แสงสีทองสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างห้องนอนของหยางเฟยฮุ่ย นางยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องส่วนตัวของนาง ดวงตาคมกริบของนางสะท้อนความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจอย่างชัดเจน ภายในใจของนางเต็มไปด้วยความเจ็บใจและความอับอายที่ อวิ๋นเฟยหลง เริ่มสนใจหลินเข่อซิงมากขึ้นทุกวัน ตั้งแต่ที่นางเคยเป็นหญิงเดียวที่เข้าออกจวนของอวิ๋นเฟยหลงได้อย่างอิสระ แต่ตอนนี้...กลับมีหญิงอื่นเข้ามาแทรกซ้อน ทั้งที่หลินเข่อซิงเคยเป็นแค่คนจืดชืด นางไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอวิ๋นเฟยหลงถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้
“ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องนี้จบแบบนี้แน่นอน!” หยางเฟยฮุ่ยพูดกับตัวเอง ขณะที่นางบีบมือตัวเองแน่นราวกับจะบีบความรู้สึกเกรี้ยวกราดนั้นออกไป องค์ชายห้าที่นางคิดว่าจะช่วยให้นางได้ใกล้ชิดกับอวิ๋นเฟยหลงมากขึ้น กลับดูเหมือนจะมีใจให้กับหลินเข่อซิงเสียอีก นางรู้ดีว่าถ้ายังปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะเสียทุกอย่างที่นางพยายามสร้างมาตลอด ทั้งการเป็นภรรยาของอวิ๋นเฟยหลงและตำแหน่งสูงส่งในตระกูลอวิ๋น นางต้องทำอะไรสักอย่าง และครั้งนี้นางจะไม่ปล่อยให้หลินเข่อซิงรอดไปได้อีก “ถ้าข้าไม่สามารถทำให้อวิ๋นเฟยหลงกลับมาหาข้าได้ ข้าก็จะทำให้เจ้าไม่มีทางยืนอยู่ในสังคมได้อีกต่อไป!” หยางเฟยฮุ่ยพูดด้วยเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น หยางเฟยฮุ่ยเดินทางไปที่จวนของเฉินอี้เฉียง ชายผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ที่เคยพยายามกลั่นแกล้งหลินเข่อซิงมาก่อนตามแผนของนาง หญิงสาวนั่งลงที่โต๊ะน้ำชาของเขาอย่างสง่างาม ใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มหวานที่ไปไม่ถึงดวงตา “ท่านเฉิน ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับท่านเจ้าค่ะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่ในน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยอำนาจอย่างที่เฉินอี้เฉียงไม่กล้าปฏิเสธ “ขอรับ คุณหนูหยาง ท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใดหรือ?” เฉินอี้เฉียงถามอย่างระมัดระวัง เขารู้ดีว่าหยางเฟยฮุ่ยไม่ใช่คนที่จะมาเยี่ยมเยียนใครโดยไม่มีแผนการในใจ “ข้าต้องการให้ท่านช่วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ” หยางเฟยฮุ่ยยิ้มเย็น “เจ้าจำหลินเข่อซิงได้ใช่หรือไม่?” เฉินอี้เฉียงกลืนน้ำลายลงคอทันทีเมื่อได้ยินชื่อนั้น “จำได้สิขอรับ นาง...นางเป็นคนที่แม่ทัพอวิ๋นให้ความสำคัญมาก” “ข้าต้องการให้เจ้าใช้เส้นสายของเจ้าทำให้นางไม่สามารถอยู่ในสังคมนี้ได้อีกต่อไป” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวเรียบๆ แต่แฝงความร้ายกาจไว้เต็มเปี่ยม “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีการไหน แต่ข้าต้องการเห็นนางถูกทำลาย ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงหรือสิ่งที่นางมี” เฉินอี้เฉียงรู้สึกหนาวสั่นจากน้ำเสียงของนาง แต่เขาก็ไม่กล้าปฏิเสธ เพราะรู้ดีถึงอิทธิพลของตระกูลหยาง “ข้าจะทำตามคำสั่งของคุณหนูหยางทันทีขอรับ รับรองได้ว่าคุณหนูหลินคนนั้น ต้องอับอายจนไม่กล้าเสนอหน้าอีกเป็นแน่” หยางเฟยฮุ่ยได้ยิน ก็ยิ้มตอบอย่างสมใจ แววตาฉายแววมาดร้ายและยินดีเมื่อนึกถึงสีหน้าของหลินเข่อซิงที่จะต้องอับอายผู้คน “แล้วเจ้าจะได้รู้ ว่าไม่ควรเข้ามาเทียบเคียงกับข้า” แสงอาทิตย์เริ่มแผ่กระจายทั่วป่าใหญ่เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วเข้ามาแทนที่เสียงฝนจากเมื่อคืน หลินเข่อซิง ตื่นขึ้นมาบนพื้นไม้กระดานของกระท่อมร้าง นางยืดแขนขาพลางถอนหายใจเบาๆ ความเมื่อยล้าจากการนอนขดตัวบนพื้นกระดานที่แข็งๆ ทำให้ร่างกายของนางรู้สึกเหนื่อยอ่อน นางหันไปมองข้างตัว เห็นอวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่หน้าประตู เขายืนด้วยท่าทีสง่างาม แม้ว่าจะเพิ่งผ่านคืนที่เหนื่อยล้าเหมือนกัน แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่มีอาการใดๆ บ่งบอกว่าเขารู้สึกเหนื่อยเลย นั่นยิ่งทำให้หลินเข่อซิงรู้สึกว่าตนเองดู "อ่อนแอ" มากขึ้นไปอีก "อรุณสวัสดิ์ท่านแม่ทัพ" หลินเข่อซิงเอ่ยทัก พลางยิ้มแหยๆ "เจ้าตื่นช้าจังนะ" เฟยหลงหันมามองนางด้วยสายตานิ่งๆ "ข้าคิดว่าท่านน่าจะเข้าใจ ข้านอนบนพื้นแข็งๆ ทั้งคืน ไม่เหมือนท่านที่นั่งพิงฝาผนังแล้วหลับไปสบายๆ" นางแกล้งทำเป็นบ่นเล็กๆ อวิ๋นเฟยหลงหัวเราะเบาๆ “ถ้าเจ้านอนหลับบนพื้นไม้กระดานแล้วคิดว่ามันนุ่ม...เจ้าคงจะหลับสนิทได้ทุกที่” ทั้งสองมองหน้ากันอย่างขบขัน ขณะที่บรรยากาศของป่ายังคงสงบเช่นเดิม แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังใกล้เข้ามา หลินเข่อซิงหันไปมองเห็นทหารติดตามทั้งสามคนเดินเข้ามาในกระท่อม พร้อมใบหน้าที่แสดงความสับสนและแปลกใจสุดขีด “ท่านแม่ทัพ! พวกข้าตามหาท่านทั้งคืน!” ทหารคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงกึ่งตื่นเต้นและโล่งใจ ขณะที่อีกสองคนมองอวิ๋นเฟยหลงกับหลินเข่อซิงสลับกันไปมา "กว่าจะเจอนะ?" อวิ๋นเฟยหลงตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทหารทั้งสามมองหน้ากันก่อนจะกลืนน้ำลาย "ก็... ท่านแม่ทัพไม่ได้ส่งสัญญาณบอกพวกข้า พวกข้าจึงคิดว่าท่านอาจจะ...ประสบเหตุร้าย" “ประสบเหตุร้ายหรือ?” หลินเข่อซิงกลั้นหัวเราะ พลางส่งสายตาล้อเลียนไปทางอวิ๋นเฟยหลง ร่างสูงโปร่งหันไปมองทหารทั้งสามด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย แต่แววตากลับแฝงความขำขันอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายอะไรหรอก เพียงแต่เมื่อคืนนี้มีคนลื่นตกลงมาและข้าเลยต้องมาช่วยเท่านั้น” ทหารทั้งสามหันไปมองหลินเข่อซิงด้วยความสงสัย คนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาเบาๆ “แล้วทำไมท่านแม่ทัพถึงไม่ส่งสัญญาณกลับไปให้พวกข้ารู้?” คนที่ร่างเล็กกว่าเอามือปิดปากคนถามไว้พร้อมกระซิบเสียงแผ่วเบา “เจ้านี่ หุบปากไปเลย” อวิ๋นเฟยหลงหันมามองหลินเข่อซิงก่อนจะตอบด้วยท่าทีเรียบๆ “ข้ามีเรื่องที่ต้องดูแลอยู่ตรงนี้... เลยไม่ได้สนใจเรื่องสัญญาณมากนัก” ทหารคนหนึ่งเลิกคิ้วพลางหันไปยิ้มแซว “ท่านแม่ทัพ... หรือว่าท่านจะติดใจการอยู่กับคุณหนูหลิน?” "หุบปากเสีย!" อวิ๋นเฟยหลงขู่เสียงต่ำ แต่ดูเหมือนน้ำเสียงนั้นจะไม่ได้จริงจังเท่าไรนัก หลินเข่อซิงที่ฟังอยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ "ท่านแม่ทัพจะไปติดใจอะไรได้ ข้าต่างหากที่ติดใจการผจญภัยแบบนี้... ต่อไปอาจจะต้องขอไปช่วยท่านอีกบ่อยๆ" ทหารอีกคนหนึ่งพึมพำขึ้นมา "แต่เมื่อคืนฝนตกหนักมาก ข้านึกว่าท่านแม่ทัพจะให้พวกเรามารับกลับไปเสียอีก... ที่ไหนได้..." ทหารทั้งสามคนหัวเราะคิกคักเบาๆ ขณะที่อวิ๋นเฟยหลงยังคงยืนนิ่ง มองพวกเขาด้วยแววตาที่บ่งบอกว่าเขาไม่พอใจกับคำแซว แต่ลึกๆ แล้วเขาก็อดหัวเราะในใจไม่ได้ "เอาล่ะ กลับกันได้แล้ว" อวิ๋นเฟยหลงพูดตัดบท พลางหันหลังเดินออกจากกระท่อม หลินเข่อซิงหันไปแอบยิ้มกับทหารคนหนึ่ง ก่อนจะวิ่งตามชายหนุ่มออกไป ขณะที่ทหารคนหนึ่งก็หันไปบอกกับเพื่อนๆ เบาๆ “เฮ้ เจ้าสังเกตไหม ท่านแม่ทัพดู...อารมณ์ดีนะ เห็นมียิ้มมุมปากด้วย” "อ้อ นั่นน่ะหรือ... ข้าเห็นแล้ว แต่ข้าไม่กล้าพูด เดี๋ยวโดนอาวุธลับบินมาเสียก่อน" อีกคนตอบกลับด้วยน้ำเสียงล้อเลียน ทหารทั้งสามยังคงยิ้มแซวกันไปตลอดทาง ขณะที่หลินเข่อซิงกับอวิ๋นเฟยหลงเดินนำหน้า ท่ามกลางบรรยากาศที่สดใสหลังฝนตก คืนที่ผ่านมาทำให้ทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้น และแม้อวิ๋นเฟยหลงจะยังไม่เปิดเผยความรู้สึกของตัวเองออกมา แต่แววตาที่อ่อนโยนของเขาก็เริ่มบ่งบอกอะไรบางอย่างที่เขาไม่เคยแสดงออกมาก่อนในจวนตระกูลหลินเช้านี้กลับไม่ได้สดใสอย่างที่ควรจะเป็น บรรยากาศเคร่งเครียดปกคลุมไปทั่วจวนตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากที่หลินเข่อซิงออกจากบ้านไปพร้อมกับท่านแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง โดยบอกว่าจะไปช่วยงานบางอย่างเกี่ยวกับการป้องกันภัยน้ำท่วม แต่นับจากนั้นจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ กลับมาที่บ้านเลยหลินเจิ้นกั๋วยืนอยู่หน้าจวน มือกุมหลังพลางเดินไปเดินมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลอย่างชัดเจน เขาหันไปมองทางเข้าออกของจวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับคาดหวังว่าลูกสาวของเขาจะปรากฏตัวขึ้นจากทางนั้นทุกเมื่อ แต่ก็ยังคงไม่มีวี่แวว"นางไปไหนกันแน่ ทำไมถึงหายเงียบไปทั้งคืนแบบนี้" ชายวัยกลางคนพูดกับตัวเองเบาๆ อย่างร้อนใจขณะนั้นมารดาของหลินเข่อซิง ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องรับแขก กำลังพัดใบหน้าของตนอย่างใจลอย นางเองก็ร้อนใจไม่ต่างจากสามี แต่ก็พยายามสงบใจไม่ให้แสดงความกังวลออกมามากเกินไป"ท่านพี่..." นางพูดขึ้นเบาๆ ขณะที่มองออกไปยังประตูจวน "เราส่งคนออกไปตามหาแล้ว แต่ก็ยังไม่มีข่าวอะไรกลับมาเลย ข้ากลัวว่าซิงเอ๋อร์จะเป็นอะไรไป"หลินเจิ้นกั๋วหันกลับ
บรรยากาศในจวนตระกูลหลินกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง หลังจากที่ความกังวลเมื่อเช้าได้หายไป พ่อแม่ของหลินเข่อซิงนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมกับลูกสาวและอวิ๋นเฟยหลง ที่ร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยกันตามคำเชิญของผู้นำตระกูล อาหารหลากหลายจานถูกจัดเรียงไว้อย่างงดงาม มีทั้งผักสดเนื้อสัตว์และซุปหอมกรุ่น กลิ่นหอมของอาหารลอยไปทั่วห้อง หลินเข่อซิงที่ยังรู้สึกเหนื่อยจากการเดินทางมาก่อนหน้านี้เริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้นหลังจากได้อยู่ในบรรยากาศที่อบอุ่นเช่นนี้ หลินเจิ้นกั๋วตักอาหารใส่จานลูกสาว พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเอ็นดู “เจ้าคงเหนื่อยมาทั้งวัน กินซะลูก จะได้มีแรง” หลินเข่อซิงยิ้มขอบคุณบิดาของนาง ขณะที่มารดานั่งมองลูกสาวและอวิ๋นเฟยหลงอยู่ไม่ไกล “ท่านเองก็ควรพักผ่อนให้มากท่านแม่ทัพ ข้ารู้ว่าท่านเหน็ดเหนื่อยกับการดูแลชาวบ้าน แต่สุขภาพของท่านก็สำคัญเช่นกัน” อวิ๋นเฟยหลงพยักหน้า “ข้าขอบคุณท่านมาก ข้าจะระวังตัวมากขึ้น ท่านไม่ต้องเป็นห่วง” หลินเข่อซิงมองไปที่อวิ๋นเฟยหลงพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงความห่วงใย “ท่านแม่ทัพแน่ใจหรือ? ข้าเห็นท่านทำงานหนักมาตลอดวัน ท่านควรจะพักผ่อนบ้าง” อวิ๋นเฟยหลงหันมามองหลิน
หยางเฟยฮุ่ยนั่งสง่างามอยู่ตรงข้ามกับ เฉินอี้เฉียง ชายผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยแววตาที่เย็นชาและแฝงความอำมหิต แม้รอยยิ้มหวานบนใบหน้าจะยังคงประดับไว้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ความน่ากลัวของนางกลับทำให้บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกเฉินอี้เฉียงนั่งตัวแข็ง ท่าทางระมัดระวังขณะจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า เขารู้ดีว่าหยางเฟยฮุ่ยไม่ใช่คนที่จะมาเยี่ยมเยียนใครโดยไม่มีแผนการร้ายบางอย่าง นี่คือสัญญาณบ่งบอกว่าเขาต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะตามมา“ข้าต้องการให้เจ้าทำให้นาง...ไม่สามารถอยู่ในสังคมนี้ได้อีกต่อไป” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวเรียบๆ ขณะที่ตักน้ำชาขึ้นจิบ “ข้าไม่สนว่าจะใช้วิธีใด แต่ข้าต้องการเห็นนางถูกทำลาย ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง หรือสิ่งที่นางมีอยู่ตอนนี้”เฉินอี้เฉียงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “ท่าน...ท่านหมายความว่าอย่างไรขอรับ? นางเป็นคนที่แม่ทัพอวิ๋นให้ความสำคัญ หากข้าทำอะไรรุนแรงเกินไป ท่านแม่ทัพคงจะไม่ปล่อยข้าไว้แน่”หยางเฟยฮุ่ยหัวเราะเบาๆ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าอวิ๋นเฟยหลงจะปกป้องนางได้ตลอดหรือ? ข้าต้องการให้เจ้าทำลายชื่อเสียงของหลินเข่อซิงให้ย่อยยั
หลังจากที่ข่าวลือเกี่ยวกับหลินเข่อซิงแพร่กระจายไปทั่วเมือง ความเงียบสงบในจวนท่านโหวก็เต็มไปด้วยความกังวล อวิ๋นเฟยหลงเดินวนไปวนมาในห้องทำงาน หน้านิ่วคิวขมวด บรรดาทหารในสังกัดต่างรู้สึกว่าแม่ทัพของพวกเขาช่วงนี้หงุดหงิดง่ายเสียเหลือเกิน รวมถึงบรรดาบ่าวไพร่ต่างทำงานด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง อวิ๋นเฟยหลงรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่สามารถปล่อยให้ดำเนินต่อไปได้โดยที่เขาไม่ทำอะไร ในห้องหนังสือ หลินเข่อซิงนั่งสงบอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง นางจ้องมองหนังสือที่เปิดอยู่บนตัก แต่ความคิดล่องลอยไปไกล ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าของอวิ๋นเฟยหลงดังขึ้น ทำให้นางเงยหน้ามอง "ข้ามีเรื่องที่ต้องพูดกับเจ้า" อวิ๋นเฟยหลงพูดขึ้น "ข้าจะจัดงานเลี้ยงที่จวน เพื่อให้ทุกคนมาเห็นด้วยตาตัวเองว่าเจ้าไม่ได้เป็นอย่างที่ข่าวลือกล่าวอ้าง" หลินเข่อซิงมองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ “งานเลี้ยงงั้นหรือ?” อวิ๋นเฟยหลงพยักหน้า "ใช่ ข้าจะเชิญบรรดาคุณหนูและผู้มีอำนาจในเมือง รวมถึงเหล่าขุนนางที่มีชื่อเสียงให้มาเข้าร่วมงานนี้ เจ้าจะมีโอกาสแสดงตัวต่อหน้าพวกเขา ให้พวกเขาเห็นว่าเจ้าเป็นใครจริงๆ ไม่ใช่ตามที่ข่าวลือพูดถึง" หลินเข่อซิงคิดตามแล้วพยั
“เจ้าคิดจริงๆ เหรอว่าอวิ๋นเฟยหลงจะสนใจผู้หญิงที่จืดชืดและไม่มีอะไรน่าสนใจแบบเจ้า?” หยางเฟยฮุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “เจ้ามันก็แค่เงาของคนอื่น เขาไม่มีวันรักเจ้า ข้าเป็นคนเดียวที่เหมาะสมกับเขา”หลินเข่อซิงหัวเราะออกมาด้วยความเย็นชา “ข้าคงไม่ต้องบอกเจ้าให้หยุดทำอะไรโง่ๆ แบบนี้ใช่ไหม? ข่าวลือที่เจ้าแพร่กระจายไป มันทำให้ทุกคนเห็นความริษยาในตัวเจ้าเองมากกว่าที่จะทำลายข้า”หยางเฟยฮุ่ยหน้าแดงก่ำ กำหมัดแน่น “เจ้ามันก็แค่คนที่ไม่มีวันอยู่ในระดับเดียวกับข้า ข้าเพียงแค่ต้องการทำให้ทุกคนเห็นความจริง ว่าเจ้าไม่เหมาะสมกับตำแหน่งภรรยาแม่ทัพ!”หลินเข่อซิงก้าวเข้าไปใกล้หยางเฟยฮุ่ย พลางกระซิบเบาๆ “แผนไร้สมองของเจ้า มันไม่มีผลหรอก ข้าจะแสดงให้ดู ว่าเขาจะเลือกใคร”หลินเข่อซิงแสร้งล้มลงไปอย่างแรง โดยไม่ลืมที่จะดึงเอาหยางเฟยฮุ่ยลงมาด้วยทันใดนั้นเอง อวิ๋นเฟยหลงพร้อมเหล่าขุนนางและคุณหนูทั้งหลายก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากเงามืดของสวน ทุกคนหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงสนทนาของหยางเฟยฮุ่ยที่กำลังสารภาพถึงการกระทำของตนเองหยางเฟยฮุ่ยหันไปเห็นทุกคนที่ยืนอ
เมื่อออกจากห้องโถง หยางเฟยฮุ่ยก็เดินอย่างอ่อนแรงไปที่ห้องของตนเอง นางนั่งลงบนเตียง น้ำตาที่กล้ำกลืนเอาไว้ไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน นางรู้ดีว่าตนเองได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ความรักที่นางมีต่ออวิ๋นเฟยหลง ความหวังที่จะได้ครองคู่กับเขา ทุกอย่างมันพังทลายลงไม่เหลือชิ้นดี “ข้า...ข้าจะไม่ยอมแพ้...” หยางเฟยฮุ่ยกระซิบเบาๆ นางเช็ดน้ำตาด้วยความโกรธ นางจะไม่ยอมให้ชีวิตของนางจบลงเพียงเท่านี้ แม้ว่าต้องใช้วิธีใดก็ตาม นางก็จะหาทางกลับมาให้ได้ณ จวนตระกูลหลิน ในยามเช้าตรู่วันนี้เต็มไปด้วยความสงบและอากาศที่สดชื่น แต่ในใจของ หลินเข่อซิง กลับตื่นเต้นระคนกังวล เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่สองครอบครัวจะมาพบปะกันเพื่อพูดคุยเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของนางเรื่องการแต่งงานกับอวิ๋นเฟยหลงเมื่อเวลาใกล้เที่ยง บรรยากาศในห้องรับรองใหญ่ของจวนตระกูลหลินถูกจัดเตรียมอย่างประณีต อวิ๋นเหอ ท่านโหวแห่งตระกูลอวิ๋นกับฮูหยินใหญ่และอวิ๋นเฟยหลง เดินทางมาถึงจวนตระกูลหลิน พร้อมด้วยขบวนที่เต็มไปด้วยของกำนัลอันสูงค่า ที่ถูกจัดเตรียมมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและให้เกียรติตระกูลของฝ่ายหญิง"ยินดีต้อนรับท่านโหว ฮูหยินและท่านแม
วันลี่เซี่ย หรือวันเริ่มต้นฤดูร้อน เป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญที่ชาวบ้านต่างตั้งตารอคอย เมื่อดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง ท้องฟ้าโปร่งใสไร้เมฆ เหล่านกน้อยเริ่มส่งเสียงขับขานไปทั่ว เมืองก็เต็มไปด้วยความคึกคักอีกครั้ง ผู้คนพากันออกมาตระเตรียมสิ่งของเพื่อบูชาเทพเจ้าและบรรพบุรุษตามธรรมเนียมเดิม ขณะที่บรรยากาศก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารที่ชาวบ้านต่างพากันเตรียมไว้ หลินเข่อซิง ตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมกับความตื่นเต้น เมื่อยืนอยู่หน้ากระจก นางก็มองตัวเองในชุดผ้าไหมเบาบางสีฟ้าอ่อนที่เข้ากับบรรยากาศฤดูร้อน "วันนี้เราจะได้ออกไปเที่ยวกับท่านอวิ๋นอีกแล้ว" นางพึมพำกับตัวเองพร้อมรอยยิ้ม ในขณะที่นางออกมาที่ลานหน้าจวน หลิงเฉิน สาวใช้คนสนิทของนางก็เดินเข้ามาพร้อมกับหอบหิ้วไข่ต้มใส่ถุงที่ทำจากผ้าไหมหลากสี "คุณหนูเจ้าคะ ข้าเตรียมไข่ลี่เซี่ยมาให้แล้วเจ้าค่ะ ต้มด้วยใบชาและเปลือกวอลนัทตามธรรมเนียม ข้าจะผูกติดเอวท่านให้เป็นเครื่องราง" "โอ้โห! ดูน่ากินจริงๆเลย ข้าล่ะชอบกลิ่นชาและวอลนัทนี่จัง" หลินเข่อซิงยิ้มอย่างสดใส พลางยื่นมือรับไข่ลี่เซี่ยมาแขวนไว้ที่เอว
หลินเข่อซิง เดินเคียงข้าง อวิ๋นเฟยหลง ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นในตลาด ผู้คนพลุกพล่านไปด้วยชาวบ้านที่มาเฉลิมฉลองเทศกาลลี่เซี่ย มีเสียงตะโกนเรียกลูกค้าจากพ่อค้าแม่ขายตลอดทาง กลิ่นหอมของอาหารหลากหลายชนิดลอยมาแตะจมูก หลินเข่อซิงรู้สึกเพลิดเพลินกับบรรยากาศรอบตัว แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อได้เดินเคียงข้างอวิ๋นเฟยหลง“ท่านอวิ๋น ข้าขอลองนั่นหน่อยได้ไหมเจ้าคะ?” หลินเข่อซิงเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย ขณะที่ชี้ไปยังร้านขายขนมที่มีไข่ลี่เซี่ยแบบพิเศษเรียงรายอยู่“เจ้าอยากกินไข่ลี่เซี่ยเพิ่มอีกหรือ?” อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เมื่อเช้าเจ้าเพิ่งกินไปไม่ใช่หรือ?”“แต่ครั้งนี้มันเป็นไข่ลี่เซี่ยผสมชาแบบเฉพาะนี่นา” หลินเข่อซิงพูดพลางยิ้มกว้าง “มันต้องอร่อยกว่าเดิมแน่ๆ ข้าอยากลองชิมน่ะ นะเจ้าคะ นะๆๆๆ” ว่าแล้วสาวน้อยก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ พร้อมกระพริบตาถี่รัวอวิ๋นเฟยหลงพยักหน้าอย่างเรียบเฉย แต่เขาก็พานางไปที่ร้านขายขนมนั้น “ถ้าเจ้าชอบ ข้าจะซื้อให้” เขากล่าวเสียงนิ่ง แต่ใบหูกลับแดงก่ำ“โอ้! ท่านแม่ทัพท่านใจดีจัง” หลินเข่อซิงแกล
แสงแดดยามสายสาดส่องลงมาบนเส้นทางที่ทอดยาวผ่านป่าเขาและทุ่งหญ้า อวิ๋นเฟยหลงและเจิ้งจู่องครักษ์เงาคู่ใจอยู่บนหลังม้า ทั้งสองเดินทางร่วมกันมานานนับเดือน นับตั้งแต่จากบ้านสกุลซุย เส้นทางที่ผ่านไม่ได้ราบเรียบ มีทั้งความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ความร้อนระอุในบางวัน และความหนาวเหน็บในยามค่ำคืนม้าสีดำตัวใหญ่ของอวิ๋นเฟยหลงย่ำเท้าลงบนพื้นอย่างมั่นคง ชายหนุ่มนั่งตัวตรง ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังเส้นทางข้างหน้า ส่วนเจิ้งจู่ที่อยู่เคียงข้างไม่ห่าง ใช้มือปัดเหงื่อบนหน้าผากพร้อมกับพูดกลั้วหัวเราะ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะดูเหมือนว่าแม้แต่แดดแรงขนาดนี้ยังไม่อาจทำอะไรท่านได้เลย ข้าสิแทบจะละลายอยู่ตรงนี้แล้ว”อวิ๋นเฟยหลงหันมามองเจิ้งจู่ด้วยแววตาขำขัน “เจ้าคิดว่าการบ่นจะช่วยให้เย็นลงหรือ? อีกอย่างเลิกเรียกข้าว่าองค์ชายเสียที เรียกคุณชายจะดีกว่า ยิ่งเข้าใกล้แคว้นฉางจีเท่าไหร่เรายิ่งต้องปกปิดตัวตนมิให้ผู้ใดล่วงรู้”“เข้าใจแล้วขอรับ คุณชาย” เจิ้งจู่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่บางทีข้าก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าทำไมท่านถึงเลือกเส้นทางนี้ ทั้งที่ทางหลักก็น่าจะปลอดภัยกว่า”อวิ๋นเฟย
“กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ และละอายใจยิ่ง หากองค์ชายเจ็บแค้นและอยากสังหาร กระหม่อมก็พร้อมยินดีมอบชีวิตให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ว่าพลางยื่นกระบี่ในมือให้กับอวิ๋นเฟยหลงชายร่างผอมบางในชุดคลุมสีดำสนิท นั่งนิ่งหลับตาแน่น รอรับโทษทัณฑ์ฟิ้ววว เสียงโลหะแหวกอากาศจนเกือบฟันคอของเจิ้งจู่ขาด เจิ้งจู่รู้สึกถึงความเย็นของดาบที่แตะเบาๆที่คอ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำเอาเลือดสดไหลซึมออกมาเล็กน้อยเคร้ง!ดาบถูกโยนทิ้งลงพื้น“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากเจ้ารู้สึกเช่นนั้นก็จงร่วมเดินทางไปกับข้าเถอะ”“องค์ชาย กระหม่อมขอขอบพระทัยในความเมตตาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ลุกขึ้นมาคำนับอวิ๋นเฟยหลง“แต่ก่อนอื่นข้ามีเรื่องที่ต้องทำก่อนไป” อวิ๋นเฟยหลงว่าพลางขมวดคิ้วแน่น........แสงอาทิตย์แผดแสงเจิดจ้าส่องเข้ามายังลานบ้านสกุลซุย อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ในห้องพักอย่างเงียบสงบ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสน แต่มั่นคง เขารู้ดีว่าวันนี้เขาต้องบอกลาผู้คนที่นี่ คนที่ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน คนที่คอยช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาที่เขาความทรงจำขาดห
นับจากวันที่เขาประสบเหตุในวันที่ไปเก็บเห็ดกับนายท่านซุย จิ่นสือมักมีภาพเหตุการณ์โผล่ขึ้นมาให้เขาได้เห็น บางคราก็สั้นๆ บางคราก็เป็นเรื่องเป็นราวผุ้เฒ่าสกุลซุยทั้งสองลงความเห็นกันว่าควรให้เขาได้พักผ่อนให้มากหน่อยเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและพักฟื้นร่างกายให้ดี รวมถึงกันซุยลี่อินไม่ให้มารบกวนจิ่นสืออีกด้วย นับว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เขารุ้สึกสงบสุขมากที่สุดนับแต่ได้มาอยุ่ที่บ้านสกุลซุยก็ว่าได้สายลมวสันต์ฤดูพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำเอาจิ่นสือต้องยกมือขึ้นมาป้องปากและจมูกที่เย็นจนชาแทบไร้ความรู้สึกวันนี้ยังคงเป็นไปตามปกติเพียงแต่เขาไม่ต้องไปคอยตัดฟืนแบกหามอย่างเช่นทุกที ตามร่างกายยังคงเจ็บระบม ชายหนุ่มร่างกำยำที่เริ่มเบื่อหน่ายจึงไปนั่งขัดสมาธิบนฟูกนอน ก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่สมาธิเวลาล่วงเลยผ่านไปเท่าใดไม่อาจทราบได้ ร่างหนาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าแสงสุริยันลับขอบฟ้าไปแล้ว บนโต๊ะในห้องนอนมีสำรับกับข้าววางไว้ให้ เขาค่อยๆลุกขึ้นมานั่งก่อนจะบิดเอวซ้ายทีขวาที ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะกินข้าวเล็กๆมีอาหารเพียงสองอย่าง ผัดไข่ใส่ใบเซียงชุนและซุปเนื้อหอมกรุ่นที่ตอนน
ในห้วงอันเงียบสงบของค่ำคืน หยางเฟยฮุ่ยนั่งลงท่ามกลางแสงเทียนในห้องบรรทม นางประมวลผลทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งความไม่ไว้วางใจระหว่างตนกับหานเจี๋ย และสถานการณ์ในวังที่ตึงเครียด นางยิ้มมุมปาก ก่อนจะตัดสินใจวางแผนสร้างเครือข่ายพันธมิตรของตนเองขึ้นมา“ข้าจะไม่อยุ่รอวันตาย ไม่ฝากชีวิตไว้กับเสือที่ไม่รุ้ว่าจะแว้งกัดข้าตอนไหน” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวกับตนเองพลางยิ้มเย็นหยางเฟยฮุ่ยหันไปเริ่มต้นแผนด้วยการพบปะกับเหล่าสนมนางในบุตรีตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนัก เพื่อเสริมฐานพันธมิตรให้กว้างขวางมากขึ้น“ข้าอยากให้พวกท่านมาร่วมงานในตำหนักของข้า พวกเราสามารถแบ่งปันความคิดเห็นและสนับสนุนกันและกันได้... จะว่าไปก็นับว่าข้ามีโชคยิ่งนัก ที่ได้พบสตรีชั้นสูงที่มีความสามารถและรู้จักวางตัวอย่างท่านทั้งหลาย”“ฮองเฮาทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางถึงเพียงนี้ พวกข้าก็ยินดีที่จะมาพบปะกับท่านบ่อย ๆ เพคะ” ฮุ่ยเฟยเอ่ยขึ้น นางเป็นบุตรีของเสนาบดีเจ้ากรมโยธา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเรียบเรื่อยราวสายธารยามสงบนิ่ง“ข้าก็ยินดีเช่นกัน สตรีอย่างพวกเราย่อมต้องพึ่งพากันบ้าง พ
จิ่นสือพยักหน้ารับ ขณะที่ลูบใบเทียนเฉ่าเบาๆ กลิ่นหอมฉุนของมันลอยออกมาแตะจมูก สมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณล้ำค่า และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการแพทย์แผนโบราณถัดมาไม่นาน พวกเขาก็เจอพุ่มไม้ที่ออกดอกเป็นช่อสีขาวเล็กๆ กลีบดอกดูเปราะบางและชุ่มชื่น“นี่คือไป่ฮวา หรือหญ้าพันงู ขึ้นชื่อในสรรพคุณสมานแผลและหยุดเลือดทันทีเมื่อมีแผลสด ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในยาสำหรับทหารหรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงอันตราย”จิ่นสือสังเกตพุ่มไม้ไป่ฮวาด้วยความสนใจ“น่าสนใจนัก ยามศึกสงคราม สมุนไพรนี้คงช่วยได้มากจริงๆ”พวกเขาเดินต่อจนถึงลำธารเล็กๆ ที่ไหลเย็นสบาย สองข้างของลำธารมีต้นไม้เล็กๆ ออกผลเล็กๆ สีแดงจัดเต็มพุ่ม“ต้นนี้เรียกว่าซานจาหรือพุทราจีน ผลสีแดงของมันนี้กินได้ มีรสหวานอมเปรี้ยว ช่วยย่อยอาหารและบำรุงหัวใจเป็นเลิศ” นายท่านซุยหยิบผลซานจามาส่งให้จิ่นสือ“ลองชิมดูสิ หวานอมเปรี้ยวนี่ล่ะช่วยให้รู้สึกสดชื่นยิ่ง”จิ่นสือรับผลซานจามา ลองกัดเบาๆ รสชาติสดชื่นทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที สมุนไพรนี้ไม่เพียงแต่เป็นยาบำรุงแต่ยังเสริมพลังได้เป็นอย่างดี
ซุยลี่อินใจเต้นรัว ใบหน้าเล็กร้อนผ่าว มือน้อยๆ ยกขึ้นไปจับตรงตำแหน่งที่มือใหญ่ได้วางไว้ก่อนหน้าเบาๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มแย้มยิ้มออกมาเสียจนแทบฉีกถึงใบหุ “ข้าจะรอท่านพี่กลับมานะเจ้าคะ” สาวน้อยตะโกนไล่หลังร่างสุงใหญ่ที่เดินทิ้งห่างไปไกล ซุยลี่อินยืนส่งชายในดวงใจจนร่างเขาหายลับไปจากสายตา จึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน จิ่นสือได้ยินเสียงใสแว่วๆ แต่เขาไม่ได้หันกลับไป ทำเพียงเร่งฝีเท้าให้ทันนายท่านซุยเพียงเท่านั้น แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านยอดไม้หนาทึบลงมาเป็นลำ จิ่นสือก้าวเดินตามผู้เฒ่าอย่างตั้งใจ แม้พื้นดินจะชื้นแฉะ แต่ในความชื้นนั้นกลับทำให้ป่าแห่งนี้อุดมไปด้วยพืชสมุนไพรอันหลากหลาย จิ่นสือมองสำรวจอย่างตั้งอกตั้งใจ "ดูเหมือนป่านี้จะซ่อนสมุนไพรล้ำค่าไว้มิใช่น้อย...ข้าสงสัยว่าเหตุใดต้นไม้เหล่านี้จึงเติบโตได้งดงามนัก" นายท่านซุยยิ้มอย่างยินดีที่ชายหนุ่มถามในเรื่องที่เขามีความรู้เป็นอย่างดี และยินดีแบ่งปันอย่างยิ่ง “ต้นไม้ในป่านี้ได้รับการดูแลจากธรรมชาติ และคนในหมู่บ้านของเราได้ช่วยกันร
จิ่นสือมาอยุ่กับครอบครัวสกุลซุยมาได้พักใหญ่แล้ว เขามักจะไปตักน้ำตัดฟืนมาไว้ในบ้านเสมอ รวมถึงการออกไปจับจ่ายซื้อของแทนผุ้เฒ่าซุยอยุ่บ่อยครั้งและแน่นอนว่าเขามักจะมีดรุณีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มตามติดไปด้วยอยุ่เสมอ จนผุ้ที่ได้พบเห็นต่างนึกเอ็นดุและชื่นชมในรุปลักษณ์ที่ดีงามของทั้งสองคนจิ่นสือมักมีอาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมักมีอาการไม่นานมาก เพียงชั่วใบไม้ร่วงหล่นลงสุ่พื้น แต่ก็ทำให้เขาเจ็บร้าวในหัวจนแทบทรงตัวไม่อยุ่ในทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงหญิงสาวที่ไม่มีใบหน้า เฝ้าเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงอาทรและห่วงหาคืนนี้ก็เช่นกัน…“ท่านพี่…ท่านพี่…”“…”“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่” เขาถามออกไปแต่ร่างบอบบางในชุดสีฟ้าอ่อน ผมยาวตรงสยายพลิ้วไหวตามแรงลมที่ไม่ทราบมาจากที่ใด เขาเพ่งมองไปยังใบหน้านั้น แต่แสงสีขาวสว่างจ้าเกินไปจนเขาตาพร่าไม่สามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปหาร่างนั้น แต่ยิ่งเดินยิ่งห่างไกล ราวกับร่างนั้นเคลื่อนถอยหลังหนีเขาอยุ่ร่ำไป“ได้โปรดเถิด ให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าสักนิด”จื
บนพื้นที่ห่างไกลออกไปทางเหนือใกล้กับชายแดนแคว้นเกาเยว่ เสียงตัดไม้ดังก้องไปทั่วป่า เมื่อมองลึกเข้าไปจะพบกับชายร่างสูงใหญ่ล่ำสัน เครื่องแต่งกายมีเพียงเสื้อตัวบางทับด้วยเสื้อกั๊กเผยให้เห็นมัดกล้ามสองแขนแกร่ง กำลังตัดไม้อย่างขมักเขม้น หยาดเหงื่อไหลรินผ่านขมับ ชายหนุ่มขบกรามแน่นยามออกแรงยกขวาน ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา หนวดเครารกครึ้ม ส่งให้ใบหน้าคมเข้มไม่ไกลกันนัก มีสาวน้อยวัยกำดัดนั่งเท้าคางมองชายหนุ่มที่กำลังตัดไม้ด้วยแววตาหลงใหล สาวน้อยร่างบางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน ดูน่ารักน่าทะนุถนอมยิ่งนัก ข้างๆมีตระกร้าใส่อาหารและผลไม้ ดูไปก็คล้ายคู่รักที่ดูรักกันดียิ่ง แต่ความเป็นจริงนั้น…“จิ่นสือ วันนี้อากาศดีมาก ข้าว่าพอแค่นี้ดีไหม แล้วเราไปเดินเล่นในเมืองด้วยกัน” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยชวนแต่ชายร่างกำยำกลับทำราวกับไม่ได้ยินเสียงนาง ยังคงตัดไม้ต่อไปอย่างไม่ลดละ“นี่ เมื่อไหร่ท่านจะยอมคุยกับข้าสักที นี่ก็ผ่านมาจะครึ่งปีอยู่แล้วนะ นับจากวันที่ท่านพ่อกับท่านแม่พาท่านมาอยู่ด้วยกัน”“…”“สมแล้วที่ท่านพ่อตั้งชื่อให้ท่านว่าจิ่
หลังผ่านค่ำคืนอันแสนร้อนเร่ากับเจ้าผู้ครองแคว้น หยางเฟยฮุ่ยกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างผู้ชนะ กว่านางจะฝ่าด่านคัดเลือกสตรีนับพัน ฝ่าฟันต่อสู้กับเหล่าคุณหนูในห้องหอที่ต่างก็เพียบพร้อมไปด้วยความงามและความสามารถ แต่ที่ยากลำบากยิ่งกว่าคือการต้องวางแผนสกปรกทำให้น้องรองต้องเสียโฉมตัดโอกาสที่จะมาแย่งชิงกับนาง เพื่อที่นางจะได้เป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของตระกูล หยางลี่เฟย จะโทษก็โทษที่ชาติกำเนิดตัวเองเถอะ เจ้ามันก็แค่ลุกอนุ แต่อยากจะมาเทียบเคียงข้า อย่าได้โทษข้าเลย ที่ข้าไม่ยั้งมือ หยางเฟยฮุ่ยคิดในใจหยางเฟยฮุ่ยนั่งมองใบหน้าของตนเองในกระจก ดวงหน้างามพิลาส ดวงตาราวรีรุปหงส์ให้ความรุ้สึกหยิ่งผยองยามปรายหางตามอง จมุกเล็กเชิดรั้น ริมฝีปากยามแย้มยิ้มก็เย้ายวนมีเสน่ห์อย่างยิ่ง ใบหน้านี้ไม่ว่าใครได้มองย่อมตกหลุมนางทั้งนั้น มีแต่เจ้าคนน่าตายอวิ๋นเฟยหลงนั่นคนเดียว ตั้งแต่หลินเข่อซิงโผล่มาก็ไม่มองนางอีกเลย ทั้งที่แต่เล็กทั้งสองตระกุลต่างหมายหมั้นให้พวกนางได้ร่วมหอลงโลง หึ อวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้ท่านก็คงจะได้แต่นึกเสียใจเป็นแน่ มาบัดนี้ข้ากลับดีใจที่ไม่ได้แต่งให้ท่าน ไม่เช่นนั้นค