สองสัปดาห์ต่อมา หลินเข่อซิงได้รับเทียบเชิญไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนป๋อโดยลูกสาวคนโตของภริยาเอก ตลอดทั้งวัน เธอรู้สึกได้ถึงความกดดันที่จะต้องไปเผชิญหน้ากับคนมากมายในงาน แต่วันนี้ไม่เหมือนวันอื่นๆ เพราะเธอเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่กับชุดกี่เพ้าสีแดงเพลิงที่เธอตั้งใจตัดขึ้นมาเพื่อแสดงความเป็นตัวตนใหม่ของเธอ
เถ้าแก่ร้านผ้าทำงานไวมาก นางจึงให้เงินเพิ่มไปอีกมาก เขาโค้งตัวแล้วโค้งตัวอีก ยิ้มรับหน้าบานแถมยังบอกนางอีกว่า หากคราวหน้าจะให้ตัดชุดอะไรสามารถมาหาเขาได้ เขาจะรีบทำให้นางก่อนใคร “ท่านพร้อมไหมเจ้าคะ คุณหนู?” หลิงเฉินถามขณะช่วยปรับชุดให้ หลินเข่อซิงยิ้มบางๆ มองตัวเองในกระจก ชุดกี่เพ้ารัดรูปที่ทำให้เธอดูสง่างามและทรงพลัง ไม่ใช่แค่สีแดงที่ดึงดูดสายตา แต่ความมั่นใจที่แสดงออกทางท่าทางและบุคลิกของเธอทำให้เธอดูโดดเด่น “พร้อมสิ! วันนี้ข้าจะไม่ใช่คุณหนูหลินคนเดิมอีกต่อไป” เธอตอบอย่างมั่นใจ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ที่จวนป๋อ งานเลี้ยงเต็มไปด้วยผู้คนจากตระกูลสูงศักดิ์มากมาย เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะเบาๆ แว่วมาเป็นระยะๆ ท่ามกลางบรรยากาศหรูหรานั้น หยางเฟยฮุ่ยก้าวเข้ามาในงานด้วยความสง่างาม ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่เธออย่างชื่นชมในความงดงามไร้ที่ติ ชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มของนางสะท้อนแสงโคมอย่างหรูหรา รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของเฟยฮุ่ยทำให้ทุกคนต่างพูดถึง “งดงามราวกับเทพธิดา นางช่างเหมาะสมกับตระกูลอวิ๋นเหลือเกิน” เสียงคนในงานเริ่มซุบซิบ "ดูสิ ใครจะมาแข่งกับความงามของเฟยฮุ่ยได้?" คุณหนูใหญ่จวนป๋อและกลุ่มสหายของนางยืนกันเป็นกลุ่มด้านหนึ่งของงาน ท่ามกลางเสียงหัวเราะเบาๆ พวกเธอก็เริ่มขยับใบหน้าใกล้กันมากขึ้น “คุณหนูหลินจะมาร่วมงานวันนี้ด้วยหรือ? ข้าไม่คาดหวังสักนิด นางคงแต่งตัวจืดชืดเหมือนเดิมแน่ๆ” คุณหนูใหญ่หัวเราะคิกคัก สายตาชำเลืองไปที่เฟยฮุ่ยผู้สง่างาม “นั่นสิ สู้เฟยฮุ่ยก็ไม่ได้” อีกคนเสริม “อย่างหลินเข่อซิงจะเอามาเทียบนางได้อย่างไร” หยางเฟยฮุ่ยได้ยินคำพูดเหล่านั้นและยิ้มอย่างลำพองใจ ก่อนจะก้าวเดินอย่างสง่างามไปยังกลางงาน ทำให้ผู้คนต่างหันมามองด้วยความหลงใหล ทุกคนในงานดูเหมือนจะยอมรับว่าวันนี้ ไม่มีใครสวยงามและโดดเด่นเท่านางอีกแล้ว แต่แล้ว ทันใดนั้น ประตูใหญ่ของห้องโถงก็เปิดออก พร้อมกับการปรากฏตัวของหลินเข่อซิงที่ยืนอยู่ในชุดกี่เพ้าสีแดงเพลิง ทุกสายตาในงานเลี้ยงหันไปมองเธอพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ปากของผู้คนต่างอ้าค้างไปตามๆ กัน “นั่นใครกัน...?” เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นในงาน ทุกคนจ้องมองด้วยความตกตะลึง ไม่คาดคิดว่าผู้หญิงที่มักแต่งตัวจืดชืดทุกครั้งจะปรากฏตัวในลุคที่โดดเด่นและดึงดูดสายตาเช่นนี้ หลินเข่อซิงเดินเข้ามาด้วยท่าทีที่สง่างาม ชุดกี่เพ้าสีแดงของเธอรัดรูปและเผยให้เห็นรูปร่างที่งดงาม เส้นผมถูกรวบขึ้นอย่างเรียบร้อย เผยให้เห็นลำคอที่เรียวระหง ชุดของเธอสะท้อนแสงโคมไฟในงานอย่างเจิดจ้า ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นศูนย์กลางของงานนี้อย่างไม่ต้องสงสัย หยางเฟยฮุ่ยที่กำลังยิ้มอย่างลำพองถึงกับหยุดนิ่ง เมื่อเห็นหลินเข่อซิงเข้ามา นางไม่เคยคาดคิดว่าหลินเข่อซิงจะปรากฏตัวในลุคเช่นนี้ สีหน้าของเฟยฮุ่ยเปลี่ยนไปทันที รอยยิ้มที่เคยมั่นใจเลือนหายไปขณะที่นางมองหลินเข่อซิงเดินเข้ามา “นี่มัน... หลินเข่อซิงจริงหรือ?” คุณหนูใหญ่จวนป๋ออ้าปากค้าง มองหลินเข่อซิงด้วยความไม่เชื่อสายตา “ข้าไม่เคยเห็นนางในชุดเช่นนี้มาก่อน! นาง...นางช่างงดงามเหลือเกิน” อีกคนกระซิบด้วยน้ำเสียงตกตะลึง หลินเข่อซิงเดินตรงเข้าไปกลางงานอย่างไม่สนใจสายตาของใคร เธอแสดงออกถึงความมั่นใจและความสง่างามในทุกย่างก้าว เมื่อเธอมาถึงที่นั่งที่จัดเตรียมไว้ หลิงเฉินเดินตามเธออย่างภาคภูมิใจ “สายตาแต่ละคนต่างมองท่านเป็นตาเดียวเลยเจ้าค่ะ คุณหนู!” หลิงเฉินกระซิบเบาๆ ด้วยความตื่นเต้น หลินเข่อซิงยิ้มบางๆ พลางมองไปรอบๆ ห้องโถงใหญ่ที่เต็มไปด้วยสายตาที่จับจ้องมาที่เธอ ‘วันนี้ข้าไม่ใช่หลินเข่อซิงคนเดิมอีกแล้ว’ เธอคิดในใจ พร้อมรอยยิ้มมั่นใจที่มุมปาก ภายในงานเลี้ยงใหญ่ที่จวนป๋อ แขกผู้สูงศักดิ์ต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้า ท่านพ่อและท่านแม่ของหลินเข่อซิงกำลังทักทายสนทนากับเหล่าขุนนางและแขกผู้มีเกียรติในมุมหนึ่งของงาน ขณะที่หลินเข่อซิงเองก็อยู่กับหลิงเฉินสาวใช้คนสนิท เธอยืนนิ่งสงบ แต่แววตากลับบ่งบอกถึงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม หลังจากการปรากฏตัวที่น่าทึ่งในชุดกี่เพ้าสีแดงเพลิง สายตาหลายคู่ยังคงจับจ้องมาที่เธอ ในขณะที่หลินเข่อซิงกำลังยืนพูดคุยกับหลิงเฉินอย่างสบายใจ หยางเฟยฮุ่ยก็เดินเข้ามา ใบหน้ายังคงยิ้มอย่างสง่างาม แต่แฝงด้วยความเย้ยหยัน เธอกวาดสายตามองหลินเข่อซิงจากศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสุภาพ แต่เต็มไปด้วยความถากถาง “วันนี้เจ้ากล้าหาญไม่น้อยเลยนะคุณหนูหลิน ใส่ชุดสีแดงเพลิงแบบนี้ กลัวหรือไม่ว่าคนอื่นจะเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าเป็นนักแสดงในโรงงิ้ว” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวพร้อมกับยิ้มเย็น ดวงตาเปล่งประกายของนางเต็มไปด้วยความท้าทายยั่วยุ หลินเข่อซิงไม่ได้สะทกสะท้าน เธอยิ้มรับเล็กน้อยและหันมามองหยางเฟยฮุ่ยตรงๆ “ข้าก็ไม่แปลกใจหรอกที่ท่านจะคิดเช่นนั้น ท่านอาจจะไม่ชินกับอะไรที่มันดูสดใสเกินไป แต่สำหรับข้า สีแดงคือสีแห่งความมั่นใจ และถ้าการเป็นตัวของตัวเองทำให้ท่านไม่สบายใจ...ก็คงต้องขออภัยด้วย” ใบหน้าของหยางเฟยฮุ่ยกระตุกเล็กน้อย แต่ยังคงรักษาท่าทางมั่นใจไว้ “เจ้าอาจจะมีความมั่นใจ แต่ความมั่นใจที่มากเกินไปอาจทำให้คนอื่นมองว่าเจ้า...ไร้ยางอาย” เธอพูดพร้อมจ้องเข่อซิงอย่างเยาะเย้ย “การแสดงออกแบบนี้ อาจทำให้ใครๆ เข้าใจผิดว่าเจ้าอยากเป็นจุดสนใจจนถึงกับต้องใช้วิธีเช่นนี้” หลินเข่อซิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่หนักแน่น “การเป็นจุดสนใจ...ข้าไม่จำเป็นต้องพยายามเลย คุณหนูหยาง การแต่งตัวแบบไหนก็ไม่สำคัญเท่าความมั่นใจในตัวเอง แต่ดูเหมือนบางคนจะรู้สึกว่าข้ากำลังแย่งชิงความโดดเด่นไป ท่านคิดว่าอย่างนั้นหรือไม่?” หยางเฟยฮุ่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย รอยยิ้มที่เคยแฝงความมั่นใจเลือนหายไป “เจ้าพูดเหมือนคิดว่าตัวเองเหนือกว่าข้า... หรือเจ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ?” “ไม่เลย ข้าไม่ได้คิดว่าตัวเองเหนือกว่าใคร” หลินเข่อซิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ข้าแค่มั่นใจว่าข้าเป็นตัวของข้า และข้าไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับใคร ข้าเพียงอยู่ในที่ของข้า หากมีใครรู้สึกว่าข้ากำลังท้าทาย นั่นก็เป็นเพราะเขารู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองก็เท่านั้น” คำพูดของหลินเข่อซิงทำให้หยางเฟยฮุ่ยเริ่มรู้สึกไม่พอใจ นางกัดริมฝีปากเล็กน้อย “เจ้านี่ช่างกล้าพูดนัก... แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเข้าใจสถานการณ์ที่ตัวเองอยู่ เจ้าอาจจะคิดว่าแค่พูดดีๆ หรือแต่งตัวสวยๆ ก็จะทำให้เจ้าดูมีคุณค่าได้ แต่ในความเป็นจริง...” นางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเยาะ “เจ้าก็ยังเป็นเพียงเป็ดที่พยายามจะชูคอเป็นหงส์” หลินเข่อซิงมองหยางเฟยฮุ่ยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความท้าทาย “ข้าคิดว่าการฝันสูงไม่ใช่เรื่องผิด หากข้ามีความสามารถที่จะไปให้ถึง และข้าก็ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาตัดสินคุณค่าของข้า โดยเฉพาะคนที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการดูถูกคนอื่นเพื่อยกระดับตัวเองขึ้นมา” เสียงรอบๆ เริ่มเงียบลง ผู้คนต่างหันมามองการปะทะคารมระหว่างสองสาวอย่างสนใจ ไม่มีใครคาดคิดว่าหลินเข่อซิงจะกล้าโต้กลับหยางเฟยฮุ่ยอย่างรุนแรงเช่นนี้ หยางเฟยฮุ่ยหรี่ตามองหลินเข่อซิง รู้สึกว่าตนเองถูกท้าทายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “ข้าคงต้องรอดูว่า ความมั่นใจที่เจ้ามีนั้นจะพาเจ้าไปได้ไกลแค่ไหน แต่ขอเตือนเจ้าสักอย่าง การอยู่ในที่สูงอาจทำให้เจ้าล้มได้ง่ายขึ้น” “ข้าขอบคุณสำหรับคำเตือน” หลินเข่อซิงตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่แฝงความสงบ “แต่ข้าก็ไม่กลัวที่จะล้ม เพราะข้ารู้ว่าข้าสามารถลุกขึ้นได้เสมอ ที่สำคัญ...ข้าไม่ได้ใช้การเหยียบย่ำคนอื่นเพื่อปีนขึ้นไป ดังนั้นข้าจึงไม่กลัวที่จะตกลงมา!” หยางเฟยฮุ่ยจ้องมองหลินเข่อซิงด้วยความโกรธที่เริ่มปรากฏออกมาบนใบหน้า แต่เธอกลับเลือกที่จะหันหลังเดินจากไป โดยไม่ได้ตอบโต้อีก เพราะรู้ว่าการโต้เถียงต่อไปอาจทำให้นางเสียหน้า เมื่อหยางเฟยฮุ่ยจากไป หลิงเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ มาตลอดอดไม่ได้ที่จะหันมามองหลินเข่อซิงด้วยดวงตาที่เปล่งประกายด้วยความชื่นชม “ท่านช่างกล้าหาญจริงๆเจ้าค่ะ คุณหนู เมื่อครู่ข้าลุ้นจนเกือบลืมหายใจแน่ะเจ้าค่ะ” หลินเข่อซิงหันมายิ้มให้หลิงเฉิน “ข้าแค่คิดว่า...บางที การตอบโต้คนที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าเรา มันไม่ใช่การสู้รบ แต่เป็นการยืนยันว่าเรารู้คุณค่าของตัวเอง” เธอยิ้มบางๆ แล้วหันกลับไปมองบรรยากาศในงานอีกครั้ง ใจของเธอรู้สึกโล่งและมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมหลังจากการปะทะคารมกับหลินเข่อซิง หยางเฟยฮุ่ยเดินจากไปด้วยความโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ความพ่ายแพ้ในการปะทะคารมกันทำให้นางยิ่งรู้สึกเสียหน้า นางจะไม่ยอมปล่อยให้หลินเข่อซิงเดินลอยนวลไปโดยไม่ได้รับบทเรียน นางคิดแผนการร้ายในหัวทันที นางกระซิบสั่งการกับสาวใช้คนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ “ไปจัดการตามที่ข้าบอก แล้วทำให้แนบเนียนที่สุด อย่าให้ใครสงสัย ข้าไม่ต้องการความผิดพลาด เข้าใจหรือไม่?” สาวใช้พยักหน้ารับคำสั่ง ก่อนจะรีบเดินออกไปเตรียมการตามแผน หยางเฟยฮุ่ยมองตามด้วยรอยยิ้มเย็น นางรู้ดีว่าแผนนี้จะทำให้หลินเข่อซิงต้องอับอายขายหน้าแน่ๆ ในขณะที่หลินเข่อซิงกำลังพูดคุยกับหลิงเฉิน สาวใช้จากจวนป๋อก็เข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้มสุภาพ “คุณหนูหลินเจ้าคะ คุณหนูใหญ่จวนป๋ออยากเชิญท่านไปดูสมบัติล้ำค่าที่เก็บไว้ในห้องลับเจ้าค่ะ ของพวกนี้มีเพียงคนพิเศษเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ดู” หลินเข่อซิงเลิกคิ้วด้วยความสงสัย แต่ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เธอตอบรับคำเชิญนั้น “สมบัติล้ำค่า? ข้าสนใจนะ พาข้าไปสิ” “ข้าจะไปกับท่านเจ้า
ไม่ช้า คนที่ตรวจสอบเสร็จก็ประกาศออกมา “ไม่มีสิ่งใดหายไป ของทุกชิ้นอยู่ครบเจ้าค่ะ” เสียงซุบซิบเงียบลงทันที สายตาของคนในจวนเริ่มหันไปทางหยางเฟยฮุ่ยแทน ใบหน้าของนางเริ่มซีดลงเล็กน้อย หลินเข่อซิงยิ้มบางๆ “ดูเหมือนว่าข้าจะพูดความจริงมาตลอด ข้าไม่เคยคิดจะขโมยอะไร ข้าแค่ถูกพามาที่นี่เพื่อชมของล้ำค่าเท่านั้น... แต่ถ้าใครคิดจะใส่ร้ายข้า ก็คงต้องหาวิธีที่ดีกว่านี้” แม้ว่าคนในจวนจะตรวจสอบของในห้องแล้วและไม่พบว่ามีอะไรหายไป แต่หยางเฟยฮุ่ยก็ยังไม่ยอมแพ้ นางกัดฟันแน่นและยิ้มเย็นออกมา “ก็แน่อยู่แล้ว... ของยังอยู่ครบ เพราะเจ้าโดนจับได้ก่อนน่ะสิ! หากไม่มีใครมาพบ เจ้าคงฉวยโอกาสขโมยไปแล้ว ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรหายไปบ้าง” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวจบพลางยิ้มเย้ย ดูซิว่านางจะแก้ตัวยังไง ถึงจะผิดคาดที่ตอนแรกนางกล้าเถียงก็เถอะ คำพูดของหยางเฟยฮุ่ยทำให้ผู้คนรอบข้างเริ่มพยักหน้าเห็นด้วย เสียงกระซิบกระซาบเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง หลายคนมองไปทางหลินเข่อซิงด้วยสายตาที่สงสัย สถานการณ์เริ่มกลับมากดดันอีกครั้ง หลินเข่อซิงรู้สึกถึงความกดดันจากส
ค่ำวันนั้น ภายในเรือนของตระกูลหลิน กลิ่นหอมของอาหารจานโปรดลอยอบอวลไปทั่ว หลินเข่อซิงนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารกับท่านพ่อและท่านแม่ ทั้งสองท่านยิ้มแย้มและดูผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัดในบรรยากาศอันอบอุ่นนี้อาหารที่ถูกจัดวางบนโต๊ะเต็มไปด้วยเมนูโปรดของครอบครัวหลิน ทั้งซุปไก่ตุ๋นโสม ผัดผักน้ำมันหอย และขนมเปี๊ยะไส้ถั่วที่หลินเข่อซิงชอบที่สุด“วันนี้เจ้าดูสดใสจังนะซิงเอ๋อร์” ท่านแม่เอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน ขณะตักซุปไก่ตุ๋นโสมใส่ถ้วยให้หลินเข่อซิง “ตั้งแต่เจ้าฟื้นจากเหตุการณ์ตกน้ำมา ข้าเห็นว่าเจ้าดูเปลี่ยนไปมาก ทั้งบุคลิก ความมั่นใจ ดูเจ้ามีความสุขและพูดเก่งขึ้นมากเลย”หลินเข่อซิงหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส “ข้าแค่รู้สึกว่าชีวิตมันควรจะมีความสนุกและความตื่นเต้นมากกว่านี้เจ้าค่ะท่านแม่ ก่อนหน้านี้ข้าอาจจะกังวลและคิดมากเกินไป แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า...บางทีชีวิตก็ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น เราควรมีความสุขในทุกๆ วันใช่ไหมเจ้าคะ?”ท่านแม่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ขณะที่ท่านพ่อของหลินเข่อซิงก็นั่งมองลูกสาวด้วยแววตาภาคภูมิใจ เขาวางตะเกียบลงก่อนจะเอ่ยขึ้น “ซิงเอ็อร์ ข้าก็รู้สึกเหมือนแม่เจ้า เจ้าเปลี
ในเช้าวันหนึ่ง หลินเข่อซิงและหลิงเฉินออกจากจวนตระกูลหลินเพื่อไปเดินตลาด แม้จะอยู่ในโลกที่ไม่คุ้นเคย แต่หลินเข่อซิงก็เริ่มปรับตัวได้บ้างแล้ว และเธอก็อยากใช้เวลาว่างในการเรียนรู้ชีวิตของผู้คนในยุคนี้"คุณหนู ท่านอยากได้อะไรจากตลาดหรือเจ้าคะ?" หลิงเฉินถามขณะมองไปรอบๆ"ข้าแค่อยากสำรวจดูของที่ยังไม่เคยเห็น และ...หาบางอย่างที่ข้าอาจนำไปใช้ได้" หลินเข่อซิงยิ้มให้สาวใช้ของตนทั้งสองเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงลานตลาดขนาดใหญ่ ที่นั่นกลุ่มชาวบ้านยืนล้อมวงกันอยู่รอบๆ บางคนทำหน้าตื่นตกใจ บางคนมีสีหน้าเครียด เหตุการณ์ในลานตลาดดึงดูดความสนใจของหลินเข่อซิงทันที"เกิดอะไรขึ้นหรือ?" หลินเข่อซิงถามหลิงเฉินด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา"ข้าก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น" หลิงเฉินตอบพลางมองไปยังกลุ่มชาวบ้านหลินเข่อซิงเดินเข้าไปใกล้ฝูงชน และได้ยินเสียงบ่นพึมพำจากคนรอบข้างเกี่ยวกับปัญหาการทำเกลือ ชาวบ้านหลายคนกำลังคุยกันเรื่องวิธีการต้มเกลือที่ไม่ได้ผลดีนัก เกลือที่ได้มามีปัญหามาก เช่น เป็นก้อนแข็งเกินไปหรือมีสีหม่นหมอง"เกลือทั้งหมดที่ได้มานั้นเสียหายไปเกือบครึ่ง ข้าไม่รู้ว่าต้องทำอย่า
ภายในจวนตระกูลหยาง ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมืองหลวงของแคว้น มีบรรยากาศที่ไม่ค่อยสงบสุขเท่าใดนัก แม้ด้านนอกจะดูโอ่อ่า หรูหรา และมีอำนาจล้นฟ้า แต่ภายในจวนกลับเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี ชิงเด่นกันระหว่างบรรดาลูกๆ และภรรยา พ่อของหยางเฟยฮุ่ย ผู้มีบรรดาศักดิ์ “ป๋อ” เป็นคนที่เคร่งขรึมและมีอำนาจ แต่กลับโปรดปรานภรรยารองมากกว่าภรรยาเอกอย่างเห็นได้ชัดหยางเฟยฮุ่ยนั่งอยู่ในห้องของตัวเอง ใบหน้าที่เคยแสดงความหยิ่งยโสบัดนี้กลับเต็มไปด้วยความหงุดหงิด นางเฝ้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นพ่อของนางเดินอยู่กับภรรยารองและลูกๆ ท่าทางของท่านพ่อดูผ่อนคลายและมีความสุขอย่างที่หยางเฟยฮุ่ยไม่เคยเห็นเวลาที่อยู่กับนางและท่านแม่“ทำไมท่านพ่อไม่เคยสนใจข้าเลย...” นางพึมพำกับตัวเอง ดวงตาส่อแววไม่พอใจ “ข้าเป็นลูกสาวของภรรยาเอกแท้ๆ แต่เขากลับเอาใจใส่นางพวกนั้นมากกว่า”พ่อของหยางเฟยฮุ่ย หยางอวี่ถง แม้จะมีความสามารถในฐานะผู้นำตระกูล แต่เขาก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขารักและโปรดปรานภรรยารองมากกว่าภรรยาเอก ซึ่งเป็นแม่แท้ๆ ของหยางเฟยฮุ่ย ต้องอยู่ในสถานะที่ถูกลดความสำคัญลง นางถูกปล่อยให้อยู่ในจวนอย่างโดดเดี่ยว ขณะที่ภรรยารองได้อยู่ใน
เช้านี้ หลินเข่อซิงกำลังเตรียมตัวสำหรับแผนการขั้นต่อไป นางตั้งใจจะเข้าไปใกล้ชิดกับอวิ๋นเฟยหลงมากขึ้น แต่แน่นอนว่าแผนนี้ต้องไม่ใช่การวางท่าเหมือนนางเอกทั่วไปที่ยอมอ่อนให้แล้วกลับไปร้องไห้ หลินเข่อซิงคิดว่าเธอต้องเปลี่ยนวิธีเข้าหาให้ได้ผลกว่านั้นหลังจากคิดไปคิดมา นางตัดสินใจทำอาหารที่ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้เพื่อเอาไปให้อวิ๋นเฟยหลง เธอตั้งใจจะใช้ความรู้ด้านการทำอาหารจากโลกปัจจุบันมาทำให้เขาประทับใจ เพราะไม่ว่าจะเป็นยุคไหน “เสน่ห์ปลายจวัก” ก็เป็นเรื่องสำคัญ“หลิงเฉิน! จัดแจงของให้ข้าเร็วเข้า” หลินเข่อซิงสั่งสาวใช้คนสนิทที่ตอนนี้กำลังจัดจานอาหารที่ถูกทำไว้อย่างประณีต “ข้าต้องการให้ทุกอย่างออกมาดูดี ไม่มีที่ติ”หลิงเฉินยิ้มขันๆ พลางจัดอาหารตามที่คุณหนูสั่ง “คุณหนูนี่ดูจะจริงจังกับเรื่องนี้มากเลยนะเจ้าคะ”“แน่นอน! ข้าจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แบบนางเอกเจ้าน้ำตาแน่” เข่อซิงตอบอย่างมั่นใจ ก่อนจะพาอาหารที่เตรียมไว้ออกเดินทางตรงไปยังจวนของอวิ๋นเฟยหลงเมื่อหลินเข่อซิงมาถึงจวนของอวิ๋นเฟยหลง นางก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงที่ค้นหูอย่างมาก นางเดินเข้า
หลังจากเหตุการณ์ที่เข่อซิงเพิ่งปะทะกับหยางเฟยฮุ่ย เธอก็กลับมาที่จวนของตน นั่งครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ และนึกถึงเรื่องราวในนิยายที่เธอได้อ่านไป ว่าตอนนี้เหตุการณ์ที่เธอพบ มันไปถึงจุดไหนของเรื่องและจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็พลันแวบขึ้นมาในหัว “น้ำท่วม!” หลินเข่อซิงจำได้ชัดเจนว่า ในช่วงเวลานี้ของนิยายที่เธอเคยอ่านซึ่งเป็นกลางถึงปลายเดือนมีนาคม จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ที่ทำให้เมืองนี้ตกอยู่ในความเดือดร้อน ชาวบ้านจำนวนมากต้องสูญเสียทรัพย์สินและบ้านเรือน ชีวิตของพวกเขาจะพลิกผันเพราะภัยพิบัติที่ไม่คาดคิด “ถ้าข้าจำไม่ผิด อีกไม่เกิน 7 วันจะเกิดน้ำท่วม...นี่มันโอกาสของข้านี่นา!” เข่อซิงพึมพำกับตัวเอง ในนิยาย เหตุการณ์นี้เป็นจุดที่ทำให้อวิ๋นเฟยหลงและกองทัพต้องลงมือช่วยชาวบ้าน ทว่านางเอกเดิมกลับไม่ได้มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือเลย เพราะนางเพียงยืนอยู่ข้างๆ อย่างไร้พลัง แต่ตอนนี้ หลินเข่อซิงในฐานะผู้ที่รู้อนาคต จะไม่ยอมให้เรื่องราวเป็นแบบนั้น! เธอตัดสินใจว่าจะใช้ความรู้จากโลกปัจจุบันเพื่อหาทางช่วยชาวบ้านก่อนที
“ขอรับ คุณหนูหลิน!” หัวหน้ากลุ่มทหารอาสาโค้งคำนับอย่างเคารพ ก่อนจะออกคำสั่งให้ลูกน้องเริ่มจัดการตามที่หลินเข่อซิงบอก นางเดินต่อไปยังจุดที่ชาวบ้านกำลังรวมตัวกันพลางถามไถ่สถานการณ์เบื้องต้นจากผู้ดูแล “พวกท่านเตรียมตัวอพยพหรือยัง?” “ข้าเตรียมแล้ว แต่ยังมีบางบ้านที่ไม่ยอมย้ายเจ้าค่ะ บางคนกลัวว่าจะทิ้งทรัพย์สินของตนไว้ไม่ได้” หญิงชราผู้ดูแลชาวบ้านกล่าวด้วยความกังวล หลินเข่อซิงพยักหน้าแล้วหันไปยังกลุ่มชาวบ้านที่ยังดูสับสนและไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรต่อไป นางตัดสินใจเดินไปข้างหน้า ยืนอยู่บนแท่นสูงๆ เล็กน้อยแล้วเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังพอให้ทุกคนได้ยิน “ทุกท่าน! ข้าคือหลินเข่อซิง! วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยพวกท่านเตรียมการป้องกันน้ำท่วม ข้าเข้าใจว่าพวกท่านกังวลเรื่องทรัพย์สินของตน แต่อย่าลืมว่าชีวิตสำคัญที่สุด! ข้าขอให้พวกท่านเริ่มจัดเตรียมของมีค่าที่จำเป็น และรีบย้ายขึ้นที่สูงให้เร็วที่สุด อย่าปล่อยให้สิ่งของผูกมัดเราไว้กับความเสี่ยง เพราะสิ่งของแม้เสียหายหรือสูญไป ยังมีโอกาสหาใหม่ได้ แต่ชีวิตหากดับสิ้นแล้ว
“เฮือก…” เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกดังขึ้น ทำเอาทรวงอกของหญิงสาวยกขึ้นสูง ขนตางอนยาวเรียงตัวสวยเริ่มขยับไหว ในที่สุดเปลือกตาก็คอยๆเลิกขึ้น ปรากฎดวงตากลมโตสดใสที่มองไปมารอบๆ แสงไฟสีขาวนวลสว่างขึ้นในห้องเล็กๆ ของเธอมาจากหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดานห้องสี่เหลี่ยมที่คุ้นเคย เมื่อมองไปตรงมุมห้องขวามือ ก็มีโต๊ะเขียนหนังสือรกๆ ที่มีหนังสือและแก้วน้ำวางอยู่ โทรศัพท์มือถือวางแน่นิ่งบนหัวเตียง สายชาร์จรวมถึงสายสมอลทอร์คพันกันยุ่งเหยิงเป็นก้อนกลม หลินเข่อซิงค่อยๆลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง“เรากลับมาแล้วเหรอ…” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ราวกับไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือเพียงอีกหนึ่งความฝันอันยาวนานนางลูบอกตัวเองเบาๆ เพื่อปลอบใจว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเผชิญมา เป็นเพียงฝันร้ายยาวนานเท่านั้น แต่มันช่างสมจริงเหลือเกิน ความรู้สึกของสายลมในป่าลึก กลิ่นดินหลังฝนตก เสียงหัวเราะของหลิงเฉิน หรือแม้แต่สัมผัสอันอบอุ่นของอวิ๋นเฟยหลง...“เฟยหลง…”เพียงเอ่ยชื่อเขา น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า ราวกับหัวใจถูกบีบรัด เธอรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก พยายา
นับจากโศกนาฏกรรมนองเลือดวันนั้น ก็ผ่านมาได้หนึ่งปีแล้ว อวิ๋นเฟยหลงไม่ยอมรับตำแหน่ง เขาทำเพียงรักษาการณ์แทน และให้เหล่าเสนาบดีเป็นที่ปรึกษาคอยชี้แนะแก่เขาย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน หลังได้รับชัยชนะ เข้ากอบกู้วังหลวงจากคนชั่ว และทวงแค้นจากหานเจี๋ย เขากลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นเฟยหลงประกาศต่อหน้าที่ประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งหลาย“ข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้”คำพูดนั้นสร้างความตกตะลึงไปทั่วห้องประชุม เฟยหลงก้าวออกมายืนกลางห้อง สายตาแน่วแน่“ตลอดชีวิตของข้า ข้าเกิดมาเพื่อรับใช้แผ่นดินและต่อสู้ในสนามรบ ข้าไม่เคยมีความปรารถนาจะครอบครองบัลลังก์มังกร ข้าเชื่อว่าแคว้นนี้สมควรมีผู้นำที่ดีกว่า”นับจากวันนั้นอวิ๋นเฟยหลงก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอดไม่ขาดตกบกพร่องอันใด จนราษฎรต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ ในใจทุกคนอวิ๋นเฟยหลงคือฮ่องเต้ พ่อของแผ่นดินของพวกเขา คอยปกปักคุ้มครองให้แคว้นฉางจีอยู่รอดปลอดภัย บุ๋นก็ชำนาญ บู๊ก็คือเทพเซียนมาจุติและแล้วข่าวดีที่เขารอคอยก็มาถึง เจิ้งจู่ได้รายงานข่าวสำคัญที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เขาค้น
ก่อนที่อวิ๋นเฟยหลงจะได้ปัดป้องตอบโต้ ก็มีเสียงกังวานใสของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“หยุดนะ!” หยางเฟยฮุ่ยยืนอยู่เบื้องหลังของฮ่องเต้ โดยมีทหารองครักษ์ผู้หนี่งใช้ดาบพาดคอของหานเจี๋ย“หากท่านละเว้นอวิ๋นเฟยหลง ข้าก็จะไว้ชีวิตท่าน!” สตรีผู้ได้ชื่อว่าฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน ก้าวขึ้นหน้ามาอีกก้าว หยุดยืนมองหานเจี๋ยนิ่ง“เจ้า!... นี่เจ้ากล้าก่อกบฏหรือ ดีนี่ฮองเฮา ดี … ดียิ่งนัก ทหาร! กุดหัวนางหญิงชั่วนี่ให้ข้าเดี๋ยวนี้!”เงียบ มีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบ ไม่มีทหารคนใดขยับ ต่างมองไปทางอวิ๋นเฟยหลงอย่างรอฟังคำสั่ง“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?!” หานเจี๋ยตื่นตระหนกแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้“ราชโองการในฮ่องเต้พระองค์ก่อน มาถึงแล้ว! อวิ๋นเฟยหลง รับราชโองการ!”ถึงตอนนี้ทหารที่จ่อปลายดาบคุมตัวหานเจี๋ยได้เตะดาบในมือเขาจนกระเด็น ก่อนลากตัวหานเจี๋ยให้ออกห่างจากอวิ๋นเฟยหลง“กระหม่อมอวิ๋นเฟยหลงพ่ะย่ะค่ะ” อดีตแม่ทัพหนุ่มหันกายคุกเข่ามาทางกงกงที่ยืนถือพระราชโองการสีทองอร่ามในมือ“ด้วยโองการสวรรค์ ข้าโอรสสวรรค์ผู้คร
เสียงอาวุธกระทบกันดังไม่หยุด อวิ๋นเฟยหลงหอบหายใจเสียงดัง หลินเข่อซิงมองเสี้ยวหน้าของชายอันเป็นที่รักด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ท่านพี่ ทิ้งข้าไว้เถอะ หากไม่มีข้าท่านก็จะทำศึกได้อย่างเต็มที่ และปกป้องพวกเราทั้งหมดได้”“เหลวไหล! ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้ากับลูกแน่ อย่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน และข้าจะไม่มีวันแพ้! เจ้าอดทนไว้ก่อนนะ” อวิ๋นเฟยหลงปวดใจนักเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆนั่นพูด ประกอบกับบาดแผลที่ไหล่ของนาง เขายิ่งอยากจบศึกนี้ให้เร็วที่สุด กระบวนท่าของอดีตแม่ทัพใหญ่แกว่งไกวดาบเข้าห้ำหั่นศัตรู ร่างกายพลิ้วไหว มือเท้าผสานกัน แม้มือซ้ายจะโอบกอดหลินเข่อซิง แต่นั่นกลับไม่อาจสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มได้“เหล่าพี่น้องของข้า จงฟัง! พวกเจ้าทุกคน วันนี้เราจะเด็ดหัวฮ่องเต้ทรราชนั่นซะ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อพ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกเจ้า ราษฎรแคว้นฉางเยว่ และเพื่อฮ่องเต้องค์ก่อนที่ต้องสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำ จงตามข้ามา!”“เฮๆ ๆ ๆ” เหล่าทหารฝ่ายอวิ๋นเฟยหลงต่างส่งเสียงร้องกู่ก้องไปทั่วลานด้วยการนำของอวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้พวกเขาบุ
‘ท่านพี่ เมื่อท่านได้รับสารฉบับนี้ หวังเพียงว่าท่านจะยังไม่กระทำการรุนแรงกับท่านหมอประจำตัวข้าหรอกนะ’ อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วสูง ก่อนเหลือบมองไปยังใบหน้าช้ำดำเขียว และเปรอะด้วยโลหิตของหมอหนุ่ม ก่อนจะก้มหน้าอ่านต่อ‘ข้าได้ยินมาว่าท่านได้ยกทัพมาประชิดประตูเมืองแล้ว คืนนี้ยามโหย่ว (17.00น. - 19.00น. โดยประมาณ) ข้าจะแอบมารอท่าน ขอท่านพี่ช่วยมารับข้าด้วย ข้าจะไปรอที่ประตูเมืองด้านทักษิณ หลิงเฉินบอกว่าประตูด้านนั้นค่อนข้างหละหลวม เพราะทหารไปรวมกันที่ประตูหน้าเสียส่วนใหญ่ ข้าจะรอท่านนะ’อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตามองไปยังหมอหนุ่มที่ยังนั่งแหงนหน้ามองฟ้า ดูท่ากำเดาคงจะใกล้หยุดไหลแล้วกระมัง อวิ๋นเฟยหลงทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วต่ำ“ข้าต้องขออภัยท่านหมอแทนทหารของข้าด้วย ฝากบอกซิงเอ๋อร์ว่า ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปตามนัดหมาย”เวินสือชูมองบุรุษร่างใหญ่บึกบึนตรงหน้าด้วยความยำเกรง ก่อนจะยิ้มออกมาหน่อยๆ“มิเป็นไร ข้าเข้าใจว่านั่นคือหน้าที่ของพวกเขา หากมิมีอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน หากมานานเกินไป อาจถูกสงสัยได้”อวิ๋นเฟยหลงพยัก
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบกับดาบของเหล่าทหารหาญที่ตั้งทัพอย่างเป็นระเบียบอยู่เบื้องหน้าประตูเมือง เมื่ออวิ๋นเฟยหลงประสานสายตากับเหล่าทหารกล้าที่เขารวบรวมมา พวกเขาคือผู้ที่ยังภักดีต่อแผ่นดินและเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของแม่ทัพผู้เคยกอบกู้แผ่นดิน“วันนี้มิใช่เพียงการทวงคืนวังหลวง” อวิ๋นเฟยหลงประกาศเสียงกร้าว “แต่คือการทวงคืนความยุติธรรม ทวงคืนอนาคตของบ้านเมือง และนำแสงสว่างกลับสู่แคว้นฉางจีอีกครั้ง”เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มจากทหารนับหมื่นที่เข้าร่วม ขบวนธงสีดำลายมังกรทองสะบัดปลิวไสว เสียงอาวุธกระทบกันดังก้อง ขับเคลื่อนจิตใจอันห้าวหาญของนักรบทุกคนเหล่าทหารที่คอยรักษาการณ์ประจำตำแหน่งประตูหน้าต่างตื่นตัวและคอยจับตามองทัพของอดีตแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง อดีตรองแม่ทัพหยางซึ่งในขณะนี้ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ทองลงไปยังอดีตผู้ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่กว่าตน ในสายตามีทั้งความกริ่งเกรง และหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ“ท่านแม่ทัพขอรับ” นายทหารหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมารายงานกับแม่ทัพหยาง“ว่ามา”“ข้าได้รายงานให้กับฝ่าบาททราบแล้วขอรับ ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งใหม่ เห็นว่าฝ่าบา
กลางดึกคืนหนึ่งใต้ฟ้าสีดำสนิท อวิ๋นเฟยหลงและเจิ้งจู่นั่งปรึกษาแผนการกันภายในกระท่อมร้างที่พวกเขาหลบซ่อนอยู่“นายท่าน ครั้งนี้เราจะไม่ยอมให้พลาดอีก” เจิ้งจู่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สายตาแน่วแน่มองผู้เป็นนายอวิ๋นเฟยหลงนั่งนิ่ง ตากลมคมปลาบจ้องมองแผนที่ที่กางอยู่บนโต๊ะไม้เก่า เขามองเส้นทางเข้าออกวังหลวงด้วยสมาธิเต็มเปี่ยม“พลาดไม่ได้อีก เจิ้งจู่” เสียงทุ้มของเขาแฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยว “ครั้งนี้เราต้องเอาตัวซิงเอ๋อร์ออกมาให้ได้”อวิ๋นเฟยหลงเงยหน้าขึ้นจากแผนที่ มองไปยังเจิ้งจู่“แล้วเรื่องที่ข้าสั่งไปถึงไหนแล้ว?”“เรียบร้อยดีขอรับ เรารวบรวมกำลังพลได้มากถึงห้าหมื่นนายที่ยังคงภักดีต่อฮ่องเต้องค์ก่อน แต่ก็ยังนับว่าน้อยนักหากเทียบกับทหารที่ประจำการภายในพระราชวัง”“ดี! ดีมาก ขอบใจเจ้ามากเจิ้งจู่ ผลแพ้ชนะมิได้วัดกันเพียงจำนวนทหาร มีกำลังพลมากแล้วอย่างไร หากเขาเหล่านั้นขาดแรงใจและศรัทธาในผู้นำ” อวิ๋นเฟยหลงยืนเหยียดหลังตรงสองมือไพล่ไว้ด้านหลัง เหม่อมองไปยังจันทราบนฟากฟ้า“ข้าดีใจที่ในที่สุด ท่านก็เลือกจะเปิดเผยตั
ค่ำคืนอันมืดมิดปกคลุมไปทั่ววังหลวง แสงจันทร์ซีดจางลอดผ่านหน้าต่างห้อง หลินเข่อซิงนั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยใบหน้าหม่นหมอง สายตาของนางทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวกลับไม่ได้ช่วยให้นางรู้สึกสงบใจเลยแม้แต่น้อย“คุณหนู...อย่ามัวแต่คิดมากเลยเจ้าค่ะ” หลิงเฉินยกถ้วยชามาวางบนโต๊ะ ใบหน้าของสาวใช้เต็มไปด้วยความเป็นห่วง “พักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ ร่างกายของท่านจะได้ไม่เหนื่อยล้าเกินไป”หลินเข่อซิงถอนหายใจยาว นางก้มมองท้องที่นูนเด่นของตนด้วยสายตาอ่อนล้า “ข้าห่วงเขาเหลือเกิน เฉินเอ๋อร์ เจ้าว่าตอนนี้เขาจะปลอดภัยไหม?”หลิงเฉินนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่ทัพเป็นคนที่แข็งแกร่งและฉลาด ท่านต้องหาทางรอดได้แน่เจ้าค่ะ”หลินเข่อซิงเม้มริมฝีปากแน่น สองมือประสานกันแน่นจนสั่น “ข้าไม่อยากนั่งรออยู่อย่างนี้อีกแล้ว เฉินเอ๋อร์ ข้าควรทำอะไรสักอย่าง”หลิงเฉินมองเจ้านายของนางด้วยความตกใจ “คุณหนูจะทำอะไรเจ้าคะ?”หลินเข่อซิงเบือนสายตามองไปทางประตู “ข้าจะหนีออกไปตามหาเขา ข้าจะต้องหาทางช่วยเขาให้ได้”คำพูดนั้นทำให้ห
แสงจันทร์เล็ดลอดผ่านรอยแยกเล็กๆ บนเพดานห้องขัง เสียงน้ำหยดลงพื้นดังเป็นจังหวะก้องในความเงียบ อวิ๋นเฟยหลงนั่งนิ่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง โซ่ที่ล่ามข้อมือและข้อเท้าของเขายังคงกดทับแน่นจนรู้สึกถึงความเจ็บปวด ร่างกายอ่อนแรงเต็มที แต่หัวใจยังคงเต็มไปด้วยความหวังทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากทางเดินไกลๆ เสียงโลหะกระทบกันดังแว่ว อวิ๋นเฟยหลงเงยหน้าขึ้น สายตาคมกริบจ้องไปยังประตูเหล็กตรงหน้าเสียงดาบกระทบกันดังสนั่น เสียงร้องของทหารที่รักษาคุกดังตามมา อวิ๋นเฟยหลงลุกขึ้นยืน แม้ว่าโซ่จะพันธนาการเขาไว้ แต่เขายังคงตั้งใจเฝ้ารอฟัง ทันใดนั้น เสียงทุบประตูเหล็กก็ดังลั่น“นายท่าน! ข้ามาแล้ว!” เสียงที่คุ้นเคยตะโกนขึ้นประตูเหล็กพังลง เผยให้เห็นเจิ้งจู่ที่ยืนหอบหายใจอยู่ เขาสวมชุดดำสนิทพร้อมดาบเปื้อนเลือดในมือ“เจิ้งจู่...” อวิ๋นเฟยหลงเอ่ยด้วยเสียงแผ่ว“ข้าขอโทษที่มาช้า แต่เราจะพาท่านออกไปเดี๋ยวนี้!”เจิ้งจู่เข้าไปแก้โซ่ที่ล่ามอวิ๋นเฟยหลงอย่างรวดเร็ว ทหารในชุดดำอีกสิบกว่าคนเข้ามาเสริมกำลังกันที่ทางเดิน เสียงต่อสู้ยังคงดังมาจ