"เมื่อฉันต้องทะลุเข้าไปในนิยาย ได้เป็นถึงนางเอกของเรื่อง การจะกลับออกไปคือต้องให้นิยายเรื่องนี้จบ แบบ happy ending แค่นี้ง่ายจะตาย ฉันเป็นนางเอกนะ แต่ทำไม๊ ทำไมพระเอกกลับบอกว่าฉันจีดชืด ไร้รสนิยม ไม่ต้องตาเขาเลย แต่เขากลับไปต้องใจยัยตัวร้ายของเรื่องซะงั้น อ๋ออออออ ได้สิ อยากให้ร้ายใช่มะ แม่จะร้ายให้ร้องขอชีวิตเลย"
View Moreในท้องพระโรงอันโอ่อ่า เสียงประโคมกลองและฉาบดังขึ้น ประกาศเริ่มต้นพิธีอภิเษกสมรสของหานเจี๋ย ผู้ครองบัลลังก์มังกร และสตรีที่ทรงเลือกขึ้นเป็นฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน พื้นผิวของโถงหลวงถูกปูด้วยพรมผืนใหญ่สีแดงฉาน ขับเน้นให้บรรยากาศยิ่งเต็มไปด้วยความสง่างาม บนโต๊ะยาวด้านหน้าถูกจัดเรียงเครื่องบรรณาการ เครื่องหอม และบรรดาของมีค่าจากทั่วสารทิศที่นำมาถวายแด่คู่บ่าวสาวทางเดินทอดยาวไปยังบัลลังก์ทองคำที่ตั้งตระหง่าน ที่นั่นเอง ฮ่องเต้หนุ่มทรงสวมฉลองพระองค์จักรพรรดิเต็มยศ ผ้าคลุมไหล่ปักดิ้นทองเป็นลวดลายมังกรอันงดงาม เสื้อคลุมทอด้วยไหมชั้นดีจากแดนไกล ที่แขนยาวปักลายพยัคฆ์ทองคำอีกชั้น มือซ้ายของพระองค์วางบนที่วางแขน ขณะที่มือขวาทรงวางนิ่งสงบเบื้องหน้าเขาคือเจ้าสาวในชุดสีแดงสด ประดับด้วยผ้าคลุมหน้าแพรบาง สะท้อนแสงไฟจากโคมทองระยิบระยับ ผ้าคลุมไหล่ยาวลากตามราวสายธารสีแดงที่ไหลริน สะท้อนความงามอันบริสุทธิ์ สตรีนางนี้มาพร้อมกับสายตาที่หวั่นไหวและความรู้สึกอันหลากหลายที่มิได้แสดงออกมาให้เห็นเด่นชัดหลังจากนั้น เสียงของหัวหน้าพิธีการดังกังวานขึ้น “ถวายคำนับแรกแด่ฟ้าและดิน!”
เมื่อลองคิดใคร่ครวญกลับไป นางพบว่าเขาแทบไม่พูดหวานกับนางสักเท่าใด คำบอกรักก็แทบนับครั้งได้ หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่แม้นางกับเขาเป็นสามีภรรยากันแล้วมีสัมพันธ์ทางกายจนตอนนี้นางตั้งภรรค์ลูกของเขา แต่นางก็ยังกลับปัจจุบันไม่ได้ จนเกิดเรื่องที่เขาไปรบ หรือแท้ที่จริงใจเขามิเคยรักนางจริงสิ สมรสพระราชทาน ใครจะกล้าปฎิเสธคำของฮ่องเต้กัน หลินเข่อซิงคิดอย่างเศร้าสร้อย“นี่ข้าคงรักท่านอย่างสุดหัวใจเข้าแล้วจริงๆ ถึงกับตามืดบอดหลงลืมไปว่าท่านและนางเคยผูกพันกันมานานเพียงใด ยึดติดกับเนื้อเรื่องในนิยายหลงคิดว่าตนเองคือนางเอก แท้ที่จริงข้าต่างหากที่เป็นนางร้ายมาแยกพวกท่านออกจากกัน”หลินเข่อซิงร่ำไห้ปานใจจะขาด ลูกน้อยในท้องราวกับรับรู้ได้ ทั้งเตะทั้งถีบรุนแรง แต่กลับเป็นการกระตุ้นให้หลินเข่อซิงยิ่งหดหู่“เขามิได้ต้องการข้าแล้ว ถ้าหากเขารับรู้ว่าข้ามีเจ้า เขาคง…”คืนนั้นหลิงเฉินก็ยังมิกลับมา แต่หลินเข่อซิงที่จมจ่อมในห้วงคำนึงของตนเองจนมิสนใจสิ่งใดรอบกาย ปล่อยให้นางกำนัลจัดการทุกสิ่งให้นาง จนถึงเวลาเข้านอน หญิงสาวทำเพียงจ้องมองไปบนเพดาน น้ำตาระลอ
“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี” หลินเข่อซิงย่อตัวลงทำความเคารพฮ่องเต้ “ไม่ต้องมากพิธี คนกันเองทั้งนั้น” หายเจี๋ยโบกมืออย่างไม่ใส่ใจพลางนั่งที่โต๊ะน้ำชา “พระองค์ทรงให้คนพาหม่อมฉันมาที่นี่ด้วยเหตุใดเพคะ” หลินเข่เซิงถามเสียงเรียบ แต่แววตาแสดงความไม่พอใจแจ่มชัด “ข้าว่าตำหนักที่เจ้าอยู่ดูจะแคบไปนะ เดี๋ยวข้าจะให้เจ้าย้ายไปตำหนักที่ใกล้ข้าดีหรือไม่ จะได้มีที่กว้างขวาง ซ้ำยังมีสวนสวยงามและน้ำตกเล็กๆให้เจ้าดูอีกด้วย” หานเจี๋ยเฉไฉพูดเรื่องอื่น ทำราวกับไม่ได้ยินที่นางถาม “ฝ่าบาท เหตุใดจึงกระทำการโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก ท่านโหวจงรักภักดีต่อฮ่องเต้พระองค์ก่อน จนถึงตอนที่ท่านขึ้นครองบัลลังก์มังกรนี้เขามิเคยตั้งคำถาม มีแต่ตั้งใจทำงานของตนอย่างสุดความสามารถ ท่านตอบแทนตระกูลที่ภักดีกับท่านเช่นนี้น่ะหรือ” หลินเข่อซิงถามออกไปอย่างสุดกลั้น คราแรกนางตั้งใจไว้ว่าจะควบคุมอารมณ์ตนเอง เพราะตอนนี้นางไม่มีอำนาจใดๆจะต่อกรกับอีกฝ่ายได้ แต่เมื่อเห็นใบหน้านี้ นางกลับนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งประสบมา เลือดของคนตระกูล
ท่านโหวและฮูหยินใหญ่ตกใจเป็นอันมาก“เจ้าเข้าใจอะไรผิดรึไม่ ข้ามิเคยทำเรื่องเช่นนั้น” อีกฝ่ายแสยะยิ้มไม่น่ามอง “ทำหรือไม่หลักฐานก็มีอยู่”สิ้นเสียงทหารที่เข้าค้นจวนต่างโยนกระดาษจดหมายที่เขียนตอบโต้กับสายลับแคว้นเกาเยว่ บนนั้นคือลายมือท่านโหวชัดเจน“ไม่ ข้าไม่ได้ทำ ข้าถูกใส่ร้าย ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเดี๋ยวนี้”“ช้าก่อน ท่านคิดว่าตนเองเป็นผู้ใดกัน คิดจะพบหน้าฝ่าบาท ก็พบได้ง่ายๆเช่นนั้นหรือ อีกอย่างฝ่าบาททรงตัดสินโทษพวกเจ้าตระกูลอวิ๋นแล้ว”ในขณะที่ดาบกำลังจะฟาดฟันลงมาสวบ! เสียงดาบแทงทะลุอก ฮูหยินใหญ่ทรุดลงไปกองกับพื้น ท่านโหวตะโกนออกมาสุดเสียง ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่อยู่กินกันมานาน เอาตัวเข้ารับดาบแทนเขา “ได้โปรดปล่อยสามีข้าไปเถิดนะท่านเขาบริสุทธิ์” ฮูหยินใหญ่ยื่นมือไขว้คว้าจับข้อท้าของทหารนายนั้น “ข้าขอร้องท่าน อย่างน้อยก็คิดถึงความสัมพันธ์เก่าก่อน ท่านโหวเมื่อครั้งเป็นแม่ทัพก็ปฎิบัติต่อท่านอย่างดีมิใช่หรือ อึ่ก”ฮูหยินใหญ่กระอักเลือดออกมาคำโต ท่านโหวตรงเข้าไปดึงตัวภรรยาออกมาโอบกอดไว้แนบอก
บ่ายวันนี้หลินเข่อซิงนั่งนิ่ง จมจ่อมอยู่ในความคิดมากมายหลังได้รับข่าวจากหลิงเฉิน ขณะนี้ทั่วทั้งแคว้นกำลังโห่ร้องสรรเสริญฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ทุกข่าวคราวที่เข้ามาล้วนบ่งบอกว่า เขาสามารถควบคุมราชสำนักได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ขุนนางผู้มีอำนาจเก่าแก่ที่เคยต่อต้าน บัดนี้ต่างก้มหัวลงยอมรับอำนาจใหม่อย่างราบคาบ ชื่อเสียงความสามารถในการบริหารและควบคุมราชสำนักของเขากำลังเป็นที่เลื่องลือ และยังได้รับการยอมรับจากชาวบ้านมากมายในช่วงเวลาสั้น ๆ "ในที่สุด...เขาก็ทำมันจริงๆ" หลินเข่อซิงพึมพำเบา ๆ น้ำเสียงปนไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งชื่นชมและกังวล “ฮูหยินเจ้าคะ คิดว่าองค์ชายห้าจะทรงทำได้ดีขนาดนี้หรือไม่เจ้าคะ” หลิงเฉินถามด้วยแววตาสงสัย หลินเข่อซิงถอนหายใจ “ข้าก็ไม่คิดว่าเขาจะมาไกลถึงเพียงนี้ จริงอยู่ที่หานเจี๋ยฉลาดและเจ้าแผนการ แต่ข้าก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะสามารถทำทุกอย่างได้อย่างเด็ดขาดและ...โหดเหี้ยมเช่นนี้” นางรู้ว่าหานเจี๋ยมีความทะเยอทะยานมากเพียงใด และรู้อีกด้วยว่าเบื้องหลังรอยยิ้มเย็นชานั้น เขาอาจไม่รีรอที่จะใช้วิธีใด ๆ เพื่อให้ได้มาซ
หลังจากที่มีข่าวลือแพร่สะพัดออกไป องค์ชายห้าหานเจี๋ยได้ชื่อว่าเป็นลูกกตัญญูและปราบคนชั่วปกป้องคนดี กอปรกับที่มีพระราชโองการของฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่ทรงแต่งตั้งองค์ชายห้าให้เป็นองค์รัชทายาทแทนองค์เดิมที่อกตัญญู ริษยาพี่น้องของตน เป็นที่น่าสะอิดสะเอียนนัก การขึ้นครองราชย์ขององค์ชายห้าจึงมิมีผู้ใดคัดค้าน แม้แต่ท่านโหวผู้เป็นพ่อของอวิ๋นเฟยหลง แม้ในใจจะค้านแต่ก็ทำได้เพียงเห็นชอบด้วย หากทำตัวกระด้างกระเดื่องเสียแต่ตอนนี้ เกรงว่าจะเป็นภัยมาสู่คนในตระกูลอวิ๋นเสียมากกว่า ยิ่งสะใภ้กำลังตั้งครรภ์ด้วย เขายิ่งมิกล้ากระทำการสิ่งใดโดยมิยั้งคิด“ท่านโหวดูเคร่งเครียดยิ่งนัก หรือจะไม่พอใจข้าหรือ” องค์ชายห้าหรือต่อไปต้องเรียกว่าฮ่องเต้ทรงตรัสขึ้นกลางท้องพระโรง“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงกังวลถึงคนที่บ้านเท่านั้น ขอพระองค์ทรงโปรดอภัยให้กระหม่อมด้วย” ท่านโหวชราว่าพลางคุกเข่าลงทันใด“อ้อ เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ ข้าคงคิดมากไปเอง เจ้าลุกขึ้นเถอะ” ฮ่องเต้ปรายหางพระเนตรมองก่อนมองไปทางอื่น“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ” ท่านโหวค่อยๆลุกขึ้นยืนจากนั้นบรรย
หลินเข่อซิงที่นับวันยิ่งกินอะไรไม่ลง แต่ละวันนางทำเพียงนั่งเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง พร่ำเขียนจดหมายที่ไม่มีผู้รับ‘ท่านพี่ วันนี้ท้องฟ้าโปร่ง แสงแดดทอประกายระยิบระยับตกต้องหยาดน้ำบนกลีบดอกโบตั๋น ช่างงดงามยิ่งนัก ข้าเห็นแล้วนึกอยากให้ท่านมานั่งมองด้วยกันกับข้ายิ่งนัก’‘ท่านพี่ยังจำโรงเตี๊ยมไฉ่หงได้หรือไม่เจ้าคะ ที่เราสองสามีภรรยาไปนั่งกินด้วยกันครั้งแรก ตอนนั้นข้าและท่านยังมิได้รู้จักกันดีนัก วันนี้ข้าให้หลิงเฉินพาไปนั่งกินซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานที่ท่านชอบ แต่ข้ากลับกินได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้า….อยากกินด้วยกันกับท่านอีกสักครั้ง'‘เฟยหลง ข้าคิดถึงไออุ่นของท่าน อ้อมกอดของท่าน สิ่งของของท่านข้าเก็บรักษาไว้อย่างดีไม่ต้องกังวลใจไป ส่วนเสื้อผ้าของท่านข้าซักให้สะอาดและพับเก็บไว้อย่างดี เมื่อท่านกลับมาจะได้มีเสื้อผ้านุ่มหอมกรุ่นไว้ใส่'‘ท่านพี่…วันนี้ข้า…' ร่างบางจรดพู่กันไปได้เพียงไม่กี่คำ ก็ผุดลุกขึ้นอย่างว่องไว หลิงเฉินรู้งานยิ่ง รีบนำกระโถนมารองรับอย่างไว หลินเข่อซิงอาเจียนออกมา หนึ่งเดือนมานี้นางอาเจียนเช่นนี้บ่อยๆ อีกทั้งยังกินอะไรไม่ได้มาก ทำให้ร่างกายยิ่งผ่ายผอมยิ่งกว่าแต่ก่อนมากนัก ร
ตำหนักบรรทมของเจ้าผู้ครองแคว้นยามนี้เงียบสงัดนักผิดกับในพระทัยของฮ่องเต้ที่ร้อนรุ่มราวไฟแผดเผาเมื่อพระอวค์ทรงนึกถึงข่าวการจากไปของแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง พระองค์ทรุดนั่งอย่างคนสิ้นหวัง สายพระเนตรเต็มไปด้วยความโศกเศร้าหนักหน่วง และหัวใจของพระองค์ถูกฉีกกระชากด้วยความจริงอันโหดร้ายที่ได้รับ ความหวังที่จะได้พบหน้าบุตรชายที่พระองค์ตามหามานานนับยี่สิบปีกลับมลายลงในพริบตา ทว่าในยามที่ทุกสิ่งดูเหมือนจะสิ้นสุดลงแล้ว ฮ่องเต้กลับยิ่งรู้สึกว่าบางอย่างผิดแปลกไปพระองค์หยัดกายลุกขึ้นด้วยสายตาแน่วแน่ที่กลับมาพร้อมกับประกายแห่งความมุ่งมั่น ภายในพระทัยกำลังตั้งคำถามถึงเบื้องหลังของข่าวการสิ้นชีพของบุตรชายเขาผู้นี้ ที่ดูเหมือนจะมีความซับซ้อนเกินกว่าที่ควรจะเป็น"ออกมา!" พระสุรเสียงเรียกหาองครักษ์เงาเฉียบขาด พร้อมเป่าปากเสียงหวีดแหลมอย่างนกกลางคืน ชายหนุ่มในชุดดำโค้งคำนับเข้ามาด้วยความเคารพ ในเงามืดรอบตำหนักก็ปรากฏเงาของเหล่าผู้พิทักษ์ผู้ซื่อสัตย์ที่พร้อมจะทำภารกิจทุกอย่างเพื่อพระองค์"ข้าต้องการให้พวกเจ้าสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างอย่าให้สิ่งใดพลาดไปแม้แต่เรื่องที่เล็กยิ่ง
หลินเข่อซิงกำจี้หยกไว้ในมือแน่น สัมผัสเย็นเยียบของหยกที่เคยเป็นสิ่งประจำตัวของอวิ๋นเฟยหลง บัดนี้เป็นสิ่งเดียวที่เขาทิ้งไว้ให้ ราวกับความเย็นเยียบจากหยกนั้นค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในหัวใจของนางจนรู้สึกชาไปทั้งตัวความเงียบงันในห้องโถงนั้นหนักอึ้ง นางนั่งนิ่งน้ำตาร่วงพรูไม่หยุด แต่กลับไม่มีเสียงสะอื้นออกมา นางมองจี้หยกที่อยู่ในมือตนอย่างเหม่อลอย ทุกภาพ ทุกถ้อยคำของอวิ๋นเฟยหลงผุดขึ้นมาในความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพของเขาที่ยิ้มบาง ๆ ดวงตาคมที่มองนางด้วยความอบอุ่น น้ำเสียงที่เขาเคยปลอบโยน นางรู้สึกได้ถึงหัวใจที่บีบรัดจนเจ็บ แต่กลับทำอะไรไม่ได้ นอกจากก้มหน้ารับความจริงอันโหดร้ายเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ฮูหยินใหญ่ค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมาด้วยความช่วยเหลือของบ่าวไพร่ นางลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับเสียงสะอื้นขาดห้วง น้ำตาไหลเป็นสาย ริมฝีปากสั่นระริกขณะที่นางมองหลินเข่อซิงและจี้หยกในมือนาง “ซิงเอ๋อร์… ลูกเอ๋ย ข้าขอโทษที่ปล่อยเจ้าไว้เพียงลำพัง ขอโทษจริง ๆ…”หลินเข่อซิงหันไปหาฮูหยินใหญ่ที่กุมมือนางไว้แน่น นางพยายามกลั้นน้ำตา พลางกล่าวเสียงสั่น “ข้าเองก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ ไม่เคยคิดเลยว่า...ท่านพี่ที่มีฝีมือเก
“เอาล่ะ... อ่านจบในวันนี้แน่นอน!” หลินเข่อซิงพูดกับตัวเองอย่างมุ่งมั่น มือข้างหนึ่งถือแก้วชานมไข่มุก ส่วนอีกข้างกำลังไถนิ้วผ่านหน้าจอมือถือที่แสดงหน้าแอพนิยายออนไลน์ เธอนั่งพิงโซฟานุ่มๆ ในห้องนอน พลางห่อหมอนใบใหญ่ไว้ในอ้อมแขน เสมือนเป็นอุปกรณ์เสริมในการอ่านที่ขาดไม่ได้นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เธออ่านต่อเนื่องมาหลายเดือนแล้ว มันคือ “บุปผาซ่อนใจ คุณชายไร้รัก” นิยายจีนโบราณที่เข่อซิงหลงใหลตั้งแต่บทแรก นางเอกเรื่องนี้คือคุณหนูหลินผู้อ่อนหวานและบริสุทธิ์ ส่วนพระเอกคืออวิ๋นเฟยหลง คุณชายสุดหล่อที่เย็นชาแต่เท่ห์เหลือเกิน นี่มันสูตรสำเร็จของนิยายจีนโบราณชัดๆ!“ฮ่า ๆ ๆ” เข่อซิงหัวเราะออกมาเมื่อถึงฉากที่นางร้าย “หยางเฟยฮุ่ย” ทำหน้าเหมือนจะชนะนางเอก แต่ก็โดนตลบหลังอย่างงดงาม เธออดที่จะนึกขำไม่ได้ หยางเฟยฮุ่ยนะเหรอ! ตัวร้ายที่ทำทุกอย่างเพื่อพระเอก ร้ายลึกจนแทบไม่มีที่ว่างให้ความดีเข้ามาแทรก “แหม... คนแบบนี้ในชีวิตจริงนี่คงปวดหัวน่าดู แต่ก็ทำให้เรื่องสนุกใช่เล่นนะ!”หลินเข่อซิงถอนหายใจยาว เมื่อเลื่อนหน้าจอไปยังบทสุดท้าย ความตื่นเต้นเริ่มค่อยๆ ลดลงเมื่อเธอนึกถึงการจากลานิยายเรื่องนี้“เอาจริงดิ.....
Comments