หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นมา ร่างเล็กๆของเธอสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับคนที่สะลืมสะลือ ตื่นจากการหลับไหลในศาลาสีขาวเล็กๆ ท่ามกลางความเงียบสงัด ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งยืนตระหง่านไม่ไกล กิ่งก้านแผ่ขยายอย่างสง่างาม แสงแดดอ่อนส่องลอดผ่านใบไม้สร้างโดมทองอร่ามปกคลุมสถานที่แห่งนี้ ขณะบรรยากาศแฝงความลึกลับ ราวกับสถานที่แห่งนี้ซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้
เธอดูเหมือนยังไม่สังเกตเห็นเขา ราวกับว่าไม่มีใครนอกจากตัวเธอในสถานที่นี้ ความเงียบทำให้รู้สึกว่าโลกนี้มีเพียงเธอ ในมุมของเขา เขาไม่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่นานแค่ไหน แต่ดูเหมือนเธอจะเคยชินกับที่นี้ ราวกับอยู่มานานมากแล้ว
ในขณะที่เขายืนห่างเพียงเล็กน้อย สายตาของเธอก็เลื่อนมาหาเขา ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นเข้ามาในจิตใจ เหมือนกับถูกดึงดูดด้วยความสงสัย แต่ก็มีความกดดันแฝง ราวกับเธอสัมผัสถึงความลึกลับที่เขาซ่อนอยู่ หัวใจเขาเต้นแรงเมื่อเธอเริ่มรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา
“...นั้นใคร?” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อยแต่แฝงความเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง คำถามของเธอตึงเครียดขึ้น และในวินาทีนั้น พลังมานาที่สะสมในร่างเล็กๆ ของเธอก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรง
ความรู้สึกที่เคยสงบนิ่งของเขาถูกแทนที่ด้วยความตื่นตระหนก เมื่อแรงกดดันมหาศาลจากมานาที่เธอปลดปล่อยออกมา เริ่มถาโถมเข้าหาเขา ราวกับกระแสน้ำมหาศาลกำลังซัดเข้ามา ทำให้บรรยากาศรอบข้างแทบจะแตกสลายภายใต้แรงกดทับที่เข้มข้น
“หายใจไม่ออก... ต้องหาทางรับมือ!”
แรงกดดันมหาศาลที่ไหลบ่าเข้ามา ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกซัดลงไปในน้ำตกที่เชี่ยวกราก ร่างกายถูกตรึงไว้กับที่ ไม่สามารถขยับตัวได้ แม้ความวิตกกังวลจะแผ่ซ่าน เขาก็พยายามเก็บอารมณ์ให้สงบ
“ไม่มีทางเลือกแล้ว ถ้าอย่างนั้น!” ในเสี้ยววินาทีนั้น เขาตัดสินใจปลดปล่อยความสามารถของตัวเองออกมา แม้จะรู้ว่ามันจะมีผลกระทบตามมาหลังจากนี้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะลังเล
ร่างกายของเขาเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เส้นเลือดรู้สึกร้อนระอุราวกับถูกเผา ผมสีดำค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเทา ผิวที่เคยเรียบเนียนกลับกลายเป็นสีคล้ำ และ หยาบกร้าน มานาสีแดงที่แผ่ซ่านออกมาอย่างน่าสยดสยองดุจดั่งเลือดไหลบ่าเข้าไปในเส้นเลือด ความรู้สึกแปลกประหลาดเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเขา อารมณ์โกรธแค้นที่ไม่ใช่ของเขาเริ่มขับเคลื่อนเข้ามาในจิตใจ
ในปกติเขามักจะควบคุมพลังนี้ได้อย่างดี แต่ในสถานการณ์นี้ มันอันตรายเกินไป เขารู้สึกว่าต้องฝืนใช้มันอย่างสุดกำลัง มีความเสี่ยงนี้อาจทำให้เขาถูกครอบงำจากเจ้าของร่างมากกว่าเดิม
“ต้องควบคุมให้ได้!” เขาฝืนพูดกับตัวเอง ขณะที่พยายามดึงสติกลับมา ความรุนแรงของพลังนี้แผ่ซ่านเข้ามาในจิตใจ กดดันเขาจนรู้สึกเหมือนจะถูกครอบงำ หากเขายอมให้ความโกรธนำทาง อาจทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปกว่านี้
โดยปกติแล้ว เขามักจะควบคุมพลังนี้ได้อย่างดี แต่ในสถานการณ์นี้ มันอันตรายเกินไป เขารู้ว่าต้องฝืนใช้มันอย่างสุดกำลัง ความเสี่ยงที่จะถูกครอบงำจากเจ้าของร่างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสียงในใจเขาเตือนว่า การใช้พลังนี้โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาอาจนำไปสู่อันตรายที่ไม่คาดคิด อารมณ์ที่ถูกเพิ่มเข้ามา ความโกรธ และ ความเกลียดชัง คอยดึงเขาลงไปในหลุมลึกในจิตใจ หากเขาไม่สามารถต้านทานความรู้สึกนี้ได้ เขาอาจจะสูญเสียตัวตนของตนเองไปตลอดกาล
ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้
“นั่นมัน...อะไร?” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความสงสัยเล็กน้อย ดวงตาของเธอเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกตะลึง ขณะที่มานาของเธอยังคงกดทับร่างของเขาไม่หยุด
เอรอสหายใจลึกเพื่อรวบรวมสติ แต่แรงกดดันที่บีบคั้นร่างกายยังไม่หายไป ร่างของเขาสั่นไหวเล็กน้อย แม้จะรู้สึกได้ถึงความอ่อนแรง แต่เขาต้องตั้งสติให้มั่น ด้วยหัวใจมานาทั้งสี่วงในตัว เขาจึงเริ่มสร้างมานามาปกคลุมร่างกายเพื่อเสริมพลังให้ตัวเอง
พลังเวทที่อยู่ในตัวเสริมกำลังให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้น มันไหลเวียนอย่างรวดเร็ว พลังฟื้นฟูอันมหาศาลเริ่มทำงานอย่างไม่หยุดยั้ง ความเจ็บปวดและแรงกดดันค่อยๆบรรเทาลง ร่างกายของเขาเริ่มทนรับแรงดันได้มากขึ้นเรื่อยๆ
หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า สังเกตเห็นท่าทีของเขาที่เปลี่ยนไป ดวงตาของเธอเหลือบมองเขาเพียงครู่หนึ่ง ไม่มีความตื่นตระหนกใดๆปรากฏในสายตา หญิงสาวปิดตาลงช้าๆ ก่อนจะสูดลมหายใจลึก เธอค่อยๆดึงมานาที่ไหลออกมาโดยไม่ตั้งใจกลับคืนสู่ตัวอย่างสงบนิ่ง แรงกดดันที่เคยถาโถมใส่เขาค่อยๆเบาบางลง ราวกับทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมที่สมบูรณ์
หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าสังเกตเห็นท่าทีของเขาที่เปลี่ยนไป ดวงตาของเธอเหลือบมองเขาเพียงครู่หนึ่ง ไม่มีความตื่นตระหนกใดๆปรากฏในสายตา เธอปิดตาลงอย่างช้าๆก่อนจะสูดลมหายใจลึก มานาที่เคยไหลออกมาอย่างตั้งใจ เริ่มค่อยๆถูกดึงกลับเข้าสู่ร่างของเธออย่างสงบนิ่ง แรงกดดันที่เคยถาโถมใส่เขาค่อยๆ เบาบงลง ราวกับทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมที่สมบูรณ์
หญิงสาวยังคงจ้องมองเอรอสด้วยสายตาเย็นชา ราวกับทะเลสาบที่ไร้การเคลื่อนไหว แม้บรรยากาศโดยรอบจะเงียบสงบ แต่ภายในกลับแฝงความตึงเครียดที่จับต้องไม่ได้ มันเป็นความกดดันที่เอรอสสัมผัสได้ แม้ว่าตอนนี้มานาของเธอจะไม่รุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว แต่บรรยากาศที่หลงเหลือกลับทำให้สถานการณ์นี้ตึงเครียด
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างสงบนิ่ง ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นและทรงอำนาจ
“คุณเป็นใคร... แล้วเข้ามาที่นี่ได้ยังไง?”
เสียงของเธอไม่แสดงความหวาดกลัวหรืออารมณ์ใดๆ เป็นเสียงที่สะท้อนความมั่นคงและนิ่งสงบ ไม่มีร่องรอยของการตื่นตระหนกหรือความอ่อนไหว
เอรอสยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่ยังคงมีกลิ่นอายของอันตรายหลงเหลืออยู่ เขาสูดหายใจเข้าลึก พยายามคงความนิ่งและเยือกเย็นเช่นเดิม เขาไม่ได้เป็นคนที่ตื่นตระหนกง่ายโดยธรรมชาติ ความเป็นนักสืบทำให้เขาชินกับสถานการณ์ที่เหนือการควบคุม
“ผมต้องขอโทษที่เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่มั่นคง
“แต่ผมไม่ได้ตั้งใจ มันเหมือนว่าผมถูกสถานที่แห่งนี้ดึงดูดเข้ามา”
หญิงสาวนิ่งเงียบขณะฟังคำตอบของเขา สายตาของเธอยังคงจับจ้องเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ราวกับกำลังประเมินคำพูดของเขา
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เธอพูดขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงของเธอสะท้อนความลึกลับและความทรงพลังที่เอรอสรู้สึกได้
“ไม่มีใครเข้ามาที่นี่ได้ง่ายๆ… นี่ไม่ใช่เวลาที่ฉันจะเชิญใครเข้ามา”
คำพูดนั้นทำให้เอรอสต้องขบคิด เขายืนอยู่ต่อหน้าเธอด้วยความสงบนิ่ง แต่ภายในยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย แม้ทุกอย่างรอบตัวดูสงบลง แต่เขาสัมผัสได้ว่าหญิงสาวตรงหน้านี้ไม่ธรรมดา
“ถ้าอย่างนั้น... คุณคงมีคำตอบสำหรับเรื่องนี้ใช่ไหม? ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่?” เขาถามอย่างตรงไปตรงมา
หญิงสาวไม่ได้ตอบทันที รอยยิ้มบางเบาแต่ลึกลับปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอ ก่อนที่เธอจะหันมามองวิวทิวทัศน์รอบตัว ท่ามกลางแสงแดดที่ส่องผ่านใบไม้เป็นแสงสีทอง
“บางครั้งคำตอบก็ไม่ได้ต้องรีบหา” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ
“แต่ตอนนี้ ฉันจะถามคุณสักคำถาม คุณพร้อมจะตอบหรือเปล่า?”
เอรอสรู้สึกถึงความตึงเครียดในคำถามนั้น เขารู้ว่านี่ไม่ใช่เพียงคำถามธรรมดา แต่เป็นสิ่งที่อาจเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เขาคิดไว้
“ผมพร้อมแล้ว ถามมาได้เลย” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมองเขาด้วยสายตาที่อ่านยาก แล้วถามคำถามที่สะท้อนก้องในบรรยากาศอันเงียบสงบ
“คุณเชื่อ…..ในชะตากรรมหรือเปล่า?”
หญิงสาวหันมามองเขาอีกครั้ง ดวงตาของเธอจับจ้องเอรอสด้วยความนิ่งสงบ แต่แฝงความลึกลับบางอย่าง“ชะตากรรม... นำคุณมาที่นี่” เธอเอ่ยเสียงเบา แต่คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความหมายที่เขายังไม่เข้าใจเอรอสขมวดคิ้วเล็กน้อย ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ“ชะตากรรม? คุณหมายความว่ายังไง... ผมเคยมาที่นี่มาก่อนเหรอ?”หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ ราวกับจะบอกว่าเธอเองก็ไม่ได้มีคำตอบที่ชัดเจน“ฉันไม่รู้... แค่รู้สึกได้ว่าคุณกับที่นี่... มีอะไรบางอย่างเชื่อมโยงกันอยู่ คุณไม่ได้เข้ามาโดยบังเอิญหรอก”เอรอสสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างในใจของเขา เขามองไปรอบๆ ก่อนจะหันกลับมาหาเธอ“แล้วทำไมคุณถึงปล่อยให้ผมอยู่ต่อ?”เขาถามน้ำเสียงยังคงระวังตัว แต่ความสงสัยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆเธอยิ้มบางๆ ราวกับกำลังชั่งใจ“ฉันเองก็อยากรู้... ว่าทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้ บางทีสิ่งที่คุณกำลังตามหา... อาจอยู่ที่นี่ก็ได้” เธอพูดพลางมองไปรอบๆสถานที่แห่งนี้ มันดูเก่าแก่ และ ลึกลับ ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเอรอสพยักหน้าเบาๆ แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าที่นี่มีความหมายบางอย่างมากกว่าที่ตาเห็น“งั้นผมขอสำรวจดูหน่อย เผื่อจะเจออะไรบางอย่าง”
ในชั่วพริบตา วงเวทขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเบื้องหน้า มันแผ่กระจายแสงสีแดงเข้มออกมาอย่างน่ากลัว พลังเวทที่แผ่ซ่านออกมากดทับทุกสิ่งรอบตัวจนบิดเบือนมานาในบรรยากาศกลายเป็นพายุหมุน เส้นอักขระซับซ้อนที่เคลื่อนที่บนวงเวทบ่งบอกถึงความรุนแรงและบ้าคลั่ง แม้เอรอสจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของมันโดยตรง แต่ความรู้สึกเย็นวาบที่วิ่งผ่านร่างบอกเขาว่า วงเวทนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายเขาโดยเฉพาะ"บางอย่าง...กำลังจะมา" เอรอสพึมพำเบาๆ ขณะที่พยายามรวบรวมสมาธิแต่ก่อนที่เขาจะเตรียมพร้อมได้เต็มที่ ศรเวทสีเงินก็พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันเร็วราวกับฉีกอากาศออกเป็นเสี่ยงๆ เขาไม่ทันได้เห็นมันอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ สัญชาตญาณของเขาบังคับให้ยกแขนขึ้นป้องกัน แต่ศรนั้นพุ่งทะลุผ่านแขนของเขาไปอย่างง่ายดาย ราวกับว่าแขนของเขาไร้ความหมายต่อพลังนั้นไม่มีแรงกระแทก ไม่มีความรู้สึกจากการสัมผัสเนื้อหนัง—แค่ความเจ็บปวดที่เกิดจากพลังบางอย่างที่ลึกกว่าร่างกาย ศรเวทนั้นพุ่งเข้าปักกลางอกของเขาอย่างแม่นยำ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านราวกับคลื่นพลังที่แทรกซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา เอรอสทรุดลงกับพื้นทันที ร่างกายแทบจะตอบสนองไม่ได้ คว
เอรอสพยักหน้าช้าๆเมื่อชื่อของ ไรอัส อาร์แคนเทีย ถูกกล่าวถึง ชายผู้เป็นตำนานจอมเวทผู้บุกเบิกเส้นทางเวทมนตร์ ชื่อของเขายังคงเป็นที่เล่าขานแม้เวลาจะผ่านไปนับหมื่นปี สายตาของเอรอสจับจ้องหญิงสาวตรงหน้า ราวกับเขาได้เห็นภาพของชายในตำนานนั้นสะท้อนออกมาผ่านดวงตาของเธอ“หลายหมื่นปีที่แล้ว ไรอัส อาร์แคนเทีย คือชื่อที่ไม่มีใครไม่รู้จัก เขาเป็นจอมเวทที่ปฏิวัติโลกเวทมนตร์ จนทำให้ผู้คนเคารพนับถือเขาด้วยความศรัทธา แต่ทว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่ทำให้เขาหายตัวไป ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่ไหน ตำนานของเขากลับกลายเป็นเครื่องหมายคำถามที่ยังไม่มีใครหาคำตอบได้” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความเศร้า“แล้ว... ประวัติศาสตร์ของไรอัสมีบางส่วนที่ขาดหายไป ไม่มีใครรู้ว่าวาระสุดท้ายของเขาเป็นอย่างไร” เอรอสกล่าว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย “มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้”“ใช่… ไม่มีใครรู้จุดจบของไรอัส... เขาหายตัวไป เหลือเพียงแค่ตำนานที่บอกเล่าถึงความยิ่งใหญ่ แม้ฉันจะรู้ แต่... นั่นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพูดได้” เธอหยุดไปชั่วครู่ ดวงตาของเธอวูบไหว แสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่เก็บซ่อนอยู่ใ
เอรอสลืมตาตื่นขึ้นในความมืด ห่างจากจุดที่เขาหายตัวไปก่อนหน้านี้เล็กน้อย เสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านซากอาคารที่พังทลาย แสงจันทร์ที่ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ ทำให้บรรยากาศรอบตัวดูน่าอึดอัด และ เย็นยะเยือก กลิ่นเหม็นอับจากเศษซากจากกองขยะที่สุมกระจายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้แต่เอรอสไม่ได้ใส่ใจสิ่งเหล่านั้น.. เพราะสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขามากที่สุดในตอนนี้ คือความจริงที่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และ ความเจ็บปวดในร่างกายที่ยังคงเหลืออยู่บ้างเล็กน้อยเขานอนนิ่งไปกับพื้นถนนสักพัก ก่อนจะเลื่อนมือไปแตะที่หน้าอก ในตำแหน่งที่มีรอยฉีกขาด รอยแผลเป็นเล็กๆยังคงมีอาการเจ็บแปลบหลงเหลืออยู่ เป็นเครื่องยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน“จอมเวทย์ในตำนาน...หรอ?” เอรอสพึมพำถึงจิตวิญญาณของไรอัสที่ติดมากับหัวใจ ตอนนี้จิตวิญญาณนั้นสงบนิ่ง ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับไม่มีเจตจำนงเป็นของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่ปกติ จิตวิญญาณของเขาที่เคยฉีกขาดค่อยๆ ผสาน และหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติแต่ถึงแม้มันจะหลอมรวมกัน ก็ยังรู้สึกถึงการแบ่งแยกได้อย่างชัดเจน เหมือนกับน้ำทะเล
เอรอสก้าวผ่านตรอกซอยที่เงียบสงบในยามค่ำคืนของเมืองอัลเธอเรียน แม้ความมืดจะปกคลุม แต่แสงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้าเบื้องบนยังคงสาดส่องให้เห็นเส้นทางอันคดเคี้ยว ท้องฟ้าปลอดโปร่ง มีเพียงก้อนเมฆบางๆ ที่ลอยอยู่ห่างไกลเอรอสย่ำเท้าไปอย่างระมัดระวัง สายลมพัดเบาๆพอให้สัมผัสได้ถึงความเย็นที่ค่อยๆซึมผ่านผิวของเขา เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำที่ปิดบังร่างกายได้เป็นอย่างดี แม้จะซ่อนตัวจากสายตาคนทั่วไปได้ แต่ในใจของเขายังเต้นแรงด้วยความกังวลเมื่อเขามาถึงหอพักที่เขาใช้เป็นที่พักอาศัย มันเป็นอาคารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยก่อน เสื่อมโทรมลงตามกาลเวลา ผนังถูกปกคลุมด้วยรอยแตกและสีที่ซีดลง แต่อาคารนี้ยังคงมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ผู้คนไม่อยากละสายตา สนามหญ้าด้านหน้าถูกดูแลอย่างดี แม้ว่าจะไม่ได้หรูหรา แต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นเอรอสเดินขึ้นไปบนชั้นสองของหอพัก เขาก้าวผ่านประตูเข้ามาโดยไม่รีบร้อนจนเกินไป สายตาของเขากวาดมองไปรอบๆ ตรวจดูทุกมุมทุกซอกที่อาจมีความเคลื่อนไหวใดๆ ที่ผิดปกติภายในห้องพักของเขา เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดเป็นของเรียบง่าย โต๊ะไม้เก่าๆที่มีรอยขีดข่วนจากการใช้งานมาหลายปีถูกวางไว้ตรงกลางห้อง ข้างบนโต๊ะมีกระ
"เป็นอะไรไปล่ะ? ทำไมไม่ตอบ?" เฟลิเซียเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแต่แฝงด้วยความสงสัย เธอยืนมองเอรอสที่ยังไม่ยอมตอบคำถาม ความเงียบนี้ช่างอึดอัดราวกับสายลมหนาวที่พัดผ่านหัวใจ เธอไม่ได้เร่งรัด เพียงจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของเขาอย่างละเอียดเอรอสยืนนิ่ง มือของเขาเริ่มสั่นเล็กน้อย ความเจ็บปวดแปลบที่หน้าอกจากหัวใจของไรอัสเริ่มทวีความรุนแรง มันทำให้ร่างกายของเขารู้สึกว่างเปล่า เหมือนบางอย่างภายในถูกดึงออกไปทีละน้อย ความสามารถการรับรู้ของเขาหายไป ทำให้ต้องตระหนักถึงสถานการณ์อย่างรอบคอบมากขึ้น“พวกเบื้องบนน่ะ ไม่ได้คาดหวังอะไรไว้กับนายเลย……"เธอพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา“คิดแค่ว่าเสียงร้องเรียนของพวกชนชั้นสูงมันน่ารำคาญ ก็เลยกะจะหาคนมารับผิดชอบให้มันจบๆไป”ก่อนจะพูดต่อ เฟลิเซีย มองเอรอสตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับพยายามสำรวจเขาอย่างละเอียด"แต่ดันให้ผลลัพท์เหนือความคาดหมาย….นายหาทางเข้าที่บังเอิญเกิดขึ้นมาแค่เพียงเสี้ยววินาทีได้ยังไง?”เธอเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะถามอย่างคาดคั้น“แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาตรวจสอบเรื่องนั้น ที่สำคัญกว่า.…..นายได้รับอะไรมาจากแม่มด?”เอรอสคิดในใจ "แม่มด? เธอน่ะเหรอ?" ก่อนจะนิ่งคิ
ก่อนหน้านี้เล็กน้อย ที่กิลนักผจญภัย บรรยากาศในห้องหนึ่งค่อยๆ เงียบลง เสียงจานและแก้วที่กระทบกันอย่างต่อเนื่องในมื้ออาหารเริ่มเบาลง สมาชิกในกลุ่มทั้งห้าต่างจมอยู่ในความคิดของตน มีเพียง “ลีน่า” หญิงสาววัย 20 ปี ที่ดูร้อนใจที่สุดลีน่านั่งกุมมือไว้บนตัก ดวงตาสีทองที่ซ่อนอยู่หลังแว่นหนา มองออกไปยังท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง ความกังวลสะท้อนชัดเจนบนใบหน้าเล็กๆ ของเธอ ผมสีน้ำตาลอมแดงที่มักมัดไว้หลังศีรษะ หลุดออกมาบางส่วน เธอเฝ้ามองนอกหน้าต่างอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันสายตากลับไปยังเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ตรงข้าม แต่ไม่มีใครดูเหมือนจะสนใจความกังวลของเธอมากนัก"รุ่นพี่เขาจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรอคะ? ไปตั้งแต่เช้าแล้ว... ตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย…"ลีน่าถามเสียงเบาแต่ชัดเจน น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยราวกับพยายามเก็บซ่อนความกังวลบรรยากาศรอบโต๊ะนิ่งเงียบลงเล็กน้อยจากคำถามของลีน่า เฟรย์ ชายหนุ่มวัยเดียวกัน รูปร่างสูงโปร่ง ผิวซีดแบบขุนนาง เอียงตัวไปข้างหน้าวางข้อศอกลงบนโต๊ะ มือข้างหนึ่งยกแก้วชาขึ้นจิบ ก่อนจะพูดตอบเธอด้วยน้ำเสียงสุขุม“ไม่เป็นไรหรอกลีน่า เขาไม่ใช่คนที่จะตายง่ายๆขนาดนั้น ก็เห็นรอดกลับมาตลอด”เขาพูดด้วยท่
“หยุดสิวะ... หยุด!!!”เอรอสที่ทรุดตัวนั่งอยู่บนพื้น ตะโกนในใจด้วยความอึดอัด ความเหนื่อยล้าที่กดทับร่างทำให้เขาหายใจหอบ สายตาของเขาพร่ามัว เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และความรู้สึกเจ็บปวดที่บีบคั้นราวกับถูกบีบรัดจากภายใน ความทรมานที่รู้สึกนั้นเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหวนี่เป็นครั้งที่สองแล้ว... ครั้งที่สองที่เขาถูกมันคุกคามหนักถึงขนาดนี้น ยิ่งเขาปล่อยให้มันเข้ามาในจิตใจมากเท่าไหร่ ทั้งสองก็ยิ่งเชื่อมต่อกันแน่นแฟ้นขึ้นทุกที เหมือนมีบางอย่างในตัวเขาถูกดึงออกไป... และในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ถูกถ่ายโอนกลับมา แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำก็ตามหลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ผลกระทบที่ยืดเยื้อก็ค่อยๆ จางหาย เอรอสนอนราบลงกับพื้น ถอนหายใจยาวเพื่อระบายความอึดอัดที่ยังหลงเหลืออยู่ เขาไม่สนใจเสื้อผ้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อหรือความอ่อนล้าที่ปกคลุมร่างกาย สิ่งที่เขาสนใจกลับเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามา ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเขา...มันเป็นภาพครอบครัวของเรย์นาร์ค... แม้เพียงเสี้ยวหนึ่งก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงในความทรงจำนั้น เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งและเด็กสาวอายุราว 8 ขวบ ทั้งสองมีผิวสี