เช้านี้ หลินเข่อซิงกำลังเตรียมตัวสำหรับแผนการขั้นต่อไป นางตั้งใจจะเข้าไปใกล้ชิดกับอวิ๋นเฟยหลงมากขึ้น แต่แน่นอนว่าแผนนี้ต้องไม่ใช่การวางท่าเหมือนนางเอกทั่วไปที่ยอมอ่อนให้แล้วกลับไปร้องไห้ หลินเข่อซิงคิดว่าเธอต้องเปลี่ยนวิธีเข้าหาให้ได้ผลกว่านั้น
หลังจากคิดไปคิดมา นางตัดสินใจทำอาหารที่ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้เพื่อเอาไปให้อวิ๋นเฟยหลง เธอตั้งใจจะใช้ความรู้ด้านการทำอาหารจากโลกปัจจุบันมาทำให้เขาประทับใจ เพราะไม่ว่าจะเป็นยุคไหน “เสน่ห์ปลายจวัก” ก็เป็นเรื่องสำคัญ “หลิงเฉิน! จัดแจงของให้ข้าเร็วเข้า” หลินเข่อซิงสั่งสาวใช้คนสนิทที่ตอนนี้กำลังจัดจานอาหารที่ถูกทำไว้อย่างประณีต “ข้าต้องการให้ทุกอย่างออกมาดูดี ไม่มีที่ติ” หลิงเฉินยิ้มขันๆ พลางจัดอาหารตามที่คุณหนูสั่ง “คุณหนูนี่ดูจะจริงจังกับเรื่องนี้มากเลยนะเจ้าคะ” “แน่นอน! ข้าจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แบบนางเอกเจ้าน้ำตาแน่” เข่อซิงตอบอย่างมั่นใจ ก่อนจะพาอาหารที่เตรียมไว้ออกเดินทางตรงไปยังจวนของอวิ๋นเฟยหลง เมื่อหลินเข่อซิงมาถึงจวนของอวิ๋นเฟยหลง นางก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงที่ค้นหูอย่างมาก นางเดินเข้าไปยังห้องโถงของจวน และก่อนที่จะได้ย่างเท้าเข้าไปในห้อง นางก็ได้ยินเสียงหัวเราะนุ่มๆ ที่คุ้นเคย หยางเฟยฮุ่ย นั่นเอง! เมื่อหลินเข่อซิงเปิดประตูห้องเข้าไป นางเห็นภาพที่ทำให้ต้องขบกรามแน่น หยางเฟยฮุ่ยกำลังนั่งกินข้าวกับอวิ๋นเฟยหลง ทั้งสองนั่งตรงข้ามกันอย่างสง่างาม โดยที่หยางเฟยฮุ่ยดูสบายใจเหมือนนางเป็นเจ้าของที่นี่ ทำท่าทำทางอ่อนหวานจนน่าเวียนหัว “เฟยหลง ท่านต้องลองซุปนี้นะเจ้าคะ ข้าอุตส่าห์สั่งให้ห้องครัวทำอย่างพิถีพิถันเพื่อท่านโดยเฉพาะ” หยางเฟยฮุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและแฝงเสน่ห์ อวิ๋นเฟยหลงยกช้อนตักซุปขึ้นมาชิมอย่างนิ่งๆ ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ บนใบหน้า หลินเข่อซิงแอบเบ้ปาก แหม นางหยางเฟยฮุ่ยนี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกันนะ... แผนนี้ใครๆ ก็รู้ว่าต้องการอะไร แต่แทนที่จะหลบหลังแล้วถอยออกไป เธอตัดสินใจว่า ไม่ได้! คนอย่างข้าจะไม่ยอมแพ้แบบนางเอกทั่วๆ ไป หลินเข่อซิงสูดลมหายใจลึก ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในห้องด้วยท่าทางมั่นใจ พร้อมถาดอาหารที่ถือมา “อ้าว! ขอโทษที่มาขัดจังหวะพวกท่านนะเจ้าคะ” หลินเข่อซิงพูดด้วยน้ำเสียงสดใสพลางยิ้มกว้าง “แต่ข้าเพิ่งทำอาหารสูตรพิเศษมาให้ท่านอวิ๋น เลยอยากนำมามอบให้ด้วยตัวเอง” หยางเฟยฮุ่ยที่กำลังพูดอย่างสนุกสนานชะงักไปชั่วขณะ นางหันไปมองหลินเข่อซิงด้วยสายตาเย็นชา “หลินเข่อซิง เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” นางถามอย่างไม่พอใจนัก สายตานางราวกับอยากแผดเผาหลินเข่อซิงให้มอดไหม้ไปเดี๋ยวนั้น “ข้ามาทำอาหารให้ท่านอวิ๋นเจ้าค่ะ” หลินเข่อซิงตอบพร้อมรอยยิ้มหวาน “เป็นอาหารสูตรพิเศษที่ข้าตั้งใจทำด้วยตัวเอง หวังว่าท่านอวิ๋นจะชอบนะเจ้าคะ” อวิ๋นเฟยหลงเหลือบตามองหลินเข่อซิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “อาหารของเจ้าหรือ?” เขาถามอย่างเรียบๆ พร้อมมองของในมือของนาง “ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” หลินเข่อซิงวางถาดอาหารลงตรงหน้าอวิ๋นเฟยหลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปิดฝาครอบออก เผยให้เห็นอาหารที่หน้าตาแปลกใหม่ แต่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมที่ยากจะต้านทาน หยางเฟยฮุ่ยเห็นดังนั้นก็เริ่มหงุดหงิด นางไม่เคยคาดคิดว่าหลินเข่อซิงจะกล้าปรากฏตัวแบบนี้ แถมยังทำอาหารมาแข่งกับนางอีก นางหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าช่างกล้าดีเสียจริง หลินเข่อซิง คิดว่าฝีมือทำอาหารของเจ้าเทียบกับห้องครัวที่ดีที่สุดของจวนอวิ๋นได้อย่างนั้นหรือ?” หลินเข่อซิงยิ้มกว้างและพูดต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน “ข้าไม่ได้บอกว่าฝีมือข้าจะดีที่สุดหรอกเจ้าค่ะ แต่ก็มั่นใจว่าอาหารนี้ทำด้วยความตั้งใจจริง ท่านอวิ๋นลองชิมดูก่อนเถิดเจ้าค่ะ” หยางเฟยฮุ่ยกัดฟันแน่น ก่อนจะหันไปหาอวิ๋นเฟยหลงด้วยสายตาที่หวังว่าชายหนุ่มจะปฏิเสธหลินเข่อซิง แต่กลับผิดคาด อวิ๋นเฟยหลงกลับหยิบช้อนขึ้นมาและตักอาหารจากจานของหลินเข่อซิงเข้าปาก เขาชิมอาหารนั้นอย่างเงียบๆ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่แล้วเขาก็พยักหน้าเบาๆ “อืม…อร่อยดี” คำพูดของอวิ๋นเฟยหลงทำให้หยางเฟยฮุ่ยหน้าเสียไปครู่หนึ่ง นางรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ที่ไม่อาจยอมรับได้ นางตวัดสายตามองหลินเข่อซิงอย่างไม่พอใจ “ท่านอวิ๋นชอบข้าก็ดีใจเจ้าค่ะ” เข่อซิงพูดอย่างสดใส ก่อนจะยิ้มให้หยางเฟยฮุ่ยที่กำลังพยายามระงับความโกรธอยู่ “ข้าต้องขออภัยจริงๆ ที่มาขัดจังหวะ...แต่ในเมื่อท่านอวิ๋นดูท่าจะเพลิดเพลินกับอาหารของข้า งั้นข้าคงอยู่ต่อได้สินะเจ้าคะ?” หยางเฟยฮุ่ยแทบอยากจะกรีดร้อง แต่ต้องสะกดอารมณ์ไว้ นางไม่สามารถพูดอะไรได้มากในตอนนี้ นางรู้ดีว่าหากพูดออกไป นอกจากจะทำลายบรรยากาศแล้ว ยังทำให้อวิ๋นเฟยหลงมองนางไม่ดี และเขาอาจจะไม่พอใจได้ “เอาสิ” อวิ๋นเฟยหลงตอบอย่างเรียบง่าย ทำให้หลินเข่อซิงยิ้มกว้างขึ้นอีกครั้ง นางรู้สึกว่าตนเองชนะในศึกเล็กๆ นี้อย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะเป็นแค่อาหารมื้อหนึ่ง แต่สำหรับหลินเข่อซิง มันเป็นก้าวแรกในการเข้าหาอวิ๋นเฟยหลง และนางรู้ดีว่าการต่อสู้ครั้งนี้เพิ่งเริ่มต้น...และนางจะไม่มีวันยอมแพ้! ในห้องโถงที่บรรยากาศเริ่มร้อนระอุ หยางเฟยฮุ่ยนั่งนิ่งด้วยความไม่พอใจ ใบหน้าที่เคยสง่างามกลับดูเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อต้องเห็นหลินเข่อซิงเข้ามานั่งร่วมโต๊ะและได้รับคำชมจากอวิ๋นเฟยหลง แม้จะแค่เรื่องอาหาร แต่สำหรับหยางเฟยฮุ่ย นี่เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ “เจ้าก็แค่ทำอาหารเอง ทำไมต้องทำเหมือนว่านี่เป็นเรื่องสำคัญนัก?” หยางเฟยฮุ่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เจือความดูถูก “หรือว่าเจ้าไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว? อาหารแปลกๆ นี่คงเป็นทั้งหมดที่เจ้ามีสินะ” หลินเข่อซิงยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับหันไปสบตาหยางเฟยฮุ่ย “ก็ใช่สิ อาหารมันสำคัญไม่ใช่เหรอ? ถ้าเจ้ารู้จักทำอาหารเองบ้าง บางทีอาจจะช่วยให้ใครบางคนรู้สึกดีกับเจ้ามากขึ้นก็ได้นะเจ้าคะ” หลินเข่อซิงเน้นคำว่า 'เอง'อย่างจงใจ หยางเฟยฮุ่ยจ้องหน้าเข่อซิง แววตาของนางเย็นชา “เจ้าหมายความว่าอะไร?” เข่อซิงยิ้มหวาน “ก็หมายความตามนั้นแหละเจ้าค่ะ ข้าว่าความรักมันต้องผ่านกระเพาะถึงจะไปถึงหัวใจ จริงไหมเจ้าคะ?” นางเอียงคอมองเฟยฮุ่ยด้วยสายตาไร้เดียงสา แต่แฝงความยียวนอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นจึงหันไปส่งสายตาหวานเชื่อมให้อวิ๋นเฟยหลง ทำเอาคนกลางอย่างเขาถึงกับทำหน้าไม่ถูก ได้แต่นิ่งเงียบมองสองสาวเล่นสงครามน้ำลายกัน หยางเฟยฮุ่ยกัดฟันแน่น “เจ้ากำลังเยาะเย้ยข้าอยู่ใช่ไหม?” “เยาะเย้ย? โอ้ย! ไม่หรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่พูดตามความจริงเท่านั้น” เข่อซิงพูดพร้อมกับยักไหล่ “แต่ถ้าท่านคิดอย่างนั้น ข้าก็ไม่ว่าอะไรเจ้าค่ะ” หยางเฟยฮุ่ยยิ้มเย็น หัวใจนางเริ่มเดือดดาล แต่พยายามระงับอารมณ์ไว้ “เจ้ามันช่างน่ารำคาญจริงๆ หลินเข่อซิง ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะหน้าด้านแบบนี้ แต่ดูเหมือนเจ้าจะสนุกที่ทำให้ข้าโกรธนะ” “ข้าก็แค่เป็นตัวของตัวเองเจ้าค่ะ ถ้ามันทำให้ใครบางคนโกรธ ข้าก็เสียใจจริงๆ อ่า... นิดหน่อย” เข่อซิงพูดพร้อมกับทำท่ายกนิ้วชี้และโป้งประกบกัน แล้วชูมาใกล้ตา พร้อมยิ้มมุมปาก “แต่ถ้าใครบางคนทำอะไรให้ข้าไม่พอใจ ข้าก็อาจจะตอบโต้กลับก็ได้” หยางเฟยฮุ่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป นางลุกขึ้นยืนพร้อมกับมองหลินเข่อซิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ นางยกมือขึ้น เตรียมจะตบสั่งสอนให้หลินเข่อซิงได้รู้ถึงความโกรธของนาง “เจ้าจะทำอะไรน่ะ?” หลินเข่อซิงพูดเสียงหลง พร้อมกับรีบวิ่งไปหลบหลังอวิ๋นเฟยหลงทันที นางจับแขนเขาอย่างออดอ้อน “ท่านอวิ๋น! ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ! คุณหนูหยางจะทำร้ายข้า!” อวิ๋นเฟยหลงที่นั่งนิ่งอยู่นานมองดูสถานการณ์ตรงหน้า ริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อยก่อนจะหลุดขำออกมาเบาๆ คำหนึ่ง เสียงหัวเราะของอวิ๋นเฟยหลงทำให้หยางเฟยฮุ่ยโกรธจนหน้าแดง เธอรู้สึกว่าตัวเองถูกหยามเกียรติและอับอายอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มาก นางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น กำมือแน่น พยายามสะกดอารมณ์โกรธ “เฟยฮุ่ย” อวิ๋นเฟยหลงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “เรื่องนี้คงไม่ต้องถึงขั้นใช้กำลังหรอก ข้าคิดว่าทุกคนควรสงบสติอารมณ์” หยางเฟยฮุ่ยพยายามระงับความโกรธ นางไม่อยากเสียหน้าต่อหน้าอวิ๋นเฟยหลง “ข้าก็แค่หยอกล้อกับเข่อซิงเท่านั้นเองเจ้าค่ะ ข้าไม่คิดจะทำร้ายอะไรหรอก” นางพูดอย่างฝืนๆ พยายามทำท่าทางไม่ถือสา แต่ในใจนั้นร้อนเป็นไฟ “นั่นสินะเจ้าคะ ข้าก็แค่หยอกล้อกันเล็กน้อย” หลินเข่อซิงพูดเสริมพลางยิ้มกว้าง ก่อนจะแลบลิ้นปลิ้นตาใส่หยางเฟยฮุ่ยขณะที่อวิ๋นเฟยหลงไม่ทันเห็น หยางเฟยฮุ่ยเห็นท่าทางนั้นของเข่อซิงก็แทบระเบิด แต่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายิ้มอย่างฝืนๆ นางจึงทำได้เพียงพูดเสียงเย็น “ข้าว่าข้ากลับก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ ไว้เจอกันครั้งหน้านะ เข่อซิง” ประโยคท้ายนางหันไปมองหลินเข่อซิงพร้อมรอยยิ้ม แต่ไปไม่ถึงดวงตา หลินเข่อซิงยิ้มหวานตอบ “ข้ารออยู่เสมอเจ้าค่ะ” หยางเฟยฮุ่ยกัดฟันแน่น ก่อนจะหันหลังเดินจากไปด้วยความโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ขณะที่หลินเข่อซิงนั่งลงอย่างสบายอกสบายใจ พลางหันมามองอวิ๋นเฟยหลงที่ยังคงมีรอยยิ้มเล็กๆ ติดอยู่ที่มุมปาก “ท่านก็ยิ้มเป็นนี่นา พอยิ้มแล้วโลกดูสดใสขึ้นมาทันทีเลย ข้าว่าท่านควรจะยิ้มบ่อยๆนะ” หลินเข่อซิงว่าพลางยื่นหน้าไปมองใกล้ๆ คนถูกมองหัวใจกระตุก เขาเผลอสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มนัยน์ตาของนางระยิบระยับราวกับมีดวงดาวมากมายอยู่ในนั้น ภาพที่สะท้อนในดวงตานางคือใบหน้าของเขา หลินเข่อซิงใจเต้นแรง เธอทำไปแบบนั้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อได้เห็นใบหน้าเขาชิดใกล้ถึงเพียงนี้ ถึงได้รู้ว่าเขาหล่อเหลาขนาดไหน ริมฝีปากแดงเรื่ออย่างธรรมชาติของเขาเผยอนิดๆ น่า… “มีจดหมายมาขอรับ เอ่อ…” บ่าวรับใช้ในจวนเข้ามารายงาน ทำหน้าตาเลิ่กลั่ก และก้มหน้าลงอย่างไว “อะแฮ่ม… ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เจ้าก็กลับไปเถอะ ข้ามีงานที่ยังต้องทำอีกมาก” อวิ๋นเฟยหลงพูดพร้อมเบือนหน้าหนีนาง “ข้า…ข้าก็ว่าจะกลับแล้วเหมือนกัน ใครอยากจะอยู่กัน” ว่าแล้วหลินเข่อซิงก็รีบร้อนเดินออกไป จจนหลิงเฉินได้แต่วิ่งตามไปติดๆ “คุณหนูๆ คุณหนูเป็นอะไรเจ้าคะ รอข้าด้วยเจ้าค่ะ” คล้อยหลังสองนายบ่าวจากไปแล้ว อวิ๋นเฟยหลงจึงถามบ่าวรับใช้ชายถึงจดหมายที่มาส่ง เขารับจดหมายฉบับนั้นมา ข้างในมีเพียงคำเดียว หลังอ่านจบ เขาเอาจดหมายฉบับนั้นไปเผาทิ้งทันทีหลังจากเหตุการณ์ที่เข่อซิงเพิ่งปะทะกับหยางเฟยฮุ่ย เธอก็กลับมาที่จวนของตน นั่งครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ และนึกถึงเรื่องราวในนิยายที่เธอได้อ่านไป ว่าตอนนี้เหตุการณ์ที่เธอพบ มันไปถึงจุดไหนของเรื่องและจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็พลันแวบขึ้นมาในหัว “น้ำท่วม!” หลินเข่อซิงจำได้ชัดเจนว่า ในช่วงเวลานี้ของนิยายที่เธอเคยอ่านซึ่งเป็นกลางถึงปลายเดือนมีนาคม จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ที่ทำให้เมืองนี้ตกอยู่ในความเดือดร้อน ชาวบ้านจำนวนมากต้องสูญเสียทรัพย์สินและบ้านเรือน ชีวิตของพวกเขาจะพลิกผันเพราะภัยพิบัติที่ไม่คาดคิด “ถ้าข้าจำไม่ผิด อีกไม่เกิน 7 วันจะเกิดน้ำท่วม...นี่มันโอกาสของข้านี่นา!” เข่อซิงพึมพำกับตัวเอง ในนิยาย เหตุการณ์นี้เป็นจุดที่ทำให้อวิ๋นเฟยหลงและกองทัพต้องลงมือช่วยชาวบ้าน ทว่านางเอกเดิมกลับไม่ได้มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือเลย เพราะนางเพียงยืนอยู่ข้างๆ อย่างไร้พลัง แต่ตอนนี้ หลินเข่อซิงในฐานะผู้ที่รู้อนาคต จะไม่ยอมให้เรื่องราวเป็นแบบนั้น! เธอตัดสินใจว่าจะใช้ความรู้จากโลกปัจจุบันเพื่อหาทางช่วยชาวบ้านก่อนที
“ขอรับ คุณหนูหลิน!” หัวหน้ากลุ่มทหารอาสาโค้งคำนับอย่างเคารพ ก่อนจะออกคำสั่งให้ลูกน้องเริ่มจัดการตามที่หลินเข่อซิงบอก นางเดินต่อไปยังจุดที่ชาวบ้านกำลังรวมตัวกันพลางถามไถ่สถานการณ์เบื้องต้นจากผู้ดูแล “พวกท่านเตรียมตัวอพยพหรือยัง?” “ข้าเตรียมแล้ว แต่ยังมีบางบ้านที่ไม่ยอมย้ายเจ้าค่ะ บางคนกลัวว่าจะทิ้งทรัพย์สินของตนไว้ไม่ได้” หญิงชราผู้ดูแลชาวบ้านกล่าวด้วยความกังวล หลินเข่อซิงพยักหน้าแล้วหันไปยังกลุ่มชาวบ้านที่ยังดูสับสนและไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรต่อไป นางตัดสินใจเดินไปข้างหน้า ยืนอยู่บนแท่นสูงๆ เล็กน้อยแล้วเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังพอให้ทุกคนได้ยิน “ทุกท่าน! ข้าคือหลินเข่อซิง! วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยพวกท่านเตรียมการป้องกันน้ำท่วม ข้าเข้าใจว่าพวกท่านกังวลเรื่องทรัพย์สินของตน แต่อย่าลืมว่าชีวิตสำคัญที่สุด! ข้าขอให้พวกท่านเริ่มจัดเตรียมของมีค่าที่จำเป็น และรีบย้ายขึ้นที่สูงให้เร็วที่สุด อย่าปล่อยให้สิ่งของผูกมัดเราไว้กับความเสี่ยง เพราะสิ่งของแม้เสียหายหรือสูญไป ยังมีโอกาสหาใหม่ได้ แต่ชีวิตหากดับสิ้นแล้ว
จวนตระกูลหลิน หลังจากวันที่วุ่นวายจากการเตรียมการป้องกันน้ำท่วม หลินเข่อซิงรู้สึกเหนื่อยล้าแต่ก็ดีใจที่ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว นางนั่งอยู่บนระเบียงเล็กๆ ข้างจวน ทอดสายตาไปยังทิวทัศน์ของหมู่บ้านที่ค่อยๆ สงบลงหลังจากวันอันแสนวุ่นวาย ท้องฟ้ายามเย็นกลายเป็นสีส้มสวยงาม สายลมเย็นๆ พัดผ่าน นางสูดหายใจลึกๆ รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย แต่ขณะที่นางกำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศรอบตัว อวิ๋นเฟยหลงก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ โดยไม่ทันตั้งตัว นางสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเขาพร้อมรอยยิ้ม "ท่านแม่ทัพ มาทำอะไรตรงนี้หรือ?" เข่อซิงถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วเล็กน้อย ทำท่าเหมือนจะไม่สนใจ แต่ก็ยังตอบกลับอย่างเย็นชา “ข้ามาดูว่าเจ้ายังหายใจอยู่หรือเปล่าก็เท่านั้น” เข่อซิงยิ้มกว้าง “ท่านมาหาข้าเพราะเป็นห่วงข้าหรือ?” นางแกล้งถามเพื่อหวังดูสีหน้าคนข้างๆ เขาพลันทำหน้าเคร่งทันที “ข้าไม่ได้ห่วงเจ้า ข้าแค่...ตรวจดูความเรียบร้อย ข้าไม่อยากให้เจ้าป่วยเป็นภาระต่อคนอื่นต่างหาก” “โอ้โห ท่านแม่ทัพ ข้าดู
หยางเฟยฮุ่ยนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวของนาง ทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าที่สวยงามฉายแววเจ้าเล่ห์แฝงความโกรธ นางขบฟันแน่นเมื่อคิดถึงภาพหลินเข่อซิงที่ค่อยๆ ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากชาวบ้านและ...อวิ๋นเฟยหลง เธอได้รับข่าวจากสาวใช้คนสนิทเรื่องของหลินเข่อซิงที่ระยะนี้ไปช่วยชาวบ้านโดยมีอวิ๋นเฟยหลงคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆตลอด “ฮึ! นางคิดว่าจะมาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างจากข้าได้อย่างนั้นรึ?” หยางเฟยฮุ่ยพึมพำเบาๆ พลางมองกระจกเงาสะท้อนใบหน้าที่งดงามของตนเอง นางรู้ดีว่าความงามของตนเองเป็นอาวุธที่แข็งแกร่ง “แต่ข้าจะไม่ลงมือเองหรอก นางไม่คู่ควรให้ข้าต้องเปลืองแรง” แล้วนางก็ยิ้มออกมาอย่างลำพองใจ ขณะที่วางแผนการในใจ นางรู้ว่าที่หมู่บ้านนี้ยังมีชายผู้หนึ่งที่มีอำนาจในท้องที่ และไม่ค่อยพอใจการเข้ามาแทรกแซงของหลินเข่อซิง นั่นก็คือ เฉินอี้เฉียง ชายผู้มีอำนาจจากตระกูลพ่อค้าที่ควบคุมการค้าขายในหมู่บ้าน เขามีชื่อเสียงในเรื่องความหัวรั้นและไม่ชอบใครที่มาขัดขวางผลประโยชน์ของตนเอง หยางเฟยฮุ่ยรู้ว่า ถ้าใช้วิธีที่เหมาะสม นางส
บรรยากาศในหมู่บ้านหลังจากการเตรียมการป้องกันน้ำท่วมเริ่มผ่อนคลายลง หลินเข่อซิงและอวิ๋นเฟยหลงก็มักจะได้เจอกันบ่อยขึ้น นางสังเกตเห็นว่าอวิ๋นเฟยหลงที่เคยมีท่าทีเย็นชา ดูเหมือนจะเปิดใจกับนางมากขึ้นแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงรักษาภาพลักษณ์แม่ทัพที่เยือกเย็นและเคร่งขรึมไว้อยู่เสมอ วันหนึ่ง ขณะที่หลินเข่อซิงกำลังนั่งเขียนบันทึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาลงในสมุดของนาง พลันสายตาของนางก็เหลือบเห็นเงาของใครบางคนเดินเข้ามาหา “คุณหนูหลิน” เสียงทุ้มๆ ที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหลังนาง นางหันกลับไปมองและพบว่าเป็นอวิ๋นเฟยหลงที่กำลังยืนอยู่ เขามีสีหน้าปกติ แต่ในดวงตาแฝงด้วยความอ่อนโยนที่เขาไม่เคยแสดงออกมาก่อน “ท่านอวิ๋น ท่านรู้จักการเข้าตามตรอกออกตามประตูหรือไม่ มีอะไรกับข้าหรือเจ้าคะ?” หลินเข่อซิงถามด้วยรอยยิ้ม “วันนี้...เจ้าอยากไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมไฉ่หงหรือไม่?” อวิ๋นเฟยหลงพูดออกมาอย่างนิ่งๆ แต่หลินเข่อซิงก็พอจะจับความตื่นเต้นที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนั้นได้ “โรงเตี๊ยมไฉ่หงงั้นเหรอ?” เข่อซิงยิ้มกว้างขึ้น “ข้าจำได้ว่าที่นั่นมีอาหารอร่อย ข้ากับหลิงเฉินเคยไปกินมาแล้วครั้งหนึ่ง...งั้นเราก็ไปกันเลยเ
หลังจากเดินเที่ยวเล่นกันมานาน ทั้งสองก็มาหยุดนั่งพักที่ม้านั่งหินใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทางเดิน บรรยากาศยามเย็นเริ่มเข้ามาแทนที่ แสงอาทิตย์สีส้มอ่อนๆ สาดส่องผ่านต้นไม้ใบเขียว สร้างเงาสีทองที่กระจายอยู่ทั่วทั้งบริเวณ “ข้าชอบบรรยากาศแบบนี้จังเลย” เข่อซิงพูดพร้อมกับยิ้มสดใส ขณะที่มองไปยังท้องฟ้า “มันรู้สึกสงบและเป็นอิสระอย่างบอกไม่ถูก” อวิ๋นเฟยหลงที่นั่งข้างๆ นางพยักหน้าเบาๆ “ข้าเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน” เข่อซิงหันมามองหน้าเขา “จริงหรือ? ท่านเองก็ดูเป็นคนที่ชอบอยู่คนเดียวเสียมาก ข้าไม่คิดว่าท่านจะชอบบรรยากาศเช่นนี้” อวิ๋นเฟยหลงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ข้าอาจจะชอบอยู่คนเดียวก็จริง แต่บางครั้ง...การมีใครสักคนอยู่ด้วยก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไม่ใช่หรือ” คำพูดนั้นทำให้เข่อซิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่นางจะยิ้มออกมาอย่างสดใส “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันเจ้าค่ะ” ทั้งสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ความเงียบนี้กลับไม่อึดอัดเหมือนเคย ตรงกันข้าม มันกลับเป็นความเงียบที่ทำให้ทั้งสองรู
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ก็ทรงพระสรวลออกมาด้วยเสียงอันดังก้องท้องพระโรง ก่อนจะพยักหน้าให้ขันทีนำของพระราชทานออกมา ขันทีเดินออกมาพร้อมกับกล่องไม้แกะสลักที่ดูหรูหรา ก่อนจะเปิดกล่องเผยให้เห็นเครื่องประดับหยกอันงดงามและผ้าไหมชั้นเลิศ “ข้ามอบเครื่องประดับหยกนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความชื่นชมในความสามารถและความกล้าหาญของเจ้านะคุณหนูหลิน อีกทั้งผ้าไหมนี้จะเป็นของขวัญจากข้าที่เจ้าจะใช้ได้ตามใจชอบ และมอบทองอีก 1,000 ตำลึง เจ้าพอใจรึไม่” หลินเข่อซิงมองเครื่องประดับหยกด้วยความประทับใจ นางไม่คาดคิดเลยว่าจะได้รับรางวัลจากฮ่องเต้เช่นนี้ นางโค้งคำนับอีกครั้ง “ขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่งเพคะ หม่อมฉันจะรักษาของพระราชทานนี้ไว้ให้ดียิ่งกว่าชีวิตน้อยๆของตัวหม่อมฉันเอง” ฮ่องเต้ทรงแย้มพระโอษฐ์ยกยิ้ม ก่อนจะตรัสปิดท้าย “เจ้ามีความสามารถและมีใจช่วยเหลือผู้อื่น เจิ้นหวังว่าเจ้าอย่าหยุดแค่นี้ และเจิ้นจะรอดูว่าเจ้าจะทำสิ่งดีๆ ต่อไปอย่างไร” หลินเข่อซิงยิ้มด้วยความดีใจและความภาคภูมิใจ นี่ไม่เพียงแต่เป็นการยอมรับจากฮ่องเต้ แต่ยังเป็นโอกาสที่นางจะได้แสดงความสามารถและสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในยุคโบ
“หลินเข่อซิง... เจ้ากำลังซ่อนอะไรจากข้ากันแน่?” อวิ๋นเฟยหลงพึมพำ ขณะนั่งพิงเก้าอี้และมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิด ในใจของเขาเต็มไปด้วยคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบ เขารู้ว่าเขาจะต้องสืบหาความจริงนี้ให้ได้ และยิ่งเขาเข้าใกล้หลินเข่อซิงมากขึ้นเท่าไร ความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ก็อาจจะปรากฏขึ้นมาในที่สุด ในยามเช้าตรู่ ลานฝึกซ้อมของกองทัพเต็มไปด้วยเสียงโลหะกระทบกัน เสียงฝีเท้าหนักๆ ของทหารที่ฝึกซ้อมอย่างจริงจังดังขึ้นเป็นจังหวะ อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่กลางลานฝึก สายตาเคร่งขรึมจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของทหารทุกคน ฝีมือการต่อสู้ของเขายังยอดเยี่ยมเช่นเคย แต่ในวันนี้มีบางอย่างที่ทำให้บรรยากาศดูตึงเครียดยิ่งขึ้น ที่ข้างสนาม หยางหลี่เฉิง รองแม่ทัพผู้สง่างามและเป็นพี่ชายของหยางเฟยฮุ่ย ยืนมองการฝึกซ้อมอยู่ด้วยแววตานิ่งสงบ เขาเป็นหนึ่งในผู้นำทัพที่มากฝีมือ และเป็นคนที่อวิ๋นเฟยหลงไว้ใจให้ช่วยดูแลกองทัพร่วมกับเขา แต่ทว่า วันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่หยางหลี่เฉิงเท่านั้นที่มาดูการฝึกซ้อม เพราะที่มุมหนึ่งของลานฝึก หยางเฟยฮุ่ยก็มาด้วย นางสวมชุดผ้าไหมบางเบาและงดงาม ใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มหวาน แต่สายตาท
“เฮือก…” เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกดังขึ้น ทำเอาทรวงอกของหญิงสาวยกขึ้นสูง ขนตางอนยาวเรียงตัวสวยเริ่มขยับไหว ในที่สุดเปลือกตาก็คอยๆเลิกขึ้น ปรากฎดวงตากลมโตสดใสที่มองไปมารอบๆ แสงไฟสีขาวนวลสว่างขึ้นในห้องเล็กๆ ของเธอมาจากหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดานห้องสี่เหลี่ยมที่คุ้นเคย เมื่อมองไปตรงมุมห้องขวามือ ก็มีโต๊ะเขียนหนังสือรกๆ ที่มีหนังสือและแก้วน้ำวางอยู่ โทรศัพท์มือถือวางแน่นิ่งบนหัวเตียง สายชาร์จรวมถึงสายสมอลทอร์คพันกันยุ่งเหยิงเป็นก้อนกลม หลินเข่อซิงค่อยๆลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง“เรากลับมาแล้วเหรอ…” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ราวกับไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือเพียงอีกหนึ่งความฝันอันยาวนานนางลูบอกตัวเองเบาๆ เพื่อปลอบใจว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเผชิญมา เป็นเพียงฝันร้ายยาวนานเท่านั้น แต่มันช่างสมจริงเหลือเกิน ความรู้สึกของสายลมในป่าลึก กลิ่นดินหลังฝนตก เสียงหัวเราะของหลิงเฉิน หรือแม้แต่สัมผัสอันอบอุ่นของอวิ๋นเฟยหลง...“เฟยหลง…”เพียงเอ่ยชื่อเขา น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า ราวกับหัวใจถูกบีบรัด เธอรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก พยายา
นับจากโศกนาฏกรรมนองเลือดวันนั้น ก็ผ่านมาได้หนึ่งปีแล้ว อวิ๋นเฟยหลงไม่ยอมรับตำแหน่ง เขาทำเพียงรักษาการณ์แทน และให้เหล่าเสนาบดีเป็นที่ปรึกษาคอยชี้แนะแก่เขาย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน หลังได้รับชัยชนะ เข้ากอบกู้วังหลวงจากคนชั่ว และทวงแค้นจากหานเจี๋ย เขากลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นเฟยหลงประกาศต่อหน้าที่ประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งหลาย“ข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้”คำพูดนั้นสร้างความตกตะลึงไปทั่วห้องประชุม เฟยหลงก้าวออกมายืนกลางห้อง สายตาแน่วแน่“ตลอดชีวิตของข้า ข้าเกิดมาเพื่อรับใช้แผ่นดินและต่อสู้ในสนามรบ ข้าไม่เคยมีความปรารถนาจะครอบครองบัลลังก์มังกร ข้าเชื่อว่าแคว้นนี้สมควรมีผู้นำที่ดีกว่า”นับจากวันนั้นอวิ๋นเฟยหลงก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอดไม่ขาดตกบกพร่องอันใด จนราษฎรต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ ในใจทุกคนอวิ๋นเฟยหลงคือฮ่องเต้ พ่อของแผ่นดินของพวกเขา คอยปกปักคุ้มครองให้แคว้นฉางจีอยู่รอดปลอดภัย บุ๋นก็ชำนาญ บู๊ก็คือเทพเซียนมาจุติและแล้วข่าวดีที่เขารอคอยก็มาถึง เจิ้งจู่ได้รายงานข่าวสำคัญที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เขาค้น
ก่อนที่อวิ๋นเฟยหลงจะได้ปัดป้องตอบโต้ ก็มีเสียงกังวานใสของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“หยุดนะ!” หยางเฟยฮุ่ยยืนอยู่เบื้องหลังของฮ่องเต้ โดยมีทหารองครักษ์ผู้หนี่งใช้ดาบพาดคอของหานเจี๋ย“หากท่านละเว้นอวิ๋นเฟยหลง ข้าก็จะไว้ชีวิตท่าน!” สตรีผู้ได้ชื่อว่าฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน ก้าวขึ้นหน้ามาอีกก้าว หยุดยืนมองหานเจี๋ยนิ่ง“เจ้า!... นี่เจ้ากล้าก่อกบฏหรือ ดีนี่ฮองเฮา ดี … ดียิ่งนัก ทหาร! กุดหัวนางหญิงชั่วนี่ให้ข้าเดี๋ยวนี้!”เงียบ มีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบ ไม่มีทหารคนใดขยับ ต่างมองไปทางอวิ๋นเฟยหลงอย่างรอฟังคำสั่ง“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?!” หานเจี๋ยตื่นตระหนกแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้“ราชโองการในฮ่องเต้พระองค์ก่อน มาถึงแล้ว! อวิ๋นเฟยหลง รับราชโองการ!”ถึงตอนนี้ทหารที่จ่อปลายดาบคุมตัวหานเจี๋ยได้เตะดาบในมือเขาจนกระเด็น ก่อนลากตัวหานเจี๋ยให้ออกห่างจากอวิ๋นเฟยหลง“กระหม่อมอวิ๋นเฟยหลงพ่ะย่ะค่ะ” อดีตแม่ทัพหนุ่มหันกายคุกเข่ามาทางกงกงที่ยืนถือพระราชโองการสีทองอร่ามในมือ“ด้วยโองการสวรรค์ ข้าโอรสสวรรค์ผู้คร
เสียงอาวุธกระทบกันดังไม่หยุด อวิ๋นเฟยหลงหอบหายใจเสียงดัง หลินเข่อซิงมองเสี้ยวหน้าของชายอันเป็นที่รักด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ท่านพี่ ทิ้งข้าไว้เถอะ หากไม่มีข้าท่านก็จะทำศึกได้อย่างเต็มที่ และปกป้องพวกเราทั้งหมดได้”“เหลวไหล! ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้ากับลูกแน่ อย่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน และข้าจะไม่มีวันแพ้! เจ้าอดทนไว้ก่อนนะ” อวิ๋นเฟยหลงปวดใจนักเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆนั่นพูด ประกอบกับบาดแผลที่ไหล่ของนาง เขายิ่งอยากจบศึกนี้ให้เร็วที่สุด กระบวนท่าของอดีตแม่ทัพใหญ่แกว่งไกวดาบเข้าห้ำหั่นศัตรู ร่างกายพลิ้วไหว มือเท้าผสานกัน แม้มือซ้ายจะโอบกอดหลินเข่อซิง แต่นั่นกลับไม่อาจสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มได้“เหล่าพี่น้องของข้า จงฟัง! พวกเจ้าทุกคน วันนี้เราจะเด็ดหัวฮ่องเต้ทรราชนั่นซะ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อพ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกเจ้า ราษฎรแคว้นฉางเยว่ และเพื่อฮ่องเต้องค์ก่อนที่ต้องสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำ จงตามข้ามา!”“เฮๆ ๆ ๆ” เหล่าทหารฝ่ายอวิ๋นเฟยหลงต่างส่งเสียงร้องกู่ก้องไปทั่วลานด้วยการนำของอวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้พวกเขาบุ
‘ท่านพี่ เมื่อท่านได้รับสารฉบับนี้ หวังเพียงว่าท่านจะยังไม่กระทำการรุนแรงกับท่านหมอประจำตัวข้าหรอกนะ’ อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วสูง ก่อนเหลือบมองไปยังใบหน้าช้ำดำเขียว และเปรอะด้วยโลหิตของหมอหนุ่ม ก่อนจะก้มหน้าอ่านต่อ‘ข้าได้ยินมาว่าท่านได้ยกทัพมาประชิดประตูเมืองแล้ว คืนนี้ยามโหย่ว (17.00น. - 19.00น. โดยประมาณ) ข้าจะแอบมารอท่าน ขอท่านพี่ช่วยมารับข้าด้วย ข้าจะไปรอที่ประตูเมืองด้านทักษิณ หลิงเฉินบอกว่าประตูด้านนั้นค่อนข้างหละหลวม เพราะทหารไปรวมกันที่ประตูหน้าเสียส่วนใหญ่ ข้าจะรอท่านนะ’อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตามองไปยังหมอหนุ่มที่ยังนั่งแหงนหน้ามองฟ้า ดูท่ากำเดาคงจะใกล้หยุดไหลแล้วกระมัง อวิ๋นเฟยหลงทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วต่ำ“ข้าต้องขออภัยท่านหมอแทนทหารของข้าด้วย ฝากบอกซิงเอ๋อร์ว่า ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปตามนัดหมาย”เวินสือชูมองบุรุษร่างใหญ่บึกบึนตรงหน้าด้วยความยำเกรง ก่อนจะยิ้มออกมาหน่อยๆ“มิเป็นไร ข้าเข้าใจว่านั่นคือหน้าที่ของพวกเขา หากมิมีอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน หากมานานเกินไป อาจถูกสงสัยได้”อวิ๋นเฟยหลงพยัก
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบกับดาบของเหล่าทหารหาญที่ตั้งทัพอย่างเป็นระเบียบอยู่เบื้องหน้าประตูเมือง เมื่ออวิ๋นเฟยหลงประสานสายตากับเหล่าทหารกล้าที่เขารวบรวมมา พวกเขาคือผู้ที่ยังภักดีต่อแผ่นดินและเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของแม่ทัพผู้เคยกอบกู้แผ่นดิน“วันนี้มิใช่เพียงการทวงคืนวังหลวง” อวิ๋นเฟยหลงประกาศเสียงกร้าว “แต่คือการทวงคืนความยุติธรรม ทวงคืนอนาคตของบ้านเมือง และนำแสงสว่างกลับสู่แคว้นฉางจีอีกครั้ง”เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มจากทหารนับหมื่นที่เข้าร่วม ขบวนธงสีดำลายมังกรทองสะบัดปลิวไสว เสียงอาวุธกระทบกันดังก้อง ขับเคลื่อนจิตใจอันห้าวหาญของนักรบทุกคนเหล่าทหารที่คอยรักษาการณ์ประจำตำแหน่งประตูหน้าต่างตื่นตัวและคอยจับตามองทัพของอดีตแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง อดีตรองแม่ทัพหยางซึ่งในขณะนี้ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ทองลงไปยังอดีตผู้ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่กว่าตน ในสายตามีทั้งความกริ่งเกรง และหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ“ท่านแม่ทัพขอรับ” นายทหารหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมารายงานกับแม่ทัพหยาง“ว่ามา”“ข้าได้รายงานให้กับฝ่าบาททราบแล้วขอรับ ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งใหม่ เห็นว่าฝ่าบา
กลางดึกคืนหนึ่งใต้ฟ้าสีดำสนิท อวิ๋นเฟยหลงและเจิ้งจู่นั่งปรึกษาแผนการกันภายในกระท่อมร้างที่พวกเขาหลบซ่อนอยู่“นายท่าน ครั้งนี้เราจะไม่ยอมให้พลาดอีก” เจิ้งจู่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สายตาแน่วแน่มองผู้เป็นนายอวิ๋นเฟยหลงนั่งนิ่ง ตากลมคมปลาบจ้องมองแผนที่ที่กางอยู่บนโต๊ะไม้เก่า เขามองเส้นทางเข้าออกวังหลวงด้วยสมาธิเต็มเปี่ยม“พลาดไม่ได้อีก เจิ้งจู่” เสียงทุ้มของเขาแฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยว “ครั้งนี้เราต้องเอาตัวซิงเอ๋อร์ออกมาให้ได้”อวิ๋นเฟยหลงเงยหน้าขึ้นจากแผนที่ มองไปยังเจิ้งจู่“แล้วเรื่องที่ข้าสั่งไปถึงไหนแล้ว?”“เรียบร้อยดีขอรับ เรารวบรวมกำลังพลได้มากถึงห้าหมื่นนายที่ยังคงภักดีต่อฮ่องเต้องค์ก่อน แต่ก็ยังนับว่าน้อยนักหากเทียบกับทหารที่ประจำการภายในพระราชวัง”“ดี! ดีมาก ขอบใจเจ้ามากเจิ้งจู่ ผลแพ้ชนะมิได้วัดกันเพียงจำนวนทหาร มีกำลังพลมากแล้วอย่างไร หากเขาเหล่านั้นขาดแรงใจและศรัทธาในผู้นำ” อวิ๋นเฟยหลงยืนเหยียดหลังตรงสองมือไพล่ไว้ด้านหลัง เหม่อมองไปยังจันทราบนฟากฟ้า“ข้าดีใจที่ในที่สุด ท่านก็เลือกจะเปิดเผยตั
ค่ำคืนอันมืดมิดปกคลุมไปทั่ววังหลวง แสงจันทร์ซีดจางลอดผ่านหน้าต่างห้อง หลินเข่อซิงนั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยใบหน้าหม่นหมอง สายตาของนางทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวกลับไม่ได้ช่วยให้นางรู้สึกสงบใจเลยแม้แต่น้อย“คุณหนู...อย่ามัวแต่คิดมากเลยเจ้าค่ะ” หลิงเฉินยกถ้วยชามาวางบนโต๊ะ ใบหน้าของสาวใช้เต็มไปด้วยความเป็นห่วง “พักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ ร่างกายของท่านจะได้ไม่เหนื่อยล้าเกินไป”หลินเข่อซิงถอนหายใจยาว นางก้มมองท้องที่นูนเด่นของตนด้วยสายตาอ่อนล้า “ข้าห่วงเขาเหลือเกิน เฉินเอ๋อร์ เจ้าว่าตอนนี้เขาจะปลอดภัยไหม?”หลิงเฉินนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่ทัพเป็นคนที่แข็งแกร่งและฉลาด ท่านต้องหาทางรอดได้แน่เจ้าค่ะ”หลินเข่อซิงเม้มริมฝีปากแน่น สองมือประสานกันแน่นจนสั่น “ข้าไม่อยากนั่งรออยู่อย่างนี้อีกแล้ว เฉินเอ๋อร์ ข้าควรทำอะไรสักอย่าง”หลิงเฉินมองเจ้านายของนางด้วยความตกใจ “คุณหนูจะทำอะไรเจ้าคะ?”หลินเข่อซิงเบือนสายตามองไปทางประตู “ข้าจะหนีออกไปตามหาเขา ข้าจะต้องหาทางช่วยเขาให้ได้”คำพูดนั้นทำให้ห
แสงจันทร์เล็ดลอดผ่านรอยแยกเล็กๆ บนเพดานห้องขัง เสียงน้ำหยดลงพื้นดังเป็นจังหวะก้องในความเงียบ อวิ๋นเฟยหลงนั่งนิ่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง โซ่ที่ล่ามข้อมือและข้อเท้าของเขายังคงกดทับแน่นจนรู้สึกถึงความเจ็บปวด ร่างกายอ่อนแรงเต็มที แต่หัวใจยังคงเต็มไปด้วยความหวังทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากทางเดินไกลๆ เสียงโลหะกระทบกันดังแว่ว อวิ๋นเฟยหลงเงยหน้าขึ้น สายตาคมกริบจ้องไปยังประตูเหล็กตรงหน้าเสียงดาบกระทบกันดังสนั่น เสียงร้องของทหารที่รักษาคุกดังตามมา อวิ๋นเฟยหลงลุกขึ้นยืน แม้ว่าโซ่จะพันธนาการเขาไว้ แต่เขายังคงตั้งใจเฝ้ารอฟัง ทันใดนั้น เสียงทุบประตูเหล็กก็ดังลั่น“นายท่าน! ข้ามาแล้ว!” เสียงที่คุ้นเคยตะโกนขึ้นประตูเหล็กพังลง เผยให้เห็นเจิ้งจู่ที่ยืนหอบหายใจอยู่ เขาสวมชุดดำสนิทพร้อมดาบเปื้อนเลือดในมือ“เจิ้งจู่...” อวิ๋นเฟยหลงเอ่ยด้วยเสียงแผ่ว“ข้าขอโทษที่มาช้า แต่เราจะพาท่านออกไปเดี๋ยวนี้!”เจิ้งจู่เข้าไปแก้โซ่ที่ล่ามอวิ๋นเฟยหลงอย่างรวดเร็ว ทหารในชุดดำอีกสิบกว่าคนเข้ามาเสริมกำลังกันที่ทางเดิน เสียงต่อสู้ยังคงดังมาจ