“ขอรับ คุณหนูหลิน!” หัวหน้ากลุ่มทหารอาสาโค้งคำนับอย่างเคารพ ก่อนจะออกคำสั่งให้ลูกน้องเริ่มจัดการตามที่หลินเข่อซิงบอก
นางเดินต่อไปยังจุดที่ชาวบ้านกำลังรวมตัวกันพลางถามไถ่สถานการณ์เบื้องต้นจากผู้ดูแล “พวกท่านเตรียมตัวอพยพหรือยัง?” “ข้าเตรียมแล้ว แต่ยังมีบางบ้านที่ไม่ยอมย้ายเจ้าค่ะ บางคนกลัวว่าจะทิ้งทรัพย์สินของตนไว้ไม่ได้” หญิงชราผู้ดูแลชาวบ้านกล่าวด้วยความกังวล หลินเข่อซิงพยักหน้าแล้วหันไปยังกลุ่มชาวบ้านที่ยังดูสับสนและไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรต่อไป นางตัดสินใจเดินไปข้างหน้า ยืนอยู่บนแท่นสูงๆ เล็กน้อยแล้วเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังพอให้ทุกคนได้ยิน “ทุกท่าน! ข้าคือหลินเข่อซิง! วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยพวกท่านเตรียมการป้องกันน้ำท่วม ข้าเข้าใจว่าพวกท่านกังวลเรื่องทรัพย์สินของตน แต่อย่าลืมว่าชีวิตสำคัญที่สุด! ข้าขอให้พวกท่านเริ่มจัดเตรียมของมีค่าที่จำเป็น และรีบย้ายขึ้นที่สูงให้เร็วที่สุด อย่าปล่อยให้สิ่งของผูกมัดเราไว้กับความเสี่ยง เพราะสิ่งของแม้เสียหายหรือสูญไป ยังมีโอกาสหาใหม่ได้ แต่ชีวิตหากดับสิ้นแล้ว ก็ไม่มีโอกาสใดๆเหลืออยู่อีกแล้ว!” ชาวบ้านที่ฟังเริ่มหันมาสนใจคำพูดของเข่อซิง นางมีน้ำเสียงมั่นใจและหนักแน่น แต่ไม่ดุเดือดจนทำให้คนกลัว “การอพยพเป็นเรื่องสำคัญ การที่เราป้องกันตัวเองได้ก่อนน้ำมาถึง จะช่วยลดความเสียหายได้มาก และพวกท่านก็ไม่ต้องเสียทรัพย์สินมากเท่าที่คิด ถ้าพวกท่านช่วยกันขนย้ายสิ่งของที่สำคัญได้ทันเวลา” หนึ่งในชาวบ้านที่เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งยกมือขึ้นแล้วถาม “แต่พวกเราจะย้ายอะไรไปได้ล่ะขอรับ? ข้าวของบางอย่างใหญ่เกินกว่าจะขนย้ายได้ง่ายๆ” หลินเข่อซิงยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ “นั่นเป็นเรื่องที่ข้าเข้าใจดี พวกท่านไม่จำเป็นต้องขนย้ายทุกสิ่งทุกอย่างไป แต่ขอให้เริ่มจากสิ่งของที่สำคัญก่อน เช่น ของใช้จำเป็น และของมีค่า ส่วนที่เหลือ ข้าขอให้พวกท่านนำขึ้นวางไว้บนที่สูงในบ้าน เช่น ชั้นสอง หรือบนชั้นวางของ และใช้ไม้หรือเชือกช่วยยึดสิ่งของไม่ให้ลื่นไหลตามกระแสน้ำ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลายคนก็เริ่มเข้าใจและพยักหน้าตาม แต่ยังมีบางคนที่ยังกังวลใจอยู่ ชาวบ้านชายอีกคนหนึ่งพูดขึ้น “แล้วถ้าน้ำท่วมเร็วล่ะขอรับ? พวกเราจะทำยังไง?” หลินเข่อซิงมองหน้าเขาด้วยสายตาที่มั่นใจ “พวกเราต้องเตรียมการให้เร็วที่สุด ข้าขอให้ทุกท่านช่วยกันจัดการสิ่งกีดขวางในบ้านและเตรียมทางหนีไว้ หากน้ำท่วมมาถึงแล้ว ยังมีวิธีอพยพให้ทุกท่านปลอดภัย ข้าจะสอนพวกท่านจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนเวลา" นางหันไปทางหัวหน้าผู้ดูแลทหาร "ข้าขอให้พวกท่านส่งคนเข้าไปช่วยชาวบ้านเก็บบ้านให้เร็วที่สุด และให้จัดเตรียมจุดรวมพลที่สูงที่สุดในหมู่บ้าน ให้ทุกคนรู้ว่า หากเกิดเหตุร้ายต้องไปที่ไหน" หลังจากสั่งการแล้ว หลินเข่อซิงเดินสำรวจตามบ้านเรือน พร้อมกับพูดคุยกับชาวบ้านอย่างเป็นกันเอง นางเดินไปหาหญิงชราคนหนึ่งที่นั่งเฝ้าบ้านอยู่หน้าบ้านไม้หลังเล็ก "ท่านป้าคะ เตรียมตัวหรือยังคะ?" เข่อซิงยิ้มให้แล้วนั่งลงข้างๆ “ข้าไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงดี ข้าอยู่ที่นี่มานาน ไม่เคยต้องเจอกับน้ำท่วมแบบนี้มาก่อน” หญิงชรากล่าวด้วยเสียงเศร้า หลินเข่อซิงจับมือหญิงชราเบาๆ “ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ข้าจะให้ทหารช่วยยกของมีค่าของท่านขึ้นไปไว้ที่สูงก่อน แล้วเราจะดูแลท่านเอง ท่านต้องรีบขึ้นไปยังจุดรวมพลทันทีที่มีสัญญาณนะเจ้าคะ” หญิงชราพยักหน้ารับแล้วขอบคุณด้วยน้ำตาซึม ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา นางหันไปหาทหารที่อยู่ใกล้ๆ แล้วสั่งให้พวกเขาช่วยจัดการตามที่บอก จากนั้นนางก็เดินไปทางเด็กๆ ที่กำลังวิ่งเล่นใกล้ๆ กับบ้านหลังหนึ่ง “เด็กๆ มาเร็ว! ข้ามีเรื่องจะบอก!” เข่อซิงเรียกเด็กๆ ที่วิ่งกันอย่างสนุกสนาน เด็กๆ หันมามองแล้ววิ่งเข้ามาหานางด้วยความตื่นเต้น “คุณหนูหลินมีอะไรให้พวกเราหรือเจ้าคะ?” เด็กหญิงคนหนึ่งถาม “ข้าจะบอกพวกเจ้าไว้ หากพวกเจ้ารู้สึกว่าน้ำเริ่มสูงขึ้น แม้เพียงข้อเท้าก็อย่าอยู่ในบ้านหรือเล่นน้ำเชียวนะ รีบไปหาพ่อแม่หรือไปที่จุดรวมพลทันที เข้าใจไหม?” นางพูดอย่างจริงจัง แต่แฝงความอ่อนโยน เด็กๆ พยักหน้ารับอย่างตั้งใจ “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ! พวกเราจะไม่เล่นน้ำ!” เข่อซิงยิ้มออกมาอย่างพอใจ “ดีมาก พวกเจ้าเป็นเด็กดี ข้าขอให้พวกเจ้าช่วยบอกเพื่อนๆ ด้วยนะ เข้าใจไหม?” “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” เด็กๆ ตอบพร้อมกันก่อนจะวิ่งไปบอกเพื่อนๆ ต่อ ทำให้บรรยากาศรอบๆ ดูครึกครื้นขึ้นเล็กน้อย อวิ๋นเฟยหลงที่คอยเฝ้ามองหลินเข่อซิงตลอดการทำงานเงียบๆ เขามองนางด้วยความทึ่ง นางไม่เพียงแต่สั่งการอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังมีความอ่อนโยนและใจดีในการดูแลชาวบ้าน นางใช้ทักษะการพูดและความเข้าใจในการสื่อสารกับชาวบ้านได้อย่างน่าอัศจรรย์ “นี่! แม่นาง!” เสียงเรียกจากชาวบ้านคนหนึ่งดังขึ้นจากอีกฝั่งของลาน หลินเข่อซิงหันไปเห็นชาวบ้านชายวัยกลางคนกำลังยืนกอดอกด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ชายคนนั้นดูไม่พอใจ “ทำไมข้าต้องเชื่อฟังเจ้าด้วย? ข้าจะไม่อพยพไปไหน! ข้าจะอยู่ที่บ้านของข้า! น้ำจะท่วมแค่ไหนข้าก็ไม่กลัว!” หลินเข่อซิงมองดูเขาแล้วสูดหายใจเข้า “ท่านลุง ข้าเข้าใจว่าท่านรักบ้านของท่าน แต่เราต้องคิดถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญนะเจ้าคะ การอพยพเป็นเพียงการชั่วคราว เมื่อสถานการณ์ปลอดภัยแล้ว พวกท่านจะได้กลับมาโดยไม่มีอะไรเสียหาย” “แต่ข้าไม่อยากทิ้งบ้าน! ทรัพย์สมบัติของข้า ข้าจะทิ้งมันไปไม่ได้หรอก!” เห็นดังนั้น อวิ๋นเฟยหลงจึงก้าวเข้ามาข้างๆ เข่อซิง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “เจ้าควรฟังคำสั่ง การป้องกันตัวเองคือสิ่งสำคัญที่สุด ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครเสียชีวิตเพียงเพราะไม่ฟังคำเตือน หากเจ้าดื้อดึง ข้าจะถือว่าเจ้าไม่เคารพกฎของเมือง และข้าจะต้องสั่งให้อพยพเจ้าโดยตรง” ชาวบ้านชายคนนั้นดูตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของอวิ๋นเฟยหลง และรีบหันกลับไปสงบเสงี่ยมทันใด หลินเข่อซิงยิ้มขอบคุณเบาๆ ให้กับอวิ๋นเฟยหลง “ขอบคุณที่ช่วยพูดนะ ข้ากำลังหาทางทำให้เขายอมรับอยู่พอดี” “ข้าแค่ทำหน้าที่” อวิ๋นเฟยหลงตอบสั้นๆ แต่ในใจรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ช่วยนาง และยังรู้สึกโล่งใจที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย เมื่อเวลาผ่านไป การเตรียมการและจัดการต่างๆ ก็เป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น ชาวบ้านเริ่มเข้าใจและให้ความร่วมมือมากขึ้น หลินเข่อซิงและอวิ๋นเฟยหลงเดินไปตามจุดต่างๆ เพื่อคอยตรวจสอบความคืบหน้า ทั้งสองทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดินตรวจสอบ เข่อซิงสังเกตเห็นว่าเด็กๆ ที่นางสอนให้หลบภัยก่อนหน้านี้ เริ่มช่วยกันเคลื่อนย้ายสิ่งของในบ้านไปยังจุดที่สูงขึ้น นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างพอใจ “เจ้าเก่งนะ” เสียงของอวิ๋นเฟยหลงดังขึ้นข้างๆ นาง ทำให้นางหันไปมองเขา “ข้าทำอะไรเก่งล่ะ?” นางถามกลับด้วยรอยยิ้มขำๆ “เจ้าเก่งในการพูดให้คนอื่นฟัง โดยเฉพาะการพูดกับชาวบ้าน” อวิ๋นเฟยหลงตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “พวกเขาไม่ค่อยเชื่อใครง่ายๆ แต่เจ้าเข้าหาพวกเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็ทำได้” หลินเข่อซิงยิ้มกว้าง “ข้าแค่ใช้วิธีที่ข้าเคยเรียนรู้มาในโลกของข้า เอ่ออ…หมายถึงในตำราน่ะ แล้วข้าก็ชอบทำงานกับผู้คนมาตลอด และข้ารู้ว่าการที่เราทำให้พวกเขาเข้าใจสิ่งที่ต้องทำ และเห็นประโยชน์ของมัน จะทำให้พวกเขายินดีที่จะร่วมมือ” อวิ๋นเฟยหลงพยักหน้าเล็กน้อย เขายิ่งรู้สึกทึ่งในตัวนางมากขึ้นทุกที ไม่เพียงแต่ทักษะการพูดและการสั่งการที่เป็นเลิศ นางยังมีความรอบรู้และประสบการณ์ที่ดูไม่เหมือนใครในยุคนี้ “แล้วท่านล่ะ ท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่?” เข่อซิงหันมาถามเขาด้วยแววตาขี้เล่น “ท่านไม่คิดหรือว่าการที่ท่านคอยช่วยข้าตลอดเวลาแบบนี้ ข้าจะต้องขอบคุณท่านอีกสักครั้ง” อวิ๋นเฟยหลงยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ข้าแค่ทำหน้าที่ของข้า” “หน้าที่ของท่านคือช่วยข้า? งั้นข้าคงโชคดีที่มีแม่ทัพที่แสนดีคอยดูแล” เข่อซิงพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ แต่สายตาของนางไม่ได้มีเพียงความขบขันเท่านั้น ยังมีความขอบคุณที่ซ่อนอยู่ในนั้น ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปเรื่อยๆ ขณะที่ฝนยังคงตกลงมาเบาๆ อากาศเริ่มเย็นลง แต่ในใจของอวิ๋นเฟยหลงกลับรู้สึกอบอุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ เขามองเห็นนางในมุมที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง จากที่เคยมองว่านางเป็นเพียงผู้หญิงที่จืดชืด ตอนนี้เขารู้แล้วว่า นางคือคนที่มีศักยภาพและความสามารถที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน และความรู้สึกที่เขามีต่อนาง...มันยิ่งทำให้เขาสับสนในใจมากขึ้นจวนตระกูลหลิน หลังจากวันที่วุ่นวายจากการเตรียมการป้องกันน้ำท่วม หลินเข่อซิงรู้สึกเหนื่อยล้าแต่ก็ดีใจที่ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว นางนั่งอยู่บนระเบียงเล็กๆ ข้างจวน ทอดสายตาไปยังทิวทัศน์ของหมู่บ้านที่ค่อยๆ สงบลงหลังจากวันอันแสนวุ่นวาย ท้องฟ้ายามเย็นกลายเป็นสีส้มสวยงาม สายลมเย็นๆ พัดผ่าน นางสูดหายใจลึกๆ รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย แต่ขณะที่นางกำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศรอบตัว อวิ๋นเฟยหลงก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ โดยไม่ทันตั้งตัว นางสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเขาพร้อมรอยยิ้ม "ท่านแม่ทัพ มาทำอะไรตรงนี้หรือ?" เข่อซิงถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วเล็กน้อย ทำท่าเหมือนจะไม่สนใจ แต่ก็ยังตอบกลับอย่างเย็นชา “ข้ามาดูว่าเจ้ายังหายใจอยู่หรือเปล่าก็เท่านั้น” เข่อซิงยิ้มกว้าง “ท่านมาหาข้าเพราะเป็นห่วงข้าหรือ?” นางแกล้งถามเพื่อหวังดูสีหน้าคนข้างๆ เขาพลันทำหน้าเคร่งทันที “ข้าไม่ได้ห่วงเจ้า ข้าแค่...ตรวจดูความเรียบร้อย ข้าไม่อยากให้เจ้าป่วยเป็นภาระต่อคนอื่นต่างหาก” “โอ้โห ท่านแม่ทัพ ข้าดู
หยางเฟยฮุ่ยนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวของนาง ทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าที่สวยงามฉายแววเจ้าเล่ห์แฝงความโกรธ นางขบฟันแน่นเมื่อคิดถึงภาพหลินเข่อซิงที่ค่อยๆ ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากชาวบ้านและ...อวิ๋นเฟยหลง เธอได้รับข่าวจากสาวใช้คนสนิทเรื่องของหลินเข่อซิงที่ระยะนี้ไปช่วยชาวบ้านโดยมีอวิ๋นเฟยหลงคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆตลอด “ฮึ! นางคิดว่าจะมาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างจากข้าได้อย่างนั้นรึ?” หยางเฟยฮุ่ยพึมพำเบาๆ พลางมองกระจกเงาสะท้อนใบหน้าที่งดงามของตนเอง นางรู้ดีว่าความงามของตนเองเป็นอาวุธที่แข็งแกร่ง “แต่ข้าจะไม่ลงมือเองหรอก นางไม่คู่ควรให้ข้าต้องเปลืองแรง” แล้วนางก็ยิ้มออกมาอย่างลำพองใจ ขณะที่วางแผนการในใจ นางรู้ว่าที่หมู่บ้านนี้ยังมีชายผู้หนึ่งที่มีอำนาจในท้องที่ และไม่ค่อยพอใจการเข้ามาแทรกแซงของหลินเข่อซิง นั่นก็คือ เฉินอี้เฉียง ชายผู้มีอำนาจจากตระกูลพ่อค้าที่ควบคุมการค้าขายในหมู่บ้าน เขามีชื่อเสียงในเรื่องความหัวรั้นและไม่ชอบใครที่มาขัดขวางผลประโยชน์ของตนเอง หยางเฟยฮุ่ยรู้ว่า ถ้าใช้วิธีที่เหมาะสม นางส
บรรยากาศในหมู่บ้านหลังจากการเตรียมการป้องกันน้ำท่วมเริ่มผ่อนคลายลง หลินเข่อซิงและอวิ๋นเฟยหลงก็มักจะได้เจอกันบ่อยขึ้น นางสังเกตเห็นว่าอวิ๋นเฟยหลงที่เคยมีท่าทีเย็นชา ดูเหมือนจะเปิดใจกับนางมากขึ้นแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงรักษาภาพลักษณ์แม่ทัพที่เยือกเย็นและเคร่งขรึมไว้อยู่เสมอ วันหนึ่ง ขณะที่หลินเข่อซิงกำลังนั่งเขียนบันทึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาลงในสมุดของนาง พลันสายตาของนางก็เหลือบเห็นเงาของใครบางคนเดินเข้ามาหา “คุณหนูหลิน” เสียงทุ้มๆ ที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหลังนาง นางหันกลับไปมองและพบว่าเป็นอวิ๋นเฟยหลงที่กำลังยืนอยู่ เขามีสีหน้าปกติ แต่ในดวงตาแฝงด้วยความอ่อนโยนที่เขาไม่เคยแสดงออกมาก่อน “ท่านอวิ๋น ท่านรู้จักการเข้าตามตรอกออกตามประตูหรือไม่ มีอะไรกับข้าหรือเจ้าคะ?” หลินเข่อซิงถามด้วยรอยยิ้ม “วันนี้...เจ้าอยากไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมไฉ่หงหรือไม่?” อวิ๋นเฟยหลงพูดออกมาอย่างนิ่งๆ แต่หลินเข่อซิงก็พอจะจับความตื่นเต้นที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนั้นได้ “โรงเตี๊ยมไฉ่หงงั้นเหรอ?” เข่อซิงยิ้มกว้างขึ้น “ข้าจำได้ว่าที่นั่นมีอาหารอร่อย ข้ากับหลิงเฉินเคยไปกินมาแล้วครั้งหนึ่ง...งั้นเราก็ไปกันเลยเ
หลังจากเดินเที่ยวเล่นกันมานาน ทั้งสองก็มาหยุดนั่งพักที่ม้านั่งหินใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทางเดิน บรรยากาศยามเย็นเริ่มเข้ามาแทนที่ แสงอาทิตย์สีส้มอ่อนๆ สาดส่องผ่านต้นไม้ใบเขียว สร้างเงาสีทองที่กระจายอยู่ทั่วทั้งบริเวณ “ข้าชอบบรรยากาศแบบนี้จังเลย” เข่อซิงพูดพร้อมกับยิ้มสดใส ขณะที่มองไปยังท้องฟ้า “มันรู้สึกสงบและเป็นอิสระอย่างบอกไม่ถูก” อวิ๋นเฟยหลงที่นั่งข้างๆ นางพยักหน้าเบาๆ “ข้าเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน” เข่อซิงหันมามองหน้าเขา “จริงหรือ? ท่านเองก็ดูเป็นคนที่ชอบอยู่คนเดียวเสียมาก ข้าไม่คิดว่าท่านจะชอบบรรยากาศเช่นนี้” อวิ๋นเฟยหลงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ข้าอาจจะชอบอยู่คนเดียวก็จริง แต่บางครั้ง...การมีใครสักคนอยู่ด้วยก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไม่ใช่หรือ” คำพูดนั้นทำให้เข่อซิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่นางจะยิ้มออกมาอย่างสดใส “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันเจ้าค่ะ” ทั้งสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ความเงียบนี้กลับไม่อึดอัดเหมือนเคย ตรงกันข้าม มันกลับเป็นความเงียบที่ทำให้ทั้งสองรู
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ก็ทรงพระสรวลออกมาด้วยเสียงอันดังก้องท้องพระโรง ก่อนจะพยักหน้าให้ขันทีนำของพระราชทานออกมา ขันทีเดินออกมาพร้อมกับกล่องไม้แกะสลักที่ดูหรูหรา ก่อนจะเปิดกล่องเผยให้เห็นเครื่องประดับหยกอันงดงามและผ้าไหมชั้นเลิศ “ข้ามอบเครื่องประดับหยกนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความชื่นชมในความสามารถและความกล้าหาญของเจ้านะคุณหนูหลิน อีกทั้งผ้าไหมนี้จะเป็นของขวัญจากข้าที่เจ้าจะใช้ได้ตามใจชอบ และมอบทองอีก 1,000 ตำลึง เจ้าพอใจรึไม่” หลินเข่อซิงมองเครื่องประดับหยกด้วยความประทับใจ นางไม่คาดคิดเลยว่าจะได้รับรางวัลจากฮ่องเต้เช่นนี้ นางโค้งคำนับอีกครั้ง “ขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่งเพคะ หม่อมฉันจะรักษาของพระราชทานนี้ไว้ให้ดียิ่งกว่าชีวิตน้อยๆของตัวหม่อมฉันเอง” ฮ่องเต้ทรงแย้มพระโอษฐ์ยกยิ้ม ก่อนจะตรัสปิดท้าย “เจ้ามีความสามารถและมีใจช่วยเหลือผู้อื่น เจิ้นหวังว่าเจ้าอย่าหยุดแค่นี้ และเจิ้นจะรอดูว่าเจ้าจะทำสิ่งดีๆ ต่อไปอย่างไร” หลินเข่อซิงยิ้มด้วยความดีใจและความภาคภูมิใจ นี่ไม่เพียงแต่เป็นการยอมรับจากฮ่องเต้ แต่ยังเป็นโอกาสที่นางจะได้แสดงความสามารถและสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในยุคโบ
“หลินเข่อซิง... เจ้ากำลังซ่อนอะไรจากข้ากันแน่?” อวิ๋นเฟยหลงพึมพำ ขณะนั่งพิงเก้าอี้และมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิด ในใจของเขาเต็มไปด้วยคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบ เขารู้ว่าเขาจะต้องสืบหาความจริงนี้ให้ได้ และยิ่งเขาเข้าใกล้หลินเข่อซิงมากขึ้นเท่าไร ความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ก็อาจจะปรากฏขึ้นมาในที่สุด ในยามเช้าตรู่ ลานฝึกซ้อมของกองทัพเต็มไปด้วยเสียงโลหะกระทบกัน เสียงฝีเท้าหนักๆ ของทหารที่ฝึกซ้อมอย่างจริงจังดังขึ้นเป็นจังหวะ อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่กลางลานฝึก สายตาเคร่งขรึมจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของทหารทุกคน ฝีมือการต่อสู้ของเขายังยอดเยี่ยมเช่นเคย แต่ในวันนี้มีบางอย่างที่ทำให้บรรยากาศดูตึงเครียดยิ่งขึ้น ที่ข้างสนาม หยางหลี่เฉิง รองแม่ทัพผู้สง่างามและเป็นพี่ชายของหยางเฟยฮุ่ย ยืนมองการฝึกซ้อมอยู่ด้วยแววตานิ่งสงบ เขาเป็นหนึ่งในผู้นำทัพที่มากฝีมือ และเป็นคนที่อวิ๋นเฟยหลงไว้ใจให้ช่วยดูแลกองทัพร่วมกับเขา แต่ทว่า วันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่หยางหลี่เฉิงเท่านั้นที่มาดูการฝึกซ้อม เพราะที่มุมหนึ่งของลานฝึก หยางเฟยฮุ่ยก็มาด้วย นางสวมชุดผ้าไหมบางเบาและงดงาม ใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มหวาน แต่สายตาท
“ท่านอวิ๋น! ข้ามีของพิเศษมาให้ท่านลองชิมเจ้าค่ะ!” อวิ๋นเฟยหลงหันไปมอง และพบกับหลินเข่อซิงที่เดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารในมือ นางมีรอยยิ้มกว้างและท่าทางมั่นใจ สายตาของนางจับจ้องมาที่อวิ๋นเฟยหลง โดยไม่ได้ใส่ใจหยางเฟยฮุ่ยที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย หยางเฟยฮุ่ยหันขวับไปมองเข่อซิงด้วยความไม่พอใจ นางคิดในใจว่า ‘หลินเข่อซิงอีกแล้ว! นางจะมาขัดขวางข้าอีกแล้วหรือ!’ “นี่คืออะไร?” อวิ๋นเฟยหลงถามขณะมองถาดอาหารที่หลินเข่อซิงยื่นมาให้ด้วยความสนใจ “นี่คือขนมสูตรพิเศษจากบ้านข้าเจ้าค่ะ ข้าตั้งใจทำมาให้ท่านและทหารในกองทัพได้ลองชิม” เข่อซิงตอบอย่างสดใส “ข้าเรียกมันว่า ‘ขนมปังทอด’ เป็นขนมที่ทั้งกรอบนอกนุ่มใน และข้ามั่นใจว่าทุกคนจะต้องชอบ!” เหล่าทหารที่อยู่ใกล้ๆ พากันหันมามองด้วยความสนใจ เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นอาหารหน้าตาแปลกใหม่เช่นนี้มาก่อน หลินเข่อซิงยื่นถาดขนมปังทอดให้ทหารที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก่อนที่พวกเขาจะหยิบขึ้นมาลองชิม ทันใดนั้น สีหน้าของทหารแต่ละคนก
ณ จวนตระกูลหลิน ในห้องโถงใหญ่ของจวนตระกูลหลิน หลินเจิ้นกั๋วและ ฮูหยินหลิน นั่งอยู่ด้วยกันท่ามกลางบรรยากาศที่ควรจะเต็มไปด้วยความยินดี หลังจากที่ได้รับข่าวเรื่องพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้ แต่สีหน้าของทั้งสองกลับดูเหมือนมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความสุขนั้น นายท่านหลินนั่งกอดอกอยู่ที่เก้าอี้ตัวใหญ่ ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มจางๆ แต่อีกมุมหนึ่งของดวงตาแฝงความกังวลอยู่ลึกๆ ขณะที่ฮูหยินหลินนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสนใจ เธอเอ่ยขึ้นเบาๆ หลังจากความเงียบปกคลุมห้องมาสักพัก “ท่านพี่...ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้หรือเจ้าคะ?” ฮูหยินหลินถามขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน แม้จะพยายามเก็บซ่อนความกังวล แต่ในน้ำเสียงนั้นก็แฝงความห่วงใยชัดเจน นายท่านหลินหันมามองภรรยาของตน ก่อนจะถอนหายใจยาว “ข้าไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นี่เป็นเกียรติสูงสุดสำหรับตระกูลเรา พระราชทานสมรสจากฮ่องเต้เช่นนี้...ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน” “ใช่เจ้าค่ะ ข้าก็ยินดีเช่นกัน” ฮูหยินหลินพยักหน้า “แต่อีกใจหนึ่ง...ข้าก็อดห่วงลูกสาวของเราไม่ได้” เธอกล่าวอย่างแผ่วเบา ดวงตาของเธอหันไปมองประตูห้องที่ลูกสาวของตนเพิ่งจากไปห
“เฮือก…” เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกดังขึ้น ทำเอาทรวงอกของหญิงสาวยกขึ้นสูง ขนตางอนยาวเรียงตัวสวยเริ่มขยับไหว ในที่สุดเปลือกตาก็คอยๆเลิกขึ้น ปรากฎดวงตากลมโตสดใสที่มองไปมารอบๆ แสงไฟสีขาวนวลสว่างขึ้นในห้องเล็กๆ ของเธอมาจากหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดานห้องสี่เหลี่ยมที่คุ้นเคย เมื่อมองไปตรงมุมห้องขวามือ ก็มีโต๊ะเขียนหนังสือรกๆ ที่มีหนังสือและแก้วน้ำวางอยู่ โทรศัพท์มือถือวางแน่นิ่งบนหัวเตียง สายชาร์จรวมถึงสายสมอลทอร์คพันกันยุ่งเหยิงเป็นก้อนกลม หลินเข่อซิงค่อยๆลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง“เรากลับมาแล้วเหรอ…” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ราวกับไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือเพียงอีกหนึ่งความฝันอันยาวนานนางลูบอกตัวเองเบาๆ เพื่อปลอบใจว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเผชิญมา เป็นเพียงฝันร้ายยาวนานเท่านั้น แต่มันช่างสมจริงเหลือเกิน ความรู้สึกของสายลมในป่าลึก กลิ่นดินหลังฝนตก เสียงหัวเราะของหลิงเฉิน หรือแม้แต่สัมผัสอันอบอุ่นของอวิ๋นเฟยหลง...“เฟยหลง…”เพียงเอ่ยชื่อเขา น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า ราวกับหัวใจถูกบีบรัด เธอรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก พยายา
นับจากโศกนาฏกรรมนองเลือดวันนั้น ก็ผ่านมาได้หนึ่งปีแล้ว อวิ๋นเฟยหลงไม่ยอมรับตำแหน่ง เขาทำเพียงรักษาการณ์แทน และให้เหล่าเสนาบดีเป็นที่ปรึกษาคอยชี้แนะแก่เขาย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน หลังได้รับชัยชนะ เข้ากอบกู้วังหลวงจากคนชั่ว และทวงแค้นจากหานเจี๋ย เขากลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นเฟยหลงประกาศต่อหน้าที่ประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งหลาย“ข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้”คำพูดนั้นสร้างความตกตะลึงไปทั่วห้องประชุม เฟยหลงก้าวออกมายืนกลางห้อง สายตาแน่วแน่“ตลอดชีวิตของข้า ข้าเกิดมาเพื่อรับใช้แผ่นดินและต่อสู้ในสนามรบ ข้าไม่เคยมีความปรารถนาจะครอบครองบัลลังก์มังกร ข้าเชื่อว่าแคว้นนี้สมควรมีผู้นำที่ดีกว่า”นับจากวันนั้นอวิ๋นเฟยหลงก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอดไม่ขาดตกบกพร่องอันใด จนราษฎรต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ ในใจทุกคนอวิ๋นเฟยหลงคือฮ่องเต้ พ่อของแผ่นดินของพวกเขา คอยปกปักคุ้มครองให้แคว้นฉางจีอยู่รอดปลอดภัย บุ๋นก็ชำนาญ บู๊ก็คือเทพเซียนมาจุติและแล้วข่าวดีที่เขารอคอยก็มาถึง เจิ้งจู่ได้รายงานข่าวสำคัญที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เขาค้น
ก่อนที่อวิ๋นเฟยหลงจะได้ปัดป้องตอบโต้ ก็มีเสียงกังวานใสของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“หยุดนะ!” หยางเฟยฮุ่ยยืนอยู่เบื้องหลังของฮ่องเต้ โดยมีทหารองครักษ์ผู้หนี่งใช้ดาบพาดคอของหานเจี๋ย“หากท่านละเว้นอวิ๋นเฟยหลง ข้าก็จะไว้ชีวิตท่าน!” สตรีผู้ได้ชื่อว่าฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน ก้าวขึ้นหน้ามาอีกก้าว หยุดยืนมองหานเจี๋ยนิ่ง“เจ้า!... นี่เจ้ากล้าก่อกบฏหรือ ดีนี่ฮองเฮา ดี … ดียิ่งนัก ทหาร! กุดหัวนางหญิงชั่วนี่ให้ข้าเดี๋ยวนี้!”เงียบ มีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบ ไม่มีทหารคนใดขยับ ต่างมองไปทางอวิ๋นเฟยหลงอย่างรอฟังคำสั่ง“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?!” หานเจี๋ยตื่นตระหนกแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้“ราชโองการในฮ่องเต้พระองค์ก่อน มาถึงแล้ว! อวิ๋นเฟยหลง รับราชโองการ!”ถึงตอนนี้ทหารที่จ่อปลายดาบคุมตัวหานเจี๋ยได้เตะดาบในมือเขาจนกระเด็น ก่อนลากตัวหานเจี๋ยให้ออกห่างจากอวิ๋นเฟยหลง“กระหม่อมอวิ๋นเฟยหลงพ่ะย่ะค่ะ” อดีตแม่ทัพหนุ่มหันกายคุกเข่ามาทางกงกงที่ยืนถือพระราชโองการสีทองอร่ามในมือ“ด้วยโองการสวรรค์ ข้าโอรสสวรรค์ผู้คร
เสียงอาวุธกระทบกันดังไม่หยุด อวิ๋นเฟยหลงหอบหายใจเสียงดัง หลินเข่อซิงมองเสี้ยวหน้าของชายอันเป็นที่รักด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ท่านพี่ ทิ้งข้าไว้เถอะ หากไม่มีข้าท่านก็จะทำศึกได้อย่างเต็มที่ และปกป้องพวกเราทั้งหมดได้”“เหลวไหล! ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้ากับลูกแน่ อย่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน และข้าจะไม่มีวันแพ้! เจ้าอดทนไว้ก่อนนะ” อวิ๋นเฟยหลงปวดใจนักเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆนั่นพูด ประกอบกับบาดแผลที่ไหล่ของนาง เขายิ่งอยากจบศึกนี้ให้เร็วที่สุด กระบวนท่าของอดีตแม่ทัพใหญ่แกว่งไกวดาบเข้าห้ำหั่นศัตรู ร่างกายพลิ้วไหว มือเท้าผสานกัน แม้มือซ้ายจะโอบกอดหลินเข่อซิง แต่นั่นกลับไม่อาจสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มได้“เหล่าพี่น้องของข้า จงฟัง! พวกเจ้าทุกคน วันนี้เราจะเด็ดหัวฮ่องเต้ทรราชนั่นซะ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อพ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกเจ้า ราษฎรแคว้นฉางเยว่ และเพื่อฮ่องเต้องค์ก่อนที่ต้องสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำ จงตามข้ามา!”“เฮๆ ๆ ๆ” เหล่าทหารฝ่ายอวิ๋นเฟยหลงต่างส่งเสียงร้องกู่ก้องไปทั่วลานด้วยการนำของอวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้พวกเขาบุ
‘ท่านพี่ เมื่อท่านได้รับสารฉบับนี้ หวังเพียงว่าท่านจะยังไม่กระทำการรุนแรงกับท่านหมอประจำตัวข้าหรอกนะ’ อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วสูง ก่อนเหลือบมองไปยังใบหน้าช้ำดำเขียว และเปรอะด้วยโลหิตของหมอหนุ่ม ก่อนจะก้มหน้าอ่านต่อ‘ข้าได้ยินมาว่าท่านได้ยกทัพมาประชิดประตูเมืองแล้ว คืนนี้ยามโหย่ว (17.00น. - 19.00น. โดยประมาณ) ข้าจะแอบมารอท่าน ขอท่านพี่ช่วยมารับข้าด้วย ข้าจะไปรอที่ประตูเมืองด้านทักษิณ หลิงเฉินบอกว่าประตูด้านนั้นค่อนข้างหละหลวม เพราะทหารไปรวมกันที่ประตูหน้าเสียส่วนใหญ่ ข้าจะรอท่านนะ’อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตามองไปยังหมอหนุ่มที่ยังนั่งแหงนหน้ามองฟ้า ดูท่ากำเดาคงจะใกล้หยุดไหลแล้วกระมัง อวิ๋นเฟยหลงทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วต่ำ“ข้าต้องขออภัยท่านหมอแทนทหารของข้าด้วย ฝากบอกซิงเอ๋อร์ว่า ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปตามนัดหมาย”เวินสือชูมองบุรุษร่างใหญ่บึกบึนตรงหน้าด้วยความยำเกรง ก่อนจะยิ้มออกมาหน่อยๆ“มิเป็นไร ข้าเข้าใจว่านั่นคือหน้าที่ของพวกเขา หากมิมีอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน หากมานานเกินไป อาจถูกสงสัยได้”อวิ๋นเฟยหลงพยัก
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบกับดาบของเหล่าทหารหาญที่ตั้งทัพอย่างเป็นระเบียบอยู่เบื้องหน้าประตูเมือง เมื่ออวิ๋นเฟยหลงประสานสายตากับเหล่าทหารกล้าที่เขารวบรวมมา พวกเขาคือผู้ที่ยังภักดีต่อแผ่นดินและเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของแม่ทัพผู้เคยกอบกู้แผ่นดิน“วันนี้มิใช่เพียงการทวงคืนวังหลวง” อวิ๋นเฟยหลงประกาศเสียงกร้าว “แต่คือการทวงคืนความยุติธรรม ทวงคืนอนาคตของบ้านเมือง และนำแสงสว่างกลับสู่แคว้นฉางจีอีกครั้ง”เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มจากทหารนับหมื่นที่เข้าร่วม ขบวนธงสีดำลายมังกรทองสะบัดปลิวไสว เสียงอาวุธกระทบกันดังก้อง ขับเคลื่อนจิตใจอันห้าวหาญของนักรบทุกคนเหล่าทหารที่คอยรักษาการณ์ประจำตำแหน่งประตูหน้าต่างตื่นตัวและคอยจับตามองทัพของอดีตแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง อดีตรองแม่ทัพหยางซึ่งในขณะนี้ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ทองลงไปยังอดีตผู้ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่กว่าตน ในสายตามีทั้งความกริ่งเกรง และหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ“ท่านแม่ทัพขอรับ” นายทหารหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมารายงานกับแม่ทัพหยาง“ว่ามา”“ข้าได้รายงานให้กับฝ่าบาททราบแล้วขอรับ ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งใหม่ เห็นว่าฝ่าบา
กลางดึกคืนหนึ่งใต้ฟ้าสีดำสนิท อวิ๋นเฟยหลงและเจิ้งจู่นั่งปรึกษาแผนการกันภายในกระท่อมร้างที่พวกเขาหลบซ่อนอยู่“นายท่าน ครั้งนี้เราจะไม่ยอมให้พลาดอีก” เจิ้งจู่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สายตาแน่วแน่มองผู้เป็นนายอวิ๋นเฟยหลงนั่งนิ่ง ตากลมคมปลาบจ้องมองแผนที่ที่กางอยู่บนโต๊ะไม้เก่า เขามองเส้นทางเข้าออกวังหลวงด้วยสมาธิเต็มเปี่ยม“พลาดไม่ได้อีก เจิ้งจู่” เสียงทุ้มของเขาแฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยว “ครั้งนี้เราต้องเอาตัวซิงเอ๋อร์ออกมาให้ได้”อวิ๋นเฟยหลงเงยหน้าขึ้นจากแผนที่ มองไปยังเจิ้งจู่“แล้วเรื่องที่ข้าสั่งไปถึงไหนแล้ว?”“เรียบร้อยดีขอรับ เรารวบรวมกำลังพลได้มากถึงห้าหมื่นนายที่ยังคงภักดีต่อฮ่องเต้องค์ก่อน แต่ก็ยังนับว่าน้อยนักหากเทียบกับทหารที่ประจำการภายในพระราชวัง”“ดี! ดีมาก ขอบใจเจ้ามากเจิ้งจู่ ผลแพ้ชนะมิได้วัดกันเพียงจำนวนทหาร มีกำลังพลมากแล้วอย่างไร หากเขาเหล่านั้นขาดแรงใจและศรัทธาในผู้นำ” อวิ๋นเฟยหลงยืนเหยียดหลังตรงสองมือไพล่ไว้ด้านหลัง เหม่อมองไปยังจันทราบนฟากฟ้า“ข้าดีใจที่ในที่สุด ท่านก็เลือกจะเปิดเผยตั
ค่ำคืนอันมืดมิดปกคลุมไปทั่ววังหลวง แสงจันทร์ซีดจางลอดผ่านหน้าต่างห้อง หลินเข่อซิงนั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยใบหน้าหม่นหมอง สายตาของนางทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวกลับไม่ได้ช่วยให้นางรู้สึกสงบใจเลยแม้แต่น้อย“คุณหนู...อย่ามัวแต่คิดมากเลยเจ้าค่ะ” หลิงเฉินยกถ้วยชามาวางบนโต๊ะ ใบหน้าของสาวใช้เต็มไปด้วยความเป็นห่วง “พักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ ร่างกายของท่านจะได้ไม่เหนื่อยล้าเกินไป”หลินเข่อซิงถอนหายใจยาว นางก้มมองท้องที่นูนเด่นของตนด้วยสายตาอ่อนล้า “ข้าห่วงเขาเหลือเกิน เฉินเอ๋อร์ เจ้าว่าตอนนี้เขาจะปลอดภัยไหม?”หลิงเฉินนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่ทัพเป็นคนที่แข็งแกร่งและฉลาด ท่านต้องหาทางรอดได้แน่เจ้าค่ะ”หลินเข่อซิงเม้มริมฝีปากแน่น สองมือประสานกันแน่นจนสั่น “ข้าไม่อยากนั่งรออยู่อย่างนี้อีกแล้ว เฉินเอ๋อร์ ข้าควรทำอะไรสักอย่าง”หลิงเฉินมองเจ้านายของนางด้วยความตกใจ “คุณหนูจะทำอะไรเจ้าคะ?”หลินเข่อซิงเบือนสายตามองไปทางประตู “ข้าจะหนีออกไปตามหาเขา ข้าจะต้องหาทางช่วยเขาให้ได้”คำพูดนั้นทำให้ห
แสงจันทร์เล็ดลอดผ่านรอยแยกเล็กๆ บนเพดานห้องขัง เสียงน้ำหยดลงพื้นดังเป็นจังหวะก้องในความเงียบ อวิ๋นเฟยหลงนั่งนิ่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง โซ่ที่ล่ามข้อมือและข้อเท้าของเขายังคงกดทับแน่นจนรู้สึกถึงความเจ็บปวด ร่างกายอ่อนแรงเต็มที แต่หัวใจยังคงเต็มไปด้วยความหวังทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากทางเดินไกลๆ เสียงโลหะกระทบกันดังแว่ว อวิ๋นเฟยหลงเงยหน้าขึ้น สายตาคมกริบจ้องไปยังประตูเหล็กตรงหน้าเสียงดาบกระทบกันดังสนั่น เสียงร้องของทหารที่รักษาคุกดังตามมา อวิ๋นเฟยหลงลุกขึ้นยืน แม้ว่าโซ่จะพันธนาการเขาไว้ แต่เขายังคงตั้งใจเฝ้ารอฟัง ทันใดนั้น เสียงทุบประตูเหล็กก็ดังลั่น“นายท่าน! ข้ามาแล้ว!” เสียงที่คุ้นเคยตะโกนขึ้นประตูเหล็กพังลง เผยให้เห็นเจิ้งจู่ที่ยืนหอบหายใจอยู่ เขาสวมชุดดำสนิทพร้อมดาบเปื้อนเลือดในมือ“เจิ้งจู่...” อวิ๋นเฟยหลงเอ่ยด้วยเสียงแผ่ว“ข้าขอโทษที่มาช้า แต่เราจะพาท่านออกไปเดี๋ยวนี้!”เจิ้งจู่เข้าไปแก้โซ่ที่ล่ามอวิ๋นเฟยหลงอย่างรวดเร็ว ทหารในชุดดำอีกสิบกว่าคนเข้ามาเสริมกำลังกันที่ทางเดิน เสียงต่อสู้ยังคงดังมาจ