“ถ้าไม่มีเมนูอะไรอยากทานเป็นพิเศษงั้นรอสักครู่ค่ะ เดี๋ยวหงส์จะเอาอาหารเที่ยงมาให้” พูดจบฉันก็เดินปึงปังกระแทกเท้าด้วยความไม่พอใจออกมาจากห้องมนุษย์หน้านิ่งทันที
[Yuuki’s part]
ไม่มีมารยาทจริงๆ ผู้หญิงอะไร นี่ขนาดผมเป็นคนที่เธอบอกจะมาตอบแทนบุญคุณงี่เง่าอะไรนั่นแท้ๆ แต่แค่เรื่องอาหารการกินแค่นี้ยังต้องถ่อมาถามผม แล้วแบบนี้จะตอบแทนอะไรผมได้ เรื่องขี้ประติ๋วยังคิดเองไม่เป็น
ผมนั่งทำงานต่อสักพักเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ก๊อกๆ
“ขอเข้าไปนะคะ” ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เสียงเคาะประตู แต่มีเสียงพูดกึ่งตะโกนของผู้หญิงที่เพิ่งออกจากห้องผมไปเมื่อยี่สิบนาทีก่อนดังมาด้วย
แอ้ด~ ประตูไม้สักใบเขื่องของผมถูกเปิดออก พร้อมกับกลิ่นหอมของอาหารที่คนตัวเล็กที่หน้าตามอมแมมยกเข้ามา
“สาบานว่ากินได้” ผมถามออกไปทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นหน้าตาของอาหารที่อยู่ในจานและมีฝาคลอบอยู่อีกที ที่ถามเพราะดูจากสภาพหน้าตามอมแมม เสื้อผ้าเลอะซอสมะเขือเทศ และเศษหมูสับที่ติดผ้ากันเปื้อนเธออยู่ต่างหาก
“อย่าดูถูกฝีมือหงส์นะคะ รับรองว่าหมูสับสามรสของหงส์อร่อยเหาะ”
หงส์ยกจานข้าวในมือขึ้นสูงระดับไหล่ พร้อมกับการันตีเองคนเดียวว่าของที่ยกมานั้นอร่อย จากนั้นเธอก็เดินไปวางจานข้าวไว้ตรงโต๊ะรับแขกที่ผมมักจะใช้มันทั้งกินข้าว นั่งพักผ่อนคลายเครียดไปด้วย
“ต้องทานร้อนๆ ถึงจะอร่อย คุณยูกิวางมือจากงานแล้วมาทานเร็วๆ สิคะ”
ยัยนี่กล้าสั่งผม? ผมมองหน้าเธอแบบดุๆ แต่แทนที่หงส์จะกลัวเธอกลับยิ้มแฉ่งโชว์ฝันขาวสะอาดเรียงตัวสวยให้ผมแทน
ยัยนี่เป็นคนที่สองที่กล้าท้าทายอำนาจมืดของผม
ผมไม่อยากให้เธออยู่ในห้องนี้นานๆ เลยรีบเดินมากินให้เสร็จเธอจะได้เก็บจานแล้วออกจากห้องผมไปสักที
หมับ! ผมที่กำลังจะตักหมูสับอะไรสักอย่างที่ชื่อโคตรจะยาวของเธอเข้าปากก็ต้องหยุดชะงักมือค้าง เมื่อยัยตัวดี นั่งลงบนพื้นกระเบื้องข้างๆ โซฟาตัวที่ผมนั่งอยู่
เธอจ้องมองหน้าผมตาแป๋ว ทำหน้าตาลุ้นอย่างหนักว่าอาหารเธอจะอร่อยอย่างที่โม้ไว้หรือเปล่า
“ลุก!” ผมสั่งเธอเสียงแข็ง พร้อมกับวางช้อนข้าวลงที่จานตามเดิม หงส์ทำสีหน้าตกใจ สะดุ้งตัวโหยงกับเสียงตะคอกเมื่อครู่
“ฉันบอกให้ลุก ใครใช้ให้เธอมานั่งจ้องคนกำลังกินข้าว ไม่มีมารยาท” ผมก่นด่าเธอพร้อมกับมองด้วยสายตาตำหนิ
“ขอโทษค่ะ ไม่เห็นจะต้องดุขนาดนี้เลย คนหรือหมากันแน่ ดุชะมัด” หงส์คงคิดว่าตัวเองก่นด่าผมเบามากสิท่า ถึงได้กล้าเปรียบว่าผมดุเหมือนหมา
“อย่าปีนเกลียว คิดว่าไอ้มอม้าให้ท้ายแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ?” ผมว่าให้เธอเสียงดุอีกรอบ ครั้งนี้หงส์จ้องหน้าผมพร้อมกับทำหน้าเหวอๆ ปากพะงาบๆ เหมือนกับจะเถียงอะไรออกมาแต่ก็ต้องหุบปากลงตามเดิม
ผมใช้เวลากินข้าวฝีมือยัยเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอยู่ประมาณสิบนาทีถามว่ารสชาติเป็นยังไง ก็พอกินได้ระดับหนึ่ง ดีกว่ากับข้าวมอม้าที่มันทำให้ผมกินทุกมื้อแทนแม่บ้านคนเก่าที่ผมเพิ่งไล่ตะเพิดไปก็แล้วกัน
“คุณยูกินอนในห้องทำงานด้วยเหรอคะ” เสียงเจื้อยแจ้วของยัยเด็กตาสีฟ้ายังคงดังเข้ามารบกวนสมาธิการทำงานผมเป็นระยะๆ ไม่รู้จะมาวนเวียนอะไรในนี้ ไม่มีการมีงานอย่างอื่นทำหรือยังไงวะ
“ออกไปได้แล้ว ฉันต้องการสมาธิ” ผมไม่จำเป็นต้องตอบคำถามเด็กที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าตรงหน้า เลยไล่ให้เธอออกไปจากห้องทำงานนี้สักที
“ออกไปข้างนอกก็ถูกไล่เข้ามาในนี้ อยู่ในนี้ก็ถูกไล่ออกไปข้างนอก จะให้หงส์อยู่ส่วนไหนของที่นี่ไม่ทราบ” น้ำเสียงประชดปนน้อยใจนิดๆ ของหงส์ดังขึ้น
ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นเธอกำลังยืนก้มหน้ามองเท้าน้อยๆ ที่สวมรองเท้าผ้าใบสีชมพู ใช้เท้าเขี่ยพื้นไปมา
เฮ้อ! ไม่รู้ทำไม เวลาเห็นท่าทางน้อยใจของเด็กคนนี้ทำให้ผมนึกถึงแก้มใสเมียไอ้กรุงโซลขึ้นมาตะหงิดๆ จะว่าไป ผมก็ไม่เห็นพวกนั้นมาเยี่ยมผมนานแล้วนะ
“เอาผ้าปูที่นอนฉันไปซักแล้วจะไปที่ไหนต่อจากนั้นก็ไป ไม่ต้องเข้ามาที่นี่อีกจนกว่าฉันจะเรียก” รำคาญที่จะมองหน้าผู้หญิงตรงหน้านานๆ เลยไล่เธอกรายๆ ด้วยการให้ไปทำความสะอาดห้องนอนตัวเองที่อยู่ห้องข้างๆ ห้องทำงานแห่งนี้
นี่แค่ไม่กี่วันที่เธอเข้ามาที่ยุกกี้คาสิโนของผม ก็ทำให้ผมปวดประสาทได้ขนาดนี้เชียว แล้วถ้าเธอยังคงอยู่ข้างกายผมแบบนี้เรื่อยๆ ผมไม่เป็นบ้าไปเลยเหรอวะ!
[End part]
วันนี้เป็นวันที่สุดแสนจะน่าเบื่อของไฉ่หงคนนี้อีกตามเคย ตั้งแต่ที่ฉันตามหาตัวยูกิ ผู้ที่ช่วยชีวิตฉันเจอและได้เข้ามาทำงานที่ยุกกี้คาสิโนของเขา นี่ก็ผ่านมาเกือบจะสัปดาห์ได้แล้วแต่ฉันก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรที่เรียกว่าทดแทนบุญคุณเขาเลยนอกจากทำอาหารสามมื้อ ทำความสะอาดห้องนอนที่นานๆ ทียูกิจะอนุญาตให้ย่างกรายเข้าไป พอจะไปช่วยงานในบาร์ที่ชั้นหนึ่งก็โดนลิชา เจ๊ใหญ่ที่คุมพนักงานของโซนบาร์เกือบสามสิบคนไล่ไม่ให้ช่วย ด้วยเหตุผลที่ว่า…‘คุณมอม้าสั่งไว้ ห้ามเธอทำนอกเหนือจากการดูแลคุณยูกิ’เฮ้อ! แบบนี้จะไม่ให้ฉันนั่งจับเจ่าเบื่อหน่ายอยู่ที่ห้องนอนตัวเองได้ยังไง“ฉิงเฉาตอนนี้นายเป็นยังไงบ้างนะ” พอสมองว่างเปล่าไม่รู้จะคิดเรื่องอะไร เลยฉุกคิดเรื่องของฉิงเฉาคนที่ช่วยพาฉันมาที่ประเทศไทยและหายตัวไปตั้งแต่ที่ฉันมาอยู่ที่ยุกกี้คาสิโนนี้ ก็ใช่ว่าฉันจะเลิกตามหาเบาะแสของลูกน้องคนนี้หรอกนะ ฉันยังคงพยายามเอารูปวาดที่ตัวเองมีให้แขกที่มาใช้บริการที่นี่ดู แต่ทุกคนก็ยังคงยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ไม่เคยเห็น’ ส่ายหน้ากันทุกคนก๊อก ก๊อกฉันที่กำลังนั่งเหม่อลอยคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูห้องที่คงมีไม่กี่ค
ก๊อก ก๊อกจังหวะที่ผมกำลังอารมณ์เดือด เกือบจะอาละวาดให้ลูกน้องสองคนที่ก้มหน้ามองรองเท้าหลบสายตาวาวโรจน์ของผม ก็มีเสียงคนเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้น“เข้ามา!” ผมตะโกนบอกบุคคลที่เคาะประตู“คุณหลั่นเทียน” ชายร่างสูงผิวคมเข้มเดินทะมัดทะแมงเข้ามาพร้อมกับโค้งศีรษะทำความเคารพผม“ได้เรื่องไหม?” ผมเอ่ยถาม ‘ปาเกา’ ที่มีศักดิ์เป็นบอดี้การ์ดมือขวาผมออกไป“มีคนแถวท่าเรือขนส่งของเราบอกว่าเห็นคุณหนูกับฉิงเฉาลงเรือส่งสินค้าเที่ยวเรือออกไปไทยเมื่อสองอาทิตย์ก่อนครับ”ปาเการายงานเรื่องที่ผมให้ไปสืบอย่างฉะฉานดีมาก! สมกับที่เป็นมือขวาผม ทำงานไม่เคยพลาด ไม่เหมือนไอ้สองตัวนี้เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมก็ส่งสายตากดดันไล่ไอ้ลูกน้องที่ไม่ได้เรื่องให้รีบไสหัวออกไปจากห้องนี้ก่อนที่ผมจะลงโทษพวกมันโทษฐานที่เลี้ยงเสียข้าวสุก“ยัยน้องไปกับฉิงเฉา?” ผมเอ่ยเบาๆ กับตัวเอง พร้อมกับคิ้วกระตุกเล็กน้อย‘ยัยน้อง’ เป็นคำที่ผมชอบใช้เรียกน้องสาวผมจนติดปากน่ะ ส่วน ‘ฉิงเฉา’ ที่ปาเกามันเอ่ยถึง คือลูกน้องคนสนิทของป๊าผม แถมมันยังพ่วงตำแหน่งบอดี้การ์ดส่วนตัวให้กับน้องสาวสุดที่รักผมด้วยฉิงเฉาเป็นคนมีฝีมือชั้นเชิงการต่อสู้ดีเยี่ยม เป็นคนไว้
ตู๊ด~[ว่า?] คำทักทายที่แสนสั้นกระชับดังขึ้นหลังจากคนปลายสายกดรับ“พรุ่งนี้จะแวะไปที่คาสิโน มีเรื่องด่วน”[อื้ม! ตามนั้น] ปลายสายพูดไว้เพียงเท่านั้นก็กดตัดสายไปผมกับมันเป็นหุ้นส่วนธุรกิจคาสิโนมาถึงสี่ปี ที่มันไม่ถามว่าผมจะไปทำไมมันคงขี้เกียจมากกว่า เพราะยังไงผมไปถึงที่นู่นก็ต้องเล่าให้มันฟังอยู่ดีเพราะมันเป็นคนไม่เรื่องมาก ไม่ซักไซ้ ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของกันและกัน ผมกับมันเลยไม่เคยมีปัญหาอะไรผิดใจกันมาจนถึงทุกวันนี้“ยัยน้องพี่ชายคนนี้กำลังจะไปหาเธอแล้ว รอพี่ก่อนนะ น้องต้องรักษาตัวให้ปลอดภัยรอพี่ไปรับกลับบ้านเรา” น้ำเสียงผมสั่นเครือมากผมรับรู้ได้บางทีการเสแสร้งว่าเข้มแข็งต่อหน้าลูกน้องมันก็ไม่ใช่ผลดีสำหรับผู้เป็นนายอย่างผมเสียทีเดียว มันกลับจะทำลายหัวใจผมความเข้มแข็งที่ซุกซ่อนความปวดร้าวและอ่อนแอไว้มากๆ มันก็เหมือนตัวเชื้อโรคที่คอยกัดกินพละกำลัง บางทีก็เหมือนจะตายทั้งเป็นเสียให้ได้ นี่ผมเป็นผู้ชายยังรับกับเหตุการณ์เลวร้ายนี้แทบไม่ไหว แล้วน้องสาวผมล่ะ ตอนนี้เธอจะไม่สติแตกไปแล้วหรือไง อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ เธอเข้มแข็งอยู่แล้วน้องพี่ปัจจุบัน @ประเทศไทย“มึงรีบร้อนมาหากูมีอะไร ได้ข่าว
“กูรู้มึงกำลังด่ากูในใจ” แหมไอ้เพื่อนรัก ทีงี้รีบออกตัวแรง มันจะเทพไปไหน นี่ผมยังไม่ได้เอ่ยสักคำ มันมานั่งในใจผมหรือไงถึงรู้ว่าผมกำลังนินทามันอยู่“มึงก็อย่าลีลา ถ้าไฉ่หงอยู่ที่นี่มึงรีบพาเธอมาหากู ก่อนที่พวกนั้นจะตามตัวเธอเจอ” ผมพูดรัวยาวออกไป ทั้งดีใจที่น้องอยู่ใกล้แค่เอื้อมโลกมันโคตรจะกลมไปมั้ยวะ!“ไฉ่หง?” ยูกิพึมพำชื่อน้องผมเบาๆ แต่สายตามันจับจ้องมาทางผมเป็นเชิงสงสัย “เออ! ชื่อน้องกูเอง หลัน ไฉ่หง” ผมบอกชื่อจริงน้องผมให้มันฟังชัดๆ“แต่เธอบอกชื่อหงส์ ไม่ใช่ไฉ่หง” ไอ้ยูกิยังคงยอกย้อน ลีลาเชื่องช้าเป็นเต่าไปได้ มันจะรู้มั้ยว่าตอนนี้ผมแทบจะระเบิดความเป็นห่วงน้องตัวเองออกมามากแค่ไหน“จะชื่ออะไรก็ชั่งแม่งเหอะ! สรุปเป็นคนในรูปใช่ไม่ใช่?” ผมเริ่มจะควบคุมน้ำเสียงไม่ให้มันแข็งมากไปกว่านี้ไม่ได้ เพราะเริ่มจะหมั่นไส้ไอ้ยูกิกรายๆแม่งลีลาฉิบ!แต่แทนที่ไอ้ยูกิจะตอบผม มันหันไปมองหน้าไอ้มอม้าลูกน้องคนสนิทของมัน ลูกน้องมันก็พยักหน้ารับแล้วเดินออกจากห้องนี้ไป ผมได้แต่ทำหน้างงว่ามันสองคนแค่มองตากันแค่นี้ก็เข้าใจคำสั่งลูกพี่มันได้แล้วเหรอวะ แม่งเทพเชี่ยๆ“เธอตาสีฟ้า” จู่ๆ ไอ้ยูกิที่เอาแต่นั่งเงียบหล
[Yuuki’s part]ผมนั่งมองเหตุการณ์ก่อนหน้าของคู่พี่น้องตรงหน้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย ผมลืมบอกหลั่นเทียนไป ‘น้องสาวมันความจำเสื่อม’ ไอ้มอม้ามันบอกผมมาแบบนี้ก็นะ! ไอ้หลั่นเทียนมันก็รีบร้อนเกินไปทำให้ผมไม่มีเวลาบอก สุดท้ายมันเลยต้องยืนช็อคอยู่แบบนั้น“ไอ้เทียน มึงมานั่งก่อนเดี๋ยวเล่าให้ฟัง ส่วนเธอออกไปก่อนไป”เหตุการณ์ดูท่าจะวุ่นวายไปกันใหญ่ ผมเลยเรียกสติหลั่นเทียนแล้วไล่ยัยเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าในตอนแรกแต่สถานะตอนนี้เป็นน้องสาวเพื่อนร่วมธุรกิจผมออกไปก่อนไอ้มอม้าเป็นคนอาสาพาหงส์ออกไปจากห้อง ส่วนหลั่นเทียนก็เดินเหมือนคนสติหลุดมานั่งที่โซฟาตัวเดิม “ได้ไงวะ เกิดอะไรขึ้นกับน้องกู” หลั่นเทียนพร่ำเพ้อเหมือนคนสติหลุดลอย มันเอาแต่นั่งทึ้งหัวตัวเองไม่เลิก“ไอ้มอม้าบอกน้องมึงจำเรื่องราวก่อนที่จะมาที่นี่ไม่ได้สักอย่าง” ผมเล่าเรื่องที่ไอ้มอม้าเคยเล่าให้ผมฟังมาเล่าต่อให้หลั่นเทียนฟังอีกทอด“จำไม่ได้? มึงคงไม่ได้หมายถึง...” หลั่นเทียนไม่เอ่ยต่อ มันคงยังไม่เชื่อว่าน้องมันความจำเสื่อม “ก็อย่างที่มึงเข้าใจ” ผมไม่ได้พูดปลอบอะไรมันเรื่องพวกนี้ปลอบไปแล้วจะได้อะไร รู้ทั้งรู้ว่ามันคือเรื่องจริงจะให้มานั่งบอกว
กลัว! ร่างกายฉันมันบอกแบบนั้น แต่ความรู้สึกลึกๆ กลับบอกว่าไม่ได้กลัวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องทำงานยูกิก่อนหน้า ทำให้ฉันหวนกลับไปนึกถึงเรื่องเลวร้ายในตรอกเมื่อหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา พวกเศษสวะสองคนนั้น!“หงส์ หงส์! คุณไฉ่หง!” ฉันรับรู้ถึงแรงเขย่าจากใครบางคน พร้อมกับเสียงเรียกที่เหมือนดังอยู่ไกลๆ แต่พอเริ่มตั้งสติได้กลับพบว่าเสียงนั่นดังอยู่ตรงหน้านี่เอง“พะ พี่มอม้า คนนั้น...” อาการตื่นกลัวที่เกิดขึ้นยังคงไม่หมดไป ฉันหายใจไม่ทั่วท้อง รู้สึกเหมือนคนจะเป็นลม“ใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ คุณหลั่นเทียนไม่ใช่คนไม่ดี” คำพูดที่หลุดออกมาจากปากมอม้าฉุกให้เสี้ยวหนึ่งของความทรงจำฉันแวบขึ้นมา‘หลั่นเทียน’ ทำไมชื่อนี้รู้สึกคุ้นๆอันที่จริงถ้าฉันตัดเรื่องเหตุการณ์ที่กำลังจะถูกข่มขืนในตรอกก่อนหน้าออก ไม่เอามารวมกับเหตุการณ์ในห้องทำงานยูกิ ฉันเองก็ไม่ได้กลัวสัมผัสของผู้ชายคนนั้นเท่าไหร่ กลับกัน... ฉันกลับรู้สึกโหยหาและคุ้นเคยกับอ้อมกอดนั้นมากกว่า“หงส์สับสน หงส์ไม่รู้ว่าหงส์กลัวหรือว่าอุ่นใจกันแน่” ฉันเหมือนตกอยู่ในภวังค์ พูดพึมพำกับตัวเอง“ต้องเป็นอย่างหลังอยู่แล้ว นั่นพี่ชายคุณไฉ่หงนะ” มอม้าปลอบใจฉัน มื
“ไม่ใช่นั่งตรงนั้นสิ ตอนนี้เธอเป็นถึงน้องสาวคุณหลั่นเทียนเพื่อนเฮียนะ ต้องนั่งบนโซฟา” มอม้าว่าให้พร้อมกับพาฉันมานั่งข้างๆ ผู้ชายตาตี๋ๆฉันหันไปมองหน้ายูกิที่นั่งฝั่งตรงข้ามพวกเรา แวบหนึ่งฉันมองเห็นคำด่าทอในสายตาคนเย็นชา ‘ปัญญาอ่อน’ หรือไม่ก็ ‘ซื่อบื้อ’“ถามจริง! ก่อนหน้านี้น้องกูอยู่ที่นี่ทำหน้าทีไรวะ” คนที่นั่งข้างๆ ฉันถามยูกิน้ำเสียงแลไม่ค่อยสบอารมณ์“ถามมัน!”แทนที่คนถูกถามจะตอบ เขากลับโบ๊ยมาให้ลูกน้องตัวเองแทน“ผมให้คุณไฉ่หงดูแลเฮียยูกิฮะ” เสียงตอบที่ฉะฉานของมอม้าทำให้คนที่นั่งข้างๆ ฉันพยักหน้าเหมือนเข้าใจ แต่ก็มีความงงงวยปะปนอยู่“แล้วทำไมน้องกูทำท่าทางไม่เห็นจะเหมือนคนดูแลมึงเลย ยัยน้องทำเหมือนกับตัวเองเป็นคนใช้ซะมากกว่า”ฉึก! แทงใจดำเลย“เข้าเรื่องเหอะ กูอยากพักผ่อน” คนถูกถามยังคงไม่ตอบ แต่กลับเฉไฉเปลี่ยนเรื่องแทน “เออๆ” ผู้ชายข้างๆ ตอบเพื่อนเขาในประโยคแรกและหันมาคุยกับฉัน“นี่ยัยน้อง” ฉันสะดุ้งตัวเล็กน้อย หลังจากที่เขาเรียกฉันคือ... ไม่ได้เรียกเฉยๆ ไง แต่ขยับตัวเข้ามาใกล้ฉันจนเกือบจะตัวติดกัน“เอ่อ...” ฉันตั้งสติไม่ทัน ไม่รู้จะเริ่มคุยกับเขาว่ายังไง เลยได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ“ไม่ต้อ
“อย่าให้มันมากไปไอ้มอม้า นี่คาสิโนกู” เสียงเยือกเย็นของยูกิดังขึ้นน้ำเสียงเขากดต่ำไม่พอใจกับการตัดสินใจเอาเองของมอม้าอย่างมาก“เฮียอย่าปากแข็งเลยว่ะ! รู้ทั้งรู้ว่าสถานะคุณไฉ่หงตอนนี้เป็นยังไง ยังจะให้เธอไปนอนในห้องเก็บของเก่าๆ นั่นต่ออีกเหรอ”“ห้องเก็บของ!” สิ้นคำพูดมอม้า เฮียเทียนก็โพล่งขึ้นเหมือนกับไม่พอใจแย่แล้ว! ต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะมีศึกน้ำลายของทั้งสามคนนี้“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หงส์อยู่ที่เดิมก็ได้” ประโยคนี้ฉันพูดกับมอม้า“ห้องเก็บของนั่นไม่ได้แย่มากมายอะไรหรอกค่ะเฮีย หงส์อยู่ได้ มันมีของใช้ของอำนวยความสะดวกเกือบจะครบครัน เพราะงั้นสบายมาก” ฉันฉีกยิ้มกว้างให้พี่ชาย เพื่อที่จะให้เขาสบายใจกับที่พักพิงของตนเองเฮียเทียนหันไปมองหน้ายูกิเหมือนกับคาดคั้นให้เขาพูดอะไรบ้าง“เอาที่พวกมึงสบายใจไปเลย! ยกเว้นชั้นสาม!” ยูกิพูดไว้เพียงเท่านั้นเขาก็เดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน นั่งสนใจเอกสารบนโต๊ะนั้นไม่สนใจพวกเราสามคนที่นั่งอยู่โซนรับแขกอีกเลยหมับ! ฝ่ามือหนาแต่อบอุ่นของเฮียเทียนดึงสายตาที่เอาแต่จ้องมองคนเย็นชาหันมาสนใจพี่ชายตัวเองอีกครั้ง“ทนหน่อยนะหงส์ เฮียจะรีบจัดการเรื่องที่ฮ่องกงให้เรียบร
“โอ๊ย อื้อ” คนขี้โกง!ยูกิใช้มือข้างไหนไม่รู้ขย้ำหน้าอกของฉันแรงมากจนฉันเผลอร้องออกมาด้วยความตกใจปนสั่นสะท้าน ไม่ใช่แค่บีบ เขากำลังใช้นิ้วมือค่อยๆ ลากวนกับส่วนที่ชูขันของฉันเป็นวงกลม แถมยังค่อยๆ ขยี้มันเหมือนกับนั่นคือดินน้ำมันที่ต้องการจะปั้นให้เป็นก้อนกลมๆ“อื้อๆ” ทำได้เพียงร้องประท้วง เพราะเขายังไม่ยอมถอนริมฝีปากออกไปไม่ไหว หายใจไม่ทัน เหมือนเริ่มจะขาดอากาศไปเลี้ยงปอดและสมอง“อึก เฮือก” ราวกับรู้ว่าฉันกำลังต้องการอะไร ยูกิรีบผละริมผีปากออกมา แต่ก็แค่ชั่วครู่ “อือ” ไม่ใช่เสียงฉันยูกิครางแผ่วลอดออกมาตอนที่กำลังเล่นสนุกกับการไล่เกี่ยวกระหวัดและดูดดุนลิ้นเล็กของฉันในโพรงปากปึกๆ มือฉันเป็นอิสระอีกครั้ง รีบระดมทุบรัวไปทั้งแผ่นหลังข่วนได้ฉันข่วน จิกได้ฉันเลือกจิก เพื่อให้ยูกิละมือที่บีบเคล้นหน้าอกฉันจนแทบจะแหลกละเอียด ส่วนปากนั้นก็กอบโกยเอาความหวานฉ่ำที่ปนรสชาติแอลกอฮอล์ของฉันและเขาแลกเปลี่ยนกันผ่านทางน้ำลาย“อ๊ะ อย่านะ ยูกิ ฉันขอร้อง” ทั้งดิ้น ทั้งอ้อนวอน ยูกิก็ทำเพียงแค่มองและ...“ฉันบอกแล้ว นี่คือของขวัญวันเกิดเธอ”กึก เสียงเหมือนอะไรสักอย่างขาดผึง เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมที่ทำให้พื้นที
“ใหญ่ อื้อ ชอบ” ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นประโยคบอกเล่าหรือแค่พูดกับตัวเองเดี๋ยวนะ! เมื่อกี้ฉันบอกแค่ว่าชุดมันกำลังร่นลง แต่ทำไมตอนที่ฉันมองตามเสียงพูดยูกิถึงได้เห็นร่างกายช่วงบนที่เปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ปกปิดแบบนั้น“อย่ามอง คนฉวยโอกา..ส โอ๊ย!” เขากัดเนื้อที่ล้นออกมาจากกำมือที่กำลังกอบกุมมันอยู่ทั้งสองข้าง มันทั้งเจ็บ ชวนขนลุกอย่างบอกไม่ถูกร่างกายฉันอ่อนเปรี้ยทันทีที่ริมฝีปากหนาหยักลึกกำลังครอบครองยอดอกที่เต่งตึงของฉัน มืออีกข้างก็ทั้งบีบ นวด เคล้น คลึง เขาทำทุกอย่างเหมือนกับมันคือของเล่นที่นิ่มๆ ชนิดหนึ่ง“อืม~” ไม่! ฉันไม่อยากได้ยินเสียงน่าอายพวกนั้น ทั้งของฉันและของเขา“พอ อย่าเล่น เลิกแกล้งหงส์ได้แล้ว” ฉันยังคงปลอบใจตัวเองคนเกลียดขี้หน้ากัน เขาทำกันแบบนี้เหรอจำเป็นต้องใกล้ชิดขนาดอากาศไม่ให้ลอดผ่านแบบนี้ไหม?“ไม่ได้อยากทำ แต่เลิกไม่ได้ อาส์”สติฉันกำลังลางเลือนไม่รู้เมื่อกี้ยูกิพูดว่าอะไร จิตใจมันกำลังหวาดระแวงและเป็นกังวลว่าไอ้ชุดที่มันลงไปกองค้างปิดสะดืออยู่จะหลุดต่ำลงไปกว่านั้นตอนไหน ทั้งตัวฉันมีแค่เดรสสีชมพูตัวนี้ กับซับในที่เป็นเหมือนแพนตี้เหลือแค่สองชิ้นนี้เท่านั้น ถ้ามันหลุดออกห
ตุ้บ!ร่างเล็กของฉันถูกทิ้งลงบนเตียงหนาใหญ่ด้วยฝีมือของคนฉวยโอกาส“คุณจะทำอะไร” รีบกระถดตัวถอยไปทางหัวเตียง สอดส่ายสายตามองหาทางหนีทีไล่ แต่มันคือเรื่องซวยของฉันตรงที่เตียงนอนของอยู่กิอยู่ติดกำแพงข้างหนึ่ง ส่วนข้างที่โล่งไม่มีอะไรขวางกั้นกลับมีร่างสูงยืนคุมเชิงอยู่อีกที“ฉันบอกแล้ว ให้เธอรีบไป แต่ก็ไม่!” ยูกิพูดรอดไรฟันแม้เสียงจะดูเหมือนกำลังโทษฉัน แต่สายตาที่กำลังมองสำรวจร่างฉันมันกำลังแผดเผาชุดที่สวมใส่อยู่ให้กระจุยกระจาย“ห.. หงส์จะไปแล้ว หงส์เชื่อคุณแล้ว” ตอบรับคำสั่งโดยไม่อิดออด ผละตัวเตรียมคลานลงจากเตียงนอนเพราะยูกิเริ่มขยับตัวเปิดทางให้ฉันแต่นั่นฉันคิดผิด... เขาไม่ได้เปิดทางให้หนีแต่…“จะไปไหน”“โอ๊ย! กรี้ด!” ฉันกรีดร้องด้วยความตกใจ เมื่อยูกิทิ้งน้ำหนักตัวลงมาทับฉันในท่ากำลังคลานตัวมายังปลายเตียงฉันล้มในท่านอนคว่ำ ยูกิทาบทับฉันอยู่ด้านบนอีกทีตึกตัก ตึกตักไม่ใช่เสียงหัวใจที่เขินอาย แต่มันคือเสียงเตือนว่าท่านี้ไม่ปลอดภัย“ปล่อยหงส์เถอะค่ะ หงส์ไม่กล้าขัดคำสั่งคุณยูกิแล้ว”พูดไปก็พยายามดิ้นให้คนตัวใหญ่ที่อยู่ด้านบนหลุดพ้นจากแผ่นหลังตัวเองสักที ความอุ่นร้อนของผิวกายที่โผล่พ้นออ
หลังจากรับของขวัญวันเกิดจากคนที่มาร่วมงานที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีเพราะส่วนมากเป็นพนักงานของยุกกี้ กว่าจะเสร็จก็ปาไปหลายชั่วโมง ตอนนี้ฉันเริ่มมึนหัวนิดหน่อยเพราะหลายคนชวนชนแก้วกับฉันทุกครั้งที่เอาของขวัญมาให้“ไหวมั้ยเรา” มอม้าเดินมานั่งยองๆ ข้างเก้าอี้ตัวที่ฉันนั่งอยู่“ถ้ามีชนอีกคงไม่ไหว” ตอบด้วยความสัจจริง ถ้ามีอีกคนยื่นแก้วเหล้ามาให้มีหวังฉันล้มพับก่อนได้เป่าเค้กวันเกิดแน่นอน“ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะของเอฟวันดังขึ้น ก่อนหน้านี้ฉันได้รู้จักชื่อบุคคลสองคนที่ไม่คุ้นหน้าเรียบร้อยแล้ว แก้มใสเธอเป็นคนแนะนำให้รู้จักน่ะคนที่น้ำเสียงติดทะเล้นๆ เขาชื่อ ‘เอฟวัน’ส่วนอีกคนที่ฉันบอกว่าน่าจะอายุเยอะสุดชื่อ ‘ไททัน’“หงส์ ได้เวลาตัดเค้กแล้ว” แก้มใสเรียกขึ้นเพราะมัวแต่มองหน้าใครบางคนที่เอาแต่กระดกแอลกอฮอล์เข้าปากถึงกับสะดุ้งตัวนิดๆ “ค่ะ” ตอบรับเสร็จก็เดินไปตรงที่มีเค้กขนาดหลายปอนด์ตั้งตระหง่านแต่ทางที่จะเดินผ่านมันต้องผ่านยูกิก่อนไง แล้วเขาก็เหมือนจะแกล้งหรือทำเป็นไม่รู้ตัวว่าขายาวๆ ของเขากำลังขวางทางเดินฉันอยู่มันเป็นโต๊ะแบบล้อมวงกลมและเป็นเก้าอี้ตัวยาวๆ วางเรียงกันเป็นวงกลมมีทางออกแค่ทางเดียวคือเก้า
[Special’s part]หลังจากที่สามสาวก้าวเท้าขึ้นมายังชั้นดาดฟ้า สถานที่จัดงานที่ถูกเนรมิตให้เหมือนดั่งสรวงสวรรค์ เพลงคลาสสิคที่ดังคลอเบาๆ ชวนให้บรรยากาศหน้าจิบไวน์หรือของมึนเมาบริเวณรอบๆ ตรงสระว่ายน้ำมีเทียนวางล้อมรอบให้ความอบอุ่นและแสงสว่างรำไร หากมองไปทางริมระเบียงดาดฟ้าจะเห็นว่าถูกตกแต่งไปด้วยลูกโปร่งหลากหลายสีสันข้างผนังกำแพงด้านในมีผ้ากำมะหยี่สีขาวสะอาดตาถูกขึงตรึงไว้ด้วยหมุด พร้อมตัวอักษณ์สีส้มอ่อนๆ‘HAPPY BIRTHDAY TO CAIHONGสุขสันต์วันเกิดไฉ่หง’ทำให้เจ้าของวันเกิดที่กำลังกวาดตามองรอบๆ ยิ้มกว้างด้วยใบหน้าตื้นตัน“สวยมากอะหงส์ กรี้ด ตาอิจฉา” เสียงหวานๆ ของสิตาดังขึ้น เธอตื่นเต้นราวกับนี่เป็นงานวันเกิดตัวเองเสียอย่างนั้น“น้อยๆ หน่อย ออกหน้าออกตานะเธอ ป้ะ! ไปตรงนู้นกันดีกว่า” เสียงพี่ใหญ่อย่างลิชาเอ่ยขึ้น พร้อมกับคว้าข้อมือสองสาวอย่าง ไฉ่หงและสิตา เดินเข้ามาในงานเมื่อเจ้าของวันเกิดที่ทั้งสวย และโดดเด่นที่สุดในงานปรากฏตัวขึ้น ทำให้มีสายตาหลายสิบคู่กำลังมองมาที่เธอเป็นจุดๆ เดียวสาวสวยรูปร่างเพอเฟค หุ่นไซส์เอส ที่สาวๆ หลายคนใฝ่ฝันและหนุ่มๆ หมายปอง แล้วไหนจะชุดที่ชายใดได้มองต้องกลื
เออ! นั่นดิ แล้วทำไมต้องเรียกวะ?“ฉันหมายถึงเอาโทรศัพท์เธอมาให้ฉันดูหน่อย”เหมือนจะสีข้างถลอก แถไปแบบน้ำขุ่นๆ“นี่ค่ะ” ไฉ่หงยื่นโทรศัพท์ราคาแพงมาให้ ผมลองกดๆ ดูก็ไม่เห็นจะมีอะไรยัยนี่คงมีเครื่องไว้ประดับแต่ไม่เคยใช้เลยสินะ รูปถ่ายในเครื่องก็ไม่มี เบอร์โทรก็มีแค่เบอร์ไอ้เทียนเบอร์เดียว แต่เดี๋ยวนะ...ผมกดไปดูบันทึกการโทรเข้า เห็นมีหนึ่งสายล่าสุดที่โทรเข้ามาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน แต่พอสังเกตดีๆ เบอร์นี้เป็นเบอร์โทรจากต่างประเทศและน่าจะเป็นฮ่องกงเพราะไอ้เทียนชอบใช้เบอร์ที่ขึ้นต้นคล้ายๆ กันโทรหาผมบ่อยๆ“นี่เบอร์ใคร?” ผมถามน้ำเสียงติดดุๆ“คุณยูกิรู้จัก?” เธอถามกลับ ติดดีใจหน่อยๆคิดว่าที่ผมถามเพราะผมรู้? บังเอิญไม่ใช่สมุดหน้าเหลืองน“ถามให้ตอบ ไม่ใช่ให้ย้อนถามคืน” ผมปรายตาดุๆ ส่งไปให้คนที่ยืนรอคำตอบผมด้วยใบหน้ามีความหวังเป็นเด็กเป็นเล็กไม่รู้จักมารยาท ได้ข่าวพรุ่งนี้ถึงจะครบยี่สิบเอ็ดปีเต็มไม่ใช่? ห่างกับผมตั้งเกือบสิบปี หลังๆ คะ ขา นี่ไม่มีลงท้ายด้วยเหอะ“หงส์ไม่ได้อยากย้อน หงส์แค่เห็นคุณยูกิมองเบอร์นั้นอยู่นานสองนาน ทำท่าทางเหมือนกำลังนึกอะไรในใจ เลยลองถามดูเผื่อจะเป็นเบอร์คนรู้จัก”ไฉ่หง
ก๊อก ก๊อกฉันเคาะห้องสองสามครั้ง เปิดประตูเข้าไปห้องทำงานยูกิ เขาเองก็เงยหน้าจากกองเอกสารตรงหน้าขึ้นมองฉันพร้อมเครื่องหมายคำถามมากมายบนใบหน้าหล่อเหลานั้น“เอ่อ... ขอบคุณสำหรับค่ารักษาค่ะ” คิดคำทักทายไม่ทันเพราะมัวแต่จ้องใบหน้าที่คุ้นเคยแต่เหมือนห่างไกล“ลิชาไม่ได้บอก?” เขาคงหมายถึงคำสั่งที่ส่งผ่านเจ๊ลิชาที่ห้ามฉันมาทำงานจนกว่าจะหายดี“บอกค่ะแต่หงส์อยากมาสะสางงานที่คั่ง...”“งานมันไม่หนีไปไหน กลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้วันเกิดเธอ”“ไอ้เทียนให้ฉันจัดงานให้”ฉันยังพูดไม่ทันจบ ยูกิก็พูดแทรกมาก่อนด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ“งานไม่หนี แต่วันต่อไปอาจจะไม่มีหงส์อยู่” เป็นคำตอบที่ไม่ค่อยจะต่อกับบทสนทนาก่อนหน้าเท่าไหร่ไม่รู้สิ! มันเหมือนความรู้สึกที่เก็บกดมานานมันระเบิดออกมา ตู้ม! เดียว“หมายความว่าไง? ไอ้เทียนจะพาเธอกลับฮ่องกงแล้วว่างั้น” ยูกิถามเขาจ้องหน้าฉันเหมือนกับกำลังรอคอยคำตอบ“…” ฉันเงียบ จะให้ตอบว่าอะไรล่ะ ในเมื่อสิ่งที่พูดไปเมื่อกี้มันแค่ประชดบางทีเฮียเทียนอาจจะไม่ได้เป็นคนมาพาฉันกลับ แต่อาจจะเป็นคนที่เพิ่งโทรหาฉันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าก็เป็นได้ฉันมั่นใจว่าฉันกับเขาเรารู้จักกัน ความรู้สึกล
“ไม่เอาแล้ว ดึกแล้ว นอนกันเถอะ เดี๋ยวถูกดุอีก”ฉันใช้น้ำเสียงไม่จริงจังพูดออกไป แล้วแกล้งหลับตาแอบมองปฏิกิริยาของคนที่กำลังทำหน้าเอ๋อๆ คิดอะไรเรื่อยเปื่อย และจากนั้นก็เดินกลับไปนอนที่โซฟาปรับเบาะให้กลายเป็นเตียงนอนแล้วหลับไป ส่วนฉันสงสัยยาจะเริ่มออกฤทธิ์แล้วเช่นกันเลยปล่อยให้ร่างกายชัดดาวน์ตัวเองไปตามธรรมชาติในที่สุดฉันก็ได้ออกจากโรงพยาบาลสักที นอนเหี่ยวเฉาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมตั้งหนึ่งคืนเต็มๆ หลังจากที่ก้าวเท้าเข้ามาในยุกกี้ที่ตอนนี้ยังไม่มีคนมาใช้บริการเพราะมันเพิ่งจะแปดโมงเช้า แต่พนักงานก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขะมักเขม้นความรู้สึกแปลกๆ ทำให้เสียวสันหลังวาบ เหมือนมีสายตาคู่หนึ่งรอบบริเวณที่ฉันยืนอยู่จับจ้องอยู่ตลอดเวลา“ตาเอาของไปเก็บให้นะ หงส์ไปทานข้าวในครัวก่อนเลย เจ๊ลิชาคงเตรียมไว้ให้แล้ว” สิตาที่มาพร้อมกับฉันว่าเสร็จก็แย่งเอากระเป๋าของใช้ไปเก็บทันที“เป็นไรเรา หันซ้ายหันขวา มองหาใครอยู่เหรอ” เสียงมอม้าดังมาจากด้านหลัง เขากำลังเดินถึงบันไดขั้นสุดท้าย สงสัยเพิ่งลงมาจากชั้นสอง“หงส์รู้สึกแปลกๆ” ฉันตอบน้ำเสียงเบาหวิว ลูบแขนตัวเองป้อยๆ เพราะยังรู้สึกประหม่ากับความรู้สึกร้อนๆ
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป“น้ำ!” รู้สึกปวดเมื่อยตัวไปหมดร่างกายต้องการน้ำเป็นสิ่งแรกหลังจากที่รู้สึกตัว“เอา! นี่จ๊ะ ดื่มน้ำก่อน” เสียงหวานๆ เรียกให้ฉันดื่มน้ำ“สิตา” ฉันเรียกเจ้าของใบหน้าสวยหวานเสียงแหบแห้ง“ดื่มก่อน” สิตายังคงพูดประโยคเดิมพร้อมกับยื่นน้ำที่มีหลอดดูดมาจ่อที่ริมฝีปากบาง พลันสมองก็หวนกลับไปนึกถึงตอนที่ยูกิกำลังทำแบบนี้ให้แปรด~ รับรู้ได้เลยว่าใบหน้าตอนนี้กำลังเห่อร้อน“หน้าแดง ไข้ขึ้นอีกไหมเนี่ย” เสียงร้อนรนของสิตาทำให้ฉันสะบัดหัวเบาๆ เพื่อลบภาพพวกนั้นทิ้งไป“ดีขึ้นแล้ว ไม่ปวดหัวด้วย” ฉันรีบบอกอาการของตัวเองทันทีที่เห็นเธอกำลังจะเอื้อมมือไปกดปุ่มฉุกเฉินเรียกพยาบาล“แน่ใจนะ” ใบหน้าหวานถอดสีหน่อยๆ เหมือนกำลังกังวลอะไรในใจ“อื้ม หงส์ไม่เป็นไรแล้ว” ยิ้มสำทับคำพูดเพื่อให้คนหน้ามุ่ยผ่อนคลาย“เมื่อกี้สิตากลัวแทบตาย หงส์ดูเจ็บปวดทรมานมากเลยล่ะ”ฉันได้ฟังถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ก่อนหน้านี้ฉันจำได้ว่ากำลังเจ็บปวดกับเรื่องที่มอม้าระบายออกมา แล้วหลังจากนั้น...“ไม่เอาสิ อย่าขมวดคิ้วแบบนั้น ไม่ต้องไปคิดถึงมันแล้ว” สิตารีบจับไหล่ฉันแล้วเขย่าเบาๆ“เมื่อกี้หงส์ หงส์...”“ช่างมันเถอะ ดูนี่ สิตามี