หลังจากที่มอม้าออกไปจากห้องทำงานผมได้ไม่ถึงสิบนาที มันก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับคำถามร้อยแปดที่ผมต้องตอบมัน
“ตกลงเฮียเคยช่วยหงส์ไว้จริงๆ เหรอ อย่าบอกนะว่าเฮียแอบไปตามสืบเรื่องไอ้ดำ ผมบอกเฮียแล้วว่าเดี๋ยวจัดการเอง มันอันตราย”
เฮ้อ! ผมได้แต่ถอนหายใจยาวๆ หลังจากที่การกลับมาอีกครั้งของมอม้า มาพร้อมการสวดในเรื่องที่ผมทำก่อนหน้ายาวเหยียด ทำยังกับผมกับมันเป็นคู่รักกัน
“กูขี้เกียจรอมึง นั่งรอแต่ในห้องเดี๋ยวง่อยแดก” ผมตอบมันเสียงเนือยๆ
“เออ! ให้มันได้แบบนี้สิ แต่ก็โชคดีที่เฮียไม่เจอมัน ไม่รู้ว่าเป็นกับดักล่อเฮียให้ไปติดกับหรือเปล่า”
“มึงเห็นกูเป็นไก่อ่อนขนาดนั้นเชียว?” ผมปรายตาดุๆ มองหน้ามัน
“ไม่ใช่แบบนั้น โว๊ย! เออ! เฮียแม่งเก่งอยู่แล้ว ผมรู้ว่าเฮียเอาตัวรอดได้ แต่เป็นห่วงเจ้านายนี่ผมผิดมากเหรอวะ!” ครั้งนี้ดูมอม้าจะหัวเสียอย่างมาก ผมรู้ว่ามันรักผมเหมือนพี่ชายแท้ๆ เหมือนที่ผมก็เห็นมันเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ เหมือนกัน
“เออๆ ต่อไปกูจะรายงานมึงก่อนทำ” สุดท้ายผมก็ยอมให้กับความง๊องแง๊งของมัน “แล้วเรื่องหงส์ทำไมเฮียถึงไม่ยอมรับการตอบแทนของเธอ”
จบเรื่องหนึ่ง ก็วกกลับมาเรื่องผู้หญิงคนนั้น อะไรมันจะแคร์เธอขนาดนั้นวะ หรือว่าแอบปิ้งๆ ผู้หญิงตาสีฟ้า
“เฮ้! เฮียอย่าคิด ห้ามคิด ผมไม่ได้คิดอะไรกับเธอเหอะ” มอม้าคงอ่านความคิดผมออก มันเลยรีบร้อนตัวบอกปัดไป
“ผู้หญิงตัวเล็กๆ มึงคิดว่าจะตอบแทนอะไรกูได้ นอกจากเรื่องบนเตียง”
ผมคิดแบบนี้จริงๆ ผู้หญิงตัวเล็กๆ จะมาตอบแทนอะไรผมที่มีทุกอย่างครบแบบนี้ นอกจากในหัวเธอคิดจะจับผมทางลัดมากกว่าการตอบแทนจริงๆ
“ผมว่าหงส์ไม่ใช่คนแบบนั้น เฮียแม่งระแวงผู้หญิงมากเกินไป” มอม้าใช้น้ำเสียงตำหนิผมแบบออกนอกหน้า
“แล้วมึงคิดว่ายัยนั่นจะตอบแทนกูได้ยังไง ไหนลองยกตัวอย่างสิ” ผมคาดคั้นให้มันลองยกเหตุผลหรืออะไรสักอย่างที่มันมองผู้หญิงคนนั้นให้ผมหายแครงใจ
“หงส์เป็นคนดี ถือเนื้อถือตัวแบบนั้น ผมว่าเธอคงไม่คิดเอาร่างกายตอบแทนแบบที่เฮียคิดหรอก แต่ไอ้เรื่องที่ว่าเธอจะตอบแทนยังไง ผมก็ไม่รู้ว่ะ”
เห็นมั้ย! มันยังไม่รู้เลยว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ หน้าโง่ๆ แบบนั้นจะตอบแทนผมได้แบบไหน แล้วยังจะมาหาว่าผมคิดอกุศลกับเธออีก
“แต่เฮียจะด่วนสรุปเอาเองแบบนี้ไม่ได้ ผู้หญิงไม่ได้เป็นเหมือนกันทุกคน”
ไอ้มอม้าเน้นประโยคท้ายแบบหนักแน่น ผมรู้ว่ามันกำลังจะสื่ออะไร
“ผู้หญิงก็เหมือนกันหมด มึงอย่ามาพูดให้ดูดี ถ้าไม่เจอกับตัว” ผมขบกรามกรอด พูดเสียงรอดไรฟันออกไป
“เมื่อไหร่เฮียจะลืมเรื่องนั้นสักที นี่ก็ผ่านมาเป็นปีแล้วจะเก็บมันให้เป็นไฟสุมอกไปถึงเมื่อไหร่” มอม้าเริ่มจะหัวเสียใส่ผม เวลาเราคุยเรื่องพวกนี้ทีไร มันที่รู้อดีตทุกอย่างของผมดีกว่าคนอื่นๆ ก็มักจะเตือนสติผมแบบนี้ทุกครั้ง
“แต่ก็ยังดี ที่เฮียยังไม่ไล่เธอไป ผมจะถือโอกาสให้เธอดูแลเฮียทุกอย่าง”
ผมรีบหันขวับมองหน้าไอ้มอม้าที่ตัดสินใจเอากระดูกมาแขวนคอผมทั้งๆ ที่ผมก็อุตส่าห์คว้างมันจากคอตัวเองแล้วแท้ๆ
“มึงคิดจะทำอะไร อย่าคิดว่ากูรู้ไม่ทัน” ผมชี้หน้ามอม้าอย่างคาดโทษ
มันคงคิดจะให้ยัยตาฟ้านั่นมาทำให้ผมคุ้นชินและเลิกหวาดระแวงผู้หญิง
“ไม่รู้ รู้ทันแล้วไง เฮียปล่อยให้ผมจัดการแล้ว ห้ามกลับคำเด็ดขาด!”
ฉิบหาย!! กูจะบ้าตาย ไม่น่าพลั้งปากใจอ่อนให้กับความช่างเซ้าซี้ของมันเลย
“เอาที่มึงสบายใจ อย่าล้ำเส้นให้มาก แล้วก็ ยัยนั่นจะทนคนอย่างกูได้นานแค่ไหน กูไม่รับประกัน!” ผมพูดไว้เพียงเท่านั้น ก็หันกลับมาสนใจงานที่ค้างกองพะเนินอยู่ตรงหน้าตามเดิม ส่วนไอ้มอม้ามันก็เดินออกไปจากห้องแทบจะทันที
ผมเป็นถึงเจ้าของคาสิโน แต่ต้องมานั่งเหนื่อยกับกองบัญชีตรงหน้า ไหนจะเจอลูกน้องกวนประสาทอย่างมอม้านี่อีก ถ้ารวมใบไม้ที่เป็นคนสนิทมือซ้ายผมอีกคนมาร่วมด้วยช่วยกันผมคงจะประสาทแดกตาย
ใครว่าการเป็นเจ้านายคนอื่นมันสบายวะ ลองมาบริหารยุกกี้คาสิโนของผมดูแล้วคุณจะรู้ แม้แต่นรกยังไม่ทำให้คุณปวดหัวเท่ากับมอม้ากับใบไม้ลูกน้องผมเลย
[End part]
หลังจากที่ถูกเจ้าของห้องไล่ออกมาแบบไม่สนใจใยดี ฉันก็ได้แต่เดินคอตกตามมอม้ามายังชั้นล่าง“อย่าไปสนใจเฮียแกเลย เฮียแกก็เป็นแบบนี้แหละปากหมา แต่ใจดีนะ”ฉันเงยหน้าขึ้นมองมอม้าแทบจะไม่อยากเชื่อหูที่ได้ยินคำว่าใจดีของเจ้านายเขาถ้าแบบคนในห้องนั้นเรียกใจดี แล้วคนบนโลกนี้จะมีใครใจร้ายเหรอ?“ไม่เชื่อฉันสินะ เดี๋ยวหงส์อยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ ก็จะชินเองแหละ ใหม่ๆ ใครก็กลัวเฮียแกแบบนี้ทุกคน”“แล้วนายไม่กลัวเหรอ เห็นการพูดคุยในห้องแล้วดูท่าจะสนิทกันมาก” ฉันถามมอม้าพร้อมกับหน้าตาที่รอฟังคำตอบจากเขาแบบลุ้นๆ“ฉันกับเฮียยูน่ะรู้จักกันมาเกือบสิบปี เฮียแกเป็นผู้มีพระคุณของฉันเหมือนกัน”“งั้นนายก็มาทำงานที่นี่เพื่อตอบแทนบุญคุณเขาเหมือนหงส์งั้นเหรอ แล้วทำไมทีหงส์พูดเขากลับไม่ต้องการ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงปนน้อยใจ“เพราะแต่ก่อนเฮียเขาไม่ใช่คนแบบนี้ไงล่ะ ถ้าไม่ใช้เพราะ.. ช่างมันเถอะอย่ารู้ดีที่สุด” เหมือนมอม้ากำลังจะหลุดเล่าเรื่องราวอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเฮียของเขาออกมาแต่ก็ตั้งสติได้เสียก่อนจึงหยุดคำพูดนั้นไว้“เออจริงสิ! หงส์ยังไม่รู้จักชื่อเฮียแกนี่หว่า” ถ้ามอม้าไม่พูดฉันก็ลืมถามไปเลยตั้งแต่เจอหน้ากันก่อนหน้า ฉ
หลังจากที่ใช้เวลาเก็บกวาดห้องเก็บของไปถึงสองชั่วโมง ฉันก็ได้ห้องใหม่ที่ทั้งสะอาดและน่าอยู่ “เธอคือหงส์ใช่ไหม?” เสียงแหบๆ ของผู้หญิงดังขึ้นที่หน้าประตูห้องที่ฉันเปิดค้างเอาไว้“ค่ะ” ฉันหันไปตอบผู้หญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวได้เปรี้ยวเข็ดฟันสุดๆ เธอสวย หุ่นอวบอั๋น แถมท่าทางน่าจะใจดี ยืนส่งยิ้มหวานๆ มาให้“ฉันชื่อลิชา เรียกเจ๊ลิก็ได้ พอดีคุณมอม้าให้มาช่วยพาเธอไปซื้อของใช้ส่วนตัวน่ะ” ผู้หญิงที่เพิ่งเรียกฉันเมื่อครู่แนะนำตัว พร้อมกับเดินเข้ามาภายในห้อง“หงส์ค่ะ ขอฝากตัวด้วยนะคะเจ๊ลิ” ฉันยิ้มหวานแนะนำตัวกับลิชาลิชาพาฉันไปซื้อของที่ห้างไม่ไกลจากยุกกี้คาสิโนเท่าไหร่ เราใช้เวลาเดินทางแค่สิบห้านาทีด้วยการเดินเท้า และใช้เวลาเดินซื้อของอีกประมาณค่อนชั่วโมงได้ หมดเงินไปเยอะอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยๆ ทยอยคืนมอม้าแล้วกัน“หงส์เอาของไปเก็บแล้วค่อยออกมาหาเจ๊ที่โซนบาร์นะ ถ้ามาไม่ถูกลองถามเด็กๆ ที่แต่งตัวเหมือนพนักงานเสิร์ฟเอาก็ได้”“ค่ะ” ฉันพยักหน้าตอบลิชา ปลีกตัวเอาของเข้ามาเก็บในห้องนอนตามที่เธอบอก โชคดีที่ห้องเก็บของนี้มีห้องน้ำในตัวด้วย“เป็นไงมาไงถึงได้มากับคุณมอม้าได้ล่ะ” หลังจากเดินเข้า
“ถ้าไม่มีเมนูอะไรอยากทานเป็นพิเศษงั้นรอสักครู่ค่ะ เดี๋ยวหงส์จะเอาอาหารเที่ยงมาให้” พูดจบฉันก็เดินปึงปังกระแทกเท้าด้วยความไม่พอใจออกมาจากห้องมนุษย์หน้านิ่งทันที[Yuuki’s part]ไม่มีมารยาทจริงๆ ผู้หญิงอะไร นี่ขนาดผมเป็นคนที่เธอบอกจะมาตอบแทนบุญคุณงี่เง่าอะไรนั่นแท้ๆ แต่แค่เรื่องอาหารการกินแค่นี้ยังต้องถ่อมาถามผม แล้วแบบนี้จะตอบแทนอะไรผมได้ เรื่องขี้ประติ๋วยังคิดเองไม่เป็นผมนั่งทำงานต่อสักพักเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นอีกครั้งก๊อกๆ“ขอเข้าไปนะคะ” ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เสียงเคาะประตู แต่มีเสียงพูดกึ่งตะโกนของผู้หญิงที่เพิ่งออกจากห้องผมไปเมื่อยี่สิบนาทีก่อนดังมาด้วยแอ้ด~ ประตูไม้สักใบเขื่องของผมถูกเปิดออก พร้อมกับกลิ่นหอมของอาหารที่คนตัวเล็กที่หน้าตามอมแมมยกเข้ามา“สาบานว่ากินได้” ผมถามออกไปทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นหน้าตาของอาหารที่อยู่ในจานและมีฝาคลอบอยู่อีกที ที่ถามเพราะดูจากสภาพหน้าตามอมแมม เสื้อผ้าเลอะซอสมะเขือเทศ และเศษหมูสับที่ติดผ้ากันเปื้อนเธออยู่ต่างหาก“อย่าดูถูกฝีมือหงส์นะคะ รับรองว่าหมูสับสามรสของหงส์อร่อยเหาะ”หงส์ยกจานข้าวในมือขึ้นสูงระดับไหล่ พร้อมกับการันตีเองคนเดียวว่าของที่ยกมาน
วันนี้เป็นวันที่สุดแสนจะน่าเบื่อของไฉ่หงคนนี้อีกตามเคย ตั้งแต่ที่ฉันตามหาตัวยูกิ ผู้ที่ช่วยชีวิตฉันเจอและได้เข้ามาทำงานที่ยุกกี้คาสิโนของเขา นี่ก็ผ่านมาเกือบจะสัปดาห์ได้แล้วแต่ฉันก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรที่เรียกว่าทดแทนบุญคุณเขาเลยนอกจากทำอาหารสามมื้อ ทำความสะอาดห้องนอนที่นานๆ ทียูกิจะอนุญาตให้ย่างกรายเข้าไป พอจะไปช่วยงานในบาร์ที่ชั้นหนึ่งก็โดนลิชา เจ๊ใหญ่ที่คุมพนักงานของโซนบาร์เกือบสามสิบคนไล่ไม่ให้ช่วย ด้วยเหตุผลที่ว่า…‘คุณมอม้าสั่งไว้ ห้ามเธอทำนอกเหนือจากการดูแลคุณยูกิ’เฮ้อ! แบบนี้จะไม่ให้ฉันนั่งจับเจ่าเบื่อหน่ายอยู่ที่ห้องนอนตัวเองได้ยังไง“ฉิงเฉาตอนนี้นายเป็นยังไงบ้างนะ” พอสมองว่างเปล่าไม่รู้จะคิดเรื่องอะไร เลยฉุกคิดเรื่องของฉิงเฉาคนที่ช่วยพาฉันมาที่ประเทศไทยและหายตัวไปตั้งแต่ที่ฉันมาอยู่ที่ยุกกี้คาสิโนนี้ ก็ใช่ว่าฉันจะเลิกตามหาเบาะแสของลูกน้องคนนี้หรอกนะ ฉันยังคงพยายามเอารูปวาดที่ตัวเองมีให้แขกที่มาใช้บริการที่นี่ดู แต่ทุกคนก็ยังคงยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ไม่เคยเห็น’ ส่ายหน้ากันทุกคนก๊อก ก๊อกฉันที่กำลังนั่งเหม่อลอยคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูห้องที่คงมีไม่กี่ค
ก๊อก ก๊อกจังหวะที่ผมกำลังอารมณ์เดือด เกือบจะอาละวาดให้ลูกน้องสองคนที่ก้มหน้ามองรองเท้าหลบสายตาวาวโรจน์ของผม ก็มีเสียงคนเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้น“เข้ามา!” ผมตะโกนบอกบุคคลที่เคาะประตู“คุณหลั่นเทียน” ชายร่างสูงผิวคมเข้มเดินทะมัดทะแมงเข้ามาพร้อมกับโค้งศีรษะทำความเคารพผม“ได้เรื่องไหม?” ผมเอ่ยถาม ‘ปาเกา’ ที่มีศักดิ์เป็นบอดี้การ์ดมือขวาผมออกไป“มีคนแถวท่าเรือขนส่งของเราบอกว่าเห็นคุณหนูกับฉิงเฉาลงเรือส่งสินค้าเที่ยวเรือออกไปไทยเมื่อสองอาทิตย์ก่อนครับ”ปาเการายงานเรื่องที่ผมให้ไปสืบอย่างฉะฉานดีมาก! สมกับที่เป็นมือขวาผม ทำงานไม่เคยพลาด ไม่เหมือนไอ้สองตัวนี้เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมก็ส่งสายตากดดันไล่ไอ้ลูกน้องที่ไม่ได้เรื่องให้รีบไสหัวออกไปจากห้องนี้ก่อนที่ผมจะลงโทษพวกมันโทษฐานที่เลี้ยงเสียข้าวสุก“ยัยน้องไปกับฉิงเฉา?” ผมเอ่ยเบาๆ กับตัวเอง พร้อมกับคิ้วกระตุกเล็กน้อย‘ยัยน้อง’ เป็นคำที่ผมชอบใช้เรียกน้องสาวผมจนติดปากน่ะ ส่วน ‘ฉิงเฉา’ ที่ปาเกามันเอ่ยถึง คือลูกน้องคนสนิทของป๊าผม แถมมันยังพ่วงตำแหน่งบอดี้การ์ดส่วนตัวให้กับน้องสาวสุดที่รักผมด้วยฉิงเฉาเป็นคนมีฝีมือชั้นเชิงการต่อสู้ดีเยี่ยม เป็นคนไว้
ตู๊ด~[ว่า?] คำทักทายที่แสนสั้นกระชับดังขึ้นหลังจากคนปลายสายกดรับ“พรุ่งนี้จะแวะไปที่คาสิโน มีเรื่องด่วน”[อื้ม! ตามนั้น] ปลายสายพูดไว้เพียงเท่านั้นก็กดตัดสายไปผมกับมันเป็นหุ้นส่วนธุรกิจคาสิโนมาถึงสี่ปี ที่มันไม่ถามว่าผมจะไปทำไมมันคงขี้เกียจมากกว่า เพราะยังไงผมไปถึงที่นู่นก็ต้องเล่าให้มันฟังอยู่ดีเพราะมันเป็นคนไม่เรื่องมาก ไม่ซักไซ้ ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของกันและกัน ผมกับมันเลยไม่เคยมีปัญหาอะไรผิดใจกันมาจนถึงทุกวันนี้“ยัยน้องพี่ชายคนนี้กำลังจะไปหาเธอแล้ว รอพี่ก่อนนะ น้องต้องรักษาตัวให้ปลอดภัยรอพี่ไปรับกลับบ้านเรา” น้ำเสียงผมสั่นเครือมากผมรับรู้ได้บางทีการเสแสร้งว่าเข้มแข็งต่อหน้าลูกน้องมันก็ไม่ใช่ผลดีสำหรับผู้เป็นนายอย่างผมเสียทีเดียว มันกลับจะทำลายหัวใจผมความเข้มแข็งที่ซุกซ่อนความปวดร้าวและอ่อนแอไว้มากๆ มันก็เหมือนตัวเชื้อโรคที่คอยกัดกินพละกำลัง บางทีก็เหมือนจะตายทั้งเป็นเสียให้ได้ นี่ผมเป็นผู้ชายยังรับกับเหตุการณ์เลวร้ายนี้แทบไม่ไหว แล้วน้องสาวผมล่ะ ตอนนี้เธอจะไม่สติแตกไปแล้วหรือไง อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ เธอเข้มแข็งอยู่แล้วน้องพี่ปัจจุบัน @ประเทศไทย“มึงรีบร้อนมาหากูมีอะไร ได้ข่าว
“กูรู้มึงกำลังด่ากูในใจ” แหมไอ้เพื่อนรัก ทีงี้รีบออกตัวแรง มันจะเทพไปไหน นี่ผมยังไม่ได้เอ่ยสักคำ มันมานั่งในใจผมหรือไงถึงรู้ว่าผมกำลังนินทามันอยู่“มึงก็อย่าลีลา ถ้าไฉ่หงอยู่ที่นี่มึงรีบพาเธอมาหากู ก่อนที่พวกนั้นจะตามตัวเธอเจอ” ผมพูดรัวยาวออกไป ทั้งดีใจที่น้องอยู่ใกล้แค่เอื้อมโลกมันโคตรจะกลมไปมั้ยวะ!“ไฉ่หง?” ยูกิพึมพำชื่อน้องผมเบาๆ แต่สายตามันจับจ้องมาทางผมเป็นเชิงสงสัย “เออ! ชื่อน้องกูเอง หลัน ไฉ่หง” ผมบอกชื่อจริงน้องผมให้มันฟังชัดๆ“แต่เธอบอกชื่อหงส์ ไม่ใช่ไฉ่หง” ไอ้ยูกิยังคงยอกย้อน ลีลาเชื่องช้าเป็นเต่าไปได้ มันจะรู้มั้ยว่าตอนนี้ผมแทบจะระเบิดความเป็นห่วงน้องตัวเองออกมามากแค่ไหน“จะชื่ออะไรก็ชั่งแม่งเหอะ! สรุปเป็นคนในรูปใช่ไม่ใช่?” ผมเริ่มจะควบคุมน้ำเสียงไม่ให้มันแข็งมากไปกว่านี้ไม่ได้ เพราะเริ่มจะหมั่นไส้ไอ้ยูกิกรายๆแม่งลีลาฉิบ!แต่แทนที่ไอ้ยูกิจะตอบผม มันหันไปมองหน้าไอ้มอม้าลูกน้องคนสนิทของมัน ลูกน้องมันก็พยักหน้ารับแล้วเดินออกจากห้องนี้ไป ผมได้แต่ทำหน้างงว่ามันสองคนแค่มองตากันแค่นี้ก็เข้าใจคำสั่งลูกพี่มันได้แล้วเหรอวะ แม่งเทพเชี่ยๆ“เธอตาสีฟ้า” จู่ๆ ไอ้ยูกิที่เอาแต่นั่งเงียบหล
[Yuuki’s part]ผมนั่งมองเหตุการณ์ก่อนหน้าของคู่พี่น้องตรงหน้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย ผมลืมบอกหลั่นเทียนไป ‘น้องสาวมันความจำเสื่อม’ ไอ้มอม้ามันบอกผมมาแบบนี้ก็นะ! ไอ้หลั่นเทียนมันก็รีบร้อนเกินไปทำให้ผมไม่มีเวลาบอก สุดท้ายมันเลยต้องยืนช็อคอยู่แบบนั้น“ไอ้เทียน มึงมานั่งก่อนเดี๋ยวเล่าให้ฟัง ส่วนเธอออกไปก่อนไป”เหตุการณ์ดูท่าจะวุ่นวายไปกันใหญ่ ผมเลยเรียกสติหลั่นเทียนแล้วไล่ยัยเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าในตอนแรกแต่สถานะตอนนี้เป็นน้องสาวเพื่อนร่วมธุรกิจผมออกไปก่อนไอ้มอม้าเป็นคนอาสาพาหงส์ออกไปจากห้อง ส่วนหลั่นเทียนก็เดินเหมือนคนสติหลุดมานั่งที่โซฟาตัวเดิม “ได้ไงวะ เกิดอะไรขึ้นกับน้องกู” หลั่นเทียนพร่ำเพ้อเหมือนคนสติหลุดลอย มันเอาแต่นั่งทึ้งหัวตัวเองไม่เลิก“ไอ้มอม้าบอกน้องมึงจำเรื่องราวก่อนที่จะมาที่นี่ไม่ได้สักอย่าง” ผมเล่าเรื่องที่ไอ้มอม้าเคยเล่าให้ผมฟังมาเล่าต่อให้หลั่นเทียนฟังอีกทอด“จำไม่ได้? มึงคงไม่ได้หมายถึง...” หลั่นเทียนไม่เอ่ยต่อ มันคงยังไม่เชื่อว่าน้องมันความจำเสื่อม “ก็อย่างที่มึงเข้าใจ” ผมไม่ได้พูดปลอบอะไรมันเรื่องพวกนี้ปลอบไปแล้วจะได้อะไร รู้ทั้งรู้ว่ามันคือเรื่องจริงจะให้มานั่งบอกว
“ว่ามา” หนียังไงผมก็หนีมันไม่พ้น งั้นก็เปิดอกคุยเลยแล้วกัน“ที่มึงต่อยไอ้มอม้าจริงๆ แล้ว มึงกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”หึ! มุมปากผมยกขึ้นเล็กน้อยให้กับคำถามที่ผมเองก็เตรียมใจไว้อยู่แล้ว“ไม่รู้ว่ะ!” ที่ตอบไปคือเรื่องจริงผมไม่รู้ที่ผมต่อยไอ้มอม้าไปสาเหตุมันมาจากอะไรกันแน่เพราะไอ้มอม้าเกือบจะเผลอพูดเรื่องอดีตของผม หรือ เพราะ... ยัยนั่น“มึงรู้! มึงอย่าแกล้งไม่รู้” สายตาคาดคั้นจากกรุงโซลส่งมาให้ผม“อาจจะ” ผมตอบมันเสียงเรียบ“แบบไหน?” ตอบสองคำ มันก็ถามผมกลับมาสองคำ เออดีจริงเพื่อนกู“แบบว่า มันขัดอารมณ์กู ผลลัพธ์มันต่างจากที่กูอยากให้เป็น กูอยากเห็นยัยหน้าจืดนั่นล้มลงไปมากกว่าอยู่ในอ้อมกอดไอ้มอม้า... มั้ง”แล้วนี่ทำไมผมต้องมานั่งอธิบายอารมณ์ ความรู้สึกของตัวเองให้ไอ้กรุงโซลมันฟังด้วยวะ แต่พอได้พูดอะไรออกไปบ้าง ปากมันกลับเหมือนเขื่อนที่ถูกเปิดระบายน้ำเพราะมันไม่ยอมหยุดพูดแค่สิ่งที่ไอ้กรุงโซลถาม“กูมักเห็นภาพ ‘เธอ’ ซ้อนอยู่ในตัวยัยนั่น” ผมตอบไปตามที่ผมรู้สึกเอาแบบแมนๆ เลยนะ ก่อนหน้านี้ผมเคยแอบมองไฉ่หงอยู่หลายครั้ง และบางครั้งผมก็รู้สึกว่าตัวเองละสายตาจากผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ มันเหมือนเธอมีแรงด
[Krungseoul’s part]แม่งเอ๊ย! ไอ้เหี้ยยูกิ ไอ้เพื่อนเวร เมื่อกี้ถ้ามอม้าลูกน้องคนสนิทของมันไม่มารับตัวผู้หญิงคนนั้นไว้ ป่านนี้ยัยนั่นคงล้มก้นจ้ำเบ้าไปแล้วแถมแม่งยังส่อสันดานเลว ฟิวส์ขาดชกลูกน้องตัวเองทั้งๆ ที่มันไม่เคยทำนิสัยเถื่อนแบบนั้นมาก่อนแอ้ด ปัง! ผมเปิดประตูห้องนอนไอ้ยูกิด้วยแรงกระชากทั้งหมดที่มี“ออกไป!” เสียงขับไสไล่ส่งดังลอดไรฟันของไอ้หัวชมพูฟรุ้งฟริ้งที่ไม่เข้ากับหน้าตาบูดบึ้งตะคอกใส่ผม“มึงเป็นบ้าอะไรวะ! เมื่อกี้มันไม่ใช่มึงเลย” ผมไม่สนใจคำไล่ของมัน เลือกพูดประโยคคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบออกไปแทน“มึงดูมันพูด!”“จี้จุดมึง?” ผมไม่รอให้มันพูดอะไรต่อ รีบสวนทันทีผลลัพธ์เหรอ? ได้รับสายตาเชือดเฉือนดุจมีดแหลมคมส่งมาไงล่ะ“มึงอยากโดนอีกคน?” คิดว่าผมกลัว?คำขู่เหมือนเด็กสองขวบ เราคบกันมาสิบปีได้แล้วมั้ง! ทำไมผมจะไม่รู้ว่ามันคิดอะไร จะทำจริงหรือไม่จริง“มานี่มา!” ผมเดินไปนั่งโซฟากลางห้องนอนมัน พร้อมกับตบเบาะโซฟาข้างๆ ตัวเองเรียกให้มันมานั่งคุยกันแบบใกล้ชิด ไอ้ยูกิยอมเดินมาตามที่ผมเรียก แต่ดันเสือกนั่งโซฟาอีกตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแทน“ถามจริง มึงเฮิร์ทอะไร? กูว่ามึงทำเกินไปนะเว้ย!” พ
หมับ! คำพูดต่อไปของฉันถูกขัดด้วยฝ่ามือเรียวบางแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่น “มองตาเจ้สิ! หงส์เห็นอะไรในดวงตาคู่นี้” เหมือนถูกสะกดจิตฉันจ้องมองตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยตรงหน้า สายตาที่เป็นมิตร ไม่ได้มีความหวังร้ายเลยแม้เศษเสี้ยว“ที่พูดไปก่อนหน้าคือเรื่องจริง คุณแก้มอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะ” ย้ำให้เธอฟังอีกชัดๆ เกรงว่าการที่เธอให้จ้องตาเพื่อพิสูจน์ความจริงในคำตอบก่อนหน้า“เข้าใจผิด?” แก้มเลิกคิ้ว เอียงคอจ้องมองหน้าฉัน“ค่ะ ก็หงส์คิดว่าคุณแก้มกับคุณยูกิ เอ่อ เป็น...”“…” คนรอฟังเงียบไม่เอ่ยขัดคล้ายรอฟังให้ฉันพูดให้จบแต่ฉันกลับไม่กล้าเอ่ยคำพูดต่อไป ‘ก็คุณแก้มกับคุณยูกิเป็นแฟนกันนี่คะ’“คิกๆ” ฉันที่เบือนหน้าหันไปมองทางอื่นได้ไม่ถึงสองวิฯ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะขบขันดังออกมาจากผู้หญิงหุ่นบอบบาง“คุณแก้มขำอะไรเหรอคะ?”“ก็ขำความคิดเราไงล่ะ ถ้าให้เดาหงส์คงกำลังคิดว่าเจ้กับเฮียยูกิเป็นแฟนหรือว่าคนรักกันใช่ไหมล่ะ”“…” ฉันได้แต่พยักหน้าเป็นคำตอบ“ฉันมีลูกเธอก็เห็นใช่ไหม? เด็กที่อยู่ในห้องนั้นน่ะ” พยักหน้าแทนคำตอบอีกครั้ง “เด็กคนนั้นชื่อทิวลิป ส่วนพ่อของเด็กคือ...”“ฉันไง? กรุงโซลสุดหล่อสามีสุดที่รักของแก้มใส”
‘อบอุ่น’ ฉันไม่เคยเห็นรอยยิ้มอบอุ่นของยูกิเลยสักครั้ง จนนาทีนี้ ที่มีเด็กน้อยตัวอวบๆ ผิวขาวใส น่าตาน่ารักวิ่งเข้ามาหาเขาในห้องทำงานจะเรียกว่าครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่ฉันสัมผัสได้ว่าบนใบหน้าของผู้ชายที่เคยเย็นชามีสีสันขึ้นมา ใบหน้าที่มีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏอยู่บนนั้น บอกตามตรง ฉันไม่อาจละสายตาจากภาพของยูกิที่ดูอบอุ่นนั้นได้เลยเปาะ!“อ๊ะ!” ฉันสะดุ้งตัวเผลอลุกจากเก้าอี้กะทันหันเมื่อใบหูเหมือนได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดังอยู่ใกล้ๆ พอตั้งสติได้ทำให้รู้ว่าตอนนี้ใบหน้าตัวเองเกือบจะชนเข้ากับใบหน้าคมเข้มของใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเฮือก! ลมหายใจติดขัดขึ้นมาแบบไม่ทราบสาเหตุ เมื่อสายตาเพ่งพินิจดูดีๆ พบว่าใบหน้านั้นคือใบหน้าของผู้ชายที่ฉันแอบมองอยู่ก่อนหน้านี้‘เขามาตอนไหน’“นึกว่าหลับในตายสะอีก!” เสียงแหบต่ำที่ดังรอดไรฟันทำให้สติฉันกลับมาครบถ้วนสมบูรณ์ รีบผละใบหน้าให้ออกห่างจากผู้ชายปากร้ายคนนี้“คะ คุณยูกิมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” พยายามถามให้เสียงเป็นปกติที่สุด“นี่ไม่รู้สึกถึงอะไรรอบข้างเลยว่างั้น?” คนถูกถามไม่ตอบแต่เลือกที่จะส่งคำถามใหม่กลับมา ฉันจึงโฟกัสสายตาไปมองรอบห้องและพบว่าภายในห้องนี้ไม่ได้มีแ
[Yuuki’s part]แปลก! วันนี้ยัยซื่อบื้อดูเงียบผิดปกติ ทำตัวเหมือนกับโกรธ งอน อะไรผมสักอย่าง ทั้งๆ ที่ผมอุตส่าห์เป็นคนเดินเข้าไปคุยด้วยก่อนแล้วแท้ๆผมสะบัดหัวเล็กน้อยเพื่อขับไล่ภาพที่ตัวเองกำลังอุ้มไฉ่หงกลับไปที่ห้องนอนห้องถัดจากผมผ่านประตูลับที่ไม่มีใครรู้นอกจากตัวผมเอง รู้แบบนี้เมื่อคืนน่าจะปล่อยให้ยุงกัดให้ตาย! ไม่น่าแบกกลับไปนอนสบายๆ ที่ห้องเลย ให้ตายสิวะ!กำลังจะอ้าปากหาเรื่องชวนไฉ่หงทะเลาะ เสียงเล็กๆ ใสๆ ของผู้มาเยือนตัวน้อยๆ ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน“อายูกิ~”“มาได้ไงเรา หลานรักของอา” ผมรีบวิ่งไปอุ้มเด็กน้อยตาใสแป๋ว ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเพื่อนรักอย่างไอ้กรุงโซลกับแก้มใสขึ้นมาฟัดแก้มนุ่มๆ เล่น“หวัดดีเฮีย”ผมพาทิวลิปมานั่งที่โซฟารับแขกได้ไม่นาน เสียงลูกน้องที่ผมเกือบจะลืมมันไปก็ดังขึ้น “กูนึกว่ามึงตายห่าไปแล้ว” ผมกัดไอ้ใบไม้ทันทีที่เห็นหน้ามัน‘ใบไม้’ เป็นลูกน้องคนสนิทผมอีกคน มันเป็นน้องชายแท้ๆ ไอ้มอม้าผมเคยช่วยพวกมันสองคนตอนที่กำลังจะถูกตำรวจจับข้อหาค้ายา แต่โชคดีเส้นผมใหญ่ และดูๆ แล้วเหมือนไอ้สองคนนี้มันไม่ได้ตั้งใจทำ เลยสงสารและเก็บมันมาใช้งาน“โด่เฮีย! ใครกันล่ะส่งผมไปตายแทน” ไอ
“เดี๋ยวฝันร้ายจะหายไปเองนะคะ เพี้ยง” ริมฝีปากกระจับสีชมพูได้รูปเผยอขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับท่าทางการเป่าลมออกจากปากเหมือนกับคำพูดสุดท้ายที่หลุดรอดออกมาก่อนหน้า“ยัยบ้าเอ๊ย!” ผมชักมือกลับ เลิกสนใจผู้หญิงที่กำลังนอนหลับแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวตรงหน้า หันหลังและสาวเท้ากลับไปยังห้องนอนตัวเองที่เพิ่งออกมาไม่กี่นาทีไม่อยากจะอยู่ตรงนั้นนานๆ เพราะมันรู้สึกกระอักกระอ่วนในหัวใจแปลกๆประโยคที่มันดังในความฝันผมเมื่อครั้งนั้น และเป็นประโยคที่ทำให้ฝันร้ายของผมหายไปทุกครั้งที่นึกถึงมัน‘เดี๋ยวฝันร้ายจะหายไปเองนะคะ เพี้ยง’ประโยคที่แสนธรรมดาแต่กลับมีอิทธิพลกับหัวใจมึงเพียงนี่เลยเหรอวะไอ้ยูกิ[End part]“อื้อ” รู้สึกเหมือนร่างกายมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แถมตอนนี้เหมือนกับร่างกายนอนอยู่บนอะไรนิ่มๆ‘ที่นอนเหรอ?’ เปลือกตาน้อยๆ สองข้างค่อยๆ เปิดออก กระพริบตาปริบๆ อยู่สองสามครั้งเพื่อปรับแสงที่แยงเข้าสู่เลนส์ตาสิ่งแรกที่เห็นคือ เพดานสีขาวสะอาดตา บนเพดานมีดาวเรืองแสงที่ฉันให้เฮียเทียนช่วยติดไว้ก่อนเขาจะกลับฮ่องกง ถ้างั้นก็แสดงว่าฉันกำลังนอนอยู่บนเตียงนอนในห้องนอนตัวเอง?พรึ่บ! ร่างกายกับสมองสั่งการพร้อ
พวกเราใช้เวลาเดินทางจากสนามบินกลับมาที่ยุกกี้คาสิโนเกือบสองชั่วโมง เพราะการจราจรในช่วงค่ำๆ มันติดขัด หลังจากที่ก้าวขาขึ้นมาถึงชั้นสอง คนที่เดินนำหน้าฉันอย่างยูกิก็หันมาสั่งทางสายตากรายๆ ว่า ให้ฉันตามเขาเข้าไปที่ห้องทำงาน“เอ๊ะ! นี่มัน” เมื่อย่างก้าวเข้ามาในห้องทำงานได้เพียงแค่สามก้าว สายตาก็มองไปยังโต๊ะทำงานไม่เล็กไม่ใหญ่มาก วางอยู่ข้างๆ โต๊ะทำงานยูกิ“ฉันสั่งคนจัดไว้ ตอนเราไปส่งไอ้เทียน อย่าเพิ่งเข้าใจผิดอะไร ฉันแค่อยากใช้งานเธอจนตัวสั่นต่างหาก” รอยยิ้มมุมปากที่เหมือนซาตานเจอเหยื่อชิ้นดี เรียกไรขนอ่อนในกายฉันลุกชัน“เริ่มวันนี้เลยเหรอคะ?” เหลือบมองนาฬิกาตรงผนังที่บ่งบอกว่าตอนนี้เกือบจะสี่ทุ่มแล้วเลยถามเพื่อให้แน่ใจ“จำไม่ได้? ที่บอกตอนอยู่สนามบิน” ฟังจบฉันถึงกับอ้าปากค้างอยากจะเถียงเขาออกไปแต่ก็ทำได้เพียงกลืนคำเถียงนั้นลงคอ เดินกระแทกเท้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะทำงานของตัวเอง สองมือน้อยๆ หยิบแฟ้มใบเขื่องสีฟ้าขึ้นมาเปิดดูจ๊อก~แค่สายตามองเห็นตัวเลขที่เต็มหน้ากระดาษ ทำเอาสมุนน้อยๆ ภายในท้องร้องประท้วงขึ้นมาแทบจะทันที ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า เพราะมัวแต่ง่วนกับการหาถุงผ้
“ว่าไงยัยน้อง”“คะ?” ฉันที่ไม่ได้ฟังเฮียเทียนพูดก่อนหน้าเลยไม่รู้ว่าพี่ชายตัวเองถามอะไร ได้แต่ส่งเสียงคล้ายกับงุงงงออกไป“เฮียถามว่าเราโอเคมั้ยที่เฮียจะให้เราเป็นเลขาไอ้ยูกิ น้องก็เรียนสาขานี้มาอยู่แล้วเรื่องแค่นี้หมูมาก น้องจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระมันด้วยไง”เหมือนถูกพี่ชายตัวเองมัดมือชกเลยแฮะ!ฉันยังไม่ตอบคำถามพี่ชายตัวเอง แต่เลือกที่จะเหลือบมองคนที่เป็นว่าที่เจ้านายคนใหม่ที่นั่งอยู่โซฟาเดี่ยวตัวที่อยู่ถัดจากฉันแทน“เอ่อ คือว่า หงส์” เพราะถูกสายตากดดันจากยูกิที่มองฉันอยู่ก่อน ทำให้คิดคำตอบพี่ชายตัวเองไม่ทัน ได้แต่ละล่ำละลักออกไป“ลีลา ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ” คำพูดประชดที่ปนความหงุดหงิดถูกส่งมาให้ฉันเม้มปากแน่น “หงส์ไม่ได้ลีลา แล้วหงส์ก็ยินดีทำ!” คำพูดแรกฉันตอบโดยไม่เลิกจ้องหน้ายูกิสักวินาที ประโยคหลังฉันหันไปตอบพี่ชายตัวเองเสียงดังฟังชัด“เยี่ยมมากน้องรัก” เฮียเทียนพยักหน้าพร้อมกับยิ้มกว้างอย่างพออกพอใจในคำตอบรับนี้“แล้วมึงจะกลับวันไหน” เสียงยูกิที่เงียบอยู่พักหนึ่งถามเฮียเทียน“คืนนี้! กูต้องรีบกลับไปสืบเรื่องสำคัญ ไม่อยากปล่อยไว้นาน” สีหน้าเฮียเทียนเคร่งเครียดมาก มีเรื่องอะไรสำคัญขนาด
ฟืด ฟืด เสียงเครื่องคั้นน้ำผลไม้คงดังมาก ทำให้ฉันไม่รู้ตัวว่าตอนนี้มีใครบางคนยืนอยู่ข้างหลังฉันในระยะเผาขน“ทำอะไร ไหนอาหารว่างฉัน”“ว๊าย!”ฉันสะดุ้งสุดตัว หลังจากที่เสียงคล้ายกระซิบดังแผ่วเบาอยู่ข้างหู ลมหายใจอุ่นๆ กระทบที่ลำคอเนียนฉันเบาๆ เรียกไรขนอ่อนทั่วกายลุกชัน“คุณยูกิ!” เมื่อตั้งสติได้ และเห็นว่าใครคือเจ้าของเสียงนั้นฉันก็รีบเรียกเขาด้วยเสียงสั่นเครือ “ทำไมต้องทำท่ากลัวฉันขนาดนั้น”‘ไม่กลัวสิแปลก’ ฉันไม่กล้าท้วงกลับ ได้แค่คิดในใจหลังจากเหตุการณ์วันนั้นทำให้ฉันไม่กล้าที่จะต่อปากต่อคำหรือแม้แต่เฉียดกายเข้าใครเขาอีกเลย อาจจะเป็นเพราะยังโกรธเขาที่ไม่มีเหตุผล ไม่ฟังอะไรก่อนแล้วก็มาเอะอะทึกทักเอาเองถ้าวันนั้นเขาหยุดตัวเองไม่ทันอะไรจะเกิดขึ้นฉันไม่อยากจะคิด เพราะงั้นอยู่ห่างๆ ยูกิไว้น่าจะปลอดภัยที่สุด“คุณยูกิจะรับด้วยมั้ยล่ะคะ หงส์ทำน้ำแครอทให้เฮียเทียน” ฉันสูดลมเข้าปอดลึกๆ ระงับอาการตื่นตระหนกให้คงที แล้วเอ่ยถามน้ำเสียงเรียบแต่แฝงความน้อยใจอยู่ในนั้น“ไม่น่าถาม ไอ้เทียนยังกินได้ แล้วทำไมต้องถามฉันด้วยวะ” น้ำเสียงเอาแต่ใจดังขึ้น คล้ายกับไม่พอใจกับคำถามของฉัน“หงส์ไม่รู้นี่ค่ะ แค่ถ