เอเลน่านั่งอยู่บนเตียง จ้องมองอาร์วินที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย ดวงตาสีเทาที่มองมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความลึกที่อธิบายไม่ได้ มีบางสิ่งในแววตานั้นที่ทำให้หัวใจเธอสั่นไหว แต่เธออ่านมันไม่ออก
บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด เสียงลมเบาๆ จากหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ดังก้องในห้องที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของผ้าปูที่นอนใต้ฝ่ามือ พยายามดึงสติกลับมา แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนถูกตรึงด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็น
อาร์วินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา
"เอเลน่า... ฉันไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน แต่ฉันจะพยายามเล่าให้เธอฟัง"
เสียงของเขานุ่มลึก แต่สั่นเครือเล็กน้อย เธอรู้ว่าเขากำลังแบกรับอะไรบางอย่างที่หนักหนา ทว่าในใจของเธอเองก็เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้จบ เอเลน่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงให้เขาพูดต่อ แม้ในใจจะปั่นป่วนจนแทบระเบิด
อาร์วินถอนหายใจยาว เสียงนั้นเหมือนลมหายใจที่พยายามปลดปล่อยความกดดันบางอย่าง
"ตอนที่ฉันถูกจับอยู่ในคุก... ฉันไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว แต่วันหนึ่ง จู่ๆก็มีวงแหวนประหลาดเกิดขึ้นในห้องขัง มันเปล่งแสงสว่างจ้าและส่งเสียงก้องไปทั่ว ฉันรู้ว่ามันอันตราย แต่ตอนนั้น ฉันไม่มีทางเลือกอื่น... ฉันเลยลองเข้าไป"
เอเลน่าเลิกคิ้วเล็กน้อย เธอพยายามจินตนาการถึงสิ่งที่เขาเล่า แต่มันก็แปลกเกินกว่าจะเชื่อสนิทใจ หัวใจเธอเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย เมื่อภาพในหัวเริ่มเรียงร้อยเป็นภาพของวงแหวนแสงและห้องขังอันมืดมิด
"แล้วมันพาเธอไปไหน?" เธอถาม น้ำเสียงพยายามรักษาความสงบนิ่ง แม้จะรู้สึกว่ามันสั่นน้อยๆ
อาร์วินมองเธอแวบหนึ่งก่อนเล่าต่อ "ที่อีกฝั่งของวงแหวน... ฉันพบว่าตัวเองอยู่ในสวนที่ดูเหมือนจากโลกอื่น มีต้นไม้ใหญ่ที่แตะถึงโดม และในศาลาใกล้ๆ กับต้นไม้นั้น... ฉันเจอผู้หญิงคนหนึ่ง"
เอเลน่าขมวดคิ้ว คำพูดของเขาดูน่าเหลือเชื่อจนเธออดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามในใจ แต่เธอก็ยังคงนิ่งฟัง เธอจับสังเกตได้ถึงท่าทางที่เปลี่ยนไปของเขาเล็กน้อย เขาดูเหมือนกำลังดึงความทรงจำที่ฝังลึกออกมาเล่า
"เธอบอกกับฉันว่า ฉันต้องเข้ารับการทดสอบความเข้ากันได้กับหัวใจ"
"หัวใจ?" เอเลน่าทวนคำอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เธอรู้สึกว่าคำพูดนั้นมีน้ำหนักบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ
"ใช่..." อาร์วินตอบ ดวงตาเขาดูเหมือนหลบสายตาเธอเล็กน้อย "มันเป็นหัวใจที่เปล่งแสง เต้นอยู่ในกรงนกที่เหมือนทำจากเหล็กสีเงิน เธอบอกว่ามันคือหัวใจของไรอัส จอมปราชญ์ในตำนาน"
คำพูดนั้นทำให้เอเลน่ารู้สึกถึงความกังวลที่ก่อตัวขึ้นในใจ มันก็ฟังดูเหมือนเรื่องเล่ามากกว่าจะเป็นความจริง แต่มันก็สอดคล้องกับข่าวลือที่ไอลีนเล่าให้ฟัง
"แล้วทำไมเธอต้องไปรับการทดสอบด้วย?" เธอถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความระมัดระวัง แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความสงสัย
"เธอบอกว่าหัวใจในตัวฉันกำลังจะตาย..." อาร์วินตอบเสียงแผ่ว "และฉันไม่มีทางเลือก ฉันต้องรับหัวใจนั้น ถ้าไม่อย่างนั้น ฉันก็ไม่รอด เธอก็เห็นสภาพฉันก่อนหน้านี้แล้วหนิ?"
เอเลน่ารู้สึกถึงลมหายใจที่ติดขัดเล็กน้อย ความหมายในคำพูดของเขาดูหนักหนาเกินกว่าที่เธอจะรับได้ในทันที แต่เธอก็ยังคงนิ่งฟัง ขณะที่พยายามสงบใจและจัดการกับความคิดที่ปั่นป่วนในหัว
อาร์วินหยุดเล็กน้อย เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะเล่าต่อหรือไม่ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าเดิม
"แต่เธอเตือนว่า ถ้าฉันเข้ากับหัวใจนั้นไม่ได้... ฉันอาจจะถูกทำลายจนไม่มีชิ้นดี"
คำพูดนั้นทำให้เอเลน่าเย็นวาบ เธอเพ่งมองเขา ความเงียบระหว่างพวกเขาหนักอึ้งราวกับทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่ง เธอรู้สึกถึงลมหายใจของตัวเองที่ช้าลง ขณะที่ดวงตาสีเทาคู่นั้นของเขามองมาอย่างลังเล
"แล้วมันเกิดอะไรขึ้นต่อ?" เธอถาม น้ำเสียงแฝงด้วยความไม่แน่ใจ เธอต้องการคำตอบ แต่ก็กลัวในสิ่งที่เขากำลังจะเล่า
อาร์วินหลบสายตาเธออีกครั้ง "ฉันพยายามสัมผัสหัวใจนั้น... และตอนนั้นเอง ฉันก็หมดสติไปทันที แต่ในช่วงที่ฉันสะลืมสะลือตื่นขึ้นมา ฉันพบว่าตัวเองอยู่ในของเหลวบางอย่าง คล้ายกับกำลังลอยอยู่ในถังใสขนาดใหญ่"
เขาหยุดเล็กน้อย น้ำเสียงเริ่มสั่น "และตอนนั้นเอง... ฉันเห็นเอรอส เขายืนอยู่ข้างแม่มด ราวกับกำลังจับตาดูฉัน และดวงตาของฉัน... มันอยู่บนใบหน้าของเขา"
เอเลน่ารู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างถูกความเย็นวาบแทรกผ่าน เธอมองหน้าอาร์วินนิ่ง หากเป็นอาร์วินคนเดิมที่เธอรู้จัก เธอคงเชื่อเขาอย่างสนิทใจโดยไม่ตั้งข้อสงสัยใดๆ แต่เมื่อเธอจ้องไปยังดวงตาคู่นั้น ที่บัดนี้กลายเป็นสีเทาเหมือนกับเอรอส ความลังเลและความสงสัยก็พลันผุดขึ้นมาในใจอย่างไม่ทันตั้งตัว
ภาพในวันที่เธอเห็นดวงตาสีเทาของเขาเป็นครั้งแรกแวบเข้ามาในความคิด เธอจำได้ว่าหัวใจในตอนนั้นเต้นแรงและสับสนเพียงใด แววตาคู่นั้นให้ความรู้สึกแปลกประหลาด เหมือนมีบางสิ่งในตัวอาร์วินที่เปลี่ยนไป
แต่เธอก็รีบสลัดความคิดนั้นออกจากหัว พร้อมบอกตัวเองว่าเธออาจคิดมากเกินไป ทุกอย่างในตัวเขาดูเหมือนอาร์วินที่เธอรู้จัก น้ำเสียงอบอุ่นที่เธอคุ้นเคย ท่าทางที่เต็มไปด้วยความจริงใจ และแม้กระทั่งสัมผัสที่ยังคงมอบความรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นเหมือนเดิม
ทว่าลึกลงไปในใจ เธอกลับอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามกับตัวเองว่า นี่คืออาร์วินจริงๆ ใช่ไหม? ความทรงจำในวันเก่าๆ ของเขาเริ่มขัดแย้งกับสิ่งที่เธอเห็นในตอนนี้ รอยยิ้มและสายตาที่เคยเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน บัดนี้ดูเหมือนกำลังซ่อนบางสิ่งที่เธอไม่อาจเข้าใจ
“มันก็แค่ดวงตาของเขาที่เปลี่ยนไป...” เธอบอกตัวเองในใจ พยายามทำให้ตัวเองสงบ แม้ว่าในส่วนลึกของจิตใจ จะยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ และไม่อาจอธิบายได้
เอเลน่าสูดลมหายใจลึก พยายามจัดระเบียบความคิดก่อนเอ่ย "หากทุกอย่างที่นายว่ามาเป็นเรื่องจริง... เหตุการณ์นี้ก็คงเกิดขึ้นเมื่อวานซืน ตอนที่เขากลับมาที่เมืองพอดี ถึงแม้ว่าเขาจะ..." เธอหยุดคำพูดไว้เพียงชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา "ถึงแม้ว่าเขาจะตายไปแล้วก็ตาม"
ดวงตาของอาร์วินหรี่ลงเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย "ตายไปแล้ว? เกิดอะไรขึ้น?"
เอเลน่าจ้องมองเขา ก่อนจะเริ่มเล่า "เมื่อคืนวันนั้น... ช่วงราวๆตี 1 อยู่ๆเขาก็เสียสติ บุกเข้าไปทำร้ายนักเวทย์ของหอคอยที่เดินผ่านมาพอดี มีคนได้รับบาดเจ็บหนัก จากนั้นเขาก็กลับไปที่พักของตัวเอง"
เธอหยุดไปชั่วครู่ ดวงตาฉายแววเจ็บปวด ก่อนกล่าวต่อ "แล้วเขา... เขาจุดไฟเผาตัวเองไปพร้อมกับที่พัก ตอนนี้ร่างของเขา และ ห้องพักถูกไฟเผาจนแทบไม่เหลือ แต่หอคอยได้เก็บร่างนั้นไว้เพื่อตรวจสอบ เพราะคนที่เขาทำร้ายเป็นจอมเวทย์ของหอคอย และ..."
เอเลน่าพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ราวกับคำพูดนั้นเต็มไปด้วยความขมขื่น เอรอสเคยเป็นคนของตระกูลเธอ เป็นอดีตคู่หมั้นที่เธอเคยฝากความหวังไว้ และยังเป็นคนที่เธอตั้งใจจะขอให้ช่วยตามหาอาร์วิน น่าเสียดายที่จุดจบของเขากลับกลายเป็นเช่นนี้ เธอหลบสายตาอาร์วิน ราวกับลังเลที่จะพูดต่อ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจบอกออกมา
"พวกเขาคิดว่าเขาอาจเป็นคนเดียวกันกับฆาตกรต่อเนื่องที่ก่อเหตุขึ้นเมื่อไม่นานมานี้"
ความเงียบที่ตามมาหนักอึ้ง ราวกับอากาศรอบตัวกลายเป็นน้ำหนักถ่วง อาร์วินนิ่งเงียบ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ขณะที่มือของเขากำแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาชัดเจน
แต่ไม่นานนัก มือของเขาก็คลายออก สีหน้าที่เคยเปลี่ยนไปกลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม ราวกับเขากำลังฟังเรื่องราวของคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง อาร์วินนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
"งั้นหรอ... บางทีเขาอาจจะได้รับอะไรบางอย่างมาจากแม่มด จนทำให้เสียสติไปก็ได้ ฉันก็ต้องระวังตัวเองเหมือนกัน"
เขาหันไปมองเอเลน่าด้วยสายตาจริงจัง "แต่สิ่งสำคัญกว่านั้น... ฉันไม่อยากให้ใครรู้เกี่ยวกับดวงตาของฉัน เพราะงั้น เอเลน่า ฉันขอร้องเธอช่วยไปสั่งทำคอนแทคเลนส์สีเดียวกับดวงตาเดิมของฉันที่เมืองถัดไปได้ไหม?"
เอเลน่าขมวดคิ้วด้วยความกังวล "ทำไมถึงต้องทำขนาดนั้น?"
อาร์วินสูดลมหายใจลึก น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความหนักแน่น
"ฉันไม่อยากให้ใครสงสัยว่าฉันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเอรอส ดวงตานี้เป็นจุดที่คนอาจจับผิดได้ คอนแทคเลนส์จะช่วยให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม และ... เธอต้องไปด้วยตัวเอง ห้ามให้ใครรู้เรื่องนี้ เข้าใจไหม?"
เอเลน่าจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ฉายความลังเล ใบหน้าเธอขมวดเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจเบาๆ และพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก "ได้ ฉันจะไป แต่... นายต้องระวังตัวด้วย อาร์วิน" เธอเอื้อมมือแตะแขนเขาเบาๆก่อนจะเสริมด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ฉันจะให้ไอลีนมาเฝ้าเธอเอง จะได้สบายใจขึ้นมาหน่อยตอนที่ฉันไม่อยู่"
"งั้นเธอนอนพักสักหน่อย ตอนเที่ยงค่อยไปล่ะกัน" อาร์วินพูดขึ้น พร้อมยกมือแตะไหล่เธอเบาๆ ราวกับปลอบโยน น้ำเสียงของเขาผ่อนคลายและมั่นคงจนเหมือนว่าไม่มีเรื่องใดให้กังวล "ฉันจะอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหนหรอก เธอหลับไปก่อนเลย" เขายิ้มให้บางๆ ขณะจับชายผ้าห่มของเธอขึ้นมาคลุมให้อย่างอ่อนโยน
เอเลน่าขยับตัวเล็กน้อย ดึงผ้าห่มเข้าหาตัวมากขึ้น พลางเหลือบมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่ยังเปี่ยมด้วยความไว้วางใจ "อืม... งั้นปลุกฉันตอนเที่ยงนะ" เธอพึมพำเบาๆ เสียงแผ่วแต่แฝงความอบอุ่น
อาร์วินพยักหน้ารับ ก่อนจะนั่งลงข้างเตียง ไม่ละสายตาจากเธอแม้แต่น้อย ขณะที่เปลือกตาของเธอค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆ ลมหายใจเริ่มลึกและสม่ำเสมอ บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบ ราวกับความฝันที่กำลังจะโอบล้อมเธอไว้ในอ้อมกอดที่ปลอดภัย
อาร์วินจ้องมองเธอเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอนตัวพิงเก้าอี้ เสียงเข็มนาฬิกาดังแผ่วในห้องที่เงียบสงัด เสริมบรรยากาศให้ดูสงบ แต่ในความเงียบนั้นกลับเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำลายความเงียบในทันที อาร์วินเหลือบมองเอเลน่าอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ตื่น ก่อนจะลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู
ชายรับใช้ในชุดเรียบง่ายยืนอยู่ด้านนอก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายและเย้ยหยัน ปึกหนังสือพิมพ์ในมือดูเหมือนหนักสำหรับเขา เขามองอาร์วินด้วยสายตาที่ขาดความเคารพ
"หนังสือพิมพ์ที่ท่านสั่งให้รวบรวมไว้ครบแล้ว เสียเวลาข้าจริงๆเลย ทีหลังถ้าจะให้ทำอะไรแบบนี้อีก อย่าลืมติดเงินมาให้ด้วยล่ะ"
คำพูดของเขาแฝงด้วยน้ำเสียงห้วนๆและหยิ่งผยอง เหมือนจงใจล้ำเส้น ราวกับคิดว่าตัวตนตรงหน้าไม่มีทางตอบโต้ หรือทำอะไรเขาแน่นอน แต่เขาคิดผิด
บรรยากาศบริเวณโดยรอบเปลี่ยนไปทันที ความเงียบแผ่ซ่านออกมาจากตัวอาร์วินราวกับแรงกดดันที่มองไม่เห็น ดวงตาสีเทาเข้มของเขาจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไร้ความรู้สึก แต่ความเย็นเยือกที่ส่งผ่านมานั้นทำให้ชายรับใช้รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัด
เอรอสพูดขึ้นช้าๆแต่ละคำเหมือนเสียงของน้ำแข็งที่กำลังแตกร้าว
“การที่แกเสียมารยาทกับผู้เป็นนาย...ดูเหมือนว่าแกอยากจะโดนตัดลิ้นมากสินะ”
ชายหนุ่มชะงักไปทันที ขาของเขาสั่นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว อากาศรอบตัวดูแน่นขึ้นจนเขาหายใจไม่ออก แผ่นหลังชื้นเหงื่อ และเขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างมองเขาจากความมืด
“ไม่มีใครสนใจ...” เอรอสเว้นจังหวะ รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏขึ้น “...ถ้าข้ารับใช้ที่ไม่มีค่า หายไปเพราะความปากพล่อย แกอยากลองเสี่ยงดูไหม?”
เสียงที่แผ่วเบาของเขากลับดังก้องในหัวของชายรับใช้ ราวกับคมมีดที่กรีดลงบนจิตใจ ชายหนุ่มรีบโค้งตัวต่ำทันที
"ข้าผิดไปแล้ว ท่านโปรดยกโทษให้ด้วย!" เขากล่าวด้วยเสียงสั่น ร่างกายเริ่มลนลาน
เอรอสกระตุกยิ้มเล็กน้อย แต่แววตาของเขายังคงเย็นชา "จำไว้ ถ้าฉันเรียกเมื่อไหร่ แกต้องมา ไม่งั้น..." เขาไม่ได้พูดจบ แต่ความหมายชัดเจนเกินพอ
ชายหนุ่มหมุนตัวจะเดินหนีอย่างลนลาน แต่ยังไม่ทันก้าว เอรอสพูดขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่กลับทรงพลัง
“หนังสือพิมพ์”
ชายหนุ่มชะงัก และรีบยื่นปึกหนังสือพิมพ์ที่ถืออยู่มาให้อาร์วิน มือของเขาสั่นจนแทบจับมันไม่อยู่
เอรอสหยิบหนังสือพิมพ์ไปอย่างใจเย็น ก่อนจะโน้มตัวลงเล็กน้อย กระซิบข้างหูชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“และอีกอย่าง...ห้ามบอกเรื่องที่ฉันพูดให้ใครฟัง ถ้าฉันรู้ว่าเรื่องนี้หลุดออกไป...” เขาหยุดครู่หนึ่ง เสียงแผ่วลงราวกับมีดปลายแหลมกรีดเข้าหูชายหนุ่ม “...ฉันจะเป็นคนตัดลิ้นแกเอง”
ชายรับใช้ตัวแข็งทื่อ สะดุ้งเฮือกก่อนรีบพยักหน้าอย่างลนลานและวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต
เอรอสปิดประตู เดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ เขาวางปึกหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะทอดสายตามองเอเลน่าที่หลับอยู่ แววตาของเขากลับมาสงบอีกครั้ง ปล่อยให้ความรู้สึกของอาร์วินที่ยังหลงเหลืออยู่จากการที่เขาปล่อยให้มันครอบงำก่อนหน้านี้หายไป ก่อนที่จะกลับมาเป็นปกติ
เขานั่งพิงพนักเก้าอี้ ปลายนิ้วเคาะกับที่วางแขนเบาๆ ในขณะที่สายตาจ้องมองไปยังประตูที่ชายรับใช้เพิ่งออกไป เสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายเลือนหายไปในระยะไกล ความเงียบกลับคืนสู่ห้องอีกครั้ง
เขาเอนหลังพิงเก้าอี้ ดวงตาสีเทาเข้มที่ดูว่างเปล่าเมื่อครู่ค่อยๆทอแสงแห่งความคิดอีกครั้ง
"ถึงจะหัวเสียไปหน่อย…" เอรอสพึมพำเบาๆ ราวกับพูดกับตัวเอง “…แต่อย่างน้อยก็ได้ข้ารับใช้มาเพิ่มคนนึง”
มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มที่แทบมองไม่เห็น เขาลูบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะเบาๆ
"ที่สำคัญ..." เขาคิดในใจ เสียงความคิดของเขาชัดเจนและหนักแน่น “…ฉันจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะใช้วางแผนในอนาคต”
สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ปึกหนังสือพิมพ์ ก่อนที่จะหยิบฉบับบนสุดขึ้นมาอ่าน ดวงตาสีเทาเข้มจ้องมองอย่างตั้งใจราวกับพยายามรวบรวมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมืองในช่วงที่เขาไม่อยู่
แสงแดดยามสายลอดผ่านหน้าต่าง ส่องประกายอ่อนๆ ในห้องที่เงียบสงบ ขณะที่เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วินนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ พร้อมจมอยู่กับความคิดที่เรียงร้อยอย่างมีระเบียบเพื่อวางแผนการสำหรับอนาคตที่กำลังจะมาถึง
ภายในห้องทำงานแผนกสืบสวนของกิลด์นักผจญภัย ความเงียบอันแผ่ปกคลุมบรรยากาศทั่วทั้งห้อง แม้แสงอาทิตย์จะส่องลอดหน้าต่างบานใหญ่เข้ามา แต่กลับไม่ได้ช่วยให้ห้องนี้รู้สึกอบอุ่นแม้แต่น้อย เงาไม้ สลับกับ แสงสลัวของห้อง สร้างความรู้สึกกดดันและขัดแย้งกับความสงบที่ควรมี เสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากมุมห้อง ขุนนางร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาด้วยท่าทีดุดันราวกับจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า น้ำเสียงดุดันของเขาก้องกังวาน ดั่งพายุที่พร้อมจะถาโถมลงมา“นี่พวกแกทำอะไรกันอยู่!!” เสียงเขาดังลั่นเหมือนฟ้าผ่ากลางห้อง ดวงตาแดงก่ำจากความโกรธจับจ้องไปยังชายวัยกลางคนผู้จัดการแผนกสืบสวน ซึ่งยืนก้มหน้าอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าของผู้จัดการแสดงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อย มือกำหมัดแน่นเพื่อระงับความหวาดกลัวที่ตีตื้นขึ้นมา“ขออภัยจริงๆ ครับท่าน เรากำลังพยายามเต็มที่ในการตามหาตัวลูกชายของท่าน เราจะเร่งหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยเร็วที่สุด…” เขาพูดเสียงแผ่ว แต่ยังคงพยายามรักษาท่าทีสุภาพ ในแววตาของเขามีแต่ความวิตกกังวลขุนนางชายหันขวับมามองด้วยแววตาเย็นชา ร่างของเขาสูงใหญ่ และ ทรงอำนาจราวกับจะบดขยี้ชายเบื้องหน้าด้วยสายตาเพี
เด็กชายเดินโซเซผ่านช่องแคบในกำแพงหินออกมา หลังจากการต่อสู้ในความมืด เขาพบกับแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ทาบลงบนใบหน้า ความอุ่นและความสว่างของแสงทำให้เขาต้องหยีตา แต่ไม่นาน เขาก็เริ่มมองเห็นภาพรอบตัวอย่างชัดเจนตรงหน้าเขาเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งชายและหญิงหลากหลายวัย ท่าทางของพวกเขาเคร่งเครียด สายตาจับจ้องไปยังกลุ่มนักผจญภัยและเจ้าหน้าที่ที่ยืนปรึกษากันด้วยสีหน้าวิตกกังวล ดูเหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นการปรากฏตัวของเขา ซึ่งดูเล็กและไร้เสียงในท่ามกลางความโกลาหลนี้ขณะที่เด็กชายพยายามก้าวไปข้างหน้า ร่างกายที่อ่อนล้าก็ค่อยๆสูญเสียพละกำลัง ความเหนื่อยล้ากดทับเขา ราวกับไม่อาจพยุงตัวได้อีกต่อไป ในที่สุด ขาของเขาอ่อนแรงจนต้องทรุดลงกับพื้น เสียงเบาๆ ของเขาที่กระแทกพื้นเรียกความสนใจจากฝูงชน บรรยากาศเคร่งเครียดหยุดลงชั่วขณะ ผู้คนเริ่มหันมามองที่เขา ทันใดนั้น เด็กหญิงคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มประชาชนร้องออกมาด้วยความตกใจ"นั่นเขาใช่ไหม!?" เธอพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นสะท้าน ก่อนจะรีบแหวกฝูงชนเข้ามาหาเด็กชายเด็กหญิงในชุดเสื้อผ้าที่ดูหรูหรา วิ่งเข้ามาใกล้เขา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและเป็นห่วง ดวงตาสีเขียวมรก
เอรอสเดินกลับเข้ามาในห้องหลังจากอาบน้ำเสร็จ เขาเปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบชุดที่เหมาะสมสำหรับการทำงานในฐานะผู้สืบสวนออกมา สายตากวาดมองตรวจสอบเครื่องแบบสีดำเรียบที่ถูกออกแบบให้ดูคล่องตัวและเหมาะสมกับภารกิจภาคสนาม เสื้อเชิ้ตสีดำสนิทตัดเย็บเรียบร้อยพอดีตัว เสริมด้วยเสื้อโค้ทยาวที่ชายเสื้อถึงสะโพก ซึ่งมีซับในที่สามารถกันอากาศหนาวได้ แม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็ยังมีกระเป๋าเล็กๆ ซ่อนอยู่หลายจุดสำหรับเก็บเครื่องมือที่จำเป็น กระดุมสีดำล้วนเรียงรายตลอดเสื้อทำให้ชุดนี้ดูสะอาดตาและไม่หวือหวาเกินไป ไม่มีหมวกเพิ่มมาให้ยุ่งยาก ชุดนี้ให้ความรู้สึกทะมัดทะแมง พร้อมรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันได้ทันทีหลังจากสวมใส่เรียบร้อย เขารู้สึกถึงความกระฉับกระเฉงและมั่นใจขึ้น เอรอสเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำขวดออกมาดื่มแก้กระหาย แต่เมื่อสัมผัสกับขวดกลับพบว่าอุณหภูมิของมันอุ่นกว่าปกติ น้ำดื่มไม่ได้เย็นตามที่ควรจะเป็น เขาเลิกคิ้วสงสัย ก่อนจะตรวจดูภายในตู้เย็นเล็กๆ และพบช่องเล็กๆ ที่เป็นแหล่งพลังงานของมันเอรอสเปิดช่องนั้นออกมา ข้างในมีแก่นมานาขนาดเล็กจิ๋วที่เคยเปล่งแสงสีเหลืองอ่อนให้พลังงานตู้เย็น แต่ตอนนี้กลับซีดจางจนเกือบไ
เอรอสยังคงก้าวยาวไปตามถนนสายที่คุ้นเคย พลางคิดในใจถึงอำนาจและผู้ทรงอิทธิพลที่มีบทบาทครอบงำเมืองนี้ รู้ดีว่าเบื้องหลังความสงบสุขที่เห็นจากภายนอก เมืองนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลสำคัญสามตระกูลใหญ่ ซึ่งแต่ละตระกูลมีอิทธิพลและอำนาจแตกต่างกันไป และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเมืองอันดับแรก ตระกูลวัลธอเรน ตระกูลผู้สูงส่งและยิ่งใหญ่ที่สุด แม้อำนาจของพวกเขาจะไม่รุ่งเรืองเหมือนเมื่อครั้งในอดีต แต่ก็ยังคงมีอิทธิพลอย่างมากและค้ำจุนเมืองนี้ไว้ ตระกูลนี้สืบทอดพลังแห่งสายลมมาเป็นเวลานาน พลังที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การควบคุมธรรมชาติ แต่ยังแฝงด้วยการเชื่อมโยงถึงจิตวิญญาณและความสง่างามบางอย่างที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ วัลธอเรนเป็นตระกูลที่เคยปกครองเมืองด้วยความสงบและยุติธรรม แต่เหตุการณ์ในอดีตได้สั่นคลอนอำนาจและทำให้ฐานอำนาจของตระกูลนี้อ่อนแอลงไปเล็กน้อย กระนั้นพวกเขาก็ยังมีอิทธิพลอยู่ และได้รับการยอมรับในฐานะผู้ครองอำนาจอันดับหนึ่งจากนั้นก็เป็น ตระกูลดราโกร์น ตระกูลที่มีเชื้อสายของมังกรโบราณอันเก่าแก่ บุคคลในตระกูลดราโกร์นมีเอกลักษณ์ชัดเจน ผมสีแดงดุจเปลวเพลิงที่เป็นเหมือนตราสัญลักษณ์ พวกเขาได้รับ
ในชั่วพริบตา วงเวทขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเบื้องหน้า มันแผ่กระจายแสงสีแดงเข้มออกมาอย่างน่ากลัว พลังเวทที่แผ่ซ่านออกมากดทับทุกสิ่งรอบตัวจนบิดเบือนมานาในบรรยากาศกลายเป็นพายุหมุน เส้นอักขระซับซ้อนที่เคลื่อนที่บนวงเวทบ่งบอกถึงความรุนแรงและบ้าคลั่ง แม้เอรอสจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของมันโดยตรง แต่ความรู้สึกเย็นวาบที่วิ่งผ่านร่างบอกเขาว่า วงเวทนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายเขาโดยเฉพาะ"บางอย่าง...กำลังจะมา" เอรอสพึมพำเบาๆ ขณะที่พยายามรวบรวมสมาธิแต่ก่อนที่เขาจะเตรียมพร้อมได้เต็มที่ ศรเวทสีเงินก็พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันเร็วราวกับฉีกอากาศออกเป็นเสี่ยงๆ เขาไม่ทันได้เห็นมันอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ สัญชาตญาณของเขาบังคับให้ยกแขนขึ้นป้องกัน แต่ศรนั้นพุ่งทะลุผ่านแขนของเขาไปอย่างง่ายดาย ราวกับว่าแขนของเขาไร้ความหมายต่อพลังนั้นไม่มีแรงกระแทก ไม่มีความรู้สึกจากการสัมผัสเนื้อหนัง—แค่ความเจ็บปวดที่เกิดจากพลังบางอย่างที่ลึกกว่าร่างกาย ศรเวทนั้นพุ่งเข้าปักกลางอกของเขาอย่างแม่นยำ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านราวกับคลื่นพลังที่แทรกซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา เอรอสทรุดลงกับพื้นทันที ร่างกายแทบจะตอบสนองไม่ได้ ควา
เอรอสเดินงัวเงียผ่านซอกซอยในย่านเมืองหลวง หลังจากที่ไปพบกับกลุ่มผู้เสียหายที่เพิ่งถูกพบตัวไม่นาน หลายคนให้ความร่วมมือกับเขาด้วยท่าทางอ่อนล้า เหมือนยังไม่สามารถดึงสติกลับมาได้เต็มที่ บางคนแม้จะมองเห็นเขาอยู่ตรงหน้า แต่ก็เหมือนสายตาล่องลอยออกไปที่อื่นขณะที่เอรอสคุยกับพวกเขา เขาสังเกตได้ว่าความทรงจำที่ขาดหายไปนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ช่วงเวลาที่พวกเขาหายตัวไปเท่านั้น แต่ยังมีบางส่วนของเหตุการณ์ก่อนการหายตัวที่ดูเหมือนจะถูกลบออกไปด้วย ผู้เสียหายแต่ละคนต่างจำเหตุการณ์หรือสถานการณ์ก่อนหน้าของตัวเองได้เพียงลางๆ ราวกับว่ามีบางสิ่งที่ทำให้พวกเขาสูญเสียช่วงเวลาสำคัญของตัวเองไปแม้ว่าการสอบปากคำจะไม่ได้ให้ข้อมูลใหม่ๆ ที่สำคัญ แต่เอรอสยังพอจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง—ร่องรอยของมานาที่ดูแปลกประหลาด แผ่กระจายอำนาจและพลังที่ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของโลก ในนั้นมีความรู้สึกอันรุนแรงบางอย่างที่เขาสัมผัสได้ชัดเจน ราวกับเป็นอำนาจที่สามารถหักล้างทุกกฎที่เคยรู้จักหนึ่งในตัวตนที่เขานึกถึงก็คือแม่มด ผู้ที่ลือกันว่าเป็นผู้เดียวที่มีพลังสามารถดัดแปลงและฝืนกฏเกณฑ์ของโลกได้ เอรอสจดบันทึกข้อมูลนี้ไว้ในใจ พลางเดินเปร
เอรอสพยายามเพ่งมองรอบตัว แม้จะรู้ว่าทุกสิ่งถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา แต่บางอย่างในสายตาของเขาเริ่มเปลี่ยนไป ทุกย่างก้าวดูเหมือนจะถอยห่างจากโลกความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเขาเต้นแรง แต่ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้น—มันคือความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่อาจอธิบายได้ขณะที่เขายกมือขึ้นเพื่อฝ่าหมอกหนานั้น สายตาเขาก็เหลือบเห็นบางสิ่งที่ผิดแปลกไปที่มือทั้งสองข้างของตัวเอง"นี่มันอะไรกัน…" เขาพึมพำมือทั้งสองข้างของเขาดูเล็กลง นิ้วเรียวยาวที่เคยหยาบกร้านจากการทำงาน และ รอยถลอกมากมาย กลับเปลี่ยนไปเป็นนิ้วมือของเด็กวัยสิบขวบ แขนที่เคยแข็งแรงเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ กลายเป็นแขนเล็กผอมบางของเด็กชาย ราวกับร่างกายทั้งหมดของเขาถูกย้อนกลับไปในวัยที่เขาไม่อาจจดจำได้อย่างแจ่มชัดเมื่อเขาก้มมองตัวเอง ชุดที่เคยเป็นเสื้อโค้ทสีดำเข้ม และกางเกงขายาวก็เปลี่ยนไปเป็นเสื้อผ้าแบบเด็กในยุคนั้น เสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดกับกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลอ่อน รองเท้าหนังเก่าที่ดูเรียบง่ายแต่เหมาะกับเด็กในวัยนั้น"นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกับตัวฉัน…" เอรอสพูดเสียงแผ่วก่อนที่เขาจะทันตั้งคำถามไปมากกว่านี้ เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นจากข้างหลัง เมื่อหันกลับ
เอรอสค่อยๆได้ยินเสียงบางอย่างที่ดังอยู่ไกลๆราวกับเสียงคลื่นซัดกระทบชายฝั่ง มันเป็นเสียงที่เขาไม่คุ้นเคย แต่กลับฟังดูปลอบโยน ในที่สุด เขาลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตายังพร่ามัวราวกับยังติดอยู่ในห้วงฝันอันยาวนานเขาไม่แน่ใจว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไร รู้เพียงว่าร่างกายที่เคยเล็กและอ่อนแรงกลับรู้สึกหนักแน่น และ มีเรี่ยงแรงขึ้นอีกครั้ง นิ้วมือที่เคยดูเล็กเหมือนของเด็ก ตอนนี้กลับมาเรียวยาวและหยาบกร้าน เขาก้มมองมือตัวเองในความมืด นิ้วที่เคยเปื้อนดิน และ รอยแผลเก่าๆที่คุ้นเคยปรากฏกลับมาอย่างชัดเจนร่างกายของเขากลับมาเป็นปกติ—เป็นร่างของผู้ใหญ่ที่เขาจำได้เขาค่อยๆลุกขึ้นยืน ขาและลำตัวที่กลับมาสมส่วนให้ความรู้สึกมั่นคง เสื้อโค้ทสีดำกับกางเกงขายาวของเขาก็กลับคืนมาแทนที่เสื้อผ้าแบบเด็กที่เขาเห็นในภาพหลอน เอรอสลูบแขนเสื้อเบาๆเพื่อยืนยันว่ามันเป็นของจริง"มันเกิดอะไรขึ้นกัน..." เขาพึมพำ เสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย แต่หนักแน่นกว่าในฝันเขาสูดหายใจลึกและหันมองรอบตัวอีกครั้ง แม้จะยังคงปกคลุมด้วยหมอกสีดำ แต่มีบางสิ่งดึงดูดสายตาของเขาไปที่ใจกลางพื้นที่นั้น โดมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ท่ามกลางความมืดลึกลับ รูปทรงของมันดูเ
เอเลน่านั่งอยู่บนเตียง จ้องมองอาร์วินที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย ดวงตาสีเทาที่มองมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความลึกที่อธิบายไม่ได้ มีบางสิ่งในแววตานั้นที่ทำให้หัวใจเธอสั่นไหว แต่เธออ่านมันไม่ออกบรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด เสียงลมเบาๆ จากหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ดังก้องในห้องที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของผ้าปูที่นอนใต้ฝ่ามือ พยายามดึงสติกลับมา แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนถูกตรึงด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นอาร์วินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา"เอเลน่า... ฉันไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน แต่ฉันจะพยายามเล่าให้เธอฟัง"เสียงของเขานุ่มลึก แต่สั่นเครือเล็กน้อย เธอรู้ว่าเขากำลังแบกรับอะไรบางอย่างที่หนักหนา ทว่าในใจของเธอเองก็เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้จบ เอเลน่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงให้เขาพูดต่อ แม้ในใจจะปั่นป่วนจนแทบระเบิดอาร์วินถอนหายใจยาว เสียงนั้นเหมือนลมหายใจที่พยายามปลดปล่อยความกดดันบางอย่าง"ตอนที่ฉันถูกจับอยู่ในคุก... ฉ
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ เอเลน่าค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆ กลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันที่ไม่อยากตื่นจากมันเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งหลับพิงเก้าอี้อยู่ ใบหน้าสงบนิ่งในเงามืด เส้นผมสีทองของเขาดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เอเลน่าจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ช่วงเวลานี้เผยให้เห็นอีกด้านของเขา—ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนเร้นก่อนหน้า ทำให้เธอโล่งใจเล็กน้อย ดวงตาของเธอสบเข้ากับใบหน้าอ่อนล้าของเขา ความรู้สึกปะปนกันระหว่างความสับสนและความอบอุ่นไหลเวียนในอก“อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆเหมือนจะยืนยันว่าเขาอยู่ตรงนี้จริงๆ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อเหลือบมองตัวเองที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เตียงของเธอ แต่เป็นของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงข
เอรอสก้าวออกจากป่าทึบในรูปลักษณ์ของอาร์วิน สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านตัวเขาอย่างแผ่วเบา แสงจันทร์ยังคงสลัวทำให้เห็นเงาของคฤหาสน์ตระกูลวัลธอเรนลางๆ อยู่ไม่ไกล จุดที่เขามุ่งหน้าไปคือบริเวณใต้หน้าต่างห้องพักของเขาเองก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เขาเคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อนชายแปลกหน้าที่เอรอสช่วยเหลือไว้ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาวราวกับหยิบยกมาจากยุคโบราณ ชายคนนี้ดูเหมือนนักเดินทางที่หลงยุค เขาอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เอรอสจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวันแทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยมาให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ
คลินิกของโจชัว ตั้งอยู่ในเขตสามัญชน ตัวอาคารหินสีซีดดูเรียบง่ายแฝงความล้าสมัย ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึก หน้าต่างกระจกสีชั้นล่างสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไป ลวดลายบนกระจกดูเหมือนจะพร่ามัวในแสงสลัว คลินิกนี้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนโรงพยาบาล แต่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยประมาณสิบคน เหมาะสำหรับการดูแลแบบส่วนตัวยามตีสี่ ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ ความเงียบรอบตัวแทบจะทำให้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วงกระทบพื้น เอรอสยืนพิงกำแพงใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ตรงข้ามคลินิก แม้ลมหนาวจะพัดแรง แต่ร่างกายของเอรอสกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาต่อความเย็น ราวกับความหนาวนั้นไม่อาจแตะต้องเขาได้ ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยังหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท นั่นเป็นห้องทำงานของโจชัว ซึ่งเขาใช้สำหรับจัดการเอกสารในช่วงกลางวัน แต่ในยามนี้ ไม่มีแสงไฟส่องลอดออกมา“ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่…” เขาพึมพำเสียงเบา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงนั้นแทบชัดเจนในสายลม เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียง กระโดดขึ้นเกาะขอบหน้าต่างชั้นสอง เสียงลมแผ่วเบาและใบไม้ไหวกลบการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาสีแดงสังเกตการณ์ในห้องอีกครั้งเพื่อยืนยันว่
คาร์ลีนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้ในดันเจี้ยนที่ผสานเขากับเขตแดนของเธอ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ความสัมพันธ์ลึกลับนี้ ทำให้คาร์ลีนรับรู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอเรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของชายที่มีฉายาว่า จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มาเนิ่นนาน แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากของเขาโดยตรงเธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับคำพูดนั้นหนักเกินกว่าจะเปล่งออกมาดวงตาสีม่วงเข้มของเธอสะท้อนแสงจากโคมไฟ เธอนั่งนิ่งราวกับขบคิด แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ ความหนักใจเหมือนสายลมหนาวที่แผ่วผ่านกลับถูกเติมเต็มด้วยความหวังอันเปราะบาง เธออยากให้เขามาหา อยากได
เอรอสค่อยๆตื่นขึ้นในห้องประชุมท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ มีเพียงแสงริบหรี่ที่ส่องลอดเข้ามาจากขอบประตู ร่องรอยของเวทมนตร์เก่าก่อนยังคงอบอวลอยู่ในอากาศจางๆ แม้แสงจากเทียนเวทมนตร์ที่เคยให้ความสว่างจะดับไปจากการตัดการเชื่อมต่อกับเวทมนตร์ทำให้บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกและว่างเปล่า แต่กลิ่นอายของพลังที่เหลืออยู่ยังคงสร้างแรงกดดันให้ผู้ที่อยู่ภายในเล็กน้อยเขาขยับตัวกึ่งลุกกึ่งนั่งจากเก้าอี้ที่ดูเหมือนจะทำให้เขาหลับไปลึกเกินคาด โต๊ะยาวตรงหน้าเขามีแฟ้มเอกสารเล็กๆวางไว้อยู่ ดูเหมือนจะเป็นเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะรับปากจะจัดการให้เขาหยิบแฟ้มเอกสารที่วางไว้บนโต๊ะมาตรวจสอบ ใช้มือสีคล้ำที่มีกล้ามเนื้อชัดเจนลูบเส้นผมสีเทาของตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกความกระปรี้กระเปร่า สายตาสีแดงฉานของเขากวาดมองไปทั่วห้องเล็กๆที่ยังคงอบอวลด้วยบรรากาศที่ชวนให้รู้สึกพิศวง พลางเหลือบมองเวลาที่บอกเขาว่านี้เป็นเวลาตี 1 ดูเหมือนเขาจะเผลอหลับไปแค่ชั่วโมงเดียว ยังดีที่เสียเวลาแค่นั้นหลังจากตรวจดูเอกสารครู่หนึ่งโดยที่ไม่มีใจความสำคัญอะไรที่ทำให้เขาต้องรีบร้อนเป็นพิเศษ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ และก้าวออกจาก
เสียงกระซิบแห่งเวทมนตร์ แผ่วเบา แต่ทรงพลัง ดังก้องอยู่ในอากาศอันเย็นเยียบ ริบบิ้นสีดำ ที่ราวกับเงาแห่งความมืดจากอีกโลกหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า มันเคลื่อนไหวดั่งมีชีวิต เลื้อยวนรอบร่างของ เอรอส ซ้อนชั้นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับงูพิษที่กำลังจู่โจมเหยื่อ ความแน่นหนาของริบบิ้นทำให้แม้แต่ลมหายใจยังรู้สึกตึงเครียด แขนขาถูกตรึงแน่น ริบบิ้นเลื้อยขึ้นสูง ปิดริมฝีปาก และบดบังดวงตาของเขาไว้อย่างมิดชิด ไม่ว่าจะดิ้นรนหรือใช้พลังทั้งหมดที่มี พันธนาการเหล่านั้นยังคงรัดแน่น น้ำหนักของเวทมนตร์ที่โอบล้อมร่างเขาเหมือนโซ่ตรวนหนักอึ้งที่ไม่มีวันปลดได้จอมเวทย์ผู้ร่ายมนตรามองดูภาพตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา รอยยิ้มที่มุมปากของเขา แฝงความพอใจอย่างปิดไม่มิด ในขณะที่อีกคนหนึ่งในกลุ่มของเขาเดินเข้ามาใกล้ กระชากคอเสื้อของเอรอสอย่างรุนแรง พร้อมๆกับลากเขาไปกับพื้น ราวกับเป็นเพียงสิ่งของไร้ค่าไม่ไกลออกไป ไอลีน ยืนตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างขณะมองสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไปได้ ก่อนที่วิ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความแน่วแน่ แล้วตะโกนเสียงดังลั่น"หยุดเดี๋ยวนี้! คุณตั้งใจจะพาเขาไปที่ไหน?"น้ำเสียง
เมื่อเอรอสเฝ้ามองไอลีนอยู่นาน สีหน้าเย็นชาของเขาเริ่มแสดงความไม่พอใจออกมาเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ"ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ช่วยหลบไปหน่อย"เขาเบี่ยงตัวไปด้านข้าง เตรียมเดินผ่าน แต่ก่อนที่เขาจะก้าวออกไป ไอลีนก็ยื่นมือออกมาคว้าข้อมือเขาไว้ ดวงตาของเธอที่เคยลังเลกลับแน่วแน่ขึ้น"ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว" ไอลีนพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามเก็บความกังวลเอรอสหยุดชะงัก แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นไม่พอใจชัดเจนยิ่งขึ้น เขาหันไปมองรอบๆ เห็นสายตาของเด็กบางคนที่อาจกำลังแอบมองอยู่จากหน้าต่าง และหญิงชราที่ครัวกำลังหันมามองเช่นกันหลังจากที่ประเมินสถานการณ์ เขาเลื่อนสายตาไปยังมุมโล่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก"ตามมา" เขาเอ่ยสั้นๆก่อนจะดึงมือออกจากการเกาะกุมของเธอ และเดินนำไปยังที่ที่เขาเลือกไว้ไอลีนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินตามเขาไป ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ สายลมอ่อนๆพัดผ่านเบาๆ ท่ามกลางความเงียบที่อึดอัด ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน เอรอสกอดอกและเอนตัวพิงต้นไม้ สายตาของเขาจ้องมองเธออย่างเย็นชา"พูดมา จะพูดอะไรก็รีบพูด" เขาเร่งด้วยน้ำเสียงที่ราวกับไม่สนใจ แต่ก
บรรยากาศในห้องทำงานของผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าช่างอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก กลิ่นอับของเอกสารเก่าผสมกับกลิ่นบุหรี่จางๆ โอบล้อมพื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองเอกสารและบัญชีการเงิน ผู้อำนวยการนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้หนังเก่าซึ่งดูเหมือนพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชวนให้รู้สึกระแวงมากกว่าสบายใจ"คุณเอรอสใช่ไหม? ฉันได้รับการแจ้งมาว่าคุณต้องการบริจาคเงินให้เหล่าเด็กๆที่คุณหนูไอลีนพามา" เสียงของเขาเนิบนาบ ท่าทางเหมือนพยายามจับจุดอีกฝ่ายเอรอสนั่งนิ่งอยู่ตรงข้าม เขาสูงโปร่งสำหรับเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สายตาสีเทาของเขาเย็นชาและไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ“ใช่ ผมมาที่นี่ บริจาคเงิน ให้เด็กๆที่เพิ่งเข้ามา" เขาเอ่ยเสียงเรียบผู้อำนวยการชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ"อืม น่าชื่นชมจริงๆนะครับ แต่การรับผิดชอบเงินจำนวนมากขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอมาจากครอบครัวไหนหรือ ถึงได้ใจกว้างขนาดนี้?"คำถามนั้นเหมือนมีความนัย แต่เอรอสไม่แสดงอาการใดๆ เขาเพียงหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางมันลงบนโต๊ะ เสียงเหรียญกระทบกันดังชัดเจน"ไม่จำเป็นต้องถาม" เขาตอบสั้นๆน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่น