“อย่าเสนอหน้าเข้ามาพื้นที่ส่วนตัวฉันอีกเป็นครั้งที่สอง” น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมที่ดังรอดไรฟันนั้นยังไม่น่ากลัวเท่ากับแววตาที่เหมือนราชสีห์กำลังอยากฉีกกระชากร่างของเหยื่อที่ไม่มีค่าตรงหน้า “หงส์เป็นห่วงนี่คะ ว๊าย!” แค่เอ่ยคำว่าเป็นห่วงแค่นี้ คนใจร้ายถึงกับผลักฉันล้มลงพื้นอีกครั้ง “เก็บความเป็นห่วงของเธอไว้ตรงนั้นแหละ ฉันไม่เคยอยากได้ไอ้ความเป็นห่วงจากผู้หญิงหน้าไหนทั้งนั้น” ‘คนไม่มีสิทธิ์ ต่อให้ดิ้นให้ตายยังไงมันก็ไม่มีสิทธิ์อยู่วันยันค่ำ จำใส่หัวสมองน้อยๆ ของเธอเอาไว้ไฉ่หง’
View More“ว่ามา” หนียังไงผมก็หนีมันไม่พ้น งั้นก็เปิดอกคุยเลยแล้วกัน“ที่มึงต่อยไอ้มอม้าจริงๆ แล้ว มึงกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”หึ! มุมปากผมยกขึ้นเล็กน้อยให้กับคำถามที่ผมเองก็เตรียมใจไว้อยู่แล้ว“ไม่รู้ว่ะ!” ที่ตอบไปคือเรื่องจริงผมไม่รู้ที่ผมต่อยไอ้มอม้าไปสาเหตุมันมาจากอะไรกันแน่เพราะไอ้มอม้าเกือบจะเผลอพูดเรื่องอดีตของผม หรือ เพราะ... ยัยนั่น“มึงรู้! มึงอย่าแกล้งไม่รู้” สายตาคาดคั้นจากกรุงโซลส่งมาให้ผม“อาจจะ” ผมตอบมันเสียงเรียบ“แบบไหน?” ตอบสองคำ มันก็ถามผมกลับมาสองคำ เออดีจริงเพื่อนกู“แบบว่า มันขัดอารมณ์กู ผลลัพธ์มันต่างจากที่กูอยากให้เป็น กูอยากเห็นยัยหน้าจืดนั่นล้มลงไปมากกว่าอยู่ในอ้อมกอดไอ้มอม้า... มั้ง”แล้วนี่ทำไมผมต้องมานั่งอธิบายอารมณ์ ความรู้สึกของตัวเองให้ไอ้กรุงโซลมันฟังด้วยวะ แต่พอได้พูดอะไรออกไปบ้าง ปากมันกลับเหมือนเขื่อนที่ถูกเปิดระบายน้ำเพราะมันไม่ยอมหยุดพูดแค่สิ่งที่ไอ้กรุงโซลถาม“กูมักเห็นภาพ ‘เธอ’ ซ้อนอยู่ในตัวยัยนั่น” ผมตอบไปตามที่ผมรู้สึกเอาแบบแมนๆ เลยนะ ก่อนหน้านี้ผมเคยแอบมองไฉ่หงอยู่หลายครั้ง และบางครั้งผมก็รู้สึกว่าตัวเองละสายตาจากผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ มันเหมือนเธอมีแรงด
[Krungseoul’s part]แม่งเอ๊ย! ไอ้เหี้ยยูกิ ไอ้เพื่อนเวร เมื่อกี้ถ้ามอม้าลูกน้องคนสนิทของมันไม่มารับตัวผู้หญิงคนนั้นไว้ ป่านนี้ยัยนั่นคงล้มก้นจ้ำเบ้าไปแล้วแถมแม่งยังส่อสันดานเลว ฟิวส์ขาดชกลูกน้องตัวเองทั้งๆ ที่มันไม่เคยทำนิสัยเถื่อนแบบนั้นมาก่อนแอ้ด ปัง! ผมเปิดประตูห้องนอนไอ้ยูกิด้วยแรงกระชากทั้งหมดที่มี“ออกไป!” เสียงขับไสไล่ส่งดังลอดไรฟันของไอ้หัวชมพูฟรุ้งฟริ้งที่ไม่เข้ากับหน้าตาบูดบึ้งตะคอกใส่ผม“มึงเป็นบ้าอะไรวะ! เมื่อกี้มันไม่ใช่มึงเลย” ผมไม่สนใจคำไล่ของมัน เลือกพูดประโยคคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบออกไปแทน“มึงดูมันพูด!”“จี้จุดมึง?” ผมไม่รอให้มันพูดอะไรต่อ รีบสวนทันทีผลลัพธ์เหรอ? ได้รับสายตาเชือดเฉือนดุจมีดแหลมคมส่งมาไงล่ะ“มึงอยากโดนอีกคน?” คิดว่าผมกลัว?คำขู่เหมือนเด็กสองขวบ เราคบกันมาสิบปีได้แล้วมั้ง! ทำไมผมจะไม่รู้ว่ามันคิดอะไร จะทำจริงหรือไม่จริง“มานี่มา!” ผมเดินไปนั่งโซฟากลางห้องนอนมัน พร้อมกับตบเบาะโซฟาข้างๆ ตัวเองเรียกให้มันมานั่งคุยกันแบบใกล้ชิด ไอ้ยูกิยอมเดินมาตามที่ผมเรียก แต่ดันเสือกนั่งโซฟาอีกตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแทน“ถามจริง มึงเฮิร์ทอะไร? กูว่ามึงทำเกินไปนะเว้ย!” พ
หมับ! คำพูดต่อไปของฉันถูกขัดด้วยฝ่ามือเรียวบางแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่น “มองตาเจ้สิ! หงส์เห็นอะไรในดวงตาคู่นี้” เหมือนถูกสะกดจิตฉันจ้องมองตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยตรงหน้า สายตาที่เป็นมิตร ไม่ได้มีความหวังร้ายเลยแม้เศษเสี้ยว“ที่พูดไปก่อนหน้าคือเรื่องจริง คุณแก้มอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะ” ย้ำให้เธอฟังอีกชัดๆ เกรงว่าการที่เธอให้จ้องตาเพื่อพิสูจน์ความจริงในคำตอบก่อนหน้า“เข้าใจผิด?” แก้มเลิกคิ้ว เอียงคอจ้องมองหน้าฉัน“ค่ะ ก็หงส์คิดว่าคุณแก้มกับคุณยูกิ เอ่อ เป็น...”“…” คนรอฟังเงียบไม่เอ่ยขัดคล้ายรอฟังให้ฉันพูดให้จบแต่ฉันกลับไม่กล้าเอ่ยคำพูดต่อไป ‘ก็คุณแก้มกับคุณยูกิเป็นแฟนกันนี่คะ’“คิกๆ” ฉันที่เบือนหน้าหันไปมองทางอื่นได้ไม่ถึงสองวิฯ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะขบขันดังออกมาจากผู้หญิงหุ่นบอบบาง“คุณแก้มขำอะไรเหรอคะ?”“ก็ขำความคิดเราไงล่ะ ถ้าให้เดาหงส์คงกำลังคิดว่าเจ้กับเฮียยูกิเป็นแฟนหรือว่าคนรักกันใช่ไหมล่ะ”“…” ฉันได้แต่พยักหน้าเป็นคำตอบ“ฉันมีลูกเธอก็เห็นใช่ไหม? เด็กที่อยู่ในห้องนั้นน่ะ” พยักหน้าแทนคำตอบอีกครั้ง “เด็กคนนั้นชื่อทิวลิป ส่วนพ่อของเด็กคือ...”“ฉันไง? กรุงโซลสุดหล่อสามีสุดที่รักของแก้มใส”
‘อบอุ่น’ ฉันไม่เคยเห็นรอยยิ้มอบอุ่นของยูกิเลยสักครั้ง จนนาทีนี้ ที่มีเด็กน้อยตัวอวบๆ ผิวขาวใส น่าตาน่ารักวิ่งเข้ามาหาเขาในห้องทำงานจะเรียกว่าครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่ฉันสัมผัสได้ว่าบนใบหน้าของผู้ชายที่เคยเย็นชามีสีสันขึ้นมา ใบหน้าที่มีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏอยู่บนนั้น บอกตามตรง ฉันไม่อาจละสายตาจากภาพของยูกิที่ดูอบอุ่นนั้นได้เลยเปาะ!“อ๊ะ!” ฉันสะดุ้งตัวเผลอลุกจากเก้าอี้กะทันหันเมื่อใบหูเหมือนได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดังอยู่ใกล้ๆ พอตั้งสติได้ทำให้รู้ว่าตอนนี้ใบหน้าตัวเองเกือบจะชนเข้ากับใบหน้าคมเข้มของใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเฮือก! ลมหายใจติดขัดขึ้นมาแบบไม่ทราบสาเหตุ เมื่อสายตาเพ่งพินิจดูดีๆ พบว่าใบหน้านั้นคือใบหน้าของผู้ชายที่ฉันแอบมองอยู่ก่อนหน้านี้‘เขามาตอนไหน’“นึกว่าหลับในตายสะอีก!” เสียงแหบต่ำที่ดังรอดไรฟันทำให้สติฉันกลับมาครบถ้วนสมบูรณ์ รีบผละใบหน้าให้ออกห่างจากผู้ชายปากร้ายคนนี้“คะ คุณยูกิมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” พยายามถามให้เสียงเป็นปกติที่สุด“นี่ไม่รู้สึกถึงอะไรรอบข้างเลยว่างั้น?” คนถูกถามไม่ตอบแต่เลือกที่จะส่งคำถามใหม่กลับมา ฉันจึงโฟกัสสายตาไปมองรอบห้องและพบว่าภายในห้องนี้ไม่ได้มีแ
[Yuuki’s part]แปลก! วันนี้ยัยซื่อบื้อดูเงียบผิดปกติ ทำตัวเหมือนกับโกรธ งอน อะไรผมสักอย่าง ทั้งๆ ที่ผมอุตส่าห์เป็นคนเดินเข้าไปคุยด้วยก่อนแล้วแท้ๆผมสะบัดหัวเล็กน้อยเพื่อขับไล่ภาพที่ตัวเองกำลังอุ้มไฉ่หงกลับไปที่ห้องนอนห้องถัดจากผมผ่านประตูลับที่ไม่มีใครรู้นอกจากตัวผมเอง รู้แบบนี้เมื่อคืนน่าจะปล่อยให้ยุงกัดให้ตาย! ไม่น่าแบกกลับไปนอนสบายๆ ที่ห้องเลย ให้ตายสิวะ!กำลังจะอ้าปากหาเรื่องชวนไฉ่หงทะเลาะ เสียงเล็กๆ ใสๆ ของผู้มาเยือนตัวน้อยๆ ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน“อายูกิ~”“มาได้ไงเรา หลานรักของอา” ผมรีบวิ่งไปอุ้มเด็กน้อยตาใสแป๋ว ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเพื่อนรักอย่างไอ้กรุงโซลกับแก้มใสขึ้นมาฟัดแก้มนุ่มๆ เล่น“หวัดดีเฮีย”ผมพาทิวลิปมานั่งที่โซฟารับแขกได้ไม่นาน เสียงลูกน้องที่ผมเกือบจะลืมมันไปก็ดังขึ้น “กูนึกว่ามึงตายห่าไปแล้ว” ผมกัดไอ้ใบไม้ทันทีที่เห็นหน้ามัน‘ใบไม้’ เป็นลูกน้องคนสนิทผมอีกคน มันเป็นน้องชายแท้ๆ ไอ้มอม้าผมเคยช่วยพวกมันสองคนตอนที่กำลังจะถูกตำรวจจับข้อหาค้ายา แต่โชคดีเส้นผมใหญ่ และดูๆ แล้วเหมือนไอ้สองคนนี้มันไม่ได้ตั้งใจทำ เลยสงสารและเก็บมันมาใช้งาน“โด่เฮีย! ใครกันล่ะส่งผมไปตายแทน” ไอ
“เดี๋ยวฝันร้ายจะหายไปเองนะคะ เพี้ยง” ริมฝีปากกระจับสีชมพูได้รูปเผยอขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับท่าทางการเป่าลมออกจากปากเหมือนกับคำพูดสุดท้ายที่หลุดรอดออกมาก่อนหน้า“ยัยบ้าเอ๊ย!” ผมชักมือกลับ เลิกสนใจผู้หญิงที่กำลังนอนหลับแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวตรงหน้า หันหลังและสาวเท้ากลับไปยังห้องนอนตัวเองที่เพิ่งออกมาไม่กี่นาทีไม่อยากจะอยู่ตรงนั้นนานๆ เพราะมันรู้สึกกระอักกระอ่วนในหัวใจแปลกๆประโยคที่มันดังในความฝันผมเมื่อครั้งนั้น และเป็นประโยคที่ทำให้ฝันร้ายของผมหายไปทุกครั้งที่นึกถึงมัน‘เดี๋ยวฝันร้ายจะหายไปเองนะคะ เพี้ยง’ประโยคที่แสนธรรมดาแต่กลับมีอิทธิพลกับหัวใจมึงเพียงนี่เลยเหรอวะไอ้ยูกิ[End part]“อื้อ” รู้สึกเหมือนร่างกายมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แถมตอนนี้เหมือนกับร่างกายนอนอยู่บนอะไรนิ่มๆ‘ที่นอนเหรอ?’ เปลือกตาน้อยๆ สองข้างค่อยๆ เปิดออก กระพริบตาปริบๆ อยู่สองสามครั้งเพื่อปรับแสงที่แยงเข้าสู่เลนส์ตาสิ่งแรกที่เห็นคือ เพดานสีขาวสะอาดตา บนเพดานมีดาวเรืองแสงที่ฉันให้เฮียเทียนช่วยติดไว้ก่อนเขาจะกลับฮ่องกง ถ้างั้นก็แสดงว่าฉันกำลังนอนอยู่บนเตียงนอนในห้องนอนตัวเอง?พรึ่บ! ร่างกายกับสมองสั่งการพร้อ
พวกเราใช้เวลาเดินทางจากสนามบินกลับมาที่ยุกกี้คาสิโนเกือบสองชั่วโมง เพราะการจราจรในช่วงค่ำๆ มันติดขัด หลังจากที่ก้าวขาขึ้นมาถึงชั้นสอง คนที่เดินนำหน้าฉันอย่างยูกิก็หันมาสั่งทางสายตากรายๆ ว่า ให้ฉันตามเขาเข้าไปที่ห้องทำงาน“เอ๊ะ! นี่มัน” เมื่อย่างก้าวเข้ามาในห้องทำงานได้เพียงแค่สามก้าว สายตาก็มองไปยังโต๊ะทำงานไม่เล็กไม่ใหญ่มาก วางอยู่ข้างๆ โต๊ะทำงานยูกิ“ฉันสั่งคนจัดไว้ ตอนเราไปส่งไอ้เทียน อย่าเพิ่งเข้าใจผิดอะไร ฉันแค่อยากใช้งานเธอจนตัวสั่นต่างหาก” รอยยิ้มมุมปากที่เหมือนซาตานเจอเหยื่อชิ้นดี เรียกไรขนอ่อนในกายฉันลุกชัน“เริ่มวันนี้เลยเหรอคะ?” เหลือบมองนาฬิกาตรงผนังที่บ่งบอกว่าตอนนี้เกือบจะสี่ทุ่มแล้วเลยถามเพื่อให้แน่ใจ“จำไม่ได้? ที่บอกตอนอยู่สนามบิน” ฟังจบฉันถึงกับอ้าปากค้างอยากจะเถียงเขาออกไปแต่ก็ทำได้เพียงกลืนคำเถียงนั้นลงคอ เดินกระแทกเท้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะทำงานของตัวเอง สองมือน้อยๆ หยิบแฟ้มใบเขื่องสีฟ้าขึ้นมาเปิดดูจ๊อก~แค่สายตามองเห็นตัวเลขที่เต็มหน้ากระดาษ ทำเอาสมุนน้อยๆ ภายในท้องร้องประท้วงขึ้นมาแทบจะทันที ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า เพราะมัวแต่ง่วนกับการหาถุงผ้
“ว่าไงยัยน้อง”“คะ?” ฉันที่ไม่ได้ฟังเฮียเทียนพูดก่อนหน้าเลยไม่รู้ว่าพี่ชายตัวเองถามอะไร ได้แต่ส่งเสียงคล้ายกับงุงงงออกไป“เฮียถามว่าเราโอเคมั้ยที่เฮียจะให้เราเป็นเลขาไอ้ยูกิ น้องก็เรียนสาขานี้มาอยู่แล้วเรื่องแค่นี้หมูมาก น้องจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระมันด้วยไง”เหมือนถูกพี่ชายตัวเองมัดมือชกเลยแฮะ!ฉันยังไม่ตอบคำถามพี่ชายตัวเอง แต่เลือกที่จะเหลือบมองคนที่เป็นว่าที่เจ้านายคนใหม่ที่นั่งอยู่โซฟาเดี่ยวตัวที่อยู่ถัดจากฉันแทน“เอ่อ คือว่า หงส์” เพราะถูกสายตากดดันจากยูกิที่มองฉันอยู่ก่อน ทำให้คิดคำตอบพี่ชายตัวเองไม่ทัน ได้แต่ละล่ำละลักออกไป“ลีลา ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ” คำพูดประชดที่ปนความหงุดหงิดถูกส่งมาให้ฉันเม้มปากแน่น “หงส์ไม่ได้ลีลา แล้วหงส์ก็ยินดีทำ!” คำพูดแรกฉันตอบโดยไม่เลิกจ้องหน้ายูกิสักวินาที ประโยคหลังฉันหันไปตอบพี่ชายตัวเองเสียงดังฟังชัด“เยี่ยมมากน้องรัก” เฮียเทียนพยักหน้าพร้อมกับยิ้มกว้างอย่างพออกพอใจในคำตอบรับนี้“แล้วมึงจะกลับวันไหน” เสียงยูกิที่เงียบอยู่พักหนึ่งถามเฮียเทียน“คืนนี้! กูต้องรีบกลับไปสืบเรื่องสำคัญ ไม่อยากปล่อยไว้นาน” สีหน้าเฮียเทียนเคร่งเครียดมาก มีเรื่องอะไรสำคัญขนาด
ฟืด ฟืด เสียงเครื่องคั้นน้ำผลไม้คงดังมาก ทำให้ฉันไม่รู้ตัวว่าตอนนี้มีใครบางคนยืนอยู่ข้างหลังฉันในระยะเผาขน“ทำอะไร ไหนอาหารว่างฉัน”“ว๊าย!”ฉันสะดุ้งสุดตัว หลังจากที่เสียงคล้ายกระซิบดังแผ่วเบาอยู่ข้างหู ลมหายใจอุ่นๆ กระทบที่ลำคอเนียนฉันเบาๆ เรียกไรขนอ่อนทั่วกายลุกชัน“คุณยูกิ!” เมื่อตั้งสติได้ และเห็นว่าใครคือเจ้าของเสียงนั้นฉันก็รีบเรียกเขาด้วยเสียงสั่นเครือ “ทำไมต้องทำท่ากลัวฉันขนาดนั้น”‘ไม่กลัวสิแปลก’ ฉันไม่กล้าท้วงกลับ ได้แค่คิดในใจหลังจากเหตุการณ์วันนั้นทำให้ฉันไม่กล้าที่จะต่อปากต่อคำหรือแม้แต่เฉียดกายเข้าใครเขาอีกเลย อาจจะเป็นเพราะยังโกรธเขาที่ไม่มีเหตุผล ไม่ฟังอะไรก่อนแล้วก็มาเอะอะทึกทักเอาเองถ้าวันนั้นเขาหยุดตัวเองไม่ทันอะไรจะเกิดขึ้นฉันไม่อยากจะคิด เพราะงั้นอยู่ห่างๆ ยูกิไว้น่าจะปลอดภัยที่สุด“คุณยูกิจะรับด้วยมั้ยล่ะคะ หงส์ทำน้ำแครอทให้เฮียเทียน” ฉันสูดลมเข้าปอดลึกๆ ระงับอาการตื่นตระหนกให้คงที แล้วเอ่ยถามน้ำเสียงเรียบแต่แฝงความน้อยใจอยู่ในนั้น“ไม่น่าถาม ไอ้เทียนยังกินได้ แล้วทำไมต้องถามฉันด้วยวะ” น้ำเสียงเอาแต่ใจดังขึ้น คล้ายกับไม่พอใจกับคำถามของฉัน“หงส์ไม่รู้นี่ค่ะ แค่ถ
@Hongkong เขต Kwai Tsingแฮ่ก แฮ่ก~ตึก ตึก ตึก“คุณหนูครับ ไหวมั้ยครับ”เสียงใคร? เหมือนฉันได้ยินเสียงคนพูดอยู่ข้างๆ หูฉันได้ยิน สมองฉันรับรู้ แต่ทำไมจิตใจฉันมันถึงได้เลื่อนลอยแบบนี้กัน“เดี๋ยวเรือลำนี้จะพาเราไปที่ท่าเรือประเทศไทย พอถึงที่นั่นผมรับรองคุณหนูต้องปลอดภัย” ปลอดภัยเหรอ? เขาหมายถึงอะไร ปลอดภัยจากอะไรสองตาที่เลื่อนลอยของตัวเอง หันไปจ้องมองผู้ชายที่เรียกฉันว่าคุณหนูที่กำลังนั่งพื้นที่กำลังโคลงเคลง “คุณเป็นใคร?” ฉันเอ่ยถามคนที่นั่งข้างกาย คนได้ฟังถึงกับเบิกตากว้าง คิ้วขมวดเข้าหากันแลดูยุ่งเหยิง“คุณหนูจำผมไม่ได้เหรอครับ ผมฉิงเฉา ลูกน้องคนสนิทคุณพ่อคุณหนูไง”ฉิงเฉา? เหมือนจะคุ้น แต่ก็ไม่เห็นจะจำได้ เมื่อพยายามครุ่นคิดอยู่นานสองนาน แต่กลับไม่พบชื่อนี้ในหัวเลยแม้แต่น้อยจึงได้แต่ส่ายหัวไปมาตอบเขาไป“ซวยแล้ว!” ฉิงเฉาทำหน้าแตกตื่น เหงื่อแตกพลั่กพร้อมกับสบถออกมาเสียงเบาหวิว “คุณหนูชื่ออะไรจำได้ไหมครับ”ชื่อฉันเหรอ? ทำไมแม้แต่ชื่อตัวเองฉันก็ต้องคิดมากขนาดนี้นะ“โอ๊ย! ไม่รู้ ปวดหัว” ฉันใช้สองมือกุมขมับทั้งสองข้าง ก้มหน้างุด วางหน้าผากมนไว้บนเข่าทั้งสองข้าง พร้อมกับส่ายหัวไปมาบนเข่าบา
Comments