“ไหนบอกว่านัดไว้แล้วไง ทำไมเขาบอกว่าไม่รู้เรื่อง?” ไอลีนหันมากระซิบถามอาร์วินด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
อาร์วินยิ้มบางๆ ก่อนจะหันไปมองโจชัวที่ยังคงจับจ้องพวกเขาด้วยสายตานิ่งสงบ แฝงแววประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ
"จำไม่ได้แล้วเหรอว่าเราเคยเดินทางด้วยกันตั้งเป็นเดือน? ตอนนั้นฉันต้องพกงานวิจัยของนายติดตัวไปด้วยตลอด เพราะกลัวว่านายจะสติหลุดแล้วเผลอทำลายมันไปซะเอง ตอนนี้ยังเก็บไว้อยู่ใช่ไหม? หรือว่าเผลอทำหายไปแล้ว?"
คำพูดของอาร์วินทำให้โจชัวชะงักไปเล็กน้อย แววตาของเขาที่เดิมดูระวังตัว กลับฉายแววสงสัยปนระลึกอะไรบางอย่าง
“งานวิจัย...” เขาทวนคำเบาๆคล้ายจะนึกย้อนถึงอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในความทรงจำ ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆราวกับจับทิศทางได้แล้ว
“อ้อ คุณนี่เอง” โจชัวเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง รอยยิ้มบางๆปรากฏบนใบหน้า
“จำได้แล้วครับ ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะ”
อาร์วินพยักหน้าเล็กน้อย ท่าทางดูเหมือนสบายๆ แต่ในแววตากลับมีอะไรบางอย่างที่อ่านยาก
“ใช่ ไม่ได้เจอกันตั้งแต่ตอนนั้นเลย ฉันก็สงสัยอยู่ว่านายจะยังจำฉันได้อยู่หรือเปล่า”
“จะลืมได้ยังไงล่ะครับ ผมไม่ทีทางลืมหรอกครับ” โจชัวตอบ พลางหัวเราะเบาๆ
อาร์วินเอนตัวพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะหันไปหาไอลีน
“ขอแนะนำหน่อยแล้วกัน นี่ไอลีน เป็นนักเวทย์ฝึกงานที่ประจำอยู่กับตระกูลวัลธอเรน ตอนนี้เธอน่าจะกำลังคุ้มครองฉันอยู่น่ะ”
“น่าจะ อะไรของนาย” เธอหันไปแย้งกับอาร์วิน ก่อนจะยิ้มสุภาพ แต่ในใจก็ยังระแวงเล็กน้อย
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณโจชัว”
“ยินดีเช่นกันครับ คุณไอลีน” โจชัวกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวล พร้อมยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ท่าทางเหมือนพยายามปิดบังความรู้สึกบางอย่าง
อาร์วินยังพูดต่อโดยไม่ปล่อยให้บรรยากาศเงียบไปนาน
“ส่วนโจชัว เขาเป็นหมอที่เดินทางมาจากเมืองทางเหนือไกลมาก เป็นดินแดนที่หนาวเหน็บกว่าที่นี่เยอะเลยหล่ะ”
“ใช่ครับ” โจชัวเสริม “ที่นั่นหนาวจนแทบไม่มีอะไรเติบโตได้ ผมเดินทางมาหลายปีจนสุดท้ายก็ตัดสินใจปักหลักที่นี่ มันอบอุ่นกว่ามาก”
ไอลีนพยักหน้ารับ พลางหยิบขนมชิ้นเล็กบนจานขึ้นมาลองกัด แต่ทันทีที่รสขมเข้ามาในปาก สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป เธอรีบวางขนมลงก่อนจะหยิบถ้วยชามาจิบเพื่อกลบความรู้สึก
"มีอะไรหรือเปล่า?" อาร์วินถาม น้ำเสียงเรียบง่ายแต่แฝงความสงสัยเล็กน้อย
“ขม...” ไอลีนตอบสั้นๆ พร้อมจิบชาอีกครั้ง
“ฉันว่าอร่อยดีออก” อาร์วินพูดพร้อมหยิบขนมอีกชิ้นเข้าปาก ท่าทางสบายๆ ราวกับไม่ได้ใส่ใจกับรสชาติที่คนอื่นคิด
“ขมขนาดนี้ยังเรียกว่าอร่อย?” ไอลีนแทรกขึ้น พลางเหลือบมองจานขนมที่เธอแทบไม่อยากแตะอีก
“ก็รสชาติแบบนี้ล่ะที่เข้ากับชา” อาร์วินตอบกลับด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ก่อนจะหยิบชาขึ้นมาจิบตาม
โจชัวหัวเราะเบาๆ พลางวางถ้วยชาของตัวเองลงบนโต๊ะ
“มันดีต่อสุขภาพนะ ถึงรสชาติจะ...ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ก็เถอะ”
“คิดว่าแก้เลี่ยนหลังอาหารเย็นก็ไม่เลวน่ะ ล้างปากได้ดีเลย” อาร์วินพูดพร้อมรอยยิ้มจางๆ แต่ดวงตาที่สบกับโจชัวเหมือนจะส่งข้อความบางอย่าง
ไอลีนเหลือบมองชายทั้งสองที่ดูเหมือนพูดคุยกันปกติ แต่เธอกลับรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ คล้ายว่ามีอะไรบางอย่างที่เธอไม่สามารถรับรู้
เธอจิบชาเงียบๆพลางตั้งข้อสังเกตในใจ แต่รสหวานของชากลับไม่ได้ทำให้เธอสงบลง ตรงกันข้ามมันยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างที่มันแปลกๆ... จนกระทั่งเธอรู้สึกว่ามีอะไรเกิดขึ้น
ในตอนแรก เธอคิดว่าเป็นเพราะรสขมของขนมที่ยังติดอยู่ในลำคอ แต่เมื่อเวลาผ่านไป หัวของเธอกลับเริ่มหนักขึ้น ราวกับมีหมอกหนาทึบค่อยๆ ปกคลุมจิตใจ
เสียงสนทนาของอาร์วินและโจชัวค่อยๆไกลออกไป แม้พวกเขายังคงพูดคุยกันอยู่ตรงหน้า เธอพยายามตั้งสมาธิ แต่ทุกอย่างรอบตัวเหมือนหมุนช้าลง เสียงนาฬิกาที่ติ๊กเป็นจังหวะกลับดังชัดเจนเกินควร
“เฮ้? เป็นอะไร? ง่วงนอนแล้วหรอ?” เสียงของอาร์วินดังขึ้นพร้อมกับมือที่สะกิดเบาๆ แต่เธอไม่ได้ตอบ
ดวงตาของเธอเบลอขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเธอก็ไม่อาจบังคับตัวเองให้ลืมตาได้อีก
ถ้วยชาหลุดจากมือของเธอ เธอรู้สึกถึงแรงที่ดึงตัวลง แต่ไม่มีเสียงกระแทกหรือความเจ็บปวด ทุกอย่างดับวูบไป เหลือเพียงความเงียบที่ลึกลับและน่ากลัว...
อาร์วินกระพริบตาอย่างรวดเร็ว พลางขยับตัวเพียงเล็กน้อยเพื่อเช็คอาการของหญิงสาวที่สลบไป
เขาคุกเข่าลงข้างหญิงสาวที่ตอนนี้แน่นิ่งไป ริมฝีปากของเธอซีดเล็กน้อย แต่ลมหายใจยังคงสม่ำเสมอ
“หลับไปแล้วจริงๆ…” เขาพึมพำเบาๆ ใช้ปลายนิ้วแตะที่ข้อมือของเธอเพื่อจับชีพจร
ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรต่อ เสียงคมของโลหะที่เสียดสีกับอากาศดังก้องในความเงียบรอบตัว มีดบินนับสิบเล่มพุ่งลอยอยู่รอบกายเขา แสงจากไฟในห้องสะท้อนกับคมมีดจนเกิดเป็นประกายวูบวาบ
“อย่าขยับ” น้ำเสียงเรียบเย็นของโจชัวดังขึ้น
อาร์วินเงยหน้าขึ้นช้าๆโจชัวยืนอยู่ไม่ไกลนัก แว่นตากรอบเรียบสะท้อนแสงจนมองเห็นสายตาได้ไม่ชัด มือข้างหนึ่งของเขายกขึ้นเล็กน้อย ควบคุมมีดบินทั้งหมดด้วยมานาที่แฝงพลังคุกคาม
“คุณเป็นใคร?” โจชัวถามอีกครั้ง น้ำเสียงนิ่งแต่หนักแน่นกว่าก่อนหน้า “มาที่นี่ทำไม? และรู้เรื่องของผมได้ยังไง?”
อาร์วินที่ยังคงคุกเข่าอยู่ข้างไอลีน พลันเงยหน้าขึ้นช้าๆ สายตาของเขาจับจ้องไปที่โจชัวด้วยความสงบนิ่ง แม้จะมีมีดบินล้อมรอบตัวเขา
“ไม่เจอกันนานเลยนะ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแฝงความคุ้นเคย ราวกับเป็นคนรู้จักที่ห่างหายกันไปนาน
“น่าจะ… สองปีได้แล้วใช่ไหม?”
ดวงตาของโจชัวเบิกกว้างเล็กน้อย ความสงสัยถูกแทนที่ด้วยความระแวงในทันที
ก่อนที่เขาจะได้ตอบอะไร บรรยากาศรอบตัวกลับเริ่มเปลี่ยนไป ชุดข้ารับใช้ที่ดูเรียบง่ายของเขาเริ่มซีดจางราวกับละลายหายไปในอากาศ กลายเป็นเสื้อผ้าโทรมๆ แบบชาวทะเลทรายที่เปื้อนฝุ่นผง ผิวสีขาวซีดของเขากลายเป็นสีน้ำตาลเข้มเหมือนคนที่เผชิญแดดมานานหลายปี
ผมสีทองที่จงทำให้ดูสกปรกค่อยๆเปลี่ยนสีเป็นเทาหยาบ ดวงตาสีเทาที่ซ่อนอยู่หลังแว่นตาที่จางหายไป ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงสดเหมือนสีของเลือด รูปลักษณ์ทั้งหมดค่อยๆ แปรเปลี่ยนราวกับภาพลวงตาที่ค่อยเผยตัวตนที่แท้จริง
“คุณ…..เรย์นาร์ค” เสียงของโจชัวต่ำลงพร้อมกับความเคร่งเครียดในน้ำเสียง ดวงตาเบิกกว้างเพียงเสี้ยววินาที “งั้นหรอ?”
อาร์วิน — หรือเอรอสในรูปลักษณ์เรย์นาร์ค — มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความยินดีเล็กน้อย ราวกับพึงพอใจกับปฏิกิริยาที่ได้รับ
“ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เรื่องมันยุ่งยาก พอดีเธอตามฉันมาเองน่ะ” เอรอสตอบเรียบๆพลางยืดตัวขึ้นช้าๆ สายตาจับจ้องไปยังมีดบินที่ยังคงลอยวนรอบตัวเขา
“ก่อนอื่นช่วยลดอาวุธลงก่อนได้ไหม? ก็รู้หนิว่าตอนนี้ฉันใช้พลังเวทย์ไม่ได้?”
หลังจากนั้นสักพัก โจชัวนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ข้างๆเขา สายตาของเขามองตรงไปยังเอรอสในร่างเรย์นาร์คที่เอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างสงบนิ่ง
“ดื่มนี่สิ” โจชัวยื่นขวดแก้วใสที่บรรจุของเหลวสีอำพันให้เอรอส น้ำเสียงเรียบเฉยของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่แววตาสงบนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความจริงจัง
เอรอสมองขวดนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบขึ้นมา “คงไม่ได้ใส่อะไรแปลกๆเพิ่มใช่ไหม?” เขาเอ่ยเบาๆ แต่ยังติดน้ำเสียงเย้ยหยัน ก่อนจะดื่มรวดเดียวจนหมด
โจชัวเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนตอบ “ไม่ต้องห่วง ในนั้นมีแค่ยาแก้พิษเท่านั้น ผมไม่ได้ใส่อะไรเพิ่มนอกจากในขนมและน้ำชาหรอกน่ะ”
ขนม และ ชาที่พวกเขากินเข้าไนั้น ไม่ใช่แค่ของทานเล่นธรรมดา ชาถูกผสมยานอนสลบลงไปเล็กน้อย ขณะที่ขนมถูกปรุงขึ้นจากสมุนไพรชนิดพิเศษที่มีกลิ่นและรสชาติขมเข้มข้นจนแทบกลืนไม่ลง สำหรับคนทั่วไป การกินครบสามชิ้นโดยไม่รู้สึกคลื่นไส้เป็นเรื่องแทบจะเป็นไปไม่ได้ สมาชิกขององค์กรเท่านั้นที่รู้ถึงข้อมูลเหล่านี้ และสามารถฝืนกินมันจนหมด
การกินครบสามชิ้นไม่ได้มีแค่การล้างผลของยาสลบที่ซ่อนอยู่ในน้ำชา แต่ก็มาพร้อมกับผลข้างเคียงที่เป็นพิษ ทำให้ไม่สามารถใช้พลังเวทย์ได้ชั่วคราว ซึ่งในจุดนี้เองที่กลายเป็นบทพิสูจน์ถึงความจริงใจ การที่ใครสักคนยอมรับพิษนั้นเข้าสู่ร่างกายทั้งๆที่รู้อยู่แล้ว แสดงถึงความเต็มใจที่จะเปิดเผยตัวตนและยอมเสียเปรียบเพื่อสร้างความไว้วางใจต่ออีกฝ่าย
โจชัวถอนหายใจเบาๆ ก่อนเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “ว่าแต่ ทำไมคุณถึงมาที่นี่? หรือว่ามีอะไรให้ผมช่วย?”
เอรอสนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ พลางไล่สายตาไปที่ขวดแก้วบนโต๊ะ
“ใช่ ประมาณนั้น ค่อนข้างเป็นปัญหาใหญ่เลยล่ะ…”
โจชัวเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางมองเขานิ่ง “เกี่ยวกับเรื่องหัวใจใช่ไหม? เป็นอย่างที่พวกคุณพูดก่อนหน้านี้จริงๆงั้นเหรอ? เรื่องที่คุณได้รับหัวใจของจอมปราชญ์ไรอัส”
เอรอสยักไหล่น้อยๆก่อนตอบ “ถูกต้อง เป็นอย่างที่ฉันบอกกับผู้หญิงคนนั้นไปก่อนหน้านี้ เพียงแต่ว่า…ตอนนี้ฉันต้องการสร้างวงแหวนโดยที่ไม่ใช่หัวใจเป็นแกนกลาง หรือไม่ก็หาทางเอามันออกไปจากร่างฉันเลย แต่ติดปัญหาอยู่บางอย่าง”
พูดจบ เขาก็หยิบมีดสั้นจากเข็มขัดข้างตัว ฟักมีดเป็นโลหะเงาวับที่สะท้อนแสงไฟในห้องวูบวาบ เอรอสเปิดฟักออก เผยให้เห็นใบมีดที่คมกริบราวกับสามารถเฉือนทุกสิ่งได้ในพริบตา
โดยไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม เอรอสเล็งปลายมีดไปที่ตำแหน่งหัวใจของตัวเอง แล้วกดปลายลงอย่างแรง
โจชัวนั่งนิ่ง มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาจับจ้องไม่กระพริบ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับทำให้เขาต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
ปลายมีดจรดลงกับผิวหนังบริเวณหัวใจ แต่ไม่อาจทะลุผ่านได้ ราวกับมีเกราะเวทมนตร์บางอย่างกั้นเอาไว้ ผิวหนังของเขาไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ขณะที่แรงกดของมีดทำให้เกิดเพียงแสงเรืองจางๆ รอบจุดสัมผัส
“เห็นไหมล่ะ” เอรอสพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ขณะหมุนมีดไปมาเหนือผิวของตัวเอง “มันเป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไม่มีอะไรผ่านไปได้”
โจชัวมองภาพนั้นด้วยความสนใจ ก่อนเอ่ยขึ้นช้าๆ
“เกราะนี้…..เป็นพลังของหัวใจงั้นเหรอ?”
เอรอสถอนหายใจเบาๆ ขณะเก็บมีดกลับเข้าฟัก “น่าเสียดาย แต่พลังเวทย์ที่ปกป้องมันน่ะ…เป็นของคนอื่น เป็นคนที่ค่อนข้างยุ่งยากซ่ะด้วย เขาหยุดพูดชั่วครู่ ก่อนเอ่ยต่อ “แล้ว…พอจะมีอะไรแนะนำไหม?”
โจชัวยืดตัวขึ้น เอามือแตะคางพลางคิด "แย่แฮะ ป้องกันหนาแบบนี้… เอาออกไม่ได้แน่ๆ" เขาหันมามองเอรอส "แต่พอจะแทรกแซงได้….คุณไม่อยากจะใช้พลังผ่านมันโดยตรงสินะ?"
เอรอสพยักหน้าช้าๆโดยไม่ตอบคำใด แต่สายตาของเขาสะท้อนความสงสัยบางอย่างออกมา
โจชัวนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความจริงจัง "งั้นก็ต้องฝังแก่นมอนเตอร์ไปอย่างเดียว"
เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนเสริม "ปัญหาคือเราจะเอาอะไรใส่เข้าไป แล้วไม่ทำให้คุณโดนมันครอบงำ"
เอรอสเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่โจชัวพูด ความเสี่ยงของการถูกครอบงำนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาไม่รู้ การอยู่ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยพลังเวทสูง เช่น ดันเจี้ยนเป็นเวลานาน แก่นกลางของมอนเตอร์จะค่อยๆก่อตัวขึ้นในร่างกาย และหากไม่มีการควบคุมที่ดี ก็อาจเสียสติหรือกลายเป็นบางสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป
โจชัวลูกขึ้น เดินไปที่โต๊ะ ก้มลงไปที่กล่องไม้เก่าๆพลางค้นหาบางสิ่ง
"อย่างแรก ต้องหาแกนกลางที่มีความจุพลังเวทย์ และ อัตราการถ่ายเทที่เหมาะสมกับคุณ เพียงแต่..." เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ "ต้องมั่นใจว่าคุณจะไม่อ่อนแอต่อพลังเวทของมัน ไม่อย่างนั้นคุณเองก็อาจจะเป็นฝ่ายถูกมันครอบงำแทน"
เอรอสยังคงเงียบ ลุกขึ้นเดินไปข้างๆโจชัวที่ค้นของในกล่อง เขาคิดเล็กน้อย แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจ ก่อนจะถามเสียงเรียบออกไป "มีแก่นมอนเตอร์ที่มีพลังเวทเต็ม กับไม่มีพลังเวทไหม?"
โจชัวชะงักไปเล็กน้อยก่อนตอบ "มีสิ" เขารื้อกล่องต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนหยิบแก่นมอนเตรอ์สองชิ้นขึ้นมาให้ดู ชิ้นหนึ่งมีสีแดงเข้มและเปล่งแสงจางๆ อีกชิ้นหนึ่งเป็นสีเทาหม่น ดูไม่มีชีวิตชีวา
"นี่ไง—อันนี้เต็มไปด้วยพลังเวท" เขาชี้ไปที่แก่นสีแดง "ส่วนอันนี้เป็นแก่นที่พลังเวทหมดไปแล้ว"
เอรอสมองแก่นทั้งสองก่อนยื่นมือไปหยิบ เขาถือแก่นทั้งสองไว้ในมือ ราวกับกำลังประเมินอะไรบางอย่าง โจชัวมองเขาด้วยสายตาฉงน "จะทำอะไร?"
โดยไม่ตอบคำ แสงสีแดงจากแก่นสีแดงกลับส่องสว่างขึ้น ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะลดลงและสีจางลง แต่แก่นสีเทากลับค่อยๆ ส่องสว่างขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับสีเหลืองที่ค่อยๆ ปรากฏบนพื้นผิวของมันแทน
"โจชัวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ 'เป็นไปไม่ได้! ไม่มีทางที่มนุษย์จะถ่ายเทพลังเวทจากหนึ่งแก่นไปสู่อีกแก่นได้... โดยเฉพาะเมื่อแก่นพลังของมอนสเตอร์นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!'"
เอรอสไม่ได้ตอบคำ แต่เพียงเปิดตามองผลลัพธ์ในมือของเขา ราวกับกำลังคิดถึงความเป็นไปได้ในเส้นทางข้างหน้า
ห้องลับใต้ดิน คลินิกหลังจากตกลงแผนการทั้งหมด พวกเขาเดินลงไปยังห้องทดลองใต้ดินของคลินิก โจชัวถือกล่องที่ใส่อุปกรณ์และแก่นเวทย์สีดำไว้ในมือ ขณะที่เอรอสเดินตามหลังมาเงียบๆ ความเงียบครอบงำบรรยากาศ มีเพียงเสียงฝีเท้าของทั้งสองที่ดังก้องในทางเดินแคบเมื่อมาถึงห้องทดลองใต้ดิน ประตูเหล็กบานหนาถูกปิดอย่างแน่นหนา โจชัวเปิดสวิตช์ไฟ เผยให้เห็นเครื่องมือและอุปกรณ์มากมายที่จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ โต๊ะกลางห้องมีเตียงหินสำหรับการผ่าตัด โจชัววางกล่องลงก่อนหันไปมองเอรอส“ฉันต้องถามอีกครั้ง” โจชัวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะทำตอนนี้? อย่างน้อยถ้ามีเวลาเตรียมตัวอีกสักวัน…”เอรอสส่ายหัว “ไม่จำเป็น เริ่มลงมือกันเถอะ” น้ำเสียงหนักแน่นแต่แฝงความกดดันโจชัวถอนหายใจยาว “ก็ได้… ถ้างั้นขึ้นไปนอนบนเตียง ผมจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อน”เอรอสปีนขึ้นไปนอนบนเตียงหิน เย็นเยียบจากพื้นหินแผ่ซ่านผ่านร่างกาย แต่เขากลับไม่ใส่ใจ สายตาจับจ้องไปยังเพดานห้อง ขณะที่โจชัวจัดเตรียมเครื่องมือ มีดเวทย์เรืองแสงสีฟ้า และแก่นเวทย์สีดำที่ยังคงเปล่งประกายลึกลับ“ถึงจะมั่นใจในฝีมือ” โจชัวพูดขึ้นขณะเตรียมเครื่องมือ “แต่
ใต้ดินที่มืดมิดและอับชื้น กลิ่นดินและสนิมเหล็กตลบอบอวลเหมือนกลิ่นความตาย กรงขังที่ทำจากเหล็กเส้นเก่าๆ ถูกสร้างไว้ตามผนังของคุกโบราณแห่งนี้ แสงจากรูเล็กๆบนเพดานสูงเปิดให้เห็นเพียงเศษเสี้ยวของท้องฟ้าด้านบน เป็นแสงที่ไม่เพียงพอจะทำให้พื้นที่รอบตัวสว่าง แต่เพียงพอที่จะเตือนให้เธอจำได้ว่ายังมีโลกภายนอกเธอนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของกรง ดวงตาสีฟ้าอ่อนจ้องมองแสงที่ลอดผ่านลงมา ราวกับหวังว่ามันจะพาเธอหลุดพ้นจากกรงแห่งนี้ ผมสีดำยุ่งเหยิงของเธอห้อยปิดหน้าซีดเซียวที่ครั้งหนึ่งเคยดูสดใส แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนเธอถูกกักขังในฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่นเธอจำได้ถึงคืนที่ทุกอย่างพังทลาย หมู่บ้านเล็กๆ ที่เคยสงบสุขกลายเป็นนรกบนดินเมื่อกลุ่มโจรบุกเข้ามา เพลิงไฟโหมกระหน่ำ เสียงกรีดร้องของผู้คน เสียงไม้ลั่นดังขณะบ้านพังถล่ม ทุกสิ่งดูเหมือนภาพฝันร้ายที่เธอไม่มีวันลืม สิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้คือเสียงแม่ตะโกนเรียกเธอท่ามกลางควันไฟ แล้วความมืดก็เข้าครอบงำสองเดือนก่อน เธอยังอยู่บนเรือทาส ลอยกลางทะเลอันกว้างใหญ่ เสียงน้ำทะเลซัดกระแทกกับไม้กระดานดังแผ่วเบา แต่สำหรับเด็กสาวไร้ชื่อ เสียงนี้เหมือนเพลงบรรเลงแห่งความสิ้นหวัง แสงจัน
เด็กชายเดินโซเซผ่านช่องแคบในกำแพงหินออกมา หลังจากการต่อสู้ในความมืด เขาพบกับแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ทาบลงบนใบหน้า ความอุ่นและความสว่างของแสงทำให้เขาต้องหยีตา แต่ไม่นาน เขาก็เริ่มมองเห็นภาพรอบตัวอย่างชัดเจนตรงหน้าเขาเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งชาย และ หญิงหลากหลายวัย ท่าทางของพวกเขาเคร่งเครียด สายตาจับจ้องไปยังกลุ่มนักผจญภัย และ เจ้าหน้าที่ ที่ยืนปรึกษากันด้วยสีหน้าวิตกกังวล ดูเหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นการปรากฏตัวของเขา ซึ่งดูเล็ก และ ไร้เสียงท่ามกลางความโกลาหลนี้ขณะที่เด็กชายพยายามก้าวไปข้างหน้า ร่างกายที่อ่อนล้าก็ค่อยๆสูญเสียพละกำลัง ความเหนื่อยล้ากดทับเขาราวกับไม่อาจพยุงตัวได้อีกต่อไป ในที่สุด ขาของเขาอ่อนแรงจนต้องทรุดลงกับพื้นเสียงเบาๆของเขาที่กระแทกพื้นเรียกความสนใจจากฝูงชน บรรยากาศเคร่งเครียดหยุดลงชั่วขณะ ผู้คนเริ่มหันมามองที่เขาทันใดนั้น เด็กหญิงคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มประชาชนร้องออกมาด้วยความตกใจ"นั่นเขาใช่ไหม!?" เธอพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นสะท้าน ก่อนจะรีบแหวกฝูงชนเข้ามาหาเด็กชายเด็กหญิงในชุดเสื้อผ้าที่ดูหรูหรา วิ่งเข้ามาใกล้เขา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและเป็นห่วง ดวงตาสีเขี
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ชายหนุ่มเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเครื่องแบบสีดำสนิทออกมา มันเป็นชุดที่ถูกออกแบบมาอย่างประณีต—เสื้อเชิ้ตพอดีตัวเน้นความคล่องตัว และเสื้อโค้ทยาวที่ชายเสื้อจรดสะโพก ด้านในบุซับกันหนาวและมีกระเป๋าลับซ่อนอยู่หลายจุด เหมาะสำหรับเก็บอุปกรณ์สำคัญที่ต้องใช้ในงานเฉพาะทางของเขาเมื่อสวมชุดเรียบร้อย ชายหนุ่มเดินไปที่ตู้เย็น หยิบขวดน้ำขึ้นมาเพื่อดับกระหาย แต่ทันทีที่สัมผัสเขาก็ชะงัก อุณหภูมิของมันอุ่นเกินไป ตู้เย็นไม่ทำงานเหมือนเคยเขาเลิกคิ้ว สายตาคมจ้องไปยังแหล่งพลังงานด้านหลังตู้เย็น ก่อนจะเปิดช่องเล็กๆ ออกมา ข้างในมีแก่นพลังเวทย์ขนาดเล็กที่เคยเปล่งแสงสีเหลืองอ่อน แต่ตอนนี้กลับซีดจางจนแทบไร้สี บ่งบอกว่าพลังงานในนั้นหมดสิ้น“หมดอีกแล้วสินะ...” เขาพึมพำเบาๆ ถอนหายใจก่อนจะเดินไปที่เตียง ยื่นมือไปใต้ฐานเตียงแล้วหยิบแก่นสำรองที่ซ่อนไว้ออกมามือหนึ่งถือแก่นที่ซ่อนเอาไว้ ส่วนอีกมือจับแก่นที่หมดพลังงาน เขาจัดท่าทางให้มั่นคง ระบายลมหายใจยาวช้าๆ ขณะที่เริ่มถ่ายเทพลังเวทย์จากแก่นหนึ่งไปสู่อีกแก่นหนึ่งกระแสพลังงานไหลเวียนจากฝ่ามือของเขาเหมือนน้ำในลำธารสงบ แก่นที่เคยซีดจางค่อยๆ เปลี่ยนสี
ขณะที่ชายหนุ่มก้าวไปตามถนนที่มุ่งหน้าสู่ที่ทำงานอย่างคุ้นเคย ภาพของพวกทาสในรถม้าคันนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ใบหน้าอ่อนล้าของพวกเขาสะท้อนความหมดหวังอย่างเงียบงัน ทว่าเพียงพริบตาเดียวที่เขาได้เห็น มันกลับฝังลึกในความคิดหากย้อนกลับไปเมื่อสี่ปีก่อน รถม้าแบบนี้คงไม่มีทางเข้ามาถึงเมืองได้อย่างแน่นอน พวกเราสองคน เคยร่วมกันตระเวณทำลายเครือข่ายค้าทาสในทวีปจนราบคาบ ทำให้ชื่อเสียง และ ตัวตนของ "จอมเชือด" เป็นที่หวาดกลัว และ โจษจัน จนพวกมันไม่แม้แต่จะกล้าเอาเรือเฉียดเข้ามาในทวีปด้วยซ้ำ แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป นับตั้งแต่ตอนที่เธอหายตัวไปพลังที่เขาใช้สร้างชื่อเสียง และ ความหวาดกลัวนั้นไม่ใช่ของเขาเอง แต่มาจากตัวตนที่เขาเคยใช้พลังกลืนกินเมื่อเกือบสิบปีก่อน ในตอนที่ยังอยู่ในตระกูล แม้เหตุการณ์จะผ่านมานาน แต่จิตวิญญาณของมัน ก็ยังคงติดอยู่ในตัวเขา และทุกครั้งที่เขาใช้พลังนั้น มันก็จะทิ้งร่องรอย และ ความเสียหายไว้ในจิตใจเสมอเมื่อก่อนเธอเป็นเหมือนกำลังใจสำคัญ ทุกครั้งที่เขาเริ่มถูกครอบงำ เธอจะดึงเขากลับมา แต่เมื่อไม่มีเธอ ทุกอย่างก็เหมือนจะพังทลาย พลังนั้นเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกัน มันกลับต่อต
ชายหนุ่มก้าวเข้าสู่ห้องทำงานในแผนกสืบสวน แสงอ่อนจากหน้าต่างสูงเพียงจุดเดียวพาดลงบนพื้นไม้เย็น เงาทอดยาวไปบนความว่างเปล่ารอบตัว เขากวาดสายตามองรอบห้อง—โต๊ะเก้าอี้จัดเรียงอย่างเรียบร้อยแต่ไร้ชีวิต ราวกับมีเขาคนเดียวที่มาที่นี้สายตาเหล่มองนาฬิกาบนฝาผนัง ก่อนจะพึมพำเบาๆ “เรียกมาตั้งแต่เช้า แต่ไม่เห็นโผล่หัวออกมาสักตัว อะไรกันว่ะเนี่ย?” เสียงสะท้อนกลับมากระทบห้องว่างเปล่ามือเอื้อมหยิบลูกบอลแสงสีทองจากกระเป๋าหนัง มันเปล่งแสงสลัวคล้ายจันทร์คืนมืด ก่อนจะถูกวางลงบนแท่นเล็กที่โต๊ะ สัญญาณแสงสีฟ้ากะพริบขึ้นช้าๆ เป็นจังหวะบอกว่าการรายงานตัวเสร็จสมบูรณ์ แต่ความเงียบยังคงปกคลุมทั่วบริเวณโดยรอบชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ก่อนเดินไปตามทางเดินเล็กมุมห้องที่นำไปสู่ห้องทำงานส่วนตัว ห้องนั้นเล็ก และ อับแต่สงบ โต๊ะไม้เก่าเต็มไปด้วยฝุ่นและกองเอกสารที่วางกองกันอยู่ มุมหนึ่งยังมีปากกาดินสอที่เริ่มกร่อนตามกาลเวลา บ่งบอกถึงการถูกทิ้งร้างเขาทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ไม้เสียงดังเอี๊ยดอ๊าด แขนกอดอกแน่น สายตาจ้องเอกสารบนโต๊ะที่ดูเหมือนถูกจัดเตรียมไว้ให้โดยเฉพาะ ภายในรายงานคือข้อมูลการหายตัวไปของจอมเวทย์หนุ่มสาวจากตระกูลขุนนา
เอรอสเดินงัวเงียผ่านซอกซอยในย่านเมืองหลวง หลังจากที่ไปพบกับกลุ่มผู้เสียหายที่เพิ่งถูกพบตัวไม่นาน หลายคนให้ความร่วมมือกับเขาด้วยท่าทางอ่อนล้า เหมือนยังไม่สามารถดึงสติกลับมาได้เต็มที่ บางคนแม้จะมองเห็นเขาอยู่ตรงหน้า แต่ก็เหมือนสายตาล่องลอยออกไปที่อื่นขณะที่เอรอสคุยกับพวกเขา เขาสังเกตได้ว่าความทรงจำที่ขาดหายไปนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ช่วงเวลาที่พวกเขาหายตัวไปเท่านั้น แต่ยังมีบางส่วนของเหตุการณ์ก่อนการหายตัวที่ดูเหมือนจะถูกลบออกไปด้วย ผู้เสียหายแต่ละคนต่างจำเหตุการณ์หรือสถานการณ์ก่อนหน้าของตัวเองได้เพียงลางๆ ราวกับว่ามีบางสิ่งที่ทำให้พวกเขาสูญเสียช่วงเวลาสำคัญของตัวเองไปแม้ว่าการสอบปากคำจะไม่ได้ให้ข้อมูลใหม่ๆ ที่สำคัญ แต่เอรอสยังพอจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง—ร่องรอยของมานาที่ดูแปลกประหลาด แผ่กระจายอำนาจและพลังที่ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของโลก ในนั้นมีความรู้สึกอันรุนแรงบางอย่างที่เขาสัมผัสได้ชัดเจน ราวกับเป็นอำนาจที่สามารถหักล้างทุกกฎที่เคยรู้จักหนึ่งในตัวตนที่เขานึกถึงก็คือแม่มด ผู้ที่ลือกันว่าเป็นผู้เดียวที่มีพลังสามารถดัดแปลงและฝืนกฏเกณฑ์ของโลกได้ เอรอสจดบันทึกข้อมูลนี้ไว้ในใจ พลางเดินเปร
เสียงบางอย่างแว่วมาแต่ไกล ราวกับคลื่นทะเลกระทบชายฝั่ง มันไม่ใช่เสียงที่คุ้นเคย แต่กลับปลอบโยนอย่างน่าประหลาด สติของเขาค่อยๆ ฟื้นขึ้นจากความมืดมิด ดวงตาที่พร่ามัวลืมขึ้นอย่างเชื่องช้า เหมือนยังติดอยู่ในห้วงฝันที่ยาวนานเขาไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน แต่สิ่งที่สัมผัสได้ คือความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ร่างที่เคยเล็กและอ่อนแอกลับมาหนักแน่น นิ้วมือที่เคยเหมือนเด็กเล็กบัดนี้เรียวยาวและหยาบกร้าน รอยแผลที่คุ้นเคยปรากฏบนผิวอย่างชัดเจน มันเป็นหลักฐานของชีวิตที่เขาเคยมีเขาค่อยๆลุกขึ้นยืน ขาที่มั่นคงและร่างกายที่สมส่วน ทำให้เขารู้สึกถึงเรี่ยวแรงที่หายไปนาน ชุดเสื้อโค้ทสีดำและกางเกงขายาวกลับคืนมาราวกับมันไม่เคยหายไปไหน ความคุ้นเคยที่ผุดขึ้นมาพร้อมกับสัมผัสของเนื้อผ้า ทำให้เขารู้ว่าสิ่งนี้เป็นความจริง ไม่ใช่ภาพหลอน"เกิดอะไรขึ้น..." เขาพึมพำ เสียงแหบแห้งแต่หนักแน่นกว่าที่เคยเป็นเมื่อมองไปรอบตัว เขาเห็นเพียงหมอกดำหนาทึบที่ปกคลุมทุกสิ่ง แต่ในความมืดนั้น มีบางสิ่งดึงดูดสายตา โดมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านกลางความมืด โครงสร้างสีขาวมุกสะท้อนแสงเลือนรางจากหมอก มันดูทั้งน่าค้นหาและน่าหวาดหวั่นในเวลาเดียวกันชาย
ใต้ดินที่มืดมิดและอับชื้น กลิ่นดินและสนิมเหล็กตลบอบอวลเหมือนกลิ่นความตาย กรงขังที่ทำจากเหล็กเส้นเก่าๆ ถูกสร้างไว้ตามผนังของคุกโบราณแห่งนี้ แสงจากรูเล็กๆบนเพดานสูงเปิดให้เห็นเพียงเศษเสี้ยวของท้องฟ้าด้านบน เป็นแสงที่ไม่เพียงพอจะทำให้พื้นที่รอบตัวสว่าง แต่เพียงพอที่จะเตือนให้เธอจำได้ว่ายังมีโลกภายนอกเธอนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของกรง ดวงตาสีฟ้าอ่อนจ้องมองแสงที่ลอดผ่านลงมา ราวกับหวังว่ามันจะพาเธอหลุดพ้นจากกรงแห่งนี้ ผมสีดำยุ่งเหยิงของเธอห้อยปิดหน้าซีดเซียวที่ครั้งหนึ่งเคยดูสดใส แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนเธอถูกกักขังในฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่นเธอจำได้ถึงคืนที่ทุกอย่างพังทลาย หมู่บ้านเล็กๆ ที่เคยสงบสุขกลายเป็นนรกบนดินเมื่อกลุ่มโจรบุกเข้ามา เพลิงไฟโหมกระหน่ำ เสียงกรีดร้องของผู้คน เสียงไม้ลั่นดังขณะบ้านพังถล่ม ทุกสิ่งดูเหมือนภาพฝันร้ายที่เธอไม่มีวันลืม สิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้คือเสียงแม่ตะโกนเรียกเธอท่ามกลางควันไฟ แล้วความมืดก็เข้าครอบงำสองเดือนก่อน เธอยังอยู่บนเรือทาส ลอยกลางทะเลอันกว้างใหญ่ เสียงน้ำทะเลซัดกระแทกกับไม้กระดานดังแผ่วเบา แต่สำหรับเด็กสาวไร้ชื่อ เสียงนี้เหมือนเพลงบรรเลงแห่งความสิ้นหวัง แสงจัน
ห้องลับใต้ดิน คลินิกหลังจากตกลงแผนการทั้งหมด พวกเขาเดินลงไปยังห้องทดลองใต้ดินของคลินิก โจชัวถือกล่องที่ใส่อุปกรณ์และแก่นเวทย์สีดำไว้ในมือ ขณะที่เอรอสเดินตามหลังมาเงียบๆ ความเงียบครอบงำบรรยากาศ มีเพียงเสียงฝีเท้าของทั้งสองที่ดังก้องในทางเดินแคบเมื่อมาถึงห้องทดลองใต้ดิน ประตูเหล็กบานหนาถูกปิดอย่างแน่นหนา โจชัวเปิดสวิตช์ไฟ เผยให้เห็นเครื่องมือและอุปกรณ์มากมายที่จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ โต๊ะกลางห้องมีเตียงหินสำหรับการผ่าตัด โจชัววางกล่องลงก่อนหันไปมองเอรอส“ฉันต้องถามอีกครั้ง” โจชัวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะทำตอนนี้? อย่างน้อยถ้ามีเวลาเตรียมตัวอีกสักวัน…”เอรอสส่ายหัว “ไม่จำเป็น เริ่มลงมือกันเถอะ” น้ำเสียงหนักแน่นแต่แฝงความกดดันโจชัวถอนหายใจยาว “ก็ได้… ถ้างั้นขึ้นไปนอนบนเตียง ผมจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อน”เอรอสปีนขึ้นไปนอนบนเตียงหิน เย็นเยียบจากพื้นหินแผ่ซ่านผ่านร่างกาย แต่เขากลับไม่ใส่ใจ สายตาจับจ้องไปยังเพดานห้อง ขณะที่โจชัวจัดเตรียมเครื่องมือ มีดเวทย์เรืองแสงสีฟ้า และแก่นเวทย์สีดำที่ยังคงเปล่งประกายลึกลับ“ถึงจะมั่นใจในฝีมือ” โจชัวพูดขึ้นขณะเตรียมเครื่องมือ “แต่
“ไหนบอกว่านัดไว้แล้วไง ทำไมเขาบอกว่าไม่รู้เรื่อง?” ไอลีนหันมากระซิบถามอาร์วินด้วยสีหน้าไม่สบายใจอาร์วินยิ้มบางๆ ก่อนจะหันไปมองโจชัวที่ยังคงจับจ้องพวกเขาด้วยสายตานิ่งสงบ แฝงแววประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ"จำไม่ได้แล้วเหรอว่าเราเคยเดินทางด้วยกันตั้งเป็นเดือน? ตอนนั้นฉันต้องพกงานวิจัยของนายติดตัวไปด้วยตลอด เพราะกลัวว่านายจะสติหลุดแล้วเผลอทำลายมันไปซะเอง ตอนนี้ยังเก็บไว้อยู่ใช่ไหม? หรือว่าเผลอทำหายไปแล้ว?"คำพูดของอาร์วินทำให้โจชัวชะงักไปเล็กน้อย แววตาของเขาที่เดิมดูระวังตัว กลับฉายแววสงสัยปนระลึกอะไรบางอย่าง“งานวิจัย...” เขาทวนคำเบาๆคล้ายจะนึกย้อนถึงอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในความทรงจำ ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆราวกับจับทิศทางได้แล้ว“อ้อ คุณนี่เอง” โจชัวเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง รอยยิ้มบางๆปรากฏบนใบหน้า“จำได้แล้วครับ ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะ”อาร์วินพยักหน้าเล็กน้อย ท่าทางดูเหมือนสบายๆ แต่ในแววตากลับมีอะไรบางอย่างที่อ่านยาก“ใช่ ไม่ได้เจอกันตั้งแต่ตอนนั้นเลย ฉันก็สงสัยอยู่ว่านายจะยังจำฉันได้อยู่หรือเปล่า”“จะลืมได้ยังไงล่ะครับ ผมไม่ทีทางลืมหรอกครับ” โจชัวตอบ พลางหัวเราะเบาๆอาร์วินเอน
ไอลีนถือสมุดบันทึกเวทมนตร์เล่มเล็กไว้ในมือ ขณะเดินไปตามทางเดินในคฤหาสน์ที่เงียบสงบ ผมยาวสีดำสนิทของเธอถูกมัดรวบไว้หลวมๆด้านหลัง ปลายเส้นผมพลิ้วไหวไปตามจังหวะก้าวเดิน เธอสวมชุดคลุมสีม่วงอ่อนที่มีสัญลักษณ์เวทมนตร์สะท้อนแสงจันทร์เล็กน้อย ผ้าคลุมบางเบาดูสง่างามแต่คล่องตัวพอสำหรับการเคลื่อนไหวในยามค่ำคืน มืออีกข้างถือคทาไม้เนื้อแข็งที่ถูกแกะสลักอย่างประณีต ปลายคทาประดับด้วยคริสตัลสีใสที่เปล่งแสงเรืองรองจางๆ ราวกับกักเก็บพลังเวทไว้ภายในแสงจากโคมไฟติดผนังทอดเงาสะท้อนบนพื้นหินเย็นเยียบ เสียงฝีเท้าของเธอเบาบางจนแทบไม่ได้ยิน เธอสูดลมหายใจลึกขณะหยุดยืนอยู่ที่หน้าต่างบานใหญ่ จับจ้องไปยังเงาร่างหนึ่งที่เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังอยู่ด้านล่างของคฤหาสน์ร่างนั้นคืออาร์วิน เขาสวมชุดข้ารับใช้ในที่ดูเรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้าน เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวคาดด้วยเสื้อกั๊กสีดำเข้ารูปและกางเกงสีน้ำตาลเข้มที่พับปลายไว้เล็กน้อย หมวกแบนทรงกลมที่มียอดยกขึ้นนิดหน่อยปกปิดเส้นผมสีทองที่ยุ่งเล็กน้อย แว่นตาสีน้ำตาลอมแดงช่วยบดบังสายตาของเขาจากผู้พบเห็น ดวงตาสีเทาอันลึกลับถูกซ่อนเร้นไว้ราวกับต้องการปิดบังตัวตนเขาก้าวเดินอย่างเ
เอเลน่านั่งอยู่บนเตียง จ้องมองอาร์วินที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย ดวงตาสีเทาที่มองมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความลึกที่อธิบายไม่ได้ มีบางสิ่งในแววตานั้นที่ทำให้หัวใจเธอสั่นไหว แต่เธออ่านมันไม่ออกบรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด เสียงลมเบาๆ จากหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ดังก้องในห้องที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของผ้าปูที่นอนใต้ฝ่ามือ พยายามดึงสติกลับมา แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนถูกตรึงด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นอาร์วินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา"เอเลน่า... ฉันไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน แต่ฉันจะพยายามเล่าให้เธอฟัง"เสียงของเขานุ่มลึก แต่สั่นเครือเล็กน้อย เธอรู้ว่าเขากำลังแบกรับอะไรบางอย่างที่หนักหนา ทว่าในใจของเธอเองก็เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้จบ เอเลน่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงให้เขาพูดต่อ แม้ในใจจะปั่นป่วนจนแทบระเบิดอาร์วินถอนหายใจยาว เสียงนั้นเหมือนลมหายใจที่พยายามปลดปล่อยความกดดันบางอย่าง"ตอนที่ฉันถูกจับอยู่ในคุก... ฉ
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ เอเลน่าค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆ กลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันที่ไม่อยากตื่นจากมันเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งหลับพิงเก้าอี้อยู่ ใบหน้าสงบนิ่งในเงามืด เส้นผมสีทองของเขาดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เอเลน่าจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ช่วงเวลานี้เผยให้เห็นอีกด้านของเขา—ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนเร้นก่อนหน้า ทำให้เธอโล่งใจเล็กน้อย ดวงตาของเธอสบเข้ากับใบหน้าอ่อนล้าของเขา ความรู้สึกปะปนกันระหว่างความสับสนและความอบอุ่นไหลเวียนในอก“อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆเหมือนจะยืนยันว่าเขาอยู่ตรงนี้จริงๆ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อเหลือบมองตัวเองที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เตียงของเธอ แต่เป็นของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงข
เอรอสก้าวออกจากป่าทึบในรูปลักษณ์ของอาร์วิน สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านตัวเขาอย่างแผ่วเบา แสงจันทร์ยังคงสลัวทำให้เห็นเงาของคฤหาสน์ตระกูลวัลธอเรนลางๆ อยู่ไม่ไกล จุดที่เขามุ่งหน้าไปคือบริเวณใต้หน้าต่างห้องพักของเขาเองก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เขาเคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อนชายแปลกหน้าที่เอรอสช่วยเหลือไว้ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาวราวกับหยิบยกมาจากยุคโบราณ ชายคนนี้ดูเหมือนนักเดินทางที่หลงยุค เขาอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เอรอสจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวันแทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยมาให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ
คลินิกของโจชัว ตั้งอยู่ในเขตสามัญชน ตัวอาคารหินสีซีดดูเรียบง่ายแฝงความล้าสมัย ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึก หน้าต่างกระจกสีชั้นล่างสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไป ลวดลายบนกระจกดูเหมือนจะพร่ามัวในแสงสลัว คลินิกนี้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนโรงพยาบาล แต่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยประมาณสิบคน เหมาะสำหรับการดูแลแบบส่วนตัวยามตีสี่ ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ ความเงียบรอบตัวแทบจะทำให้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วงกระทบพื้น เอรอสยืนพิงกำแพงใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ตรงข้ามคลินิก แม้ลมหนาวจะพัดแรง แต่ร่างกายของเอรอสกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาต่อความเย็น ราวกับความหนาวนั้นไม่อาจแตะต้องเขาได้ ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยังหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท นั่นเป็นห้องทำงานของโจชัว ซึ่งเขาใช้สำหรับจัดการเอกสารในช่วงกลางวัน แต่ในยามนี้ ไม่มีแสงไฟส่องลอดออกมา“ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่…” เขาพึมพำเสียงเบา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงนั้นแทบชัดเจนในสายลม เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียง กระโดดขึ้นเกาะขอบหน้าต่างชั้นสอง เสียงลมแผ่วเบาและใบไม้ไหวกลบการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาสีแดงสังเกตการณ์ในห้องอีกครั้งเพื่อยืนยันว่
คาร์ลีนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้ในดันเจี้ยนที่ผสานเขากับเขตแดนของเธอ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ความสัมพันธ์ลึกลับนี้ ทำให้คาร์ลีนรับรู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอเรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของชายที่มีฉายาว่า จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มาเนิ่นนาน แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากของเขาโดยตรงเธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับคำพูดนั้นหนักเกินกว่าจะเปล่งออกมาดวงตาสีม่วงเข้มของเธอสะท้อนแสงจากโคมไฟ เธอนั่งนิ่งราวกับขบคิด แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ ความหนักใจเหมือนสายลมหนาวที่แผ่วผ่านกลับถูกเติมเต็มด้วยความหวังอันเปราะบาง เธออยากให้เขามาหา อยากได