“ใช่เจ้าค่ะ! สูตรนี้ข้าเคยใช้มาแล้วกับ…เอ่อ…” เข่อซิงหยุดคิดหาข้ออ้าง โอ๊ย อย่าหาเรื่องยุ่งใส่ตัวนะหลินเข่อซิง! แต่ก็เอาวะ... ลุยแล้วลุยเลย! “กับท่านพ่อข้าเอง! ท่านหายดีภายในสามวันเท่านั้น!”
หยางเฟยฮุ่ยหันมามองด้วยสายตาที่บอกชัดว่ากำลังจะจับผิด “แล้วข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร?” หลินเข่อซิงยิ้มกว้าง “ท่านไม่ต้องเชื่อก็ได้ แต่ข้าขอลองทำให้ท่านอวิ๋นเฟยหลงลองดูก่อนได้ไหมเล่า?” แล้วเธอก็หันไปมองอวิ๋นเฟยหลง พร้อมกับส่งสายตาที่คิดว่าต้องทำให้เขาคล้อยตามได้บ้าง อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตาเล็กน้อย เหมือนกำลังชั่งใจ “เจ้าบอกว่าเจ้ามีสูตรของเจ้าเองงั้นรึ?” “ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” หลินเข่อซิงยืนยันเสียงดัง จนเธอรู้สึกว่าน้ำเสียงของตัวเองดังเกินไปนิด แต่ก็ต้องเล่นตามเกมนี้ต่อ “ถ้าไม่หาย ท่านก็แค่ลองวิธีของคุณหนูหยางได้ ไม่มีอะไรเสียหายนี่เจ้าคะ!” หยางเฟยฮุ่ยหันมามองหลินเข่อซิงอย่างไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ไม่พูดอะไร อวิ๋นเฟยหลงมองเธออีกครั้งก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ได้ ข้าจะลองดู” โอ้โห! เข่อซิงตื่นเต้นในใจที่อวิ๋นเฟยหลงยอมเล่นตามแผนของเธอได้ เธอรีบฉวยโอกาสนี้และหันไปหาหยางเฟยฮุ่ย “งั้นท่านพักก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะดูแลท่านอวิ๋นเอง!” ใบหน้าของหยางเฟยฮุ่ยกระตุกเล็กน้อย แต่นางกลับไม่แสดงความไม่พอใจออกมาตรงๆ เพียงยิ้มเบาๆ พลางพูดเสียงเย็น “ข้าคงไม่ขัดเจ้าแล้วกัน” เมื่อหยางเฟยฮุ่ยเดินจากไป หลินเข่อซิงก็หันมามองอวิ๋นเฟยหลงอีกครั้ง หัวใจเต้นแรง โอ้ยยย! แล้วจะทำยังไงต่อล่ะเนี่ย! ข้าก็ไม่ได้รู้เรื่องสมุนไพรอะไรเลย! หลังจากการปะทะเล็กๆ กับหยางเฟยฮุ่ย หลินเข่อซิงรีบก้าวออกจากลานของตำหนักใหญ่ทันที แต่ขณะเดียวกัน เธอก็ไม่รู้จะหาทางออกยังไงกับคำพูดที่เธอเพิ่งพลั้งไป อวิ๋นเฟยหลงเชื่อเธอซะแล้ว! แต่ตัวเธอเองแทบไม่มีความรู้เรื่องสมุนไพรเลยสักนิด โอ๊ย! ทำไงดี! ฉันจะหา “สมุนไพรสูตรพิเศษ” จากที่ไหนกันล่ะเนี่ย! เธอคร่ำครวญในใจ “คุณหนูหลิน! คุณหนู!” เสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง หลินเข่อซิงหันไปตามเสียง แล้วก็พบกับสาวใช้ตัวน้อยที่วิ่งเข้ามาหาอย่างกระตือรือร้น หลิงเฉิน สาวใช้คนสนิทที่ติดตามเธอตั้งแต่เข้ามาในโลกนิยายนี้ หลิงเฉินหอบเล็กน้อยแต่ก็ส่งยิ้มกว้างให้ “ท่านดูมีสีหน้าไม่สู้ดีเลยนะเจ้าคะ คุณหนูหลิน เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ?” หลินเข่อซิงถอนหายใจยาว “หลิงเฉิน...ข้ากำลังเจอเรื่องยุ่งใหญ่เลยล่ะ ท่านเฟยหลงเขาดันเชื่อว่าข้ารู้เรื่องสมุนไพร! แล้วข้าก็ดันบอกไปว่าข้าจะรักษาเขาได้ ข้าไม่มีความรู้เรื่องสมุนไพรสักนิด! ทำไงดีล่ะ?” หลิงเฉินหัวเราะออกมาเบาๆ “คุณหนูหลิน นี่ท่านพูดไปอย่างนั้นจริงๆ เหรอ? ข้าไม่เคยคิดเลยว่าท่านจะกล้าพูดอะไรแบบนั้น” “ใช่สิ! ข้าก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะหลุดปากไป” เข่อซิงตอบพลางทุบหน้าผากตัวเองเบาๆ ด้วยความรู้สึกหมดหวัง “แล้วข้าจะหาสมุนไพรจากไหนกัน?” หลิงเฉินยังคงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันมามองนางเอกสาวด้วยแววตาเป็นห่วง “คุณหนูอย่าเพิ่งกังวลไป ข้าว่าถ้าท่านต้องการสมุนไพร ข้าพอจะช่วยท่านได้นะเจ้าคะ ข้ารู้จักสมุนไพรพื้นฐานอยู่บ้าง” หลินเข่อซิงหันมามองหลิงเฉินด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง “จริงเหรอ!? หลิงเฉิน เจ้าช่วยข้าได้จริงๆ เหรอ?” “แน่นอนเจ้าค่ะ” หลิงเฉินพูดพร้อมรอยยิ้มซุกซน “แต่ข้ามีข้อเสนออยู่นะเจ้าคะ ถ้าท่านอวิ๋นเชื่อว่าท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญสมุนไพร ข้าก็ว่าเราควรทำให้มันดูสมจริงเสียหน่อย!” หลินเข่อซิงเลิกคิ้ว “สมจริงยังไงล่ะ?” “ก็... ท่านลองให้ข้าจัดหาสมุนไพรมา แล้วท่านก็ทำท่าทางเหมือนรู้จริงๆ ขณะที่ข้าอยู่เบื้องหลังคอยช่วยอย่างลับๆ เป็นยังไงเจ้าคะ?” หลิงเฉินกระพริบตาเป็นเชิงเล่น “ท่านก็แค่พูดว่า ‘สูตรลับของข้า’ หรืออะไรทำนองนั้น ท่านก็ไม่ต้องลงรายละเอียดมาก” หลินเข่อซิงฟังแล้วถึงกับหลุดหัวเราะออกมา “โอ๊ย! หลิงเฉิน เจ้าช่างเจ้าเล่ห์ไม่เบาเลยนะ” “ข้าก็แค่ไม่อยากให้ท่านต้องลำบากเท่านั้นเองเจ้าค่ะ” หลิงเฉินยักไหล่ด้วยท่าทีขี้เล่น “แล้วก็...บางที การแสดงว่า ‘รู้’ มากๆ อาจทำให้ท่านเฟยหลงเริ่มสนใจในตัวท่านมากขึ้นก็ได้นะเจ้าคะ ท่านก็ดูจืดชืดน้อยลงไปอีก” หลินเข่อซิงฟังแล้วพยักหน้า ใช่! หลิงเฉินพูดถูก ถ้าฉันไม่จืดชืดเหมือนเดิม บางทีเฟยหลงอาจจะเริ่มสนใจฉันบ้าง “เอาล่ะ ตกลงตามแผนของเจ้า! เรามาทำให้เรื่องนี้สนุกขึ้นกันเถอะ!” หลินเข่อซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจขึ้น เธอยกมือจับแขนหลิงเฉินพร้อมรอยยิ้ม หลิงเฉินหัวเราะแล้วตบบ่าคุณหนูหลินเบาๆ “ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้าจะไปหาสมุนไพรมาให้ท่านเดี๋ยวนี้ ท่านเตรียมตัวไว้ให้ดีละกันนะเจ้าคะ” เมื่อหลิงเฉินวิ่งออกไปจัดการตามแผน หลินเข่อซิงก็ยืนพิงต้นไม้พลางถอนหายใจโล่งอก โชคดีจริงๆ ที่มีหลิงเฉินอยู่ด้วย ไม่งั้นฉันคงพังไม่เป็นท่าแน่!ในห้องโถงที่เงียบสงบ หลินเข่อซิงนั่งอยู่หน้าตำรับสมุนไพรโบราณกองโต ซึ่งถูกจัดวางอย่างประณีตบนโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ ด้านหลังของเธอมีหลิงเฉินที่กำลังจัดสมุนไพรต่างๆ ใส่จานเล็กๆ หลายใบ วางเรียงอยู่ตรงหน้า หลินเข่อซิงยืดอก นั่งทำทีราวกับนักปรุงยาผู้เชี่ยวชาญ พยายามทำตัวให้ดูสำรวมและมีสมาธิที่สุด โอเค หลินเข่อซิง! นี่คือแผนของเจ้า แค่ทำเป็นรู้เรื่องพวกนี้มากๆ พูดถึง ‘สูตรลับ’ อะไรสักอย่าง แล้วเจ้าจะรอด! หลิงเฉินขยับเข้าใกล้พร้อมกับกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู “คุณหนูหลินเจ้าคะ สมุนไพรชนิดนี้เป็นสมุนไพรแก้อักเสบเจ้าค่ะ ท่านจำไว้ว่าท่านต้องทำเป็นว่ารู้จักมันอย่างดี” หลินเข่อซิงพยักหน้ารับ โอเค ได้! เธอสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะยกสมุนไพรขึ้นมาดูด้วยท่าทีราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงที่รู้ทุกอย่าง “อืม... สมุนไพรชนิดนี้เรียกว่า... เอ่อ... เสวี่ยหงชี่” เธอตั้งชื่อขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ พร้อมกับทำท่าพินิจพิจารณาอย่างจริงจัง “มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการอักเสบได้ดี ข้าจะใช้มันเป็นส่วนผสมหลักในยาของข้า” อวิ๋นเฟยหลงนั่งมองอยู่จากมุมหนึ่งของห้อง เขามองท่าทางของหลินเข่อซิงอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ใบหน้าของเขาเรียบเ
“แต่ข้าคิดว่าเจ้าเหมาะสมกับมันแล้ว” หลินเข่อซิงตอบพลางยิ้ม “ข้าไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเจอเรื่องบ้าๆ บอๆ อะไรอีก แต่ข้ารู้ว่าถ้ามีเจ้าคอยอยู่ข้างๆ ข้าคงจะผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน” หลิงเฉินยิ้มอย่างซาบซึ้ง “ท่านวางใจได้เลยเจ้าค่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะอยู่เคียงข้างท่านเสมอ” หลินเข่อซิงฟังแล้วก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาอีกครั้ง ถึงจะทะลุมิติมาอยู่ในโลกนิยายแบบนี้ แต่ก็ยังดีที่มีหลิงเฉินคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ เธอคิดในใจ ขณะเอนตัวลงบนเตียง รู้สึกได้ถึงความสบายใจอย่างไม่เคยมีมาก่อน หลิงเฉินนั่งอยู่ข้างเตียงของคุณหนูหลินพลางมองดูเจ้านายของตนเอนตัวลงนอนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ใจของเธออดคิดไม่ได้ว่า ตั้งแต่วันที่คุณหนูหลินฟื้นขึ้นมาจากการตกน้ำ ก็มีอะไรหลายอย่างที่เปลี่ยนไปอย่างมาก คุณหนูหลินคนเดิม ที่เธอเคยรู้จักนั้น เป็นหญิงสาวที่สงบเสงี่ยม อ่อนหวาน และมักจะระมัดระวังทุกกิริยา คำพูดคำจานุ่มนวลเสมอ แต่พอเธอตื่นขึ้นมาหลังจากเหตุการณ์ตกน้ำ... คุณหนูหลินกลับดูมีชีวิตชีวามากกว่าเดิมจนเกือบจะเป็นคนละคน “คุณหนูหลินที่ข้ารู้จัก กลายเป็นคนใหม่เสียแล้ว...” หลิงเฉินคิดในใจ พลางยิ้มบางๆ “หลิงเฉิน เจ้าคิด
เช้าวันใหม่มาเยือนจวนตระกูลอวิ๋น ลานกว้างหน้าตำหนักใหญ่ดูสงบเงียบแต่แฝงด้วยความสง่า แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยการเคลื่อนไหวของเหล่าข้ารับใช้ที่รีบเร่งเตรียมงานสำคัญ มีเพียงบุคคลหนึ่งที่เดินด้วยความสง่างามและเป็นที่เกรงขามที่สุดในจวนนี้ อวิ๋นเหอ ท่านโหวแห่งตระกูลอวิ๋น ผู้เป็นบิดาของอวิ๋นเฟยหลงอวิ๋นเหอเป็นชายวัยกลางคนที่ยังคงแข็งแกร่ง สายตาคมและออร่าของเขายังคงทำให้คนในจวนต่างเกรงกลัว เขาเป็นอดีตแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยนำทัพสู้รบในศึกใหญ่หลายครั้ง ปัจจุบันแม้จะเกษียณจากสนามรบแล้ว แต่ความยิ่งใหญ่ของเขายังคงไม่เสื่อมคลายท่านโหวยืนมองออกไปยังลานฝึกซ้อม พลางถอนหายใจยาว "เฟยหลง…เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว ถึงเวลาที่เจ้าต้องคิดถึงอนาคตของตระกูลบ้าง" เขาพึมพำกับตัวเอง---ในลานฝึกซ้อม ท่ามกลางการต่อสู้จำลองของเหล่าทหารฝึกหัด ผู้ที่ดูโดดเด่นที่สุดคือแม่ทัพหนุ่มผู้สง่างาม—อวิ๋นเฟยหลง เขายืนอยู่ท่ามกลางสนามฝึกด้วยท่าทีเยือกเย็น ดาบยาวในมือของเขาเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วและแม่นยำ แต่ละท่วงท่าดูราวกับเป็นศิลปะที่ทรงพลัง ร่างกายของเขาสมบูรณ์แข็งแรง ฝีมือการต่อสู้ของเขาโดดเด่นจนทหารทุกคนต่างยกย่องว่าไม่มีใครเทีย
หลินเข่อซิงที่เคยใช้ชีวิตเรียบง่ายในโลกปัจจุบัน ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าตัวเองจะต้องมาอยู่ในโลกนิยายโบราณแห่งนี้ และที่สำคัญคือเธอจำเป็นต้องเรียนรู้ขนบธรรมเนียมและวิถีชีวิตของคนในโลกนี้ เพื่อให้สามารถอยู่รอดและทำภารกิจสำคัญของเธอให้สำเร็จ นั่นก็คือทำให้เรื่องราวดำเนินไปจนจบอย่าง happy ending และกลับสู่โลกเดิมได้ในแต่ละวัน หลินเข่อซิงต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ ที่เธอไม่คุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม การปฏิบัติตน หรือแม้แต่การพูดจาที่แตกต่างจากโลกปัจจุบันที่เธอเคยรู้จักมาก่อนมากมาย ถึงแม้เธอจะมั่นใจว่าเธอได้รู้เรื่องพวกนี้มาไม่น้อยจากการอ่านนิยายแนวจีนโบราณมามากมาย แต่พออยู่ในสถานการณ์จริง หลายครั้งที่นางอึกอักพูดผิดๆถูกๆอยู่บ้าง จนหลายครั้งหลิงเฉินต้องคอยกระซิบแก้คำพูดให้นางเสียใหม่ ช่างขายหน้าคนจริงๆ เฮ้อสัปดาห์แรกในโลกใหม่หลังจากที่หลินเข่อซิงได้ปรับตัวและผ่านพ้นความวุ่นวายจากการพบเจออวิ๋นเฟยหลงและหยางเฟยฮุ่ย แวบเดียวเธอก็มาอยู่ในโลกนี้ได้หนึ่งสัปดาห์แล้วเธอรู้สึกได้ว่า การใช้ชีวิตในโลกนิยายนี้มันไม่ได้ง่ายเหมือนที่เคยอ่านอยู่บนหน้ากระดาษ เธอต้องรับมือกับความซั
หลินเข่อซิงปูเสื่อกกนั่งอยู่ในสวนใต้ต้นไม้ใหญ่ สายลมเย็นแผ่วๆพัดพาปอยผมคลอเคลียดวงหน้าหวาน ดวงตากลมโตดำขลับยามนี้กำลังปิดเปลือกตาลง ดื่มด่ำกับบบรยากาศยามเช้าที่สดชื่น นี่ฉันก็มาอยู่ในโลกนี้ได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว ความสัมพันธ์กับอีตาพระเอกก็ไม่คืบหน้าไปไหนเลย แถมยังมีก้างชิ้นใหญ่ขวางคอเสียด้วย เฮ้ออ~คิดแล้วหญิงสาวก็ล้มตัวลงนอน มองท้องฟ้า ก้อนเมฆเล็กใหญ่ลอยผ่านหน้าเธอไป คงต้องเริ่มทำอะไรสักอย่างแล้ว ก่อนยัยตัวร้ายจะทำคะแนนไปก่อนคิดได้อย่างนั้น หลินเข่อซิงก็ผุดลุกขึ้นมา เธอปัดๆชายกระโปรงตัวเอง และเดินกลับไปที่ห้องของเธอ“หลิงเฉิง ปกติถ้าฉันอยากตัดชุด ต้องทำยังไงเหรอ”“คุณหนูสามารถไปที่ร้านผ้าในตลาด และบอกกับเถ้าแก่ว่าอยากได้แบบไหนเจ้าค่ะ” หลิงเฉิงตอบ“โอเค งั้นเจ้าไปเตรียมรถม้านะ เดี๋ยวเราออกไปตลาดกัน จะได้ถือโอกาสเที่ยวด้วยซะเลย” หลินเข่อซิงยิ้มแก้มปริ เมื่อจะได้ออกไปเที่ยวนอกจวนตั้งแต่มาที่โลกนี้ เธอยังไม่เคยไปที่ไหนเลย นอกจากจวนตระกูลอวิ๋น แต่ก็ไปเพียงครั้งเดียว นอกนั้นก็นั่งๆนอนๆอยู่แต่ในจวนตระกูลหลิน จนเธอจะเฉาตายด้วยความเบื่อหน่ายอยู่แล้วเมื่อทั้งสองนายบ่าวมาถึงตลาดแล้ว เธอก็
ค่ำวันนั้น บรรยากาศในจวนตระกูลอวิ๋นถูกประดับประดาด้วยโคมไฟสวยงามและการจัดเตรียมโต๊ะอาหารอย่างประณีต ตระกูลหยางได้รับเชิญมาร่วมรับประทานอาหารค่ำเป็นการส่วนตัว ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยมิตรภาพ แต่กลับซ่อนความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจพูดออกมาได้ง่ายๆอวิ๋นเฟยหลงและท่านโหวนั่งอยู่ฝั่งซ้าย ขณะที่หยางเฟยฮุ่ยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอวิ๋นเฟยหลง เธอมีรอยยิ้มบางๆ ที่ดูสุภาพแต่เยือกเย็น พ่อของหยางเฟยฮุ่ย หยางเฉิง เป็นชายผู้สง่างามในชุดผ้าไหมลายมังกร เขานั่งอยู่หัวโต๊ะตรงข้ามกับท่านโหว ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความเป็นมิตร แต่ในแววตากลับแฝงความจริงจัง“ตระกูลอวิ๋นและตระกูลหยางรู้จักกันมานานหลายชั่วอายุคน” หยางเฉิงเริ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงชัดเจน แต่เรียบๆ ทำลายความเงียบที่ปกคลุมโต๊ะอาหาร “ข้าเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลของเราคงแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปอีก”ท่านโหวยิ้มรับอย่างสุภาพ "แน่นอน ท่านหยาง ตระกูลของท่านกับตระกูลข้าเป็นดั่งพี่น้อง"หยางเฟยฮุ่ยหันมายิ้มหวานให้กับอวิ๋นเฟยหลง ขณะที่เขานั่งเงียบ ใบหน้าเย็นชาเหมือนเดิม แต่แววตากลับดูอึดอัดเล็กน้อย “ท่านอวิ๋น ข้ายังจำได้เสมอถึงตอนที่เรายัง
หลังจากที่หลินเข่อซิงสั่งตัดชุดเสร็จ ทั้งเธอและหลิงเฉินก็เดินออกจากร้านผ้าด้วยความรู้สึกตื่นเต้น โดยเฉพาะหลินเข่อซิงที่อดใจรอชุดใหม่ไม่ไหวเลยสักนิด"ข้าคิดว่าชุดกี่เพ้าของข้าต้องออกมาสวยแน่ๆ!" หลินเข่อซิงพูดพร้อมยิ้มกว้าง"ข้าก็คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ คุณหนู จะต้องโดดเด่นไม่เหมือนใครแน่ๆ" หลิงเฉินพูดเสริมด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าวขึ้น "คุณหนู เจ้าคะ เมื่อครู่เราเดินผ่านโรงเตี๊ยมอวิ๋นหลง ท่านสนใจลองไปทานอาหารที่นั่นไหม? ข้าได้ยินว่าที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องเป็ดย่างกับซุปเนื้อ"“ดีเลย! ข้ากำลังหิวพอดี ลองดูซักหน่อยเถอะ!” หลินเข่อซิงตอบทันทีด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นทั้งสองเดินไปยังโรงเตี๊ยมอวิ๋นหลง บรรยากาศในร้านคึกคักเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาแตะจมูก หลินเข่อซิงนั่งลงที่โต๊ะพร้อมกับสั่งเมนูที่หลิงเฉินแนะนำ "ข้าขอเป็ดย่างกับซุปเนื้ออย่างที่เจ้าแนะนำละกัน ข้าตื่นเต้นจะแย่แล้ว!" เธอพูดพร้อมกับหัวเราะไม่นานนัก อาหารก็ถูกยกมาเสิร์ฟ กลิ่นหอมอบอวลของเป็ดย่างทำให้หลินเข่อซิงอดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหล "โอ้โห! หอมเหลือเกิน ข้าว่านี่ต้องอร
สองสัปดาห์ต่อมา หลินเข่อซิงได้รับเทียบเชิญไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนป๋อโดยลูกสาวคนโตของภริยาเอก ตลอดทั้งวัน เธอรู้สึกได้ถึงความกดดันที่จะต้องไปเผชิญหน้ากับคนมากมายในงาน แต่วันนี้ไม่เหมือนวันอื่นๆ เพราะเธอเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่กับชุดกี่เพ้าสีแดงเพลิงที่เธอตั้งใจตัดขึ้นมาเพื่อแสดงความเป็นตัวตนใหม่ของเธอเถ้าแก่ร้านผ้าทำงานไวมาก นางจึงให้เงินเพิ่มไปอีกมาก เขาโค้งตัวแล้วโค้งตัวอีก ยิ้มรับหน้าบานแถมยังบอกนางอีกว่า หากคราวหน้าจะให้ตัดชุดอะไรสามารถมาหาเขาได้ เขาจะรีบทำให้นางก่อนใคร“ท่านพร้อมไหมเจ้าคะ คุณหนู?” หลิงเฉินถามขณะช่วยปรับชุดให้หลินเข่อซิงยิ้มบางๆ มองตัวเองในกระจก ชุดกี่เพ้ารัดรูปที่ทำให้เธอดูสง่างามและทรงพลัง ไม่ใช่แค่สีแดงที่ดึงดูดสายตา แต่ความมั่นใจที่แสดงออกทางท่าทางและบุคลิกของเธอทำให้เธอดูโดดเด่น“พร้อมสิ! วันนี้ข้าจะไม่ใช่คุณหนูหลินคนเดิมอีกต่อไป” เธอตอบอย่างมั่นใจ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องที่จวนป๋อ งานเลี้ยงเต็มไปด้วยผู้คนจากตระกูลสูงศักดิ์มากมาย เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะเบาๆ แว่วมาเป็นระยะๆ ท่ามกลางบรรยากาศหรูหรานั้น หยางเฟยฮุ่ยก้าวเข้ามาในงานด้วยความสง่างาม ทุกสายตาต่างจ
จิ่นสือพยักหน้ารับ ขณะที่ลูบใบเทียนเฉ่าเบาๆ กลิ่นหอมฉุนของมันลอยออกมาแตะจมูก สมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณล้ำค่า และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการแพทย์แผนโบราณถัดมาไม่นาน พวกเขาก็เจอพุ่มไม้ที่ออกดอกเป็นช่อสีขาวเล็กๆ กลีบดอกดูเปราะบางและชุ่มชื่น“นี่คือไป่ฮวา หรือหญ้าพันงู ขึ้นชื่อในสรรพคุณสมานแผลและหยุดเลือดทันทีเมื่อมีแผลสด ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในยาสำหรับทหารหรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงอันตราย”จิ่นสือสังเกตพุ่มไม้ไป่ฮวาด้วยความสนใจ“น่าสนใจนัก ยามศึกสงคราม สมุนไพรนี้คงช่วยได้มากจริงๆ”พวกเขาเดินต่อจนถึงลำธารเล็กๆ ที่ไหลเย็นสบาย สองข้างของลำธารมีต้นไม้เล็กๆ ออกผลเล็กๆ สีแดงจัดเต็มพุ่ม“ต้นนี้เรียกว่าซานจาหรือพุทราจีน ผลสีแดงของมันนี้กินได้ มีรสหวานอมเปรี้ยว ช่วยย่อยอาหารและบำรุงหัวใจเป็นเลิศ” นายท่านซุยหยิบผลซานจามาส่งให้จิ่นสือ“ลองชิมดูสิ หวานอมเปรี้ยวนี่ล่ะช่วยให้รู้สึกสดชื่นยิ่ง”จิ่นสือรับผลซานจามา ลองกัดเบาๆ รสชาติสดชื่นทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที สมุนไพรนี้ไม่เพียงแต่เป็นยาบำรุงแต่ยังเสริมพลังได้เป็นอย่างดี
ซุยลี่อินใจเต้นรัว ใบหน้าเล็กร้อนผ่าว มือน้อยๆ ยกขึ้นไปจับตรงตำแหน่งที่มือใหญ่ได้วางไว้ก่อนหน้าเบาๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มแย้มยิ้มออกมาเสียจนแทบฉีกถึงใบหุ “ข้าจะรอท่านพี่กลับมานะเจ้าคะ” สาวน้อยตะโกนไล่หลังร่างสุงใหญ่ที่เดินทิ้งห่างไปไกล ซุยลี่อินยืนส่งชายในดวงใจจนร่างเขาหายลับไปจากสายตา จึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน จิ่นสือได้ยินเสียงใสแว่วๆ แต่เขาไม่ได้หันกลับไป ทำเพียงเร่งฝีเท้าให้ทันนายท่านซุยเพียงเท่านั้น แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านยอดไม้หนาทึบลงมาเป็นลำ จิ่นสือก้าวเดินตามผู้เฒ่าอย่างตั้งใจ แม้พื้นดินจะชื้นแฉะ แต่ในความชื้นนั้นกลับทำให้ป่าแห่งนี้อุดมไปด้วยพืชสมุนไพรอันหลากหลาย จิ่นสือมองสำรวจอย่างตั้งอกตั้งใจ "ดูเหมือนป่านี้จะซ่อนสมุนไพรล้ำค่าไว้มิใช่น้อย...ข้าสงสัยว่าเหตุใดต้นไม้เหล่านี้จึงเติบโตได้งดงามนัก" นายท่านซุยยิ้มอย่างยินดีที่ชายหนุ่มถามในเรื่องที่เขามีความรู้เป็นอย่างดี และยินดีแบ่งปันอย่างยิ่ง “ต้นไม้ในป่านี้ได้รับการดูแลจากธรรมชาติ และคนในหมู่บ้านของเราได้ช่วยกันร
จิ่นสือมาอยุ่กับครอบครัวสกุลซุยมาได้พักใหญ่แล้ว เขามักจะไปตักน้ำตัดฟืนมาไว้ในบ้านเสมอ รวมถึงการออกไปจับจ่ายซื้อของแทนผุ้เฒ่าซุยอยุ่บ่อยครั้งและแน่นอนว่าเขามักจะมีดรุณีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มตามติดไปด้วยอยุ่เสมอ จนผุ้ที่ได้พบเห็นต่างนึกเอ็นดุและชื่นชมในรุปลักษณ์ที่ดีงามของทั้งสองคนจิ่นสือมักมีอาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมักมีอาการไม่นานมาก เพียงชั่วใบไม้ร่วงหล่นลงสุ่พื้น แต่ก็ทำให้เขาเจ็บร้าวในหัวจนแทบทรงตัวไม่อยุ่ในทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงหญิงสาวที่ไม่มีใบหน้า เฝ้าเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงอาทรและห่วงหาคืนนี้ก็เช่นกัน…“ท่านพี่…ท่านพี่…”“…”“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่” เขาถามออกไปแต่ร่างบอบบางในชุดสีฟ้าอ่อน ผมยาวตรงสยายพลิ้วไหวตามแรงลมที่ไม่ทราบมาจากที่ใด เขาเพ่งมองไปยังใบหน้านั้น แต่แสงสีขาวสว่างจ้าเกินไปจนเขาตาพร่าไม่สามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปหาร่างนั้น แต่ยิ่งเดินยิ่งห่างไกล ราวกับร่างนั้นเคลื่อนถอยหลังหนีเขาอยุ่ร่ำไป“ได้โปรดเถิด ให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าสักนิด”จื
บนพื้นที่ห่างไกลออกไปทางเหนือใกล้กับชายแดนแคว้นเกาเยว่ เสียงตัดไม้ดังก้องไปทั่วป่า เมื่อมองลึกเข้าไปจะพบกับชายร่างสูงใหญ่ล่ำสัน เครื่องแต่งกายมีเพียงเสื้อตัวบางทับด้วยเสื้อกั๊กเผยให้เห็นมัดกล้ามสองแขนแกร่ง กำลังตัดไม้อย่างขมักเขม้น หยาดเหงื่อไหลรินผ่านขมับ ชายหนุ่มขบกรามแน่นยามออกแรงยกขวาน ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา หนวดเครารกครึ้ม ส่งให้ใบหน้าคมเข้มไม่ไกลกันนัก มีสาวน้อยวัยกำดัดนั่งเท้าคางมองชายหนุ่มที่กำลังตัดไม้ด้วยแววตาหลงใหล สาวน้อยร่างบางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน ดูน่ารักน่าทะนุถนอมยิ่งนัก ข้างๆมีตระกร้าใส่อาหารและผลไม้ ดูไปก็คล้ายคู่รักที่ดูรักกันดียิ่ง แต่ความเป็นจริงนั้น…“จิ่นสือ วันนี้อากาศดีมาก ข้าว่าพอแค่นี้ดีไหม แล้วเราไปเดินเล่นในเมืองด้วยกัน” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยชวนแต่ชายร่างกำยำกลับทำราวกับไม่ได้ยินเสียงนาง ยังคงตัดไม้ต่อไปอย่างไม่ลดละ“นี่ เมื่อไหร่ท่านจะยอมคุยกับข้าสักที นี่ก็ผ่านมาจะครึ่งปีอยู่แล้วนะ นับจากวันที่ท่านพ่อกับท่านแม่พาท่านมาอยู่ด้วยกัน”“…”“สมแล้วที่ท่านพ่อตั้งชื่อให้ท่านว่าจิ่
หลังผ่านค่ำคืนอันแสนร้อนเร่ากับเจ้าผู้ครองแคว้น หยางเฟยฮุ่ยกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างผู้ชนะ กว่านางจะฝ่าด่านคัดเลือกสตรีนับพัน ฝ่าฟันต่อสู้กับเหล่าคุณหนูในห้องหอที่ต่างก็เพียบพร้อมไปด้วยความงามและความสามารถ แต่ที่ยากลำบากยิ่งกว่าคือการต้องวางแผนสกปรกทำให้น้องรองต้องเสียโฉมตัดโอกาสที่จะมาแย่งชิงกับนาง เพื่อที่นางจะได้เป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของตระกูล หยางลี่เฟย จะโทษก็โทษที่ชาติกำเนิดตัวเองเถอะ เจ้ามันก็แค่ลุกอนุ แต่อยากจะมาเทียบเคียงข้า อย่าได้โทษข้าเลย ที่ข้าไม่ยั้งมือ หยางเฟยฮุ่ยคิดในใจหยางเฟยฮุ่ยนั่งมองใบหน้าของตนเองในกระจก ดวงหน้างามพิลาส ดวงตาราวรีรุปหงส์ให้ความรุ้สึกหยิ่งผยองยามปรายหางตามอง จมุกเล็กเชิดรั้น ริมฝีปากยามแย้มยิ้มก็เย้ายวนมีเสน่ห์อย่างยิ่ง ใบหน้านี้ไม่ว่าใครได้มองย่อมตกหลุมนางทั้งนั้น มีแต่เจ้าคนน่าตายอวิ๋นเฟยหลงนั่นคนเดียว ตั้งแต่หลินเข่อซิงโผล่มาก็ไม่มองนางอีกเลย ทั้งที่แต่เล็กทั้งสองตระกุลต่างหมายหมั้นให้พวกนางได้ร่วมหอลงโลง หึ อวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้ท่านก็คงจะได้แต่นึกเสียใจเป็นแน่ มาบัดนี้ข้ากลับดีใจที่ไม่ได้แต่งให้ท่าน ไม่เช่นนั้นค
ในท้องพระโรงอันโอ่อ่า เสียงประโคมกลองและฉาบดังขึ้น ประกาศเริ่มต้นพิธีอภิเษกสมรสของหานเจี๋ย ผู้ครองบัลลังก์มังกร และสตรีที่ทรงเลือกขึ้นเป็นฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน พื้นผิวของโถงหลวงถูกปูด้วยพรมผืนใหญ่สีแดงฉาน ขับเน้นให้บรรยากาศยิ่งเต็มไปด้วยความสง่างาม บนโต๊ะยาวด้านหน้าถูกจัดเรียงเครื่องบรรณาการ เครื่องหอม และบรรดาของมีค่าจากทั่วสารทิศที่นำมาถวายแด่คู่บ่าวสาวทางเดินทอดยาวไปยังบัลลังก์ทองคำที่ตั้งตระหง่าน ที่นั่นเอง ฮ่องเต้หนุ่มทรงสวมฉลองพระองค์จักรพรรดิเต็มยศ ผ้าคลุมไหล่ปักดิ้นทองเป็นลวดลายมังกรอันงดงาม เสื้อคลุมทอด้วยไหมชั้นดีจากแดนไกล ที่แขนยาวปักลายพยัคฆ์ทองคำอีกชั้น มือซ้ายของพระองค์วางบนที่วางแขน ขณะที่มือขวาทรงวางนิ่งสงบเบื้องหน้าเขาคือเจ้าสาวในชุดสีแดงสด ประดับด้วยผ้าคลุมหน้าแพรบาง สะท้อนแสงไฟจากโคมทองระยิบระยับ ผ้าคลุมไหล่ยาวลากตามราวสายธารสีแดงที่ไหลริน สะท้อนความงามอันบริสุทธิ์ สตรีนางนี้มาพร้อมกับสายตาที่หวั่นไหวและความรู้สึกอันหลากหลายที่มิได้แสดงออกมาให้เห็นเด่นชัดหลังจากนั้น เสียงของหัวหน้าพิธีการดังกังวานขึ้น “ถวายคำนับแรกแด่ฟ้าและดิน!”
เมื่อลองคิดใคร่ครวญกลับไป นางพบว่าเขาแทบไม่พูดหวานกับนางสักเท่าใด คำบอกรักก็แทบนับครั้งได้ หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่แม้นางกับเขาเป็นสามีภรรยากันแล้วมีสัมพันธ์ทางกายจนตอนนี้นางตั้งภรรค์ลูกของเขา แต่นางก็ยังกลับปัจจุบันไม่ได้ จนเกิดเรื่องที่เขาไปรบ หรือแท้ที่จริงใจเขามิเคยรักนางจริงสิ สมรสพระราชทาน ใครจะกล้าปฎิเสธคำของฮ่องเต้กัน หลินเข่อซิงคิดอย่างเศร้าสร้อย“นี่ข้าคงรักท่านอย่างสุดหัวใจเข้าแล้วจริงๆ ถึงกับตามืดบอดหลงลืมไปว่าท่านและนางเคยผูกพันกันมานานเพียงใด ยึดติดกับเนื้อเรื่องในนิยายหลงคิดว่าตนเองคือนางเอก แท้ที่จริงข้าต่างหากที่เป็นนางร้ายมาแยกพวกท่านออกจากกัน”หลินเข่อซิงร่ำไห้ปานใจจะขาด ลูกน้อยในท้องราวกับรับรู้ได้ ทั้งเตะทั้งถีบรุนแรง แต่กลับเป็นการกระตุ้นให้หลินเข่อซิงยิ่งหดหู่“เขามิได้ต้องการข้าแล้ว ถ้าหากเขารับรู้ว่าข้ามีเจ้า เขาคง…”คืนนั้นหลิงเฉินก็ยังมิกลับมา แต่หลินเข่อซิงที่จมจ่อมในห้วงคำนึงของตนเองจนมิสนใจสิ่งใดรอบกาย ปล่อยให้นางกำนัลจัดการทุกสิ่งให้นาง จนถึงเวลาเข้านอน หญิงสาวทำเพียงจ้องมองไปบนเพดาน น้ำตาระลอ
“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี” หลินเข่อซิงย่อตัวลงทำความเคารพฮ่องเต้ “ไม่ต้องมากพิธี คนกันเองทั้งนั้น” หายเจี๋ยโบกมืออย่างไม่ใส่ใจพลางนั่งที่โต๊ะน้ำชา “พระองค์ทรงให้คนพาหม่อมฉันมาที่นี่ด้วยเหตุใดเพคะ” หลินเข่เซิงถามเสียงเรียบ แต่แววตาแสดงความไม่พอใจแจ่มชัด “ข้าว่าตำหนักที่เจ้าอยู่ดูจะแคบไปนะ เดี๋ยวข้าจะให้เจ้าย้ายไปตำหนักที่ใกล้ข้าดีหรือไม่ จะได้มีที่กว้างขวาง ซ้ำยังมีสวนสวยงามและน้ำตกเล็กๆให้เจ้าดูอีกด้วย” หานเจี๋ยเฉไฉพูดเรื่องอื่น ทำราวกับไม่ได้ยินที่นางถาม “ฝ่าบาท เหตุใดจึงกระทำการโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก ท่านโหวจงรักภักดีต่อฮ่องเต้พระองค์ก่อน จนถึงตอนที่ท่านขึ้นครองบัลลังก์มังกรนี้เขามิเคยตั้งคำถาม มีแต่ตั้งใจทำงานของตนอย่างสุดความสามารถ ท่านตอบแทนตระกูลที่ภักดีกับท่านเช่นนี้น่ะหรือ” หลินเข่อซิงถามออกไปอย่างสุดกลั้น คราแรกนางตั้งใจไว้ว่าจะควบคุมอารมณ์ตนเอง เพราะตอนนี้นางไม่มีอำนาจใดๆจะต่อกรกับอีกฝ่ายได้ แต่เมื่อเห็นใบหน้านี้ นางกลับนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งประสบมา เลือดของคนตระกูล
ท่านโหวและฮูหยินใหญ่ตกใจเป็นอันมาก“เจ้าเข้าใจอะไรผิดรึไม่ ข้ามิเคยทำเรื่องเช่นนั้น” อีกฝ่ายแสยะยิ้มไม่น่ามอง “ทำหรือไม่หลักฐานก็มีอยู่”สิ้นเสียงทหารที่เข้าค้นจวนต่างโยนกระดาษจดหมายที่เขียนตอบโต้กับสายลับแคว้นเกาเยว่ บนนั้นคือลายมือท่านโหวชัดเจน“ไม่ ข้าไม่ได้ทำ ข้าถูกใส่ร้าย ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเดี๋ยวนี้”“ช้าก่อน ท่านคิดว่าตนเองเป็นผู้ใดกัน คิดจะพบหน้าฝ่าบาท ก็พบได้ง่ายๆเช่นนั้นหรือ อีกอย่างฝ่าบาททรงตัดสินโทษพวกเจ้าตระกูลอวิ๋นแล้ว”ในขณะที่ดาบกำลังจะฟาดฟันลงมาสวบ! เสียงดาบแทงทะลุอก ฮูหยินใหญ่ทรุดลงไปกองกับพื้น ท่านโหวตะโกนออกมาสุดเสียง ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่อยู่กินกันมานาน เอาตัวเข้ารับดาบแทนเขา “ได้โปรดปล่อยสามีข้าไปเถิดนะท่านเขาบริสุทธิ์” ฮูหยินใหญ่ยื่นมือไขว้คว้าจับข้อท้าของทหารนายนั้น “ข้าขอร้องท่าน อย่างน้อยก็คิดถึงความสัมพันธ์เก่าก่อน ท่านโหวเมื่อครั้งเป็นแม่ทัพก็ปฎิบัติต่อท่านอย่างดีมิใช่หรือ อึ่ก”ฮูหยินใหญ่กระอักเลือดออกมาคำโต ท่านโหวตรงเข้าไปดึงตัวภรรยาออกมาโอบกอดไว้แนบอก