ผ่านมาสองวันแล้ว ที่ฉันเอาแต่นั่งมองบานประตูห้องเช่าแห่งนี้ หวังให้มีเงาของลูกน้องคนสนิทอย่างฉิงเฉาโผล่มาบ้าง ตั้งแต่คืนนั้นที่เขาบอกจะออกไปตามหาญาติให้ฉันเขาก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
ความร้อนลุ่มในอกมันเริ่มสุมมากขึ้น ไม่อยากจะคิดไปในแง่ร้ายว่าเขาจะเป็นอันตรายอะไรหรือเปล่า แต่มันก็ห้ามใจไม่ได้สักนิด
“นายจะหลงทางหรือเปล่านะ” ฉันพยายามคิดในทางบวกเข้าไว้ แต่ดูๆ แล้วฉิงเฉาไม่น่าจะเป็นอย่างที่ฉันพูดออกไปเลยสักนิด เขาพูดไทยได้ชัดเหมือนๆ กับฉัน และดูคุ้นเคยกับที่นี่มากกว่าฉันเสียอีก
‘แล้วทำไมล่ะ?’ คำถามอื่นเริ่มผุดขึ้นมาในหัว คิดยังไงก็คิดไม่ตก
หรือว่าเขาจะทิ้งฉันไปแล้ว? แต่เขาจะลงทุนพาฉันมาปล่อยไว้ที่ต่างเมืองขนาดนี้เพื่ออะไรล่ะ เขาไม่น่าจะใช่คนแบบนั้น ความรู้สึกฉันมันบอกว่าเขาเป็นคนดี
“ฉันจะต้องออกตามหาเขา ใช่แล้วหงส์ เธอจะต้องออกไปตามหาเขา”
เมื่อตัดสินใจได้ ฉันเลยเก็บข้าวของซึ่งมีเพียงกระเป๋าสะพายใบเล็กๆ สีชมพูอ่อน ที่ติดตัวมาตอนที่ฉิงเฉาลากฉันเหมือนกับวิ่งหนีอะไรสักอย่างที่ฮ่องกง ในนั้นมีเงินฮ่องกงอยู่จำนวนหนึ่ง แต่รู้สึกว่าพวกบัตรอะไรต่างๆ ของฉันจะไม่มีนะ คล้ายๆ กับของในนี้เคยถูกล้วงออกไปจนหมดเหลือไว้เพียงเศษเงิน
“อ้าวแม่หนู จะออกไปข้างนอกเหรอ” ทันทีที่เดินลงมาชั้นล่าง ลุงร่างท้วมที่เป็นเจ้าของห้องก็ทักขึ้น
“เอ่อ พอดีจะออกไปข้างนอกหน่อยค่ะ” ฉันตอบไม่เต็มเสียงนักให้กับเจ้าของบ้าน ไม่ชอบสายตาโลมเลียที่เขามองมาเลย มันดูไม่น่าไว้ใจยังไงไม่รู้
“ออกไปหาผัวเหรอแม่หนู” ลุงอ้วนทุ้ยคนเดิมยังคงชวนฉันคุยต่อ
“ค่ะ ขอตัวนะคะ” ฉันไม่อยากปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่สามีของฉัน แต่บอกไปแบบนั้นน่าจะดีกว่าบอกความจริงแน่ อย่างน้อยเขาคงไม่กล้ายุ่งกับคนที่มีสามีแล้ว
หลังจากที่เดินออกมาจากบ้านเช่าหลังนั้น ฉันก็ยืนมองสี่แยกที่ตัวเองยืนอยู่ตรงกลางแบบมืดแปดด้านไปหมด ไม่รู้จะเริ่มต้นจากที่ไหนก่อน
การที่ต่างบ้านต่างเมือง แถมยังไม่รู้อีกว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วฉิงเฉาเขาออกไปตามหาญาติของแม่ที่ไหน ชื่ออะไร มันยิ่งยากกว่างมเข็มในมหาสมุทรอีก
“เอาน่า! ลองหมุนตัวสักรอบสองรอบ หยุดทางไหนก็ไปทางนั้นแล้วกัน”
พูดเสร็จก็ยกมือให้กำลังใจตัวเอง ก้มลงทำท่าคล้ายจิ้งหรีดปั่นอยู่สองสามรอบ และผลปรากฏว่า
มึน!!
ความรู้สึกแรกหลังจากที่หยุดหมุนมันเหมือนพื้นเอียงๆ ในหัววิ้งๆ คล้ายกับในสมองมันเคลื่อนไหวได้ ฉันเลยพยายามทรงตัวให้นิ่ง ค่อยๆ ลืมตาชั้นเดียวของตัวเองทีละนิดๆ เพื่อปรับให้รับแสงสว่างจากแดดเมืองไทยที่ค่อนข้างจ้า
“ทางนี้สินะ” ฉันสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ หลังจากได้เส้นทางที่จะเดินไปข้างหน้าแล้ว แต่ทำไมมันค่อนข้างน่ากลัวยังไงไม่รู้สิ
ยิ่งเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ สภาพแวดล้อมข้างๆ มันยิ่งมีแต่ตึกสูงร้างเต็มไปหมด “นายอยู่ที่ไหนฉิงเฉา” สองมือกำสายกระเป๋าสะพายข้างตัวเองแน่น กวาดสายตามองหาบุคคลที่กำลังตามหาไปด้วย
ขอให้เจอทีๆ ฉันท่องคำนี้ตลอดก้าวย่างที่เดิน
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้ฉันมาโผล่อยู่ที่ไหน รอบข้างเริ่มมืดเพราะท้องฟ้าเริ่มจะปิด แสงแดดที่เคยจ้าจัดตอนนี้มืดครึ้ม
น่ากลัว!
ความรู้สึกฉันบอกมาแบบนี้ ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังบอกว่า...
‘อย่าก้าวเดินไปข้างหน้า’
กึก!!
แค่สองก้าวหลังจากที่รู้สึกใจสั่นไหวแปลกๆ จากลางสังหรณ์ก่อนหน้า ก็ทำให้สองเท้าน้อยๆ ที่สวมรองเท้าส้นสูงสองนิ้วหยุดชะงัก
น่ากลัว! สองคนนั้นน่ากลัวจัง!
เสียงในหัวกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง กับภาพชายสองคนที่กำลังมองตรงมาทางฉันด้วยสายตาเหมือนต้องตาเหยื่อชิ้นดี
“เฮ้! ดูสิพวกเราเจออะไร”
“สวยซะด้วย หุ่นแม่งน่ากินฉิบหาย”
‘หยาบคาย’ ฉันกร่นด่าให้กับผู้ชายสองคนตรงหน้าหลังจากได้ฟังคำพูดนั้น สองเท้าน้อยๆ ค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกมาทีละก้าว ทีละ...
“ว๊าย! ปล่อยนะ” เร็วเกินไปแล้ว!!
ผู้ชายร่างสูง หน้าบากๆ ผอมแห้งเหมือนพวกติดยา ตรงมาคว้าหมับเข้าที่สองมือเรียวเล็กของฉัน จับไพล่หลังไว้เหมือนตำรวจจับกุมผู้ร้าย
“จะทำอะไร ปล่อยฉันเถอะนะ ฉันแค่มาตามหาสามี” ฉันรีบเอ่ยปากร้องขอด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว
“อ้าว! มีผัวแล้วว่ะไอ้แห้ง” เสียงผู้ชายผอมๆ ที่จับฉันอยู่ร้องบอกเพื่อนอีกคนที่กำลังเดินตรงดิ่งเข้ามาหาฉัน ชื่อแห้ง แต่ทำไมตัวถึงได้อ้วน แผลเป็นเต็มตัว น่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนัก
“ก็ดีสิ จะได้ไม่ต้องสอน ลีลาคงดี”
ฉันสั่นหัวไปมา ดีดดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการที่กำมือฉันแน่น แต่ยิ่งดิ้น เหมือนคนพันธนาการยิ่งเพิ่มแรงบีบและกดจิกเล็บลงมาแรงกว่าเดิม
“งั้นกูให้มึงก่อน กูชอบแบบลื่นๆ”
พวกนี้คุยอะไรกัน คิดว่าฉันจะยอมให้เขากระทำป่าเถื่อนกับร่างกายฉันง่ายๆ เหรอ ใครก็ได้ช่วยฉันที
“ชะ ช่ว... อุ้บ”
จุก! กำลังจะตะโกนให้คนช่วย แต่ไอ้อ้วนที่ชื่อแห้งต่อยเข้าที่ท้องฉันหนึ่งที ให้ความรู้สึกจุกมากกว่าเจ็บสะอีก
“ไม่ร้องสิจ๊ะคนสวย เปลี่ยนจากเสียงร้องเป็นเสียงครางให้พวกพี่ฟังดีกว่า หน้าสวยๆ หุ่นแซ่บๆ แบบนี้ เสียงครางจะหวานโดนใจขนาดไหนน้า~”หยาบคาย สถุล ฉันไม่รู้จะด่าคนพวกนี้ด้วยคำไหนแล้วพ่อคะ แม่คะ ใครก็ได้ช่วยหงส์ทีในใจกู่ร้องอ้อนวอนถึงสิ่งที่สมองน้อยๆ ของตัวเองคิดออก ถ้าฉันยังพอมีบุญวาสนาเหลืออยู่ พระเจ้าโปรดส่งใครก็ได้มาช่วยฉันที แล้วฉันจะตอบแทนพระคุณของคนผู้นั้นแม้แต่ชีวิตนี้ก็ยอม“มามะ มาให้พี่กินซะดีๆ”“กรี้ด!!!”ฉันรีบหลับตาปี๋ หลังจากที่ไอ้อ้วนพุ่งร่างน่าเกลียดของมันตรงมาจะฉีกกระชากเสื้อผ้าของฉันออก มันจะจบลงตรงนี้งั้นเหรอ? ร่างกายที่บริสุทธิ์ของฉันจะตกอยู่ในเงื้อมมือพวกสัตว์เดรัจฉานสองคนนี้จริงๆ ใช่ไหมตุ้บ ผลั้วะ อัก“อ๊าก!!!”“มึงเป็นใครวะ แส่ไม่เข้าเรื่อง”ตอนที่ฉันกำลังถอดใจว่าครั้งนี้คงไม่รอดเงื้อมมือสองคนนี้แน่ๆ ก็ได้ยินเสียงดัง ตุบ ตับ คล้ายเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้นเบื้องหน้าเสียงนั้นดังอยู่ไม่ถึงสองนาทีก็เงียบไป รับรู้ได้ว่าร่างกายตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการก่อนหน้านี้แล้ว เลยรีบหอบอากาศหายใจเข้าออกแรงๆ เปลือกตาน้อยๆ ค่อยๆ เบิกขึ้นเพื่อมองสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าภาพที่เห็นหลังจา
ผลัก!!“โอ๊ย!” ฉันร้องลั่นเพราะรู้สึกเจ็บหน้าผากมน สงสัยฉันจะเดินคิดอะไรเหม่อลอยไปหน่อย“ขอโทษครับ คุณเป็นอะไรมั้ย” เสียงทุ้มเอ่ยถาม“ขอโทษค่ะ พอดีเหม่อนิดหน่อย” ฉันลูบหน้าผากป้อยๆ ก้มหัวขอโทษคนที่ตัวเองเป็นคนเดินชน คิดว่านะ!? ความจริงมันก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากหรอก ที่ฉันชนเมื่อกี้น่าจะเป็นไหล่ของผู้ชายร่างสูง หน้าตาคมเข้มตรงหน้า“นี่ของคุณครับ” เขายิ้มบางๆ พร้อมกับก้มลงไปหยิบกระดาษที่ฉันคงทำหล่นเมื่อกี้ส่งคืนให้ เสร็จแล้วก็หันหลังกำลังจะเดินจากไป“เดี๋ยวค่ะ!” ฉันรีบตะโกนเรียกผู้ชายตัวสูงผมดำ หน้าตาดี เพื่อให้เขาหยุด“มีอะไรเหรอครับ”“ไม่ทราบว่า พอจะคุ้นหน้าหรือรู้จักคนในภาพนี้หรือเปล่าคะ” ฉันยื่นกระดาษแผ่นเดิมที่เขาหยิบส่งคืนให้ดูอีกครั้ง ทันทีที่คนตรงหน้าหยิบกระดาษแผ่นนั้นไปดู เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองหน้าฉันช้าๆ พร้อมกับทำสีหน้าตกใจเล็กน้อย“รู้จักเหรอคะ?” ฉันเดาเอาจากปฏิกริยาที่แตกต่างจากคนก่อนๆ“ทำไมคุณถึงมีภาพวาดนี้” เขาถามฉันน้ำเสียงแข็งกระด้าง พร้อมกับยกแผ่นภาพวาดแค่ภาพเดียวที่เป็นรูปผู้ชายผมสีชมพูขึ้นถาม“เอ่อ” เพราะสายตาดุดันที่จ้องมอง ทำให้ฉันเริ่มเสียงขาดหาย“ว่าไงครับ?” เขาขมวด
@Yukkii casinoจะเรียกใจง่าย หรือไว้ใจคนง่ายดี หลังจากที่ยืนชั่งใจไม่ถึงสิบวิฯ ก็ตัดสินใจเดินขึ้นรถมอม้าเพื่อมาเจอกับบุคคลที่เป็นเจ้าชีวิตของตัวเองมอม้าพาฉันขับรถมาจากสถานที่ๆ เราเจอกันถึงสี่ชั่วโมงเต็ม ถึงว่าทำไมฉันพยายามตามหาเขาแถวๆ นั้นก็ไม่เจอ ‘ที่แท้ก็เพราะมันอยู่คนละซีกโลกแบบนี้สินะ’“ถึงแล้ว เดี๋ยวยืนรอฉันแปบนะ”หลังจากที่ลงจากรถเบนซ์สีดำเงาวับ มอม้าก็สั่งให้ฉันยืนรอเขาอยู่หน้าประตูทางเข้าสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นตัวตึกที่สูงประมาณสามชั้นสามคูหาใหญ่ๆ หากมองขึ้นไปสุดคอเหมือนจะมีดาดฟ้าด้วยนะประตูทางเข้าตึกเป็นกระจกสีดำทึบ มีการ์ดยืนเฝ้าประตูซ้ายขวาข้างละคน มองเลยขึ้นไปเหนือประตูกระจก มีป้ายสีทองอร่ามเขียนเป็นภาษาอังกฤษ‘Yukkii Casino’อ๋อ... ที่แท้มอม้าพาฉันมาที่คาสิโนนี่เอง“ป้ะ! เข้าไปข้างในกัน”เสียงมอม้าทำให้ฉันละสายตาและความคิดเกี่ยวกับสถานที่ตรงหน้า เมื่อกี้เหมือนเขาจะเดินไปทำอะไรสักอย่างแถวๆ หน้าคาสิโน แต่ตอนนี้เขากำลังเดินนำเข้าไปข้างในแล้ว ก้าวแรกที่ฉันเหยียบย่างผ่านพ้นประตูของยุกกี้คาสิโน ข้างในค่อนข้างกว้างขวางน่าจะจุคนได้ราวๆ ร้อยคนได้มั้งบรรยากาศภายในดูครึกครื้นค่อนไป
“เอ่อ...” เธอพูดเสียงติดขัด หันไปมองหน้ามอม้าด้วยแววตาละห้อย“เฮียอย่าทำหน้าตาเหมือนจะฆ่าหงส์แบบนั้นสิ” มอม้าบ่นให้ผมเสียงเอือมๆ ผมเลยมอบสายตาพิฆาตให้มันไป“เล่ามา เสียเวลา” ขี้เกียจเปิดศึกน้ำลายกับไอ้ลูกน้องปีนเกลียวข้างๆ เลยหันไปไล่บี้เอากับผู้หญิงตัวเล็กตรงหน้าแทน“คือ วันนั้นที่ตรอก ฉันไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน แต่...” ยัยตัวเล็กพูดเสียงแผ่วเบา คล้ายกับกำลังนึกชื่อสถานที่“ช่างสถานที่มัน เล่าเหตุการณ์มาเผื่อจำได้” ผมบอกปัดไปตามอารมณ์ที่เริ่มจะรำคาญการพูดคุยกับเพศแม่แบบนี้“วันนั้นฉันกำลังจะโดนรุมข่มขืน แต่โชคดีที่คุณเข้ามาช่วยจัดการไว้ได้ทัน แต่ ฉันยังไม่ทันขอบคุณ คุณก็เดินหนีออกมาก่อน”ฟังดูคุ้นๆ นะ เหมือนเมื่ออาทิตย์ก่อนผมจะไปตามหาไอ้หนอนบ่อนไส้ที่กล้ามาล้วงคองูเห่าถึงถิ่นด้วยการเอายามาปล่อยให้คนที่มาเสี่ยงดวงที่คาสิโนผมผมตามสืบจนรู้ว่ามันไปกลบดานอยู่แถวๆ อู่ขนส่งไทย-ฮ่องกง ของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผมพอจะรู้จักมักจี่ รอมันอยู่เกือบสามชั่วโมงแต่ไม่เห็นแม้แต่วี่แววมันสงสัยจะมุดหัวอยู่ใต้ดินหรือไม่ก็หนีหางจุกตูดกลับไปฟ้องไอ้พ่อหมาที่ส่งหมาเลียแข้งแบบ ‘ไอ้ดำ’ มาเป็นไส้ศึกที่ถิ่นผมแล้ว“แล
หลังจากที่มอม้าออกไปจากห้องทำงานผมได้ไม่ถึงสิบนาที มันก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับคำถามร้อยแปดที่ผมต้องตอบมัน“ตกลงเฮียเคยช่วยหงส์ไว้จริงๆ เหรอ อย่าบอกนะว่าเฮียแอบไปตามสืบเรื่องไอ้ดำ ผมบอกเฮียแล้วว่าเดี๋ยวจัดการเอง มันอันตราย”เฮ้อ! ผมได้แต่ถอนหายใจยาวๆ หลังจากที่การกลับมาอีกครั้งของมอม้า มาพร้อมการสวดในเรื่องที่ผมทำก่อนหน้ายาวเหยียด ทำยังกับผมกับมันเป็นคู่รักกัน“กูขี้เกียจรอมึง นั่งรอแต่ในห้องเดี๋ยวง่อยแดก” ผมตอบมันเสียงเนือยๆ“เออ! ให้มันได้แบบนี้สิ แต่ก็โชคดีที่เฮียไม่เจอมัน ไม่รู้ว่าเป็นกับดักล่อเฮียให้ไปติดกับหรือเปล่า”“มึงเห็นกูเป็นไก่อ่อนขนาดนั้นเชียว?” ผมปรายตาดุๆ มองหน้ามัน“ไม่ใช่แบบนั้น โว๊ย! เออ! เฮียแม่งเก่งอยู่แล้ว ผมรู้ว่าเฮียเอาตัวรอดได้ แต่เป็นห่วงเจ้านายนี่ผมผิดมากเหรอวะ!” ครั้งนี้ดูมอม้าจะหัวเสียอย่างมาก ผมรู้ว่ามันรักผมเหมือนพี่ชายแท้ๆ เหมือนที่ผมก็เห็นมันเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ เหมือนกัน“เออๆ ต่อไปกูจะรายงานมึงก่อนทำ” สุดท้ายผมก็ยอมให้กับความง๊องแง๊งของมัน “แล้วเรื่องหงส์ทำไมเฮียถึงไม่ยอมรับการตอบแทนของเธอ”จบเรื่องหนึ่ง ก็วกกลับมาเรื่องผู้หญิงคนนั้น อะไรมันจะแคร์เ
หลังจากที่ถูกเจ้าของห้องไล่ออกมาแบบไม่สนใจใยดี ฉันก็ได้แต่เดินคอตกตามมอม้ามายังชั้นล่าง“อย่าไปสนใจเฮียแกเลย เฮียแกก็เป็นแบบนี้แหละปากหมา แต่ใจดีนะ”ฉันเงยหน้าขึ้นมองมอม้าแทบจะไม่อยากเชื่อหูที่ได้ยินคำว่าใจดีของเจ้านายเขาถ้าแบบคนในห้องนั้นเรียกใจดี แล้วคนบนโลกนี้จะมีใครใจร้ายเหรอ?“ไม่เชื่อฉันสินะ เดี๋ยวหงส์อยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ ก็จะชินเองแหละ ใหม่ๆ ใครก็กลัวเฮียแกแบบนี้ทุกคน”“แล้วนายไม่กลัวเหรอ เห็นการพูดคุยในห้องแล้วดูท่าจะสนิทกันมาก” ฉันถามมอม้าพร้อมกับหน้าตาที่รอฟังคำตอบจากเขาแบบลุ้นๆ“ฉันกับเฮียยูน่ะรู้จักกันมาเกือบสิบปี เฮียแกเป็นผู้มีพระคุณของฉันเหมือนกัน”“งั้นนายก็มาทำงานที่นี่เพื่อตอบแทนบุญคุณเขาเหมือนหงส์งั้นเหรอ แล้วทำไมทีหงส์พูดเขากลับไม่ต้องการ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงปนน้อยใจ“เพราะแต่ก่อนเฮียเขาไม่ใช่คนแบบนี้ไงล่ะ ถ้าไม่ใช้เพราะ.. ช่างมันเถอะอย่ารู้ดีที่สุด” เหมือนมอม้ากำลังจะหลุดเล่าเรื่องราวอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเฮียของเขาออกมาแต่ก็ตั้งสติได้เสียก่อนจึงหยุดคำพูดนั้นไว้“เออจริงสิ! หงส์ยังไม่รู้จักชื่อเฮียแกนี่หว่า” ถ้ามอม้าไม่พูดฉันก็ลืมถามไปเลยตั้งแต่เจอหน้ากันก่อนหน้า ฉ
หลังจากที่ใช้เวลาเก็บกวาดห้องเก็บของไปถึงสองชั่วโมง ฉันก็ได้ห้องใหม่ที่ทั้งสะอาดและน่าอยู่ “เธอคือหงส์ใช่ไหม?” เสียงแหบๆ ของผู้หญิงดังขึ้นที่หน้าประตูห้องที่ฉันเปิดค้างเอาไว้“ค่ะ” ฉันหันไปตอบผู้หญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวได้เปรี้ยวเข็ดฟันสุดๆ เธอสวย หุ่นอวบอั๋น แถมท่าทางน่าจะใจดี ยืนส่งยิ้มหวานๆ มาให้“ฉันชื่อลิชา เรียกเจ๊ลิก็ได้ พอดีคุณมอม้าให้มาช่วยพาเธอไปซื้อของใช้ส่วนตัวน่ะ” ผู้หญิงที่เพิ่งเรียกฉันเมื่อครู่แนะนำตัว พร้อมกับเดินเข้ามาภายในห้อง“หงส์ค่ะ ขอฝากตัวด้วยนะคะเจ๊ลิ” ฉันยิ้มหวานแนะนำตัวกับลิชาลิชาพาฉันไปซื้อของที่ห้างไม่ไกลจากยุกกี้คาสิโนเท่าไหร่ เราใช้เวลาเดินทางแค่สิบห้านาทีด้วยการเดินเท้า และใช้เวลาเดินซื้อของอีกประมาณค่อนชั่วโมงได้ หมดเงินไปเยอะอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยๆ ทยอยคืนมอม้าแล้วกัน“หงส์เอาของไปเก็บแล้วค่อยออกมาหาเจ๊ที่โซนบาร์นะ ถ้ามาไม่ถูกลองถามเด็กๆ ที่แต่งตัวเหมือนพนักงานเสิร์ฟเอาก็ได้”“ค่ะ” ฉันพยักหน้าตอบลิชา ปลีกตัวเอาของเข้ามาเก็บในห้องนอนตามที่เธอบอก โชคดีที่ห้องเก็บของนี้มีห้องน้ำในตัวด้วย“เป็นไงมาไงถึงได้มากับคุณมอม้าได้ล่ะ” หลังจากเดินเข้า
“ถ้าไม่มีเมนูอะไรอยากทานเป็นพิเศษงั้นรอสักครู่ค่ะ เดี๋ยวหงส์จะเอาอาหารเที่ยงมาให้” พูดจบฉันก็เดินปึงปังกระแทกเท้าด้วยความไม่พอใจออกมาจากห้องมนุษย์หน้านิ่งทันที[Yuuki’s part]ไม่มีมารยาทจริงๆ ผู้หญิงอะไร นี่ขนาดผมเป็นคนที่เธอบอกจะมาตอบแทนบุญคุณงี่เง่าอะไรนั่นแท้ๆ แต่แค่เรื่องอาหารการกินแค่นี้ยังต้องถ่อมาถามผม แล้วแบบนี้จะตอบแทนอะไรผมได้ เรื่องขี้ประติ๋วยังคิดเองไม่เป็นผมนั่งทำงานต่อสักพักเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นอีกครั้งก๊อกๆ“ขอเข้าไปนะคะ” ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เสียงเคาะประตู แต่มีเสียงพูดกึ่งตะโกนของผู้หญิงที่เพิ่งออกจากห้องผมไปเมื่อยี่สิบนาทีก่อนดังมาด้วยแอ้ด~ ประตูไม้สักใบเขื่องของผมถูกเปิดออก พร้อมกับกลิ่นหอมของอาหารที่คนตัวเล็กที่หน้าตามอมแมมยกเข้ามา“สาบานว่ากินได้” ผมถามออกไปทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นหน้าตาของอาหารที่อยู่ในจานและมีฝาคลอบอยู่อีกที ที่ถามเพราะดูจากสภาพหน้าตามอมแมม เสื้อผ้าเลอะซอสมะเขือเทศ และเศษหมูสับที่ติดผ้ากันเปื้อนเธออยู่ต่างหาก“อย่าดูถูกฝีมือหงส์นะคะ รับรองว่าหมูสับสามรสของหงส์อร่อยเหาะ”หงส์ยกจานข้าวในมือขึ้นสูงระดับไหล่ พร้อมกับการันตีเองคนเดียวว่าของที่ยกมาน
“ว่ามา” หนียังไงผมก็หนีมันไม่พ้น งั้นก็เปิดอกคุยเลยแล้วกัน“ที่มึงต่อยไอ้มอม้าจริงๆ แล้ว มึงกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”หึ! มุมปากผมยกขึ้นเล็กน้อยให้กับคำถามที่ผมเองก็เตรียมใจไว้อยู่แล้ว“ไม่รู้ว่ะ!” ที่ตอบไปคือเรื่องจริงผมไม่รู้ที่ผมต่อยไอ้มอม้าไปสาเหตุมันมาจากอะไรกันแน่เพราะไอ้มอม้าเกือบจะเผลอพูดเรื่องอดีตของผม หรือ เพราะ... ยัยนั่น“มึงรู้! มึงอย่าแกล้งไม่รู้” สายตาคาดคั้นจากกรุงโซลส่งมาให้ผม“อาจจะ” ผมตอบมันเสียงเรียบ“แบบไหน?” ตอบสองคำ มันก็ถามผมกลับมาสองคำ เออดีจริงเพื่อนกู“แบบว่า มันขัดอารมณ์กู ผลลัพธ์มันต่างจากที่กูอยากให้เป็น กูอยากเห็นยัยหน้าจืดนั่นล้มลงไปมากกว่าอยู่ในอ้อมกอดไอ้มอม้า... มั้ง”แล้วนี่ทำไมผมต้องมานั่งอธิบายอารมณ์ ความรู้สึกของตัวเองให้ไอ้กรุงโซลมันฟังด้วยวะ แต่พอได้พูดอะไรออกไปบ้าง ปากมันกลับเหมือนเขื่อนที่ถูกเปิดระบายน้ำเพราะมันไม่ยอมหยุดพูดแค่สิ่งที่ไอ้กรุงโซลถาม“กูมักเห็นภาพ ‘เธอ’ ซ้อนอยู่ในตัวยัยนั่น” ผมตอบไปตามที่ผมรู้สึกเอาแบบแมนๆ เลยนะ ก่อนหน้านี้ผมเคยแอบมองไฉ่หงอยู่หลายครั้ง และบางครั้งผมก็รู้สึกว่าตัวเองละสายตาจากผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ มันเหมือนเธอมีแรงด
[Krungseoul’s part]แม่งเอ๊ย! ไอ้เหี้ยยูกิ ไอ้เพื่อนเวร เมื่อกี้ถ้ามอม้าลูกน้องคนสนิทของมันไม่มารับตัวผู้หญิงคนนั้นไว้ ป่านนี้ยัยนั่นคงล้มก้นจ้ำเบ้าไปแล้วแถมแม่งยังส่อสันดานเลว ฟิวส์ขาดชกลูกน้องตัวเองทั้งๆ ที่มันไม่เคยทำนิสัยเถื่อนแบบนั้นมาก่อนแอ้ด ปัง! ผมเปิดประตูห้องนอนไอ้ยูกิด้วยแรงกระชากทั้งหมดที่มี“ออกไป!” เสียงขับไสไล่ส่งดังลอดไรฟันของไอ้หัวชมพูฟรุ้งฟริ้งที่ไม่เข้ากับหน้าตาบูดบึ้งตะคอกใส่ผม“มึงเป็นบ้าอะไรวะ! เมื่อกี้มันไม่ใช่มึงเลย” ผมไม่สนใจคำไล่ของมัน เลือกพูดประโยคคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบออกไปแทน“มึงดูมันพูด!”“จี้จุดมึง?” ผมไม่รอให้มันพูดอะไรต่อ รีบสวนทันทีผลลัพธ์เหรอ? ได้รับสายตาเชือดเฉือนดุจมีดแหลมคมส่งมาไงล่ะ“มึงอยากโดนอีกคน?” คิดว่าผมกลัว?คำขู่เหมือนเด็กสองขวบ เราคบกันมาสิบปีได้แล้วมั้ง! ทำไมผมจะไม่รู้ว่ามันคิดอะไร จะทำจริงหรือไม่จริง“มานี่มา!” ผมเดินไปนั่งโซฟากลางห้องนอนมัน พร้อมกับตบเบาะโซฟาข้างๆ ตัวเองเรียกให้มันมานั่งคุยกันแบบใกล้ชิด ไอ้ยูกิยอมเดินมาตามที่ผมเรียก แต่ดันเสือกนั่งโซฟาอีกตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแทน“ถามจริง มึงเฮิร์ทอะไร? กูว่ามึงทำเกินไปนะเว้ย!” พ
หมับ! คำพูดต่อไปของฉันถูกขัดด้วยฝ่ามือเรียวบางแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่น “มองตาเจ้สิ! หงส์เห็นอะไรในดวงตาคู่นี้” เหมือนถูกสะกดจิตฉันจ้องมองตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยตรงหน้า สายตาที่เป็นมิตร ไม่ได้มีความหวังร้ายเลยแม้เศษเสี้ยว“ที่พูดไปก่อนหน้าคือเรื่องจริง คุณแก้มอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะ” ย้ำให้เธอฟังอีกชัดๆ เกรงว่าการที่เธอให้จ้องตาเพื่อพิสูจน์ความจริงในคำตอบก่อนหน้า“เข้าใจผิด?” แก้มเลิกคิ้ว เอียงคอจ้องมองหน้าฉัน“ค่ะ ก็หงส์คิดว่าคุณแก้มกับคุณยูกิ เอ่อ เป็น...”“…” คนรอฟังเงียบไม่เอ่ยขัดคล้ายรอฟังให้ฉันพูดให้จบแต่ฉันกลับไม่กล้าเอ่ยคำพูดต่อไป ‘ก็คุณแก้มกับคุณยูกิเป็นแฟนกันนี่คะ’“คิกๆ” ฉันที่เบือนหน้าหันไปมองทางอื่นได้ไม่ถึงสองวิฯ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะขบขันดังออกมาจากผู้หญิงหุ่นบอบบาง“คุณแก้มขำอะไรเหรอคะ?”“ก็ขำความคิดเราไงล่ะ ถ้าให้เดาหงส์คงกำลังคิดว่าเจ้กับเฮียยูกิเป็นแฟนหรือว่าคนรักกันใช่ไหมล่ะ”“…” ฉันได้แต่พยักหน้าเป็นคำตอบ“ฉันมีลูกเธอก็เห็นใช่ไหม? เด็กที่อยู่ในห้องนั้นน่ะ” พยักหน้าแทนคำตอบอีกครั้ง “เด็กคนนั้นชื่อทิวลิป ส่วนพ่อของเด็กคือ...”“ฉันไง? กรุงโซลสุดหล่อสามีสุดที่รักของแก้มใส”
‘อบอุ่น’ ฉันไม่เคยเห็นรอยยิ้มอบอุ่นของยูกิเลยสักครั้ง จนนาทีนี้ ที่มีเด็กน้อยตัวอวบๆ ผิวขาวใส น่าตาน่ารักวิ่งเข้ามาหาเขาในห้องทำงานจะเรียกว่าครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่ฉันสัมผัสได้ว่าบนใบหน้าของผู้ชายที่เคยเย็นชามีสีสันขึ้นมา ใบหน้าที่มีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏอยู่บนนั้น บอกตามตรง ฉันไม่อาจละสายตาจากภาพของยูกิที่ดูอบอุ่นนั้นได้เลยเปาะ!“อ๊ะ!” ฉันสะดุ้งตัวเผลอลุกจากเก้าอี้กะทันหันเมื่อใบหูเหมือนได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดังอยู่ใกล้ๆ พอตั้งสติได้ทำให้รู้ว่าตอนนี้ใบหน้าตัวเองเกือบจะชนเข้ากับใบหน้าคมเข้มของใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเฮือก! ลมหายใจติดขัดขึ้นมาแบบไม่ทราบสาเหตุ เมื่อสายตาเพ่งพินิจดูดีๆ พบว่าใบหน้านั้นคือใบหน้าของผู้ชายที่ฉันแอบมองอยู่ก่อนหน้านี้‘เขามาตอนไหน’“นึกว่าหลับในตายสะอีก!” เสียงแหบต่ำที่ดังรอดไรฟันทำให้สติฉันกลับมาครบถ้วนสมบูรณ์ รีบผละใบหน้าให้ออกห่างจากผู้ชายปากร้ายคนนี้“คะ คุณยูกิมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” พยายามถามให้เสียงเป็นปกติที่สุด“นี่ไม่รู้สึกถึงอะไรรอบข้างเลยว่างั้น?” คนถูกถามไม่ตอบแต่เลือกที่จะส่งคำถามใหม่กลับมา ฉันจึงโฟกัสสายตาไปมองรอบห้องและพบว่าภายในห้องนี้ไม่ได้มีแ
[Yuuki’s part]แปลก! วันนี้ยัยซื่อบื้อดูเงียบผิดปกติ ทำตัวเหมือนกับโกรธ งอน อะไรผมสักอย่าง ทั้งๆ ที่ผมอุตส่าห์เป็นคนเดินเข้าไปคุยด้วยก่อนแล้วแท้ๆผมสะบัดหัวเล็กน้อยเพื่อขับไล่ภาพที่ตัวเองกำลังอุ้มไฉ่หงกลับไปที่ห้องนอนห้องถัดจากผมผ่านประตูลับที่ไม่มีใครรู้นอกจากตัวผมเอง รู้แบบนี้เมื่อคืนน่าจะปล่อยให้ยุงกัดให้ตาย! ไม่น่าแบกกลับไปนอนสบายๆ ที่ห้องเลย ให้ตายสิวะ!กำลังจะอ้าปากหาเรื่องชวนไฉ่หงทะเลาะ เสียงเล็กๆ ใสๆ ของผู้มาเยือนตัวน้อยๆ ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน“อายูกิ~”“มาได้ไงเรา หลานรักของอา” ผมรีบวิ่งไปอุ้มเด็กน้อยตาใสแป๋ว ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเพื่อนรักอย่างไอ้กรุงโซลกับแก้มใสขึ้นมาฟัดแก้มนุ่มๆ เล่น“หวัดดีเฮีย”ผมพาทิวลิปมานั่งที่โซฟารับแขกได้ไม่นาน เสียงลูกน้องที่ผมเกือบจะลืมมันไปก็ดังขึ้น “กูนึกว่ามึงตายห่าไปแล้ว” ผมกัดไอ้ใบไม้ทันทีที่เห็นหน้ามัน‘ใบไม้’ เป็นลูกน้องคนสนิทผมอีกคน มันเป็นน้องชายแท้ๆ ไอ้มอม้าผมเคยช่วยพวกมันสองคนตอนที่กำลังจะถูกตำรวจจับข้อหาค้ายา แต่โชคดีเส้นผมใหญ่ และดูๆ แล้วเหมือนไอ้สองคนนี้มันไม่ได้ตั้งใจทำ เลยสงสารและเก็บมันมาใช้งาน“โด่เฮีย! ใครกันล่ะส่งผมไปตายแทน” ไอ
“เดี๋ยวฝันร้ายจะหายไปเองนะคะ เพี้ยง” ริมฝีปากกระจับสีชมพูได้รูปเผยอขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับท่าทางการเป่าลมออกจากปากเหมือนกับคำพูดสุดท้ายที่หลุดรอดออกมาก่อนหน้า“ยัยบ้าเอ๊ย!” ผมชักมือกลับ เลิกสนใจผู้หญิงที่กำลังนอนหลับแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวตรงหน้า หันหลังและสาวเท้ากลับไปยังห้องนอนตัวเองที่เพิ่งออกมาไม่กี่นาทีไม่อยากจะอยู่ตรงนั้นนานๆ เพราะมันรู้สึกกระอักกระอ่วนในหัวใจแปลกๆประโยคที่มันดังในความฝันผมเมื่อครั้งนั้น และเป็นประโยคที่ทำให้ฝันร้ายของผมหายไปทุกครั้งที่นึกถึงมัน‘เดี๋ยวฝันร้ายจะหายไปเองนะคะ เพี้ยง’ประโยคที่แสนธรรมดาแต่กลับมีอิทธิพลกับหัวใจมึงเพียงนี่เลยเหรอวะไอ้ยูกิ[End part]“อื้อ” รู้สึกเหมือนร่างกายมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แถมตอนนี้เหมือนกับร่างกายนอนอยู่บนอะไรนิ่มๆ‘ที่นอนเหรอ?’ เปลือกตาน้อยๆ สองข้างค่อยๆ เปิดออก กระพริบตาปริบๆ อยู่สองสามครั้งเพื่อปรับแสงที่แยงเข้าสู่เลนส์ตาสิ่งแรกที่เห็นคือ เพดานสีขาวสะอาดตา บนเพดานมีดาวเรืองแสงที่ฉันให้เฮียเทียนช่วยติดไว้ก่อนเขาจะกลับฮ่องกง ถ้างั้นก็แสดงว่าฉันกำลังนอนอยู่บนเตียงนอนในห้องนอนตัวเอง?พรึ่บ! ร่างกายกับสมองสั่งการพร้อ
พวกเราใช้เวลาเดินทางจากสนามบินกลับมาที่ยุกกี้คาสิโนเกือบสองชั่วโมง เพราะการจราจรในช่วงค่ำๆ มันติดขัด หลังจากที่ก้าวขาขึ้นมาถึงชั้นสอง คนที่เดินนำหน้าฉันอย่างยูกิก็หันมาสั่งทางสายตากรายๆ ว่า ให้ฉันตามเขาเข้าไปที่ห้องทำงาน“เอ๊ะ! นี่มัน” เมื่อย่างก้าวเข้ามาในห้องทำงานได้เพียงแค่สามก้าว สายตาก็มองไปยังโต๊ะทำงานไม่เล็กไม่ใหญ่มาก วางอยู่ข้างๆ โต๊ะทำงานยูกิ“ฉันสั่งคนจัดไว้ ตอนเราไปส่งไอ้เทียน อย่าเพิ่งเข้าใจผิดอะไร ฉันแค่อยากใช้งานเธอจนตัวสั่นต่างหาก” รอยยิ้มมุมปากที่เหมือนซาตานเจอเหยื่อชิ้นดี เรียกไรขนอ่อนในกายฉันลุกชัน“เริ่มวันนี้เลยเหรอคะ?” เหลือบมองนาฬิกาตรงผนังที่บ่งบอกว่าตอนนี้เกือบจะสี่ทุ่มแล้วเลยถามเพื่อให้แน่ใจ“จำไม่ได้? ที่บอกตอนอยู่สนามบิน” ฟังจบฉันถึงกับอ้าปากค้างอยากจะเถียงเขาออกไปแต่ก็ทำได้เพียงกลืนคำเถียงนั้นลงคอ เดินกระแทกเท้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะทำงานของตัวเอง สองมือน้อยๆ หยิบแฟ้มใบเขื่องสีฟ้าขึ้นมาเปิดดูจ๊อก~แค่สายตามองเห็นตัวเลขที่เต็มหน้ากระดาษ ทำเอาสมุนน้อยๆ ภายในท้องร้องประท้วงขึ้นมาแทบจะทันที ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า เพราะมัวแต่ง่วนกับการหาถุงผ้
“ว่าไงยัยน้อง”“คะ?” ฉันที่ไม่ได้ฟังเฮียเทียนพูดก่อนหน้าเลยไม่รู้ว่าพี่ชายตัวเองถามอะไร ได้แต่ส่งเสียงคล้ายกับงุงงงออกไป“เฮียถามว่าเราโอเคมั้ยที่เฮียจะให้เราเป็นเลขาไอ้ยูกิ น้องก็เรียนสาขานี้มาอยู่แล้วเรื่องแค่นี้หมูมาก น้องจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระมันด้วยไง”เหมือนถูกพี่ชายตัวเองมัดมือชกเลยแฮะ!ฉันยังไม่ตอบคำถามพี่ชายตัวเอง แต่เลือกที่จะเหลือบมองคนที่เป็นว่าที่เจ้านายคนใหม่ที่นั่งอยู่โซฟาเดี่ยวตัวที่อยู่ถัดจากฉันแทน“เอ่อ คือว่า หงส์” เพราะถูกสายตากดดันจากยูกิที่มองฉันอยู่ก่อน ทำให้คิดคำตอบพี่ชายตัวเองไม่ทัน ได้แต่ละล่ำละลักออกไป“ลีลา ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ” คำพูดประชดที่ปนความหงุดหงิดถูกส่งมาให้ฉันเม้มปากแน่น “หงส์ไม่ได้ลีลา แล้วหงส์ก็ยินดีทำ!” คำพูดแรกฉันตอบโดยไม่เลิกจ้องหน้ายูกิสักวินาที ประโยคหลังฉันหันไปตอบพี่ชายตัวเองเสียงดังฟังชัด“เยี่ยมมากน้องรัก” เฮียเทียนพยักหน้าพร้อมกับยิ้มกว้างอย่างพออกพอใจในคำตอบรับนี้“แล้วมึงจะกลับวันไหน” เสียงยูกิที่เงียบอยู่พักหนึ่งถามเฮียเทียน“คืนนี้! กูต้องรีบกลับไปสืบเรื่องสำคัญ ไม่อยากปล่อยไว้นาน” สีหน้าเฮียเทียนเคร่งเครียดมาก มีเรื่องอะไรสำคัญขนาด
ฟืด ฟืด เสียงเครื่องคั้นน้ำผลไม้คงดังมาก ทำให้ฉันไม่รู้ตัวว่าตอนนี้มีใครบางคนยืนอยู่ข้างหลังฉันในระยะเผาขน“ทำอะไร ไหนอาหารว่างฉัน”“ว๊าย!”ฉันสะดุ้งสุดตัว หลังจากที่เสียงคล้ายกระซิบดังแผ่วเบาอยู่ข้างหู ลมหายใจอุ่นๆ กระทบที่ลำคอเนียนฉันเบาๆ เรียกไรขนอ่อนทั่วกายลุกชัน“คุณยูกิ!” เมื่อตั้งสติได้ และเห็นว่าใครคือเจ้าของเสียงนั้นฉันก็รีบเรียกเขาด้วยเสียงสั่นเครือ “ทำไมต้องทำท่ากลัวฉันขนาดนั้น”‘ไม่กลัวสิแปลก’ ฉันไม่กล้าท้วงกลับ ได้แค่คิดในใจหลังจากเหตุการณ์วันนั้นทำให้ฉันไม่กล้าที่จะต่อปากต่อคำหรือแม้แต่เฉียดกายเข้าใครเขาอีกเลย อาจจะเป็นเพราะยังโกรธเขาที่ไม่มีเหตุผล ไม่ฟังอะไรก่อนแล้วก็มาเอะอะทึกทักเอาเองถ้าวันนั้นเขาหยุดตัวเองไม่ทันอะไรจะเกิดขึ้นฉันไม่อยากจะคิด เพราะงั้นอยู่ห่างๆ ยูกิไว้น่าจะปลอดภัยที่สุด“คุณยูกิจะรับด้วยมั้ยล่ะคะ หงส์ทำน้ำแครอทให้เฮียเทียน” ฉันสูดลมเข้าปอดลึกๆ ระงับอาการตื่นตระหนกให้คงที แล้วเอ่ยถามน้ำเสียงเรียบแต่แฝงความน้อยใจอยู่ในนั้น“ไม่น่าถาม ไอ้เทียนยังกินได้ แล้วทำไมต้องถามฉันด้วยวะ” น้ำเสียงเอาแต่ใจดังขึ้น คล้ายกับไม่พอใจกับคำถามของฉัน“หงส์ไม่รู้นี่ค่ะ แค่ถ