หญิงสาวหันมามองเขาอีกครั้ง ดวงตาของเธอจับจ้องเอรอสด้วยความนิ่งสงบ แต่แฝงความลึกลับบางอย่าง
“ชะตากรรม... นำคุณมาที่นี่” เธอเอ่ยเสียงเบา แต่คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความหมายที่เขายังไม่เข้าใจ
เอรอสขมวดคิ้วเล็กน้อย ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ
“ชะตากรรม? คุณหมายความว่ายังไง... ผมเคยมาที่นี่มาก่อนเหรอ?”
หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ ราวกับจะบอกว่าเธอเองก็ไม่ได้มีคำตอบที่ชัดเจน
“ฉันไม่รู้... แค่รู้สึกได้ว่าคุณกับที่นี่... มีอะไรบางอย่างเชื่อมโยงกันอยู่ คุณไม่ได้เข้ามาโดยบังเอิญหรอก”
เอรอสสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างในใจของเขา เขามองไปรอบๆ ก่อนจะหันกลับมาหาเธอ
“แล้วทำไมคุณถึงปล่อยให้ผมอยู่ต่อ?”เขาถามน้ำเสียงยังคงระวังตัว แต่ความสงสัยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
เธอยิ้มบางๆ ราวกับกำลังชั่งใจ
“ฉันเองก็อยากรู้... ว่าทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้ บางทีสิ่งที่คุณกำลังตามหา... อาจอยู่ที่นี่ก็ได้” เธอพูดพลางมองไปรอบๆสถานที่แห่งนี้ มันดูเก่าแก่ และ ลึกลับ ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
เอรอสพยักหน้าเบาๆ แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าที่นี่มีความหมายบางอย่างมากกว่าที่ตาเห็น
“งั้นผมขอสำรวจดูหน่อย เผื่อจะเจออะไรบางอย่าง”
เธอมองตามเขา ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ตามสบายเลย... บางทีคำตอบที่คุณต้องการ อาจจะรออยู่ไม่ไกล”
เอรอสสูดหายใจลึก ก่อนจะก้าวออกไปจากศาลา ความเงียบรอบตัวทำให้ทุกย่างก้าวของเขาดูชัดเจนยิ่งขึ้น ในบรรดาสิ่งที่เห็น ต้นไม้ใหญ่เพียงต้นเดียวที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ดึงดูดสายตาเขาอย่างประหลาด มันเหมือนกับมีพลังบางอย่างที่เชื้อเชิญเขาเข้าไปใกล้ ราวกับมันกำลังรอคอยให้เขามาพบ
หญิงสาวเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาเธอแฝงไปด้วยความสงบนิ่ง ทว่าแฝงความรู้ลึกซึ้งที่ไม่มีใครล่วงรู้
เมื่อเอรอสเดินเข้าใกล้ต้นไม้นั้น ความรู้สึกแปลกประหลาดก็ทวีขึ้นในใจของเขา ลมหายใจของเขาหยุดชะงักไปชั่วครู่ ราวกับทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่งลง เขาเอื้อมมือไปแตะที่ลำต้น สัมผัสหยาบกร้านของมันส่งแรงสั่นสะเทือนบางอย่างเข้าไปในตัวเขา ความรู้สึกคุ้นเคยที่ยากจะอธิบายได้ทำให้เขาสับสน
"มันรู้สึก... คุ้นเคย" เอรอสพึมพำกับตัวเอง
“ต้นไม้นี่…” เขาหันกลับไปถามหญิงสาว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย "มันมีความหมายอะไรหรือเปล่า?"
หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ มองต้นไม้ใหญ่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยประสบการณ์อันยาวนาน“มันเป็นแค่ต้นไม้ธรรมดา แต่ว่า” เธอตอบด้วยเสียงเบา แต่ชัดเจน
“บางคนบอกว่ามันคือผู้พิทักษ์ของสถานที่แห่งนี้ บางคนก็ว่า... มันเก็บเรื่องราวของผู้คนในอดีตเอาไว้”
เอรอสขมวดคิ้วเล็กน้อย หันกลับมามองต้นไม้อีกครั้ง ความรู้สึกคุ้นเคยนั้นยิ่งเพิ่มขึ้นเหมือนมันรู้จักตัวเขา
“ผมรู้สึกเหมือน... มันรู้จักผม” เขาเอ่ยออกมาเสียงเบา สายตาจับจ้องไปที่ลำต้นสูงตระหง่าน ราวกับต้นไม้มีชีวิตและกำลังมองตอบเขา
หญิงสาวยิ้มบางๆแต่ไม่พูดอะไร ปล่อยให้ความเงียบโอบล้อมพวกเขา ทั้งคู่ยืนนิ่งท่ามกลางบรรยากาศลึกลับ ราวกับมีบางสิ่งรอคอยการค้นพบ
เอรอสก้าวเข้าไปใกล้ต้นไม้ใหญ่ทีละนิด ความรู้สึกแปลกประหลาดเริ่มกัดกินหัวใจ ทุกย่างก้าวทำให้ความทรงจำเก่าๆ ที่เลือนรางค่อยๆ ชัดเจนขึ้น จนกระทั่งเขาหยุดอยู่เบื้องหน้าต้นไม้นั้น ลำต้นสูงตระหง่าน กิ่งก้านแผ่ขยายออกเหมือนโอบกอดอดีต แสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านใบไม้ส่องประกายราวกับความหวังที่ซ่อนอยู่ในเงามืด
ภาพเด็กสาวสองคนเริ่มปรากฏในหัว เอรอสเห็นตัวเองในวัยเด็ก วิ่งเล่นรอบต้นไม้ใหญ่กับพวกเธอ เสียงหัวเราะของพวกเขาก้องอยู่ใต้ท้องฟ้าอันอบอุ่น เด็กสาวผมสีเงินกำสมุดวาดภาพไว้แน่น ขณะที่เด็กสาวผมสีทองเปิดกล่องดินสอสี พวกเขาหยุดนั่งลงที่พื้นหญ้า แล้วเริ่มวาดรูปอย่างสนุกสนาน
“มาวาดรูปกัน!” เด็กสาวผมสีเงินพูดอย่างตื่นเต้น เธอเปิดสมุดขึ้นแล้วเริ่มวาดทันที เสียงหัวเราะของพวกเขาก้องกังวานไปทั่วขณะที่ทุกคนมุ่งมั่นวาดภาพของตัวเองใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่
ขณะที่วาดรูป เด็กสาวผมสีเงินก็เงยหน้าขึ้น มองไปที่ต้นไม้ใหญ่ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงที่หนักแน่น
“รู้ไหม? มีตำนานเล่าว่าถ้าเราขอพรจากต้นไม้นี้ คำขอของเราจะเป็นจริง”
เด็กสาวผมสีทองหันมามองด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
“จริงเหรอ? งั้นฉันจะขอให้ตัวเองแข็งแกร่ง จะได้ปกป้องทุกคนที่อ่อนแอ!”
เด็กสาวผมสีเงินยิ้มกว้าง ยืนขึ้นแล้วตะโกนอย่างมั่นใจ
“ส่วนฉัน! ฉันจะขอให้โลกนี้สงบสุข ไม่มีใครต้องเจ็บปวดอีก!”
เอรอสในวัยเด็กได้แต่ยิ้ม ก่อนจะพูดออกมาอย่างจริงใจ
“ฉันขอให้คำขอของพวกเธอเป็นจริง”
เด็กสาวผมสีทองหันมาทำหน้านิ่วเล็กน้อย เอ่ยต่อว่าเขาด้วยเสียงน้อยใจ
“ขออะไรที่เป็นของตัวเองสิ!”
เอรอสหัวเราะเบาๆ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่มั่นคง
“นี่แหละความปรารถนาของฉัน ต่อให้ต้นไม้ไม่ช่วย แต่ฉันจะช่วยพวกเธอเอง”
เด็กสาวทั้งสองยิ้มออกมา เสียงหัวเราะของพวกเขายังคงดังก้องไปทั่วเมื่อพวกเขาลุกขึ้นและเริ่มวิ่งเล่นกันต่อ
พวกเขาหยุดอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ ก่อนที่เด็กสาวผมสีเงินจะหยิบสมุดวาดภาพออกมาอีกครั้ง และเริ่มเก็บมันลงในกล่องไม้ พวกเขาช่วยกันฝังสมุดนั้นไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ เด็กสาวผมสีเงินหันมามองพวกเขาอย่างตั้งใจ
“เราจะกลับมาที่นี่ด้วยกันอีกใช่ไหม?” เธอถามอย่างจริงจัง
“แน่นอน!” เอรอสพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่ว่าเราจะห่างกันแค่ไหน พวกเราจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง... ด้วยกัน”
เด็กสาวผมสีทองพยักหน้า ยิ้มกว้างพร้อมกับจับมือทั้งสองแน่น ความฝันและคำสัญญาของพวกเขาผูกพันไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่นี้
ภาพความทรงจำอันแสนอบอุ่นพลันกลายเป็นความเจ็บปวด เอรอสในปัจจุบันรู้สึกถึงน้ำหนักของอดีตที่เขาไม่อาจหนีจากได้ เขาพยายามนึกถึงใบหน้าของเด็กสาวผมสีเงิน แต่กลับจำไม่ได้ ภาพใบหน้าของเธอเริ่มเลือนลาง มีเพียงเส้นผมสีเงินที่ยังชัดเจน ราวกับสะท้อนแสงอาทิตย์เอาไว้
“ทำไมผมถึงจำเธอไม่ได้...” เอรอสพึมพำ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เขาจ้องมองต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า ความเศร้าและเจ็บปวดบีบรัดหัวใจ
หญิงสาวที่ยืนอยู่ห่างออกไปเฝ้ามองเขาด้วยสายตาสงบนิ่ง แต่แฝงความเข้าใจลึกซึ้ง เธอไม่ได้พูดอะไร ราวกับรอให้เอรอสค้นพบคำตอบด้วยตัวเอง
เอรอสยืนนิ่ง หัวใจหนักอึ้ง ความทรงจำที่ครั้งหนึ่งเคยงดงามกลายเป็นภาพลางๆ ที่เขาไม่อาจสัมผัสได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป เสียงลมหายใจของเขาแผ่วเบา ราวกับว่าความหวังและความฝันที่เคยมีได้ถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจลบล้างได้
“ผมจะไม่ลืมอีก...และครั้งนี้ ผมจะทำตามคำสัญญานั้นให้ได้” เอรอสกล่าวเบาๆ สูดหายใจเข้าลึก
ทันใดนั้น สร้อยคอของเขาส่องแสงระยิบระยับอย่างแรง มานาในอากาศรอบตัวเริ่มสั่นไหว แสงแดดที่เคยอบอุ่นพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม บรรยากาศรอบต้นไม้บิดเบี้ยวราวกับโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป
“เกิดอะไรขึ้น...” เอรอสพึมพำ เสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและระแวง สัญชาตญาณของเขารับรู้ถึงบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้น
ในชั่วพริบตา วงเวทขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเบื้องหน้า มันแผ่กระจายแสงสีแดงเข้มออกมาอย่างน่ากลัว พลังเวทที่แผ่ซ่านออกมากดทับทุกสิ่งรอบตัวจนบิดเบือนมานาในบรรยากาศกลายเป็นพายุหมุน เส้นอักขระซับซ้อนที่เคลื่อนที่บนวงเวทบ่งบอกถึงความรุนแรงและบ้าคลั่ง แม้เอรอสจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของมันโดยตรง แต่ความรู้สึกเย็นวาบที่วิ่งผ่านร่างบอกเขาว่า วงเวทนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายเขาโดยเฉพาะ"บางอย่าง...กำลังจะมา" เอรอสพึมพำเบาๆ ขณะที่พยายามรวบรวมสมาธิแต่ก่อนที่เขาจะเตรียมพร้อมได้เต็มที่ ศรเวทสีเงินก็พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันเร็วราวกับฉีกอากาศออกเป็นเสี่ยงๆ เขาไม่ทันได้เห็นมันอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ สัญชาตญาณของเขาบังคับให้ยกแขนขึ้นป้องกัน แต่ศรนั้นพุ่งทะลุผ่านแขนของเขาไปอย่างง่ายดาย ราวกับว่าแขนของเขาไร้ความหมายต่อพลังนั้นไม่มีแรงกระแทก ไม่มีความรู้สึกจากการสัมผัสเนื้อหนัง—แค่ความเจ็บปวดที่เกิดจากพลังบางอย่างที่ลึกกว่าร่างกาย ศรเวทนั้นพุ่งเข้าปักกลางอกของเขาอย่างแม่นยำ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านราวกับคลื่นพลังที่แทรกซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา เอรอสทรุดลงกับพื้นทันที ร่างกายแทบจะตอบสนองไม่ได้ คว
เอรอสพยักหน้าช้าๆเมื่อชื่อของ ไรอัส อาร์แคนเทีย ถูกกล่าวถึง ชายผู้เป็นตำนานจอมเวทผู้บุกเบิกเส้นทางเวทมนตร์ ชื่อของเขายังคงเป็นที่เล่าขานแม้เวลาจะผ่านไปนับหมื่นปี สายตาของเอรอสจับจ้องหญิงสาวตรงหน้า ราวกับเขาได้เห็นภาพของชายในตำนานนั้นสะท้อนออกมาผ่านดวงตาของเธอ“หลายหมื่นปีที่แล้ว ไรอัส อาร์แคนเทีย คือชื่อที่ไม่มีใครไม่รู้จัก เขาเป็นจอมเวทที่ปฏิวัติโลกเวทมนตร์ จนทำให้ผู้คนเคารพนับถือเขาด้วยความศรัทธา แต่ทว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่ทำให้เขาหายตัวไป ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่ไหน ตำนานของเขากลับกลายเป็นเครื่องหมายคำถามที่ยังไม่มีใครหาคำตอบได้” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความเศร้า“แล้ว... ประวัติศาสตร์ของไรอัสมีบางส่วนที่ขาดหายไป ไม่มีใครรู้ว่าวาระสุดท้ายของเขาเป็นอย่างไร” เอรอสกล่าว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย “มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้”“ใช่… ไม่มีใครรู้จุดจบของไรอัส... เขาหายตัวไป เหลือเพียงแค่ตำนานที่บอกเล่าถึงความยิ่งใหญ่ แม้ฉันจะรู้ แต่... นั่นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพูดได้” เธอหยุดไปชั่วครู่ ดวงตาของเธอวูบไหว แสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่เก็บซ่อนอยู่ใ
เอรอสลืมตาตื่นขึ้นในความมืด ห่างจากจุดที่เขาหายตัวไปก่อนหน้านี้เล็กน้อย เสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านซากอาคารที่พังทลาย แสงจันทร์ที่ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ ทำให้บรรยากาศรอบตัวดูน่าอึดอัด และ เย็นยะเยือก กลิ่นเหม็นอับจากเศษซากจากกองขยะที่สุมกระจายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้แต่เอรอสไม่ได้ใส่ใจสิ่งเหล่านั้น.. เพราะสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขามากที่สุดในตอนนี้ คือความจริงที่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และ ความเจ็บปวดในร่างกายที่ยังคงเหลืออยู่บ้างเล็กน้อยเขานอนนิ่งไปกับพื้นถนนสักพัก ก่อนจะเลื่อนมือไปแตะที่หน้าอก ในตำแหน่งที่มีรอยฉีกขาด รอยแผลเป็นเล็กๆยังคงมีอาการเจ็บแปลบหลงเหลืออยู่ เป็นเครื่องยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน“จอมเวทย์ในตำนาน...หรอ?” เอรอสพึมพำถึงจิตวิญญาณของไรอัสที่ติดมากับหัวใจ ตอนนี้จิตวิญญาณนั้นสงบนิ่ง ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับไม่มีเจตจำนงเป็นของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่ปกติ จิตวิญญาณของเขาที่เคยฉีกขาดค่อยๆ ผสาน และหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติแต่ถึงแม้มันจะหลอมรวมกัน ก็ยังรู้สึกถึงการแบ่งแยกได้อย่างชัดเจน เหมือนกับน้ำทะเล
เอรอสก้าวผ่านตรอกซอยที่เงียบสงบในยามค่ำคืนของเมืองอัลเธอเรียน แม้ความมืดจะปกคลุม แต่แสงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้าเบื้องบนยังคงสาดส่องให้เห็นเส้นทางอันคดเคี้ยว ท้องฟ้าปลอดโปร่ง มีเพียงก้อนเมฆบางๆ ที่ลอยอยู่ห่างไกลเอรอสย่ำเท้าไปอย่างระมัดระวัง สายลมพัดเบาๆพอให้สัมผัสได้ถึงความเย็นที่ค่อยๆซึมผ่านผิวของเขา เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำที่ปิดบังร่างกายได้เป็นอย่างดี แม้จะซ่อนตัวจากสายตาคนทั่วไปได้ แต่ในใจของเขายังเต้นแรงด้วยความกังวลเมื่อเขามาถึงหอพักที่เขาใช้เป็นที่พักอาศัย มันเป็นอาคารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยก่อน เสื่อมโทรมลงตามกาลเวลา ผนังถูกปกคลุมด้วยรอยแตกและสีที่ซีดลง แต่อาคารนี้ยังคงมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ผู้คนไม่อยากละสายตา สนามหญ้าด้านหน้าถูกดูแลอย่างดี แม้ว่าจะไม่ได้หรูหรา แต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นเอรอสเดินขึ้นไปบนชั้นสองของหอพัก เขาก้าวผ่านประตูเข้ามาโดยไม่รีบร้อนจนเกินไป สายตาของเขากวาดมองไปรอบๆ ตรวจดูทุกมุมทุกซอกที่อาจมีความเคลื่อนไหวใดๆ ที่ผิดปกติภายในห้องพักของเขา เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดเป็นของเรียบง่าย โต๊ะไม้เก่าๆที่มีรอยขีดข่วนจากการใช้งานมาหลายปีถูกวางไว้ตรงกลางห้อง ข้างบนโต๊ะมีกระ
"เป็นอะไรไปล่ะ? ทำไมไม่ตอบ?" เฟลิเซียเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแต่แฝงด้วยความสงสัย เธอยืนมองเอรอสที่ยังไม่ยอมตอบคำถาม ความเงียบนี้ช่างอึดอัดราวกับสายลมหนาวที่พัดผ่านหัวใจ เธอไม่ได้เร่งรัด เพียงจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของเขาอย่างละเอียดเอรอสยืนนิ่ง มือของเขาเริ่มสั่นเล็กน้อย ความเจ็บปวดแปลบที่หน้าอกจากหัวใจของไรอัสเริ่มทวีความรุนแรง มันทำให้ร่างกายของเขารู้สึกว่างเปล่า เหมือนบางอย่างภายในถูกดึงออกไปทีละน้อย ความสามารถการรับรู้ของเขาหายไป ทำให้ต้องตระหนักถึงสถานการณ์อย่างรอบคอบมากขึ้น“พวกเบื้องบนน่ะ ไม่ได้คาดหวังอะไรไว้กับนายเลย……"เธอพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา“คิดแค่ว่าเสียงร้องเรียนของพวกชนชั้นสูงมันน่ารำคาญ ก็เลยกะจะหาคนมารับผิดชอบให้มันจบๆไป”ก่อนจะพูดต่อ เฟลิเซีย มองเอรอสตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับพยายามสำรวจเขาอย่างละเอียด"แต่ดันให้ผลลัพท์เหนือความคาดหมาย….นายหาทางเข้าที่บังเอิญเกิดขึ้นมาแค่เพียงเสี้ยววินาทีได้ยังไง?”เธอเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะถามอย่างคาดคั้น“แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาตรวจสอบเรื่องนั้น ที่สำคัญกว่า.…..นายได้รับอะไรมาจากแม่มด?”เอรอสคิดในใจ "แม่มด? เธอน่ะเหรอ?" ก่อนจะนิ่งคิ
ก่อนหน้านี้เล็กน้อย ที่กิลนักผจญภัย บรรยากาศในห้องหนึ่งค่อยๆ เงียบลง เสียงจานและแก้วที่กระทบกันอย่างต่อเนื่องในมื้ออาหารเริ่มเบาลง สมาชิกในกลุ่มทั้งห้าต่างจมอยู่ในความคิดของตน มีเพียง “ลีน่า” หญิงสาววัย 20 ปี ที่ดูร้อนใจที่สุดลีน่านั่งกุมมือไว้บนตัก ดวงตาสีทองที่ซ่อนอยู่หลังแว่นหนา มองออกไปยังท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง ความกังวลสะท้อนชัดเจนบนใบหน้าเล็กๆ ของเธอ ผมสีน้ำตาลอมแดงที่มักมัดไว้หลังศีรษะ หลุดออกมาบางส่วน เธอเฝ้ามองนอกหน้าต่างอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันสายตากลับไปยังเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ตรงข้าม แต่ไม่มีใครดูเหมือนจะสนใจความกังวลของเธอมากนัก"รุ่นพี่เขาจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรอคะ? ไปตั้งแต่เช้าแล้ว... ตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย…"ลีน่าถามเสียงเบาแต่ชัดเจน น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยราวกับพยายามเก็บซ่อนความกังวลบรรยากาศรอบโต๊ะนิ่งเงียบลงเล็กน้อยจากคำถามของลีน่า เฟรย์ ชายหนุ่มวัยเดียวกัน รูปร่างสูงโปร่ง ผิวซีดแบบขุนนาง เอียงตัวไปข้างหน้าวางข้อศอกลงบนโต๊ะ มือข้างหนึ่งยกแก้วชาขึ้นจิบ ก่อนจะพูดตอบเธอด้วยน้ำเสียงสุขุม“ไม่เป็นไรหรอกลีน่า เขาไม่ใช่คนที่จะตายง่ายๆขนาดนั้น ก็เห็นรอดกลับมาตลอด”เขาพูดด้วยท่
“หยุดสิวะ... หยุด!!!”เอรอสที่ทรุดตัวนั่งอยู่บนพื้น ตะโกนในใจด้วยความอึดอัด ความเหนื่อยล้าที่กดทับร่างทำให้เขาหายใจหอบ สายตาของเขาพร่ามัว เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และความรู้สึกเจ็บปวดที่บีบคั้นราวกับถูกบีบรัดจากภายใน ความทรมานที่รู้สึกนั้นเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหวนี่เป็นครั้งที่สองแล้ว... ครั้งที่สองที่เขาถูกมันคุกคามหนักถึงขนาดนี้น ยิ่งเขาปล่อยให้มันเข้ามาในจิตใจมากเท่าไหร่ ทั้งสองก็ยิ่งเชื่อมต่อกันแน่นแฟ้นขึ้นทุกที เหมือนมีบางอย่างในตัวเขาถูกดึงออกไป... และในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ถูกถ่ายโอนกลับมา แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำก็ตามหลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ผลกระทบที่ยืดเยื้อก็ค่อยๆ จางหาย เอรอสนอนราบลงกับพื้น ถอนหายใจยาวเพื่อระบายความอึดอัดที่ยังหลงเหลืออยู่ เขาไม่สนใจเสื้อผ้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อหรือความอ่อนล้าที่ปกคลุมร่างกาย สิ่งที่เขาสนใจกลับเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามา ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเขา...มันเป็นภาพครอบครัวของเรย์นาร์ค... แม้เพียงเสี้ยวหนึ่งก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงในความทรงจำนั้น เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งและเด็กสาวอายุราว 8 ขวบ ทั้งสองมีผิวสี
แม้ว่าเอรอสจะพยายามรักษาระยะห่างจากเธอ แต่ทุกครั้งที่เกิดอันตรายขึ้น เขากลับปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือเสมอ แม้จะไม่ใช่ตัวตนเดิมก็ตามในช่วงเวลาปกติ เขาก็คอยแนะนำสถานที่สำหรับหาข้อมูล ของใช้ที่จำเป็นสำหรับการทำงาน หรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับคดีที่พวกเขาทำอยู่ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่พวกรุ่นพี่ที่ทำงานมาก่อนหน้านี้ไม่ยอมบอก ทำให้คำแนะนำของเอรอสกลายเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกขอบคุณมาโดยตลอดอย่างไรก็ตาม ภารกิจที่เขาได้รับจากกิลด์ส่วนใหญ่กลับเป็นเพียงงานธรรมดา ไม่เกี่ยวข้องกับแผนกสืบสวนเลย เช่น การส่งจดหมายไปที่เมืองอื่น หาแมวที่หายไป หรือแม้แต่ทำความสะอาดสถานที่บางแห่ง ภารกิจเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นงานที่ไม่สำคัญและไม่มีใครสนใจ นักผจญภัยคนอื่นมักเลือกทำภารกิจที่ท้าทายและมีผลตอบแทนมากกว่าเหตุผลที่เอรอสได้รับภารกิจเหล่านี้มาจากผู้จัดการของกิลด์เอง ผู้จัดการอ้างว่า ‘หน้าตาทางสังคมของกิลด์จะเสียหาย ถ้างานพวกนี้ไม่ถูกจัดการ’ เขามอบงานเหล่านั้นให้เอรอส โดยเจตนาซ่อนความสามารถของเขา เพื่อป้องกันไม่ให้เด่นเกินหน้าลูกชายหรือผู้จัดการเอง แม้ว่าหากจนปัญญาจริงๆ ก็จะตกมาถึงมือเขาเสมอลีน่าที่พยายามรักษาระยะห่างจากผู้