ณ จวนตระกูลหลิน
ในห้องโถงใหญ่ของจวนตระกูลหลิน หลินเจิ้นกั๋วและ ฮูหยินหลิน นั่งอยู่ด้วยกันท่ามกลางบรรยากาศที่ควรจะเต็มไปด้วยความยินดี หลังจากที่ได้รับข่าวเรื่องพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้ แต่สีหน้าของทั้งสองกลับดูเหมือนมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความสุขนั้น นายท่านหลินนั่งกอดอกอยู่ที่เก้าอี้ตัวใหญ่ ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มจางๆ แต่อีกมุมหนึ่งของดวงตาแฝงความกังวลอยู่ลึกๆ ขณะที่ฮูหยินหลินนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสนใจ เธอเอ่ยขึ้นเบาๆ หลังจากความเงียบปกคลุมห้องมาสักพัก “ท่านพี่...ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้หรือเจ้าคะ?” ฮูหยินหลินถามขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน แม้จะพยายามเก็บซ่อนความกังวล แต่ในน้ำเสียงนั้นก็แฝงความห่วงใยชัดเจน นายท่านหลินหันมามองภรรยาของตน ก่อนจะถอนหายใจยาว “ข้าไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นี่เป็นเกียรติสูงสุดสำหรับตระกูลเรา พระราชทานสมรสจากฮ่องเต้เช่นนี้...ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน” “ใช่เจ้าค่ะ ข้าก็ยินดีเช่นกัน” ฮูหยินหลินพยักหน้า “แต่อีกใจหนึ่ง...ข้าก็อดห่วงลูกสาวของเราไม่ได้” เธอกล่าวอย่างแผ่วเบา ดวงตาของเธอหันไปมองประตูห้องที่ลูกสาวของตนเพิ่งจากไปหลังจากฟังข่าว “ซิงเอ๋อร์ของเรา...นางจะรู้สึกอย่างไรบ้าง ข้ากลัวเหลือเกินว่านางจะยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องเช่นนี้” นายท่านหลินพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าก็คิดเช่นนั้นเช่นกัน ฮูหยิน...ข้ารู้ว่าซิงเอ๋อร์มีความสามารถมาก และนางก็เป็นคนที่เข้มแข็ง แต่นางก็ยังเป็นลูกสาวของเรา นางอาจจะไม่เคยคาดคิดว่าเรื่องการแต่งงานจะมาเร็วเช่นนี้ โดยเฉพาะการสมรสกับแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง” ฮูหยินหลินหันไปสบตากับสามีของเธอ “แม้ว่าท่านแม่ทัพอวิ๋นจะเป็นชายที่มีความสามารถและชื่อเสียงดีงาม แต่ข้าก็กลัวว่าลูกสาวของเราจะรับมือกับสิ่งนี้ได้ยาก...ซิงเอ๋อร์ของเราเป็นคนที่รักอิสระ นางจะรู้สึกเช่นไรเมื่อรู้ว่านางต้องแต่งงานกับคนที่นางไม่ได้เลือกเอง” นายท่านหลินฟังแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่เคร่งขรึมขึ้น “ถึงอย่างนั้น เราเองก็ไม่อาจฝ่าฝืนพระราชโองการได้ แม้ข้าจะห่วงซิงเอ๋อร์เช่นกัน แต่หน้าที่ของเราคือต้องทำตามพระประสงค์ของฝ่าบาท” ฮูหยินหลินพยักหน้าเห็นด้วย แม้ในใจของเธอจะยังคงมีความกังวลอยู่ก็ตาม “ข้ารู้ว่าพระราชโองการเป็นสิ่งที่พวกเราไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ข้าก็อยากจะรู้ให้แน่ชัดว่า...ซิงเอ๋อร์ของเรารู้สึกเช่นไร ข้าไม่อยากให้ลูกของเราต้องทุกข์ใจเพราะเรื่องนี้” นายท่านหลินหันไปมองภรรยาของตนด้วยสายตาที่อ่อนโยนขึ้น “ข้าเข้าใจที่เจ้าพูด และข้าก็ห่วงซิงเอ๋อร์เช่นกัน แต่ข้าเชื่อว่าลูกสาวของเราเข้มแข็งพอที่จะรับมือกับเรื่องนี้ได้ นางเป็นคนฉลาดและมีความสามารถเกินกว่าที่เราคิด ข้าเชื่อว่า...ไม่ว่านางจะรู้สึกเช่นไร นางจะหาทางรับมือกับมันได้” ฮูหยินหลินถอนหายใจเบาๆ แต่ก็ยังคงรู้สึกกังวลในใจ “ข้าเพียงหวังว่าลูกจะมีความสุข ไม่ว่าทางใดก็ตาม” หลังจากที่ทบทวนความรู้สึกกันอยู่พักหนึ่ง ฮูหยินหลินจึงตัดสินใจที่จะไปพูดคุยกับหลินเข่อซิงตรงๆ เธอรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องถามลูกสาวของเธอว่านางรู้สึกอย่างไรกับเรื่องการสมรสพระราชทานนี้ ในยามเย็น ฮูหยินหลินเดินไปที่ห้องของลูกสาว เมื่อเคาะประตูเบาๆ ก็ได้ยินเสียงตอบรับจากภายในห้อง “...เข้ามาได้เจ้าค่ะ” ฮูหยินหลินเปิดประตูเข้าไปพบกับหลินเข่อซิงที่กำลังนั่งอยู่บนเตียง นางมีสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย แต่ก็ยังยิ้มออกมาเมื่อเห็นมารดา “ซิงเอ๋อร์ ลูกแม่...” ฮูหยินหลินนั่งลงข้างๆ ลูกสาวของเธอ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน “แม่รู้ว่าลูกคงต้องตกใจไม่น้อยกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้” หลินเข่อซิงยิ้มเจื่อนๆ “ข้าไม่อาจปฏิเสธได้เลยเจ้าค่ะ ว่าข้าตกใจจริงๆ ไม่คิดว่าจะรวดเร็วถึงเพียงนี้” “ลูกคิดเห็นอย่างไรบ้าง?” ฮูหยินหลินถามต่อ ขณะที่มือของเธอจับมือของหลินเข่อซิงไว้เบาๆ “แม่อยากรู้ว่าลูกรู้สึกเช่นไรกับเรื่องนี้” หลินเข่อซิงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันไปมองมารดา “ท่านแม่...ข้ารู้ว่าการแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญ และการที่ข้าได้รับพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้เช่นนี้ถือเป็นเกียรติใหญ่หลวง แต่ข้า...ก็ยังไม่รู้เลยว่าข้าจะต้องทำอย่างไรต่อไป” “ลูกไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนี้ในทันที” ฮูหยินหลินกล่าวอย่างอ่อนโยน “แม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ใหญ่หลวงเกินกว่าจะตัดสินใจได้ในตอนนี้ แม่แค่อยากให้ลูกรู้ว่า...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่กับพ่อจะอยู่เคียงข้างลูกเสมอ” หลินเข่อซิงยิ้มออกมาบางๆ ใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของมารดา “ข้ารู้เจ้าค่ะ ท่านแม่ ข้าจะพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุด แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าข้าต้องให้เวลาแก่ตัวเองสักหน่อย” “แม่เข้าใจ” ฮูหยินหลินตอบพร้อมยิ้มอ่อน “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่เชื่อว่าลูกจะหาทางรับมือได้...ลูกเป็นคนที่เข้มแข็ง และแม่ก็เชื่อว่าลูกจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยดี” ใครเลยจะล่วงรู้ว่าภายในใจของหลินเข่อซิงนั้น 'กรี๊ดดด ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะง่ายดายถึงเพียงนี้ ในที่สุด เราก็ใกล้จะได้กลับบ้านแล้ว พ่อจ๋าแม่จ๋า ที่นอนจ๋า น้องนุ่มนิ่ม(ตุ๊กตาแมว)จ๋าา พี่กำลังจะกลับไปแล้ว รอก่อนน้าาาา'เช้าวันรุ่งขึ้น บรรยากาศในจวนตระกูลหลินเต็มไปด้วยความเงียบสงบ แต่ก็มีความเคลื่อนไหวที่แฝงไว้ด้วยความสำรวม สาวใช้หลายคนช่วยกันเตรียมอาหารและของไหว้ต่างๆ สำหรับพิธีไหว้บรรพบุรุษที่ใกล้จะเริ่มขึ้น หลินเข่อซิงในชุดสีเรียบง่าย เดินออกมาจากห้องนอนด้วยท่าทางสำรวม วันนี้นางจะได้เห็นการไหว้บรรพบุรุษของครอบครัวตัวเองเป็นครั้งแรก ชิงหมิง…ชิงหมิง…อ๋อออ…เชงเม้งนั่นเอง หลินเข่อซิงคิดในใจ พ่อบ้านและสาวใช้ต่างเร่งมือกันจัดเตรียมอาหารและของเซ่นไหว้ เพื่อนำไปถวายบรรพบุรุษ หลินเข่อซิงยืนอยู่หน้าห้องของตน มองเห็นการเตรียมงานที่เป็นไปอย่างประณีตด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและความตื่นเต้น หลินเจิ้นกั๋ว ผู้เป็นพ่อของหลินเข่อซิง เดินออกมาจากห้องโถงใหญ่ในชุดคลุมยาวสีเข้ม บ่งบอกถึงฐานะอันทรงเกียรติ เขายืนอยู่หน้าห้องบูชาด้วยท่าทีสงบนิ่งและเต็มไปด้วยความเคารพ ทุกคนในจวนต่างหยุดยืนเพื่อรอคอยการเริ่มพิธีการจากหัวหน้าครอบครัว “เข่อซิง” เสียงพ่อของนางเรียกเบาๆ “มานี่สิ วันนี้เจ้าจะได้ร่วมไหว้บรรพบุรุษกับพวกเรา เป็นเรื่องสำคัญที่ครอบครัวต้องทำร่วมกัน” หลินเข่อซิงพยักหน้ารับด้วยความตื่นเต้นและรีบเดินไปยื
เข่อซิงฟังแล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งในความเชื่อที่ซับซ้อนและลึกซึ้งของผู้คนในยุคนี้ ขณะที่นางเดินผ่านร้านขายอาหาร นางก็เริ่มได้กลิ่นหอมของอาหารหลายชนิดที่ลอยมาจากร้านข้างทาง “นี่เป็นขนมอะไรน่ะ หลิงเฉิน?” เข่อซิงถามเมื่อเห็นขนมรูปร่างกลมๆ ทำจากแป้งสีเขียวและมีกลิ่นหอมหวาน “อ๋อ นั่นคือขนม ‘ชิงถวนจื่อ’ เจ้าค่ะ” หลิงเฉินอธิบาย “เป็นขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวผสมน้ำอ้ายเฉ่า ซึ่งเป็นพืชที่มีสีเขียว พวกเขาจะปั้นเป็นก้อนกลมและนำมานึ่ง ขนมชนิดนี้นิยมรับประทานกันในเทศกาลชิงหมิงเจ้าค่ะ” “น่าสนใจจริงๆ” เข่อซิงพึมพำ “ข้าอยากลองชิมดูบ้าง” ในขณะที่เข่อซิงและหลิงเฉินเดินต่อไป นางเห็นเด็กๆ กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน บางคนกำลังวิ่งเล่นกับว่าวที่ลอยขึ้นไปในอากาศ ว่าวหลากสีสันถูกปล่อยให้โบยบินสูงขึ้นไปในท้องฟ้าสีคราม “การเล่นว่าวก็เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลชิงหมิงด้วยหรือ?” หลิงเข่อซิงถามด้วยความสงสัย “ใช่เจ้าค่ะ” หลิงเฉินตอบ “การเล่นว่าวเป็นกิจกรรมที่นิยมกันในเทศกาลชิงหมิง นอกจากการไหว้บรรพบุรุษแล้ว ชาวบ้านยั
หลังจากช่วงกู๋อวี่ที่ฝนตกหนักไม่หยุด แม่น้ำและลำธารรอบจวนก็เอ่อจนล้นตลิ่ง ชาวบ้านต่างพากันกังวลถึงสถานการณ์น้ำท่วมที่อาจกลับมาอีกครั้ง อวิ๋นเฟยหลงในฐานะแม่ทัพต้องออกตรวจแนวป้องกันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายซ้ำรอย ขณะที่เขากำลังเตรียมตัวออกเดินทาง หลินเข่อซิงก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับคำขอที่เขาไม่คาดคิด "ข้าไปด้วย!" หลินเข่อซิงประกาศเสียงดังพลางเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาสุกใสของนางสะท้อนความมุ่งมั่นชัดเจน “เจ้าจะไปทำไม?” อวิ๋นเฟยหลงถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขารู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ฝนที่ตกหนักจะทำให้ทางเดินลื่นและอันตรายอย่างมาก เขาไม่อยากให้หลินเข่อซิงต้องไปเสี่ยงเช่นนี้ “ข้ามีความรู้เรื่องนี้ ข้าสามารถช่วยท่านได้!” หลินเข่อซิงยืนยัน “ข้าเคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว การเตรียมการล่วงหน้าสำคัญมาก ท่านเองก็รู้” อวิ๋นเฟยหลงจ้องหน้าหลินเข่อซิงด้วยสายตาเคร่งขรึม นางเป็นคนดื้อดึง และเขาเองก็รู้ว่าการปฏิเสธคงไม่ได้ผลในครั้งนี้เป็นแน่ “ข้าไม่เห็นด้วย” เขาพูดช้าๆ แต่เข่อซิงกลับไม่ฟัง “ข้าไม่สน! ข้าจะไป!” นางตอบเสียงแข็ง ก่อนจะเดินขึ้นไปยังรถม้าอย่างไม่รอคำตอบ ทำให้อวิ๋นเ
ริมฝีปากหนาแนบชิดกับริมฝีปากบางราวกับปีกผีเสื้อกระทบผิว แตะเพียงแผ่วเบาแต่กลับหวามไหวในช่องท้อง หลินเข่อซิงรีบหันหน้าไปอีกทาง ใบหน้าร้าวผ่าว “เอ่อ… เจ้าหิวหรือไม่ ข้าพอมีของกินติดตัวอยู่บ้าง” ชายหนุ่มว่าพลางลูบท้ายทอยพลาง ลอบมองร่างบางก่อนจะเสมองไปทางอื่น เพื่อหาที่นั่งพักผ่อน “ข้ายังไม่หิ..ว โครก~ คราก~” ‘โอ๊ยยย ไอ้กระเพาะทรยศ ทำฉันขายหน้าอีกแล้ว' “ข้าว่า ท้องของเจ้าคงไม่คิดเช่นนั้นนะ กินอะไรก่อนเถอะ” อวิ๋นเฟยหลงหัวเราะหึ แล้วยื่นอาหารแห้งที่เขานำตัวมาด้วย ทั้งสองนั่งกินอาหารขณะมองเปลวไฟที่ลุกไหม้ในเตา “นี่ท่านเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยไหม?” เข่อซิงถามขึ้นหลังจากเงียบกันอยู่สักพัก “การเดินทางกลางฝนและติดอยู่ในป่าน่ะหรือ? ใช่ ข้าเจอมาหลายครั้งแล้ว” อวิ๋นเฟยหลงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย “ข้าคิดว่ามันต้องเหนื่อยมากแน่ๆ” เข่อซิงพูดอย่างเข้าใจ “แต่ท่านก็ยังทำหน้าที่ได้ดีเสมอ ไม่ว่าจะเจอกับสถานการณ์ไหน” อวิ๋นเฟยหลงย
แสงสีทองสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างห้องนอนของหยางเฟยฮุ่ย นางยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องส่วนตัวของนาง ดวงตาคมกริบของนางสะท้อนความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจอย่างชัดเจน ภายในใจของนางเต็มไปด้วยความเจ็บใจและความอับอายที่ อวิ๋นเฟยหลง เริ่มสนใจหลินเข่อซิงมากขึ้นทุกวัน ตั้งแต่ที่นางเคยเป็นหญิงเดียวที่เข้าออกจวนของอวิ๋นเฟยหลงได้อย่างอิสระ แต่ตอนนี้...กลับมีหญิงอื่นเข้ามาแทรกซ้อน ทั้งที่หลินเข่อซิงเคยเป็นแค่คนจืดชืด นางไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอวิ๋นเฟยหลงถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้“ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องนี้จบแบบนี้แน่นอน!” หยางเฟยฮุ่ยพูดกับตัวเอง ขณะที่นางบีบมือตัวเองแน่นราวกับจะบีบความรู้สึกเกรี้ยวกราดนั้นออกไปองค์ชายห้าที่นางคิดว่าจะช่วยให้นางได้ใกล้ชิดกับอวิ๋นเฟยหลงมากขึ้น กลับดูเหมือนจะมีใจให้กับหลินเข่อซิงเสียอีก นางรู้ดีว่าถ้ายังปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะเสียทุกอย่างที่นางพยายามสร้างมาตลอด ทั้งการเป็นภรรยาของอวิ๋นเฟยหลงและตำแหน่งสูงส่งในตระกูลอวิ๋นนางต้องทำอะไรสักอย่าง และครั้งนี้นางจะไม่ปล่อยให้หลินเข่อซิงรอดไปได้อีก“ถ้าข้าไม่สามารถทำให้อวิ๋นเฟยหลงกลับมาหาข้าได้ ข้าก็จะทำให้เจ้าไม่มีท
ในจวนตระกูลหลินเช้านี้กลับไม่ได้สดใสอย่างที่ควรจะเป็น บรรยากาศเคร่งเครียดปกคลุมไปทั่วจวนตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากที่หลินเข่อซิงออกจากบ้านไปพร้อมกับท่านแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง โดยบอกว่าจะไปช่วยงานบางอย่างเกี่ยวกับการป้องกันภัยน้ำท่วม แต่นับจากนั้นจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ กลับมาที่บ้านเลยหลินเจิ้นกั๋วยืนอยู่หน้าจวน มือกุมหลังพลางเดินไปเดินมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลอย่างชัดเจน เขาหันไปมองทางเข้าออกของจวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับคาดหวังว่าลูกสาวของเขาจะปรากฏตัวขึ้นจากทางนั้นทุกเมื่อ แต่ก็ยังคงไม่มีวี่แวว"นางไปไหนกันแน่ ทำไมถึงหายเงียบไปทั้งคืนแบบนี้" ชายวัยกลางคนพูดกับตัวเองเบาๆ อย่างร้อนใจขณะนั้นมารดาของหลินเข่อซิง ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องรับแขก กำลังพัดใบหน้าของตนอย่างใจลอย นางเองก็ร้อนใจไม่ต่างจากสามี แต่ก็พยายามสงบใจไม่ให้แสดงความกังวลออกมามากเกินไป"ท่านพี่..." นางพูดขึ้นเบาๆ ขณะที่มองออกไปยังประตูจวน "เราส่งคนออกไปตามหาแล้ว แต่ก็ยังไม่มีข่าวอะไรกลับมาเลย ข้ากลัวว่าซิงเอ๋อร์จะเป็นอะไรไป"หลินเจิ้นกั๋วหันกลับ
บรรยากาศในจวนตระกูลหลินกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง หลังจากที่ความกังวลเมื่อเช้าได้หายไป พ่อแม่ของหลินเข่อซิงนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมกับลูกสาวและอวิ๋นเฟยหลง ที่ร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยกันตามคำเชิญของผู้นำตระกูล อาหารหลากหลายจานถูกจัดเรียงไว้อย่างงดงาม มีทั้งผักสดเนื้อสัตว์และซุปหอมกรุ่น กลิ่นหอมของอาหารลอยไปทั่วห้อง หลินเข่อซิงที่ยังรู้สึกเหนื่อยจากการเดินทางมาก่อนหน้านี้เริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้นหลังจากได้อยู่ในบรรยากาศที่อบอุ่นเช่นนี้ หลินเจิ้นกั๋วตักอาหารใส่จานลูกสาว พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเอ็นดู “เจ้าคงเหนื่อยมาทั้งวัน กินซะลูก จะได้มีแรง” หลินเข่อซิงยิ้มขอบคุณบิดาของนาง ขณะที่มารดานั่งมองลูกสาวและอวิ๋นเฟยหลงอยู่ไม่ไกล “ท่านเองก็ควรพักผ่อนให้มากท่านแม่ทัพ ข้ารู้ว่าท่านเหน็ดเหนื่อยกับการดูแลชาวบ้าน แต่สุขภาพของท่านก็สำคัญเช่นกัน” อวิ๋นเฟยหลงพยักหน้า “ข้าขอบคุณท่านมาก ข้าจะระวังตัวมากขึ้น ท่านไม่ต้องเป็นห่วง” หลินเข่อซิงมองไปที่อวิ๋นเฟยหลงพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงความห่วงใย “ท่านแม่ทัพแน่ใจหรือ? ข้าเห็นท่านทำงานหนักมาตลอดวัน ท่านควรจะพักผ่อนบ้าง” อวิ๋นเฟยหลงหันมามองหลิน
หยางเฟยฮุ่ยนั่งสง่างามอยู่ตรงข้ามกับ เฉินอี้เฉียง ชายผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยแววตาที่เย็นชาและแฝงความอำมหิต แม้รอยยิ้มหวานบนใบหน้าจะยังคงประดับไว้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ความน่ากลัวของนางกลับทำให้บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกเฉินอี้เฉียงนั่งตัวแข็ง ท่าทางระมัดระวังขณะจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า เขารู้ดีว่าหยางเฟยฮุ่ยไม่ใช่คนที่จะมาเยี่ยมเยียนใครโดยไม่มีแผนการร้ายบางอย่าง นี่คือสัญญาณบ่งบอกว่าเขาต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะตามมา“ข้าต้องการให้เจ้าทำให้นาง...ไม่สามารถอยู่ในสังคมนี้ได้อีกต่อไป” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวเรียบๆ ขณะที่ตักน้ำชาขึ้นจิบ “ข้าไม่สนว่าจะใช้วิธีใด แต่ข้าต้องการเห็นนางถูกทำลาย ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง หรือสิ่งที่นางมีอยู่ตอนนี้”เฉินอี้เฉียงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “ท่าน...ท่านหมายความว่าอย่างไรขอรับ? นางเป็นคนที่แม่ทัพอวิ๋นให้ความสำคัญ หากข้าทำอะไรรุนแรงเกินไป ท่านแม่ทัพคงจะไม่ปล่อยข้าไว้แน่”หยางเฟยฮุ่ยหัวเราะเบาๆ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าอวิ๋นเฟยหลงจะปกป้องนางได้ตลอดหรือ? ข้าต้องการให้เจ้าทำลายชื่อเสียงของหลินเข่อซิงให้ย่อยยั
“แม่ทัพอวิ๋น ข้าคงต้องยอมรับว่าท่านมีฝีมือดียิ่งนัก แต่น่าเสียดาย ท่านก็คงจะมาได้เพียงแค่นี้” ชายหนุ่มแปลกหน้าว่าพลางชักดาบด้ามยาวออกมา อวิ๋นเฟนหลงเห็นดังนี้นเพียงหยักยิ้มมุมปาก “เช่นนั้นก็เข้ามา”การต่อสู้ระหว่างทั้งสองเริ่มต้นขึ้น อวิ๋นเฟยหลงตวัดดาบออกไป ชายในชุดคลุมก็เสือกดาบออกมาต้านรับ เสียงดาบกระทบกันดังขึ้นเสียจนเกิดเสียงวิ้งในหู การเคลื่อนไหวของพวกเขารวดเร็วและเฉียบคม ผลัดกันรุกผลัดกันรับชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร เจิ้งจู่คอยสอดส่องมองไปทางอวิ๋นเฟนหลง ขณะที่เขาก็กำลังเผชิญกับชายชุดดำที่เหลือหลังจากรุกรับกะนมาหลายกระบวนท่า ในที่สุดชายชุดดำก็พลาดท่าถูกดาบของอวิ๋นเฟยหลงแทงเข้าที่ลำตัว แต่ก่อนที่เขาจะล้มลงเขาได้กล่าวถ้อยคำออกมาด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน“ข้าจะไม่ใช่คนสุดท้ายที่มาขัดขวางท่าน ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ แม่ทัพอวิ๋น!”กล่าวจบ ร่างในชุดคลุมก็ล้มลงกับพื้น อวิ๋นเฟยหลงหอบหายใจ ดาบในมือเปื้อนเลือดเต็มไปหมด“ท่านแม่ทัพ ท่านบาดเจ็บหรือไม่?” เจิ้งจู่รีบวิ่งเข้ามาถามไถ่อวิ๋นเฟยหลงส่ายศีรษะ “ข้าไม่เป็นอะไร ไปกันเถอะก่อ
แสงแดดยามสายสาดส่องลงมาบนเส้นทางที่ทอดยาวผ่านป่าเขาและทุ่งหญ้า อวิ๋นเฟยหลงและเจิ้งจู่องครักษ์เงาคู่ใจอยู่บนหลังม้า ทั้งสองเดินทางร่วมกันมานานนับเดือน นับตั้งแต่จากบ้านสกุลซุย เส้นทางที่ผ่านไม่ได้ราบเรียบ มีทั้งความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ความร้อนระอุในบางวัน และความหนาวเหน็บในยามค่ำคืนม้าสีดำตัวใหญ่ของอวิ๋นเฟยหลงย่ำเท้าลงบนพื้นอย่างมั่นคง ชายหนุ่มนั่งตัวตรง ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังเส้นทางข้างหน้า ส่วนเจิ้งจู่ที่อยู่เคียงข้างไม่ห่าง ใช้มือปัดเหงื่อบนหน้าผากพร้อมกับพูดกลั้วหัวเราะ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะดูเหมือนว่าแม้แต่แดดแรงขนาดนี้ยังไม่อาจทำอะไรท่านได้เลย ข้าสิแทบจะละลายอยู่ตรงนี้แล้ว”อวิ๋นเฟยหลงหันมามองเจิ้งจู่ด้วยแววตาขำขัน “เจ้าคิดว่าการบ่นจะช่วยให้เย็นลงหรือ? อีกอย่างเลิกเรียกข้าว่าองค์ชายเสียที เรียกคุณชายจะดีกว่า ยิ่งเข้าใกล้แคว้นฉางจีเท่าไหร่เรายิ่งต้องปกปิดตัวตนมิให้ผู้ใดล่วงรู้”“เข้าใจแล้วขอรับ คุณชาย” เจิ้งจู่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่บางทีข้าก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าทำไมท่านถึงเลือกเส้นทางนี้ ทั้งที่ทางหลักก็น่าจะปลอดภัยกว่า”อวิ๋นเฟย
“กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ และละอายใจยิ่ง หากองค์ชายเจ็บแค้นและอยากสังหาร กระหม่อมก็พร้อมยินดีมอบชีวิตให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ว่าพลางยื่นกระบี่ในมือให้กับอวิ๋นเฟยหลงชายร่างผอมบางในชุดคลุมสีดำสนิท นั่งนิ่งหลับตาแน่น รอรับโทษทัณฑ์ฟิ้ววว เสียงโลหะแหวกอากาศจนเกือบฟันคอของเจิ้งจู่ขาด เจิ้งจู่รู้สึกถึงความเย็นของดาบที่แตะเบาๆที่คอ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำเอาเลือดสดไหลซึมออกมาเล็กน้อยเคร้ง!ดาบถูกโยนทิ้งลงพื้น“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากเจ้ารู้สึกเช่นนั้นก็จงร่วมเดินทางไปกับข้าเถอะ”“องค์ชาย กระหม่อมขอขอบพระทัยในความเมตตาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ลุกขึ้นมาคำนับอวิ๋นเฟยหลง“แต่ก่อนอื่นข้ามีเรื่องที่ต้องทำก่อนไป” อวิ๋นเฟยหลงว่าพลางขมวดคิ้วแน่น........แสงอาทิตย์แผดแสงเจิดจ้าส่องเข้ามายังลานบ้านสกุลซุย อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ในห้องพักอย่างเงียบสงบ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสน แต่มั่นคง เขารู้ดีว่าวันนี้เขาต้องบอกลาผู้คนที่นี่ คนที่ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน คนที่คอยช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาที่เขาความทรงจำขาดห
นับจากวันที่เขาประสบเหตุในวันที่ไปเก็บเห็ดกับนายท่านซุย จิ่นสือมักมีภาพเหตุการณ์โผล่ขึ้นมาให้เขาได้เห็น บางคราก็สั้นๆ บางคราก็เป็นเรื่องเป็นราวผุ้เฒ่าสกุลซุยทั้งสองลงความเห็นกันว่าควรให้เขาได้พักผ่อนให้มากหน่อยเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและพักฟื้นร่างกายให้ดี รวมถึงกันซุยลี่อินไม่ให้มารบกวนจิ่นสืออีกด้วย นับว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เขารุ้สึกสงบสุขมากที่สุดนับแต่ได้มาอยุ่ที่บ้านสกุลซุยก็ว่าได้สายลมวสันต์ฤดูพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำเอาจิ่นสือต้องยกมือขึ้นมาป้องปากและจมูกที่เย็นจนชาแทบไร้ความรู้สึกวันนี้ยังคงเป็นไปตามปกติเพียงแต่เขาไม่ต้องไปคอยตัดฟืนแบกหามอย่างเช่นทุกที ตามร่างกายยังคงเจ็บระบม ชายหนุ่มร่างกำยำที่เริ่มเบื่อหน่ายจึงไปนั่งขัดสมาธิบนฟูกนอน ก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่สมาธิเวลาล่วงเลยผ่านไปเท่าใดไม่อาจทราบได้ ร่างหนาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าแสงสุริยันลับขอบฟ้าไปแล้ว บนโต๊ะในห้องนอนมีสำรับกับข้าววางไว้ให้ เขาค่อยๆลุกขึ้นมานั่งก่อนจะบิดเอวซ้ายทีขวาที ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะกินข้าวเล็กๆมีอาหารเพียงสองอย่าง ผัดไข่ใส่ใบเซียงชุนและซุปเนื้อหอมกรุ่นที่ตอนน
ในห้วงอันเงียบสงบของค่ำคืน หยางเฟยฮุ่ยนั่งลงท่ามกลางแสงเทียนในห้องบรรทม นางประมวลผลทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งความไม่ไว้วางใจระหว่างตนกับหานเจี๋ย และสถานการณ์ในวังที่ตึงเครียด นางยิ้มมุมปาก ก่อนจะตัดสินใจวางแผนสร้างเครือข่ายพันธมิตรของตนเองขึ้นมา“ข้าจะไม่อยุ่รอวันตาย ไม่ฝากชีวิตไว้กับเสือที่ไม่รุ้ว่าจะแว้งกัดข้าตอนไหน” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวกับตนเองพลางยิ้มเย็นหยางเฟยฮุ่ยหันไปเริ่มต้นแผนด้วยการพบปะกับเหล่าสนมนางในบุตรีตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนัก เพื่อเสริมฐานพันธมิตรให้กว้างขวางมากขึ้น“ข้าอยากให้พวกท่านมาร่วมงานในตำหนักของข้า พวกเราสามารถแบ่งปันความคิดเห็นและสนับสนุนกันและกันได้... จะว่าไปก็นับว่าข้ามีโชคยิ่งนัก ที่ได้พบสตรีชั้นสูงที่มีความสามารถและรู้จักวางตัวอย่างท่านทั้งหลาย”“ฮองเฮาทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางถึงเพียงนี้ พวกข้าก็ยินดีที่จะมาพบปะกับท่านบ่อย ๆ เพคะ” ฮุ่ยเฟยเอ่ยขึ้น นางเป็นบุตรีของเสนาบดีเจ้ากรมโยธา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเรียบเรื่อยราวสายธารยามสงบนิ่ง“ข้าก็ยินดีเช่นกัน สตรีอย่างพวกเราย่อมต้องพึ่งพากันบ้าง พ
จิ่นสือพยักหน้ารับ ขณะที่ลูบใบเทียนเฉ่าเบาๆ กลิ่นหอมฉุนของมันลอยออกมาแตะจมูก สมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณล้ำค่า และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการแพทย์แผนโบราณถัดมาไม่นาน พวกเขาก็เจอพุ่มไม้ที่ออกดอกเป็นช่อสีขาวเล็กๆ กลีบดอกดูเปราะบางและชุ่มชื่น“นี่คือไป่ฮวา หรือหญ้าพันงู ขึ้นชื่อในสรรพคุณสมานแผลและหยุดเลือดทันทีเมื่อมีแผลสด ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในยาสำหรับทหารหรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงอันตราย”จิ่นสือสังเกตพุ่มไม้ไป่ฮวาด้วยความสนใจ“น่าสนใจนัก ยามศึกสงคราม สมุนไพรนี้คงช่วยได้มากจริงๆ”พวกเขาเดินต่อจนถึงลำธารเล็กๆ ที่ไหลเย็นสบาย สองข้างของลำธารมีต้นไม้เล็กๆ ออกผลเล็กๆ สีแดงจัดเต็มพุ่ม“ต้นนี้เรียกว่าซานจาหรือพุทราจีน ผลสีแดงของมันนี้กินได้ มีรสหวานอมเปรี้ยว ช่วยย่อยอาหารและบำรุงหัวใจเป็นเลิศ” นายท่านซุยหยิบผลซานจามาส่งให้จิ่นสือ“ลองชิมดูสิ หวานอมเปรี้ยวนี่ล่ะช่วยให้รู้สึกสดชื่นยิ่ง”จิ่นสือรับผลซานจามา ลองกัดเบาๆ รสชาติสดชื่นทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที สมุนไพรนี้ไม่เพียงแต่เป็นยาบำรุงแต่ยังเสริมพลังได้เป็นอย่างดี
ซุยลี่อินใจเต้นรัว ใบหน้าเล็กร้อนผ่าว มือน้อยๆ ยกขึ้นไปจับตรงตำแหน่งที่มือใหญ่ได้วางไว้ก่อนหน้าเบาๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มแย้มยิ้มออกมาเสียจนแทบฉีกถึงใบหุ “ข้าจะรอท่านพี่กลับมานะเจ้าคะ” สาวน้อยตะโกนไล่หลังร่างสุงใหญ่ที่เดินทิ้งห่างไปไกล ซุยลี่อินยืนส่งชายในดวงใจจนร่างเขาหายลับไปจากสายตา จึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน จิ่นสือได้ยินเสียงใสแว่วๆ แต่เขาไม่ได้หันกลับไป ทำเพียงเร่งฝีเท้าให้ทันนายท่านซุยเพียงเท่านั้น แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านยอดไม้หนาทึบลงมาเป็นลำ จิ่นสือก้าวเดินตามผู้เฒ่าอย่างตั้งใจ แม้พื้นดินจะชื้นแฉะ แต่ในความชื้นนั้นกลับทำให้ป่าแห่งนี้อุดมไปด้วยพืชสมุนไพรอันหลากหลาย จิ่นสือมองสำรวจอย่างตั้งอกตั้งใจ "ดูเหมือนป่านี้จะซ่อนสมุนไพรล้ำค่าไว้มิใช่น้อย...ข้าสงสัยว่าเหตุใดต้นไม้เหล่านี้จึงเติบโตได้งดงามนัก" นายท่านซุยยิ้มอย่างยินดีที่ชายหนุ่มถามในเรื่องที่เขามีความรู้เป็นอย่างดี และยินดีแบ่งปันอย่างยิ่ง “ต้นไม้ในป่านี้ได้รับการดูแลจากธรรมชาติ และคนในหมู่บ้านของเราได้ช่วยกันร
จิ่นสือมาอยุ่กับครอบครัวสกุลซุยมาได้พักใหญ่แล้ว เขามักจะไปตักน้ำตัดฟืนมาไว้ในบ้านเสมอ รวมถึงการออกไปจับจ่ายซื้อของแทนผุ้เฒ่าซุยอยุ่บ่อยครั้งและแน่นอนว่าเขามักจะมีดรุณีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มตามติดไปด้วยอยุ่เสมอ จนผุ้ที่ได้พบเห็นต่างนึกเอ็นดุและชื่นชมในรุปลักษณ์ที่ดีงามของทั้งสองคนจิ่นสือมักมีอาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมักมีอาการไม่นานมาก เพียงชั่วใบไม้ร่วงหล่นลงสุ่พื้น แต่ก็ทำให้เขาเจ็บร้าวในหัวจนแทบทรงตัวไม่อยุ่ในทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงหญิงสาวที่ไม่มีใบหน้า เฝ้าเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงอาทรและห่วงหาคืนนี้ก็เช่นกัน…“ท่านพี่…ท่านพี่…”“…”“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่” เขาถามออกไปแต่ร่างบอบบางในชุดสีฟ้าอ่อน ผมยาวตรงสยายพลิ้วไหวตามแรงลมที่ไม่ทราบมาจากที่ใด เขาเพ่งมองไปยังใบหน้านั้น แต่แสงสีขาวสว่างจ้าเกินไปจนเขาตาพร่าไม่สามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปหาร่างนั้น แต่ยิ่งเดินยิ่งห่างไกล ราวกับร่างนั้นเคลื่อนถอยหลังหนีเขาอยุ่ร่ำไป“ได้โปรดเถิด ให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าสักนิด”จื
บนพื้นที่ห่างไกลออกไปทางเหนือใกล้กับชายแดนแคว้นเกาเยว่ เสียงตัดไม้ดังก้องไปทั่วป่า เมื่อมองลึกเข้าไปจะพบกับชายร่างสูงใหญ่ล่ำสัน เครื่องแต่งกายมีเพียงเสื้อตัวบางทับด้วยเสื้อกั๊กเผยให้เห็นมัดกล้ามสองแขนแกร่ง กำลังตัดไม้อย่างขมักเขม้น หยาดเหงื่อไหลรินผ่านขมับ ชายหนุ่มขบกรามแน่นยามออกแรงยกขวาน ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา หนวดเครารกครึ้ม ส่งให้ใบหน้าคมเข้มไม่ไกลกันนัก มีสาวน้อยวัยกำดัดนั่งเท้าคางมองชายหนุ่มที่กำลังตัดไม้ด้วยแววตาหลงใหล สาวน้อยร่างบางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน ดูน่ารักน่าทะนุถนอมยิ่งนัก ข้างๆมีตระกร้าใส่อาหารและผลไม้ ดูไปก็คล้ายคู่รักที่ดูรักกันดียิ่ง แต่ความเป็นจริงนั้น…“จิ่นสือ วันนี้อากาศดีมาก ข้าว่าพอแค่นี้ดีไหม แล้วเราไปเดินเล่นในเมืองด้วยกัน” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยชวนแต่ชายร่างกำยำกลับทำราวกับไม่ได้ยินเสียงนาง ยังคงตัดไม้ต่อไปอย่างไม่ลดละ“นี่ เมื่อไหร่ท่านจะยอมคุยกับข้าสักที นี่ก็ผ่านมาจะครึ่งปีอยู่แล้วนะ นับจากวันที่ท่านพ่อกับท่านแม่พาท่านมาอยู่ด้วยกัน”“…”“สมแล้วที่ท่านพ่อตั้งชื่อให้ท่านว่าจิ่