงขายาวของเขาก็กลับคืนมาแทนที่เสื้อผ้าแบบเด็กที่เขาเห็นในภาพหลอน เอรอสลูบแขนเสื้อเบาๆเพื่อยืนยันว่ามันเป็นของจริง"มันเกิดอะไรขึ้นกัน..." เขาพึมพำ เสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย แต่หนักแน่นกว่าในฝันเขาสูดหายใจลึกและหันมองรอบตัวอีกครั้ง แม้จะยังคงปกคลุมด้วยหมอกสีดำ แต่มีบางสิ่งดึงดูดสายตาของเขาไปที่ใจกลางพื้นที่นั้น โดมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ท่ามกลางความมืดลึกลับ รูปทรงของมันดูเ
แสงสีทองส่องลอดผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งไม้ใหญ่ที่ทอดตัวเหนือศาลาสีขาว หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา ดวงตาสีเงินเข้มของเธอจับจ้องไปที่เบื้องหน้า ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อยราวกับคนที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหล เสียงลมพัดผ่านกิ่งไม้ทำให้ใบไม้สั่นไหว ก่อให้เกิดบรรยากาศอันสงบนิ่งแฝงความลึกลับที่แผ่คลุมทั่วพื้นที่ ศาลาแห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นจุดหนึ่งที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เธอสูดลมหายใจลึก พยายามสงบความรู้สึกประหลาดที่วนเวียนอยู่ในใจในตอนที่คิดว่าทุกอย่างเป็นปกติ เฉกเช่นทุกวันที่ผ่านมา ความคิดที่ยังไม่ตื่นตัวเต็มที่ก็เกิดความสงสัย เมื่อดวงตาของเธอเหลือบไปเห็นเงาของบุคคลที่ไม่คาดคิด—เอรอส ชายที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางแสงที่สะท้อนมาจากใบไม้ ห่างจากเธอเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ราวกับว่าธรรมชาติโดยรอบหยุดนิ่งเพื่อต้อนรับการมาถึงของเขาพริบตานั้น หัวใจของเธอกระตุกด้วยความตกใจ สัญชาติญาณของเธอกำลังกู่ร้องถึงความอันตรายของชายที่อยู่ตรงหน้า เอรอสสามารถลอบผ่านสัมผัสรับรู้ถึงเวทมนตร์ของเธอ และ เข้ามาใกล้โดยไม่ทันตั้งตัว พลังเวทย์ที่สงบอยู่ในกายของเธอพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรุนแรงเหมือนถูกกระตุ้นโดยอารมณ์ที่สั่นไหว ดวงตาสี
หญิงสาวนั่งอยู่บนม้านั่งหินในศาลา ท่าทางดูสงบนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น กรงโลหะที่บรรจุหัวใจสีแดงกำลังส่องแสงริบหรี่จางๆอยู่ข้างๆตัวเธอ ดวงตาสีเงินเข้มของเธอจ้องมองเอรอสตรงหน้า แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกเหมือนสายตานับพันกำลังจับจ้องเขาอยู่รอบทิศทาง ราวกับทุกมุมมองถูกตรวจสอบจนหมดสิ้น นั่นเป็นผลจากพลังเวทย์ของเธอที่แทรกซึมอยู่ในมานาบริเวณโดยรอบบรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือกจนแผ่ซ่านไปถึงกระดูก มวลมานาอันเข้มข้นที่แฝงด้วยพลังเวทย์ของหญิงสาวกดทับบรรยากาศไว้ ราวกับมันกำลังตอบสนองต่อเจตจำนงที่เธอปลดปล่อยเสียงที่เย็นเยียบแต่แฝงความหนักแน่นดังขึ้นขัดความเงียบงัน"นายเข้ามาที่นี่ได้ยังไง?" เธอเอ่ยถาม สายตาของเธอไม่ได้ลดละจากตัวเขา "ยังไม่ถึงเวลาทดสอบเลย..."คำพูดนั้นเหมือนคำเตือนที่ทำให้เอรอสต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น แต่เขายังคงนิ่งเงียบ ความเงียบของเขาไม่ได้ทำให้เธอหงุดหงิด ตรงกันข้าม มันเหมือนทำให้เธอสนใจในตัวเขามากขึ้น"ถ้านายไม่อยากตอบ ฉันก็ไม่บังคับ" เธอกล่าวพลางเอนตัวพิงพนักม้านั่ง รอยยิ้มบางจางปรากฏขึ้นที่มุมปาก"ถึงจะเป็นผู้บุกรุก แต่ฉันจะยอมให้นายถามคำถามก่อนก็ได้ เห็นแก่ความกล้านั้นของนาย"เ
"น่าสนใจใช่ไหม?" หญิงสาวพูดขึ้น เธอสังเกตสีหน้าของเอรอสอย่างพึงพอใจ “แต่ละคนก็มีเรื่องราวและพลังของตัวเอง น่าเสียดายที่ไม่มีใครผ่านการทดสอบได้เลย”เธอพูดอย่างนั้น ก่อนจะสบัดมืออีกครั้ง คริสตัลเหล่านั้นหายไปเบื้องหน้าเขาเพียงชั่วพริบตา ทิ้งไว้เพียงร่องรอยของพื้นดินที่ถูกคริสตัลเหล่านั้นกดทับ แต่เพียงชั่วครู่ พื้นที่เหล่านั้นก็ถูกฟื้นฟูจนกลับมาเหมือนใหม่ รู้สึกได้ถึงมานาโดยรอบกำลังซึมลงสู่พื้นดินอย่างช้าๆ คล้ายหยาดน้ำค้างตอนรุ่งอรุณ อากาศโดยรอบมีกลิ่นหอมจางๆ เหมือนกลิ่นไม้สดใหม่ พื้นที่ที่เคยถูกคริสตัลกดทับกลับมาเรียบเนียนอีกครั้งราวกับเวลาถูกย้อนคืน พื้นที่นั้นฟื้นฟูด้วยตัวเอง ราวกับมีชีวิต มานาที่แทรกซึมลงดินกลับทำหน้าที่โดยไม่ต้องอาศัยพลังเวทย์ของหญิงสาว เอรอสหันกลับไปมอง ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความไม่ไว้ใจ"พวกเขาเข้ารับการทดสอบด้วยตัวเองอย่างนั้นเหรอ?"หญิงสาวเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนตอบอย่างเรียบง่าย "ใช่ พวกเขามาที่นี่ด้วยความสมัครใจ ตั้งแต่พวกเขาก้าวเข้าสู่วงเวทย์ที่สุ่มเกิดขึ้นด้านนอก ในตอนนั้นก็ถือว่าพวกเขาต้องการเข้ารับการทดสอบแล้ว"หญิงสาวยักไหล่เบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรี
เอรอสหยุดพูดไปชั่วครู่หลังจากเอ่ยปากว่าจะเล่าเรื่องให้หญิงสาวฟัง ดวงตาสีเทาหม่นของเขามองลงต่ำ ราวกับกำลังพยายามจับความทรงจำที่กระจัดกระจาย“จริงๆแล้ว...ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งที่ซ่อนอารมณ์บางอย่างลึกลงไป“ที่นี่…มันให้ความรู้สึกแปลกๆ….เหมือนว่าฉันเคยมาที่นี่ แต่ฉันกลับจำอะไรไม่ได้เลย”หญิงสาวมองเขาด้วยความสนใจ ดวงตาสีน้ำเงินของเธอเปล่งประกายด้วยความอยากรู้“แล้วอะไรที่ทำให้นายมั่นใจว่านายเคยมาที่นี่จริงๆ?”เอรอสไม่ได้ตอบในทันที เขาเบือนสายตามองไปรอบๆราวกับพยายามค้นหาเศษเสี้ยวความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ ทันใดนั้น เขาก็หยุดนิ่ง ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังมุมเสาของศาลา รอยขีดเล็กๆบนเนื้อไม้ดึงดูดสายตาเขาอย่างประหลาดเขาเดินเข้าไปใกล้ มือยื่นออกไปแตะเสาเบาๆ รอยขีดสามเส้นเล็กๆที่มีระยะห่างเล็กน้อยกันปรากฏชัดในสายตา แม้จะดูธรรมดา แต่กลับทำให้หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว “นี่มัน…”นิ้วมือของเขาไล้ไปตามรอยขีดนั้น ความหยาบกร้านของเนื้อไม้สะกิดความทรงจำที่เลือนลางให้ชัดเจนขึ้น ดวงตาของเขาเผยแววอารมณ์ที่ซับซ้อน ก่อนจะพึมพำออกมาราวกับพูดกับตัวเอง“เหมือนกับ...ที่ๆเราเค
สายลมที่พัดผ่านต้นไม้ใหญ่นั้นแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่กลับนำพาบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า—กลิ่นอายของอดีตที่หวนคืนมาในทุกลมหายใจเอรอสพลิกสมุดภาพในมืออย่างแผ่วเบา ทุกหน้ากระดาษเหมือนพาเขาดำดิ่งลึกลงไปในความทรงจำ ภาพเลือนรางที่เคยจางหายกลับชัดเจนขึ้น เสียงหัวเราะในวัยเยาว์สะท้อนขึ้นมาในใจ คำสัญญาที่หลงลืมกลับมาก่อตัวอีกครั้ง ทันใดนั้น บรรยากาศรอบตัวกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อยหญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกล หันมามองเขาด้วยสายตาสงสัย "เกิดอะไรขึ้น..." เธอเอ่ยออกมาเบาๆก่อนจะหยุดชะงักเมื่อสายลมรอบๆ ต้นไม้เริ่มพัดไหวเบาๆ เหมือนกำลังแหวกม่านบางๆ เผยให้เห็นบางสิ่งที่อยู่อีกฟากของเวลาและแล้ว...ภาพในสมุดภาพก็เหมือนจะก้าวข้ามหน้ากระดาษเบื้องหน้าของพวกเขาปรากฏเป็นภาพลวงตาที่ไม่อาจอธิบายได้ เด็กชายในชุดเรียบง่ายปรากฏตัวพร้อมเด็กสาวสองคน พวกเขาหัวเราะสดใสราวกับไม่ได้รับรู้ถึงสายตาของผู้ชมจากอนาคต ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยชีวิตชีวาเหมือนมองผ่านหน้าต่างแห่งเวลาหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ เอรอส มองภาพเหล่านั้นอย่างตกตะลึง "นี่มัน..." เธออ้าปากค้าง แต่เสียงของเธอกลับถูกกลืนหายไปกับเสียงหัวเราะแผ่
เอเลน่านั่งอยู่บนเตียง จ้องมองอาร์วินที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย ดวงตาสีเทาที่มองมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความลึกที่อธิบายไม่ได้ มีบางสิ่งในแววตานั้นที่ทำให้หัวใจเธอสั่นไหว แต่เธออ่านมันไม่ออกบรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด เสียงลมเบาๆ จากหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ดังก้องในห้องที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของผ้าปูที่นอนใต้ฝ่ามือ พยายามดึงสติกลับมา แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนถูกตรึงด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นอาร์วินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา"เอเลน่า... ฉันไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน แต่ฉันจะพยายามเล่าให้เธอฟัง"เสียงของเขานุ่มลึก แต่สั่นเครือเล็กน้อย เธอรู้ว่าเขากำลังแบกรับอะไรบางอย่างที่หนักหนา ทว่าในใจของเธอเองก็เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้จบ เอเลน่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงให้เขาพูดต่อ แม้ในใจจะปั่นป่วนจนแทบระเบิดอาร์วินถอนหายใจยาว เสียงนั้นเหมือนลมหายใจที่พยายามปลดปล่อยความกดดันบางอย่าง"ตอนที่ฉันถูกจับอยู่ในคุก... ฉ
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ เอเลน่าค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆ กลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันที่ไม่อยากตื่นจากมันเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งหลับพิงเก้าอี้อยู่ ใบหน้าสงบนิ่งในเงามืด เส้นผมสีทองของเขาดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เอเลน่าจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ช่วงเวลานี้เผยให้เห็นอีกด้านของเขา—ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนเร้นก่อนหน้า ทำให้เธอโล่งใจเล็กน้อย ดวงตาของเธอสบเข้ากับใบหน้าอ่อนล้าของเขา ความรู้สึกปะปนกันระหว่างความสับสนและความอบอุ่นไหลเวียนในอก“อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆเหมือนจะยืนยันว่าเขาอยู่ตรงนี้จริงๆ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อเหลือบมองตัวเองที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เตียงของเธอ แต่เป็นของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงข
เอรอสก้าวออกจากป่าทึบในรูปลักษณ์ของอาร์วิน สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านตัวเขาอย่างแผ่วเบา แสงจันทร์ยังคงสลัวทำให้เห็นเงาของคฤหาสน์ตระกูลวัลธอเรนลางๆ อยู่ไม่ไกล จุดที่เขามุ่งหน้าไปคือบริเวณใต้หน้าต่างห้องพักของเขาเองก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เขาเคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อนชายแปลกหน้าที่เอรอสช่วยเหลือไว้ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาวราวกับหยิบยกมาจากยุคโบราณ ชายคนนี้ดูเหมือนนักเดินทางที่หลงยุค เขาอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เอรอสจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวันแทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยมาให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ
คลินิกของโจชัว ตั้งอยู่ในเขตสามัญชน ตัวอาคารหินสีซีดดูเรียบง่ายแฝงความล้าสมัย ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึก หน้าต่างกระจกสีชั้นล่างสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไป ลวดลายบนกระจกดูเหมือนจะพร่ามัวในแสงสลัว คลินิกนี้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนโรงพยาบาล แต่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยประมาณสิบคน เหมาะสำหรับการดูแลแบบส่วนตัวยามตีสี่ ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ ความเงียบรอบตัวแทบจะทำให้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วงกระทบพื้น เอรอสยืนพิงกำแพงใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ตรงข้ามคลินิก แม้ลมหนาวจะพัดแรง แต่ร่างกายของเอรอสกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาต่อความเย็น ราวกับความหนาวนั้นไม่อาจแตะต้องเขาได้ ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยังหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท นั่นเป็นห้องทำงานของโจชัว ซึ่งเขาใช้สำหรับจัดการเอกสารในช่วงกลางวัน แต่ในยามนี้ ไม่มีแสงไฟส่องลอดออกมา“ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่…” เขาพึมพำเสียงเบา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงนั้นแทบชัดเจนในสายลม เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียง กระโดดขึ้นเกาะขอบหน้าต่างชั้นสอง เสียงลมแผ่วเบาและใบไม้ไหวกลบการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาสีแดงสังเกตการณ์ในห้องอีกครั้งเพื่อยืนยันว่
คาร์ลีนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้ในดันเจี้ยนที่ผสานเขากับเขตแดนของเธอ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ความสัมพันธ์ลึกลับนี้ ทำให้คาร์ลีนรับรู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอเรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของชายที่มีฉายาว่า จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มาเนิ่นนาน แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากของเขาโดยตรงเธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับคำพูดนั้นหนักเกินกว่าจะเปล่งออกมาดวงตาสีม่วงเข้มของเธอสะท้อนแสงจากโคมไฟ เธอนั่งนิ่งราวกับขบคิด แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ ความหนักใจเหมือนสายลมหนาวที่แผ่วผ่านกลับถูกเติมเต็มด้วยความหวังอันเปราะบาง เธออยากให้เขามาหา อยากได
เอรอสค่อยๆตื่นขึ้นในห้องประชุมท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ มีเพียงแสงริบหรี่ที่ส่องลอดเข้ามาจากขอบประตู ร่องรอยของเวทมนตร์เก่าก่อนยังคงอบอวลอยู่ในอากาศจางๆ แม้แสงจากเทียนเวทมนตร์ที่เคยให้ความสว่างจะดับไปจากการตัดการเชื่อมต่อกับเวทมนตร์ทำให้บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกและว่างเปล่า แต่กลิ่นอายของพลังที่เหลืออยู่ยังคงสร้างแรงกดดันให้ผู้ที่อยู่ภายในเล็กน้อยเขาขยับตัวกึ่งลุกกึ่งนั่งจากเก้าอี้ที่ดูเหมือนจะทำให้เขาหลับไปลึกเกินคาด โต๊ะยาวตรงหน้าเขามีแฟ้มเอกสารเล็กๆวางไว้อยู่ ดูเหมือนจะเป็นเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะรับปากจะจัดการให้เขาหยิบแฟ้มเอกสารที่วางไว้บนโต๊ะมาตรวจสอบ ใช้มือสีคล้ำที่มีกล้ามเนื้อชัดเจนลูบเส้นผมสีเทาของตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกความกระปรี้กระเปร่า สายตาสีแดงฉานของเขากวาดมองไปทั่วห้องเล็กๆที่ยังคงอบอวลด้วยบรรากาศที่ชวนให้รู้สึกพิศวง พลางเหลือบมองเวลาที่บอกเขาว่านี้เป็นเวลาตี 1 ดูเหมือนเขาจะเผลอหลับไปแค่ชั่วโมงเดียว ยังดีที่เสียเวลาแค่นั้นหลังจากตรวจดูเอกสารครู่หนึ่งโดยที่ไม่มีใจความสำคัญอะไรที่ทำให้เขาต้องรีบร้อนเป็นพิเศษ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ และก้าวออกจาก
เสียงกระซิบแห่งเวทมนตร์ แผ่วเบา แต่ทรงพลัง ดังก้องอยู่ในอากาศอันเย็นเยียบ ริบบิ้นสีดำ ที่ราวกับเงาแห่งความมืดจากอีกโลกหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า มันเคลื่อนไหวดั่งมีชีวิต เลื้อยวนรอบร่างของ เอรอส ซ้อนชั้นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับงูพิษที่กำลังจู่โจมเหยื่อ ความแน่นหนาของริบบิ้นทำให้แม้แต่ลมหายใจยังรู้สึกตึงเครียด แขนขาถูกตรึงแน่น ริบบิ้นเลื้อยขึ้นสูง ปิดริมฝีปาก และบดบังดวงตาของเขาไว้อย่างมิดชิด ไม่ว่าจะดิ้นรนหรือใช้พลังทั้งหมดที่มี พันธนาการเหล่านั้นยังคงรัดแน่น น้ำหนักของเวทมนตร์ที่โอบล้อมร่างเขาเหมือนโซ่ตรวนหนักอึ้งที่ไม่มีวันปลดได้จอมเวทย์ผู้ร่ายมนตรามองดูภาพตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา รอยยิ้มที่มุมปากของเขา แฝงความพอใจอย่างปิดไม่มิด ในขณะที่อีกคนหนึ่งในกลุ่มของเขาเดินเข้ามาใกล้ กระชากคอเสื้อของเอรอสอย่างรุนแรง พร้อมๆกับลากเขาไปกับพื้น ราวกับเป็นเพียงสิ่งของไร้ค่าไม่ไกลออกไป ไอลีน ยืนตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างขณะมองสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไปได้ ก่อนที่วิ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความแน่วแน่ แล้วตะโกนเสียงดังลั่น"หยุดเดี๋ยวนี้! คุณตั้งใจจะพาเขาไปที่ไหน?"น้ำเสียง
เมื่อเอรอสเฝ้ามองไอลีนอยู่นาน สีหน้าเย็นชาของเขาเริ่มแสดงความไม่พอใจออกมาเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ"ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ช่วยหลบไปหน่อย"เขาเบี่ยงตัวไปด้านข้าง เตรียมเดินผ่าน แต่ก่อนที่เขาจะก้าวออกไป ไอลีนก็ยื่นมือออกมาคว้าข้อมือเขาไว้ ดวงตาของเธอที่เคยลังเลกลับแน่วแน่ขึ้น"ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว" ไอลีนพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามเก็บความกังวลเอรอสหยุดชะงัก แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นไม่พอใจชัดเจนยิ่งขึ้น เขาหันไปมองรอบๆ เห็นสายตาของเด็กบางคนที่อาจกำลังแอบมองอยู่จากหน้าต่าง และหญิงชราที่ครัวกำลังหันมามองเช่นกันหลังจากที่ประเมินสถานการณ์ เขาเลื่อนสายตาไปยังมุมโล่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก"ตามมา" เขาเอ่ยสั้นๆก่อนจะดึงมือออกจากการเกาะกุมของเธอ และเดินนำไปยังที่ที่เขาเลือกไว้ไอลีนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินตามเขาไป ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ สายลมอ่อนๆพัดผ่านเบาๆ ท่ามกลางความเงียบที่อึดอัด ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน เอรอสกอดอกและเอนตัวพิงต้นไม้ สายตาของเขาจ้องมองเธออย่างเย็นชา"พูดมา จะพูดอะไรก็รีบพูด" เขาเร่งด้วยน้ำเสียงที่ราวกับไม่สนใจ แต่ก
บรรยากาศในห้องทำงานของผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าช่างอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก กลิ่นอับของเอกสารเก่าผสมกับกลิ่นบุหรี่จางๆ โอบล้อมพื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองเอกสารและบัญชีการเงิน ผู้อำนวยการนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้หนังเก่าซึ่งดูเหมือนพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชวนให้รู้สึกระแวงมากกว่าสบายใจ"คุณเอรอสใช่ไหม? ฉันได้รับการแจ้งมาว่าคุณต้องการบริจาคเงินให้เหล่าเด็กๆที่คุณหนูไอลีนพามา" เสียงของเขาเนิบนาบ ท่าทางเหมือนพยายามจับจุดอีกฝ่ายเอรอสนั่งนิ่งอยู่ตรงข้าม เขาสูงโปร่งสำหรับเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สายตาสีเทาของเขาเย็นชาและไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ“ใช่ ผมมาที่นี่ บริจาคเงิน ให้เด็กๆที่เพิ่งเข้ามา" เขาเอ่ยเสียงเรียบผู้อำนวยการชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ"อืม น่าชื่นชมจริงๆนะครับ แต่การรับผิดชอบเงินจำนวนมากขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอมาจากครอบครัวไหนหรือ ถึงได้ใจกว้างขนาดนี้?"คำถามนั้นเหมือนมีความนัย แต่เอรอสไม่แสดงอาการใดๆ เขาเพียงหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางมันลงบนโต๊ะ เสียงเหรียญกระทบกันดังชัดเจน"ไม่จำเป็นต้องถาม" เขาตอบสั้นๆน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่น