"เมื่อฉันต้องทะลุเข้าไปในนิยาย ได้เป็นถึงนางเอกของเรื่อง การจะกลับออกไปคือต้องให้นิยายเรื่องนี้จบ แบบ happy ending แค่นี้ง่ายจะตาย ฉันเป็นนางเอกนะ แต่ทำไม๊ ทำไมพระเอกกลับบอกว่าฉันจีดชืด ไร้รสนิยม ไม่ต้องตาเขาเลย แต่เขากลับไปต้องใจยัยตัวร้ายของเรื่องซะงั้น อ๋ออออออ ได้สิ อยากให้ร้ายใช่มะ แม่จะร้ายให้ร้องขอชีวิตเลย"
View Moreฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ก็ทรงพระสรวลออกมาด้วยเสียงอันดังก้องท้องพระโรง ก่อนจะพยักหน้าให้ขันทีนำของพระราชทานออกมา ขันทีเดินออกมาพร้อมกับกล่องไม้แกะสลักที่ดูหรูหรา ก่อนจะเปิดกล่องเผยให้เห็นเครื่องประดับหยกอันงดงามและผ้าไหมชั้นเลิศ “ข้ามอบเครื่องประดับหยกนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความชื่นชมในความสามารถและความกล้าหาญของเจ้านะคุณหนูหลิน อีกทั้งผ้าไหมนี้จะเป็นของขวัญจากข้าที่เจ้าจะใช้ได้ตามใจชอบ และมอบทองอีก 1,000 ตำลึง เจ้าพอใจรึไม่” หลินเข่อซิงมองเครื่องประดับหยกด้วยความประทับใจ นางไม่คาดคิดเลยว่าจะได้รับรางวัลจากฮ่องเต้เช่นนี้ นางโค้งคำนับอีกครั้ง “ขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่งเพคะ หม่อมฉันจะรักษาของพระราชทานนี้ไว้ให้ดียิ่งกว่าชีวิตน้อยๆของตัวหม่อมฉันเอง” ฮ่องเต้ทรงแย้มพระโอษฐ์ยกยิ้ม ก่อนจะตรัสปิดท้าย “เจ้ามีความสามารถและมีใจช่วยเหลือผู้อื่น เจิ้นหวังว่าเจ้าอย่าหยุดแค่นี้ และเจิ้นจะรอดูว่าเจ้าจะทำสิ่งดีๆ ต่อไปอย่างไร” หลินเข่อซิงยิ้มด้วยความดีใจและความภาคภูมิใจ นี่ไม่เพียงแต่เป็นการยอมรับจากฮ่องเต้ แต่ยังเป็นโอกาสที่นางจะได้แสดงความสามารถและสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในยุคโบ
หลังจากเดินเที่ยวเล่นกันมานาน ทั้งสองก็มาหยุดนั่งพักที่ม้านั่งหินใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทางเดิน บรรยากาศยามเย็นเริ่มเข้ามาแทนที่ แสงอาทิตย์สีส้มอ่อนๆ สาดส่องผ่านต้นไม้ใบเขียว สร้างเงาสีทองที่กระจายอยู่ทั่วทั้งบริเวณ “ข้าชอบบรรยากาศแบบนี้จังเลย” เข่อซิงพูดพร้อมกับยิ้มสดใส ขณะที่มองไปยังท้องฟ้า “มันรู้สึกสงบและเป็นอิสระอย่างบอกไม่ถูก” อวิ๋นเฟยหลงที่นั่งข้างๆ นางพยักหน้าเบาๆ “ข้าเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน” เข่อซิงหันมามองหน้าเขา “จริงหรือ? ท่านเองก็ดูเป็นคนที่ชอบอยู่คนเดียวเสียมาก ข้าไม่คิดว่าท่านจะชอบบรรยากาศเช่นนี้” อวิ๋นเฟยหลงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ข้าอาจจะชอบอยู่คนเดียวก็จริง แต่บางครั้ง...การมีใครสักคนอยู่ด้วยก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไม่ใช่หรือ” คำพูดนั้นทำให้เข่อซิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่นางจะยิ้มออกมาอย่างสดใส “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันเจ้าค่ะ” ทั้งสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ความเงียบนี้กลับไม่อึดอัดเหมือนเคย ตรงกันข้าม มันกลับเป็นความเงียบที่ทำให้ทั้งสองรู
บรรยากาศในหมู่บ้านหลังจากการเตรียมการป้องกันน้ำท่วมเริ่มผ่อนคลายลง หลินเข่อซิงและอวิ๋นเฟยหลงก็มักจะได้เจอกันบ่อยขึ้น นางสังเกตเห็นว่าอวิ๋นเฟยหลงที่เคยมีท่าทีเย็นชา ดูเหมือนจะเปิดใจกับนางมากขึ้นแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงรักษาภาพลักษณ์แม่ทัพที่เยือกเย็นและเคร่งขรึมไว้อยู่เสมอ วันหนึ่ง ขณะที่หลินเข่อซิงกำลังนั่งเขียนบันทึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาลงในสมุดของนาง พลันสายตาของนางก็เหลือบเห็นเงาของใครบางคนเดินเข้ามาหา “คุณหนูหลิน” เสียงทุ้มๆ ที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหลังนาง นางหันกลับไปมองและพบว่าเป็นอวิ๋นเฟยหลงที่กำลังยืนอยู่ เขามีสีหน้าปกติ แต่ในดวงตาแฝงด้วยความอ่อนโยนที่เขาไม่เคยแสดงออกมาก่อน “ท่านอวิ๋น ท่านรู้จักการเข้าตามตรอกออกตามประตูหรือไม่ มีอะไรกับข้าหรือเจ้าคะ?” หลินเข่อซิงถามด้วยรอยยิ้ม “วันนี้...เจ้าอยากไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมไฉ่หงหรือไม่?” อวิ๋นเฟยหลงพูดออกมาอย่างนิ่งๆ แต่หลินเข่อซิงก็พอจะจับความตื่นเต้นที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนั้นได้ “โรงเตี๊ยมไฉ่หงงั้นเหรอ?” เข่อซิงยิ้มกว้างขึ้น “ข้าจำได้ว่าที่นั่นมีอาหารอร่อย ข้ากับหลิงเฉินเคยไปกินมาแล้วครั้งหนึ่ง...งั้นเราก็ไปกันเลยเ
หยางเฟยฮุ่ยนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวของนาง ทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าที่สวยงามฉายแววเจ้าเล่ห์แฝงความโกรธ นางขบฟันแน่นเมื่อคิดถึงภาพหลินเข่อซิงที่ค่อยๆ ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากชาวบ้านและ...อวิ๋นเฟยหลง เธอได้รับข่าวจากสาวใช้คนสนิทเรื่องของหลินเข่อซิงที่ระยะนี้ไปช่วยชาวบ้านโดยมีอวิ๋นเฟยหลงคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆตลอด “ฮึ! นางคิดว่าจะมาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างจากข้าได้อย่างนั้นรึ?” หยางเฟยฮุ่ยพึมพำเบาๆ พลางมองกระจกเงาสะท้อนใบหน้าที่งดงามของตนเอง นางรู้ดีว่าความงามของตนเองเป็นอาวุธที่แข็งแกร่ง “แต่ข้าจะไม่ลงมือเองหรอก นางไม่คู่ควรให้ข้าต้องเปลืองแรง” แล้วนางก็ยิ้มออกมาอย่างลำพองใจ ขณะที่วางแผนการในใจ นางรู้ว่าที่หมู่บ้านนี้ยังมีชายผู้หนึ่งที่มีอำนาจในท้องที่ และไม่ค่อยพอใจการเข้ามาแทรกแซงของหลินเข่อซิง นั่นก็คือ เฉินอี้เฉียง ชายผู้มีอำนาจจากตระกูลพ่อค้าที่ควบคุมการค้าขายในหมู่บ้าน เขามีชื่อเสียงในเรื่องความหัวรั้นและไม่ชอบใครที่มาขัดขวางผลประโยชน์ของตนเอง หยางเฟยฮุ่ยรู้ว่า ถ้าใช้วิธีที่เหมาะสม นางส
จวนตระกูลหลิน หลังจากวันที่วุ่นวายจากการเตรียมการป้องกันน้ำท่วม หลินเข่อซิงรู้สึกเหนื่อยล้าแต่ก็ดีใจที่ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว นางนั่งอยู่บนระเบียงเล็กๆ ข้างจวน ทอดสายตาไปยังทิวทัศน์ของหมู่บ้านที่ค่อยๆ สงบลงหลังจากวันอันแสนวุ่นวาย ท้องฟ้ายามเย็นกลายเป็นสีส้มสวยงาม สายลมเย็นๆ พัดผ่าน นางสูดหายใจลึกๆ รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย แต่ขณะที่นางกำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศรอบตัว อวิ๋นเฟยหลงก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ โดยไม่ทันตั้งตัว นางสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเขาพร้อมรอยยิ้ม "ท่านแม่ทัพ มาทำอะไรตรงนี้หรือ?" เข่อซิงถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วเล็กน้อย ทำท่าเหมือนจะไม่สนใจ แต่ก็ยังตอบกลับอย่างเย็นชา “ข้ามาดูว่าเจ้ายังหายใจอยู่หรือเปล่าก็เท่านั้น” เข่อซิงยิ้มกว้าง “ท่านมาหาข้าเพราะเป็นห่วงข้าหรือ?” นางแกล้งถามเพื่อหวังดูสีหน้าคนข้างๆ เขาพลันทำหน้าเคร่งทันที “ข้าไม่ได้ห่วงเจ้า ข้าแค่...ตรวจดูความเรียบร้อย ข้าไม่อยากให้เจ้าป่วยเป็นภาระต่อคนอื่นต่างหาก” “โอ้โห ท่านแม่ทัพ ข้าดู
“ขอรับ คุณหนูหลิน!” หัวหน้ากลุ่มทหารอาสาโค้งคำนับอย่างเคารพ ก่อนจะออกคำสั่งให้ลูกน้องเริ่มจัดการตามที่หลินเข่อซิงบอก นางเดินต่อไปยังจุดที่ชาวบ้านกำลังรวมตัวกันพลางถามไถ่สถานการณ์เบื้องต้นจากผู้ดูแล “พวกท่านเตรียมตัวอพยพหรือยัง?” “ข้าเตรียมแล้ว แต่ยังมีบางบ้านที่ไม่ยอมย้ายเจ้าค่ะ บางคนกลัวว่าจะทิ้งทรัพย์สินของตนไว้ไม่ได้” หญิงชราผู้ดูแลชาวบ้านกล่าวด้วยความกังวล หลินเข่อซิงพยักหน้าแล้วหันไปยังกลุ่มชาวบ้านที่ยังดูสับสนและไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรต่อไป นางตัดสินใจเดินไปข้างหน้า ยืนอยู่บนแท่นสูงๆ เล็กน้อยแล้วเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังพอให้ทุกคนได้ยิน “ทุกท่าน! ข้าคือหลินเข่อซิง! วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยพวกท่านเตรียมการป้องกันน้ำท่วม ข้าเข้าใจว่าพวกท่านกังวลเรื่องทรัพย์สินของตน แต่อย่าลืมว่าชีวิตสำคัญที่สุด! ข้าขอให้พวกท่านเริ่มจัดเตรียมของมีค่าที่จำเป็น และรีบย้ายขึ้นที่สูงให้เร็วที่สุด อย่าปล่อยให้สิ่งของผูกมัดเราไว้กับความเสี่ยง เพราะสิ่งของแม้เสียหายหรือสูญไป ยังมีโอกาสหาใหม่ได้ แต่ชีวิตหากดับสิ้นแล้ว
หลังจากเหตุการณ์ที่เข่อซิงเพิ่งปะทะกับหยางเฟยฮุ่ย เธอก็กลับมาที่จวนของตน นั่งครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ และนึกถึงเรื่องราวในนิยายที่เธอได้อ่านไป ว่าตอนนี้เหตุการณ์ที่เธอพบ มันไปถึงจุดไหนของเรื่องและจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็พลันแวบขึ้นมาในหัว “น้ำท่วม!” หลินเข่อซิงจำได้ชัดเจนว่า ในช่วงเวลานี้ของนิยายที่เธอเคยอ่านซึ่งเป็นกลางถึงปลายเดือนมีนาคม จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ที่ทำให้เมืองนี้ตกอยู่ในความเดือดร้อน ชาวบ้านจำนวนมากต้องสูญเสียทรัพย์สินและบ้านเรือน ชีวิตของพวกเขาจะพลิกผันเพราะภัยพิบัติที่ไม่คาดคิด “ถ้าข้าจำไม่ผิด อีกไม่เกิน 7 วันจะเกิดน้ำท่วม...นี่มันโอกาสของข้านี่นา!” เข่อซิงพึมพำกับตัวเอง ในนิยาย เหตุการณ์นี้เป็นจุดที่ทำให้อวิ๋นเฟยหลงและกองทัพต้องลงมือช่วยชาวบ้าน ทว่านางเอกเดิมกลับไม่ได้มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือเลย เพราะนางเพียงยืนอยู่ข้างๆ อย่างไร้พลัง แต่ตอนนี้ หลินเข่อซิงในฐานะผู้ที่รู้อนาคต จะไม่ยอมให้เรื่องราวเป็นแบบนั้น! เธอตัดสินใจว่าจะใช้ความรู้จากโลกปัจจุบันเพื่อหาทางช่วยชาวบ้านก่อนที
เช้านี้ หลินเข่อซิงกำลังเตรียมตัวสำหรับแผนการขั้นต่อไป นางตั้งใจจะเข้าไปใกล้ชิดกับอวิ๋นเฟยหลงมากขึ้น แต่แน่นอนว่าแผนนี้ต้องไม่ใช่การวางท่าเหมือนนางเอกทั่วไปที่ยอมอ่อนให้แล้วกลับไปร้องไห้ หลินเข่อซิงคิดว่าเธอต้องเปลี่ยนวิธีเข้าหาให้ได้ผลกว่านั้นหลังจากคิดไปคิดมา นางตัดสินใจทำอาหารที่ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้เพื่อเอาไปให้อวิ๋นเฟยหลง เธอตั้งใจจะใช้ความรู้ด้านการทำอาหารจากโลกปัจจุบันมาทำให้เขาประทับใจ เพราะไม่ว่าจะเป็นยุคไหน “เสน่ห์ปลายจวัก” ก็เป็นเรื่องสำคัญ“หลิงเฉิน! จัดแจงของให้ข้าเร็วเข้า” หลินเข่อซิงสั่งสาวใช้คนสนิทที่ตอนนี้กำลังจัดจานอาหารที่ถูกทำไว้อย่างประณีต “ข้าต้องการให้ทุกอย่างออกมาดูดี ไม่มีที่ติ”หลิงเฉินยิ้มขันๆ พลางจัดอาหารตามที่คุณหนูสั่ง “คุณหนูนี่ดูจะจริงจังกับเรื่องนี้มากเลยนะเจ้าคะ”“แน่นอน! ข้าจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แบบนางเอกเจ้าน้ำตาแน่” เข่อซิงตอบอย่างมั่นใจ ก่อนจะพาอาหารที่เตรียมไว้ออกเดินทางตรงไปยังจวนของอวิ๋นเฟยหลงเมื่อหลินเข่อซิงมาถึงจวนของอวิ๋นเฟยหลง นางก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงที่ค้นหูอย่างมาก นางเดินเข้า
ภายในจวนตระกูลหยาง ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมืองหลวงของแคว้น มีบรรยากาศที่ไม่ค่อยสงบสุขเท่าใดนัก แม้ด้านนอกจะดูโอ่อ่า หรูหรา และมีอำนาจล้นฟ้า แต่ภายในจวนกลับเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี ชิงเด่นกันระหว่างบรรดาลูกๆ และภรรยา พ่อของหยางเฟยฮุ่ย ผู้มีบรรดาศักดิ์ “ป๋อ” เป็นคนที่เคร่งขรึมและมีอำนาจ แต่กลับโปรดปรานภรรยารองมากกว่าภรรยาเอกอย่างเห็นได้ชัดหยางเฟยฮุ่ยนั่งอยู่ในห้องของตัวเอง ใบหน้าที่เคยแสดงความหยิ่งยโสบัดนี้กลับเต็มไปด้วยความหงุดหงิด นางเฝ้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นพ่อของนางเดินอยู่กับภรรยารองและลูกๆ ท่าทางของท่านพ่อดูผ่อนคลายและมีความสุขอย่างที่หยางเฟยฮุ่ยไม่เคยเห็นเวลาที่อยู่กับนางและท่านแม่“ทำไมท่านพ่อไม่เคยสนใจข้าเลย...” นางพึมพำกับตัวเอง ดวงตาส่อแววไม่พอใจ “ข้าเป็นลูกสาวของภรรยาเอกแท้ๆ แต่เขากลับเอาใจใส่นางพวกนั้นมากกว่า”พ่อของหยางเฟยฮุ่ย หยางอวี่ถง แม้จะมีความสามารถในฐานะผู้นำตระกูล แต่เขาก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขารักและโปรดปรานภรรยารองมากกว่าภรรยาเอก ซึ่งเป็นแม่แท้ๆ ของหยางเฟยฮุ่ย ต้องอยู่ในสถานะที่ถูกลดความสำคัญลง นางถูกปล่อยให้อยู่ในจวนอย่างโดดเดี่ยว ขณะที่ภรรยารองได้อยู่ใน
“เอาล่ะ... อ่านจบในวันนี้แน่นอน!” หลินเข่อซิงพูดกับตัวเองอย่างมุ่งมั่น มือข้างหนึ่งถือแก้วชานมไข่มุก ส่วนอีกข้างกำลังไถนิ้วผ่านหน้าจอมือถือที่แสดงหน้าแอพนิยายออนไลน์ เธอนั่งพิงโซฟานุ่มๆ ในห้องนอน พลางห่อหมอนใบใหญ่ไว้ในอ้อมแขน เสมือนเป็นอุปกรณ์เสริมในการอ่านที่ขาดไม่ได้นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เธออ่านต่อเนื่องมาหลายเดือนแล้ว มันคือ “บุปผาซ่อนใจ คุณชายไร้รัก” นิยายจีนโบราณที่เข่อซิงหลงใหลตั้งแต่บทแรก นางเอกเรื่องนี้คือคุณหนูหลินผู้อ่อนหวานและบริสุทธิ์ ส่วนพระเอกคืออวิ๋นเฟยหลง คุณชายสุดหล่อที่เย็นชาแต่เท่ห์เหลือเกิน นี่มันสูตรสำเร็จของนิยายจีนโบราณชัดๆ!“ฮ่า ๆ ๆ” เข่อซิงหัวเราะออกมาเมื่อถึงฉากที่นางร้าย “หยางเฟยฮุ่ย” ทำหน้าเหมือนจะชนะนางเอก แต่ก็โดนตลบหลังอย่างงดงาม เธออดที่จะนึกขำไม่ได้ หยางเฟยฮุ่ยนะเหรอ! ตัวร้ายที่ทำทุกอย่างเพื่อพระเอก ร้ายลึกจนแทบไม่มีที่ว่างให้ความดีเข้ามาแทรก “แหม... คนแบบนี้ในชีวิตจริงนี่คงปวดหัวน่าดู แต่ก็ทำให้เรื่องสนุกใช่เล่นนะ!”หลินเข่อซิงถอนหายใจยาว เมื่อเลื่อนหน้าจอไปยังบทสุดท้าย ความตื่นเต้นเริ่มค่อยๆ ลดลงเมื่อเธอนึกถึงการจากลานิยายเรื่องนี้“เอาจริงดิ..
Comments