หยางเฟยฮุ่ยนั่งสง่างามอยู่ตรงข้ามกับ เฉินอี้เฉียง ชายผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยแววตาที่เย็นชาและแฝงความอำมหิต แม้รอยยิ้มหวานบนใบหน้าจะยังคงประดับไว้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ความน่ากลัวของนางกลับทำให้บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือก
เฉินอี้เฉียงนั่งตัวแข็ง ท่าทางระมัดระวังขณะจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า เขารู้ดีว่าหยางเฟยฮุ่ยไม่ใช่คนที่จะมาเยี่ยมเยียนใครโดยไม่มีแผนการร้ายบางอย่าง นี่คือสัญญาณบ่งบอกว่าเขาต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะตามมา “ข้าต้องการให้เจ้าทำให้นาง...ไม่สามารถอยู่ในสังคมนี้ได้อีกต่อไป” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวเรียบๆ ขณะที่ตักน้ำชาขึ้นจิบ “ข้าไม่สนว่าจะใช้วิธีใด แต่ข้าต้องการเห็นนางถูกทำลาย ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง หรือสิ่งที่นางมีอยู่ตอนนี้” เฉินอี้เฉียงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “ท่าน...ท่านหมายความว่าอย่างไรขอรับ? นางเป็นคนที่แม่ทัพอวิ๋นให้ความสำคัญ หากข้าทำอะไรรุนแรงเกินไป ท่านแม่ทัพคงจะไม่ปล่อยข้าไว้แน่” หยางเฟยฮุ่ยหัวเราะเบาๆ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าอวิ๋นเฟยหลงจะปกป้องนางได้ตลอดหรือ? ข้าต้องการให้เจ้าทำลายชื่อเสียงของหลินเข่อซิงให้ย่อยยับ จนไม่มีใครอยากเกี่ยวข้องกับนางอีกต่อไป แล้วข้าจะจัดการเรื่องอวิ๋นเฟยหลงเอง” เฉินอี้เฉียงรู้สึกถึงเหงื่อที่เริ่มไหลซึมตามไรผม ความกังวลเกาะกุมหัวใจ เขารู้ว่าหยางเฟยฮุ่ยมีอำนาจมากพอที่จะบังคับให้เขาทำตามคำสั่ง แต่การเผชิญหน้ากับแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลงเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากเสี่ยง “แล้ว...ท่านมีแผนการอย่างไรหรือขอรับ?” เขาถามอย่างระมัดระวัง หยางเฟยฮุ่ยยิ้มเย็น รอยยิ้มที่ไม่ถึงดวงตานั้นทำให้เฉินอี้เฉียงรู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว “เจ้าจัดการแพร่ข่าวลือน่าสะอิดสะเอียนเกี่ยวกับนางเสีย... ว่านางลอบมีความสัมพันธ์กับชายอื่นก่อนที่จะได้หมั้นหมายกับแม่ทัพอวิ๋น ทำให้นางดูเหมือนหญิงที่ไม่รักษาความบริสุทธิ์และเกียรติยศ พวกชาวบ้านจะพูดถึงเรื่องนี้เอง และนางก็จะถูกดูแคลนจากทุกคนในเมือง” เฉินอี้เฉียงเบิดตากว้าง “ข้าน้อยจะทำตามที่ท่านสั่งขอรับ แต่ข้าก็ยังหวั่นใจ...หากความจริงถูกเปิดโปง ข้าจะเอาตัวรอดได้หรือไม่?” หยางเฟยฮุ่ยหัวเราะเบาๆ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความสง่างาม นางยื่นมือไปตบไหล่เฉินอี้เฉียงเบาๆ “ไม่ต้องห่วงไปหรอก หากเจ้าทำตามคำสั่งของข้า เจ้าจะได้รับการปกป้องอย่างดี อีกอย่างข่าวลือแบบนี้ ใครๆก็ชอบ การนินทาเรื่องคนอื่นไม่มีใครสนใจหรอกว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่” เฉินอี้เฉียงก้มศีรษะลงอย่างจำยอม “ข้าจะทำตามคำสั่งของท่านทันทีขอรับ” หยางเฟยฮุ่ยพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเดินออกจากห้องด้วยท่าทางสง่างาม ในใจนางเต็มไปด้วยความพึงพอใจ แผนการนี้จะต้องสำเร็จ และหลินเข่อซิงจะต้องถูกทำลายลงต่อหน้าต่อตา ไม่มีใครจะหยุดยั้งนางได้ “ข้าจะดูซิว่า หนนี้เจ้าจะแก้ตัวยังไง ระหว่างคนพูดเท็จสิบคนในเรื่องเดียวกัน กับเจ้าที่พูดจริงอยู่เพียงคนเดียว ใครมาได้ยินย่อมเชื่อคนสิบคนมากกว่า และข่าวลือก็จะกลายเป็นเรื่องจริงไปเอง” หยางเฟยฮุ่ยหัวเราะเบาๆกับตนเอง มุมปากยกยิ้มอย่างสาสมใจ หลังจากข่าวลือเริ่มแพร่สะพัดไปทั่วเมือง ชาวบ้านต่างเริ่มพูดถึงเรื่องนี้กันอย่างแพร่หลาย บางคนเริ่มสงสัยในตัวหลินเข่อซิง และบางคนถึงกับเชื่อในข่าวลือนั้นเต็มร้อย หลายคนถึงกับออกมาบอกว่าตนเองเห็นกับตาว่าคุณหนูตระกูลหลินแอบนัดพบผู้ชายอยู่บ่อยๆ ข่าวนี้กลายเป็นที่สนุกปากของทั้งบรรดาคุณหนูทั้งหลาย และเหล่าชาวบ้านร้านตลาด ในจวนของแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด อวิ๋นเฟยหลงนั่งอยู่ในห้องทำงานของเขา มือกำแน่นอยู่บนโต๊ะ ใบหน้าคมเข้มของเขาแสดงออกถึงความกังวล "ข่าวลือนั้น...มันทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจ" อวิ๋นเฟยหลงพึมพำเบาๆ ขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง เสียงฝีเท้าเบาๆ ของทหารที่เข้ามารายงานทำให้อวิ๋นเฟยหลงหันกลับมา "ท่านแม่ทัพ ข่าวลือเกี่ยวกับคุณหนูหลินได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองแล้วขอรับ ชาวบ้านหลายคนเริ่มพูดถึงเรื่องนี้อย่างมาก และมีหลายคนที่เชื่อว่าเป็นความจริง" อวิ๋นเฟยหลงกำหมัดแน่น ความโกรธเกาะกุมหัวใจ แต่เขายังคงพยายามสงบสติอารมณ์ "ใครเป็นคนแพร่ข่าวลือ?" เขาถามเสียงเย็น "ยังไม่ทราบตัวผู้แพร่ข่าวแน่ชัด แต่คาดว่าเป็นการวางแผนของกลุ่มคนที่ต้องการทำลายชื่อเสียงของคุณหนูหลินขอรับ" แม่ทัพอวิ๋นหรี่ตาลง ความคิดหมุนวนในหัวใจเขาอย่างรวดเร็ว "หยางเฟยฮุ่ย..." เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ เพราะในใจเขารู้สึกว่าหยางเฟยฮุ่ยคงเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ "ข้าจะไม่ยอมให้แผนการชั่วร้ายนี้ทำลายหลินเข่อซิงได้" อวิ๋นเฟยหลงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของเขา ท่าทางเด็ดขาดและสงบนิ่ง แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความห่วงใย เขารู้ดีว่าหลินเข่อซิงไม่ใช่คนที่จะจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง แม้นางจะมีความฉลาดและไหวพริบ แต่การเผชิญหน้ากับแผนการที่ร้ายกาจเช่นนี้ เขาจะไม่ยอมให้นางต้องเผชิญเรื่องนี้เพียงลำพัง หลังจากที่อวิ๋นเฟยหลงได้รับทราบข่าว เขารีบไปหาหลินเข่อซิงที่จวนของนางทันที เมื่อมาถึง เขาเห็นหลินเข่อซิงกำลังนั่งอยู่ในสวน ขณะที่หลิงเฉินนั่งข้างๆ พยายามปลอบโยน “คุณหนู ข่าวลือเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ ไม่มีใครที่รู้จักท่านจริงๆ จะเชื่อหรอกเจ้าค่ะ” หลิงเฉินพูดอย่างหนักแน่น แต่ในน้ำเสียงยังคงมีความกังวลแฝงอยู่ อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ตรงขอบสวน มองดู หลินเข่อซิง ที่กำลังนั่งนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ใบหน้าของนางแฝงความเศร้าสร้อย ทั้งที่พยายามเก็บซ่อนมันไว้ เขามองเห็นทุกความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของนาง หัวใจเขากระตุกแปลบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว สายตาของอวิ๋นเฟยหลงเลื่อนมองไปที่ หลิงเฉิน ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ นาง ราวกับรู้ใจ เฟยหลงส่งสายตาเย็นชาและทรงอำนาจไปให้ สื่อว่าเขาต้องการอยู่กับหลินเข่อซิงตามลำพัง หลิงเฉินรู้งานเป็นอย่างดี นางก้มศีรษะเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง และค่อยๆ ถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ นางเดินหายไปจากสวน ทิ้งให้อวิ๋นเฟยหลงและหลินเข่อซิงอยู่กันเพียงลำพัง เมื่อหลิงเฉินออกไปแล้ว ความเงียบครอบคลุมทั้งสวน อวิ๋นเฟยหลงมองเห็นแผ่นหลังเล็กๆ ของหลินเข่อซิงที่นั่งหันหลังให้กับเขา นางก้มหน้าต่ำ ราวกับต้องการซ่อนความรู้สึกจากทุกสิ่งรอบตัว อวิ๋นเฟยหลงเดินเข้ามาใกล้นางช้าๆ ก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้านาง เขามองลงไปที่นาง และเห็นว่าแม้ในขณะนี้นางจะพยายามปั้นหน้ายิ้ม แต่ความกังวลและความเจ็บปวดกลับชัดเจนในแววตาของนาง “เจ้าคิดว่าเจ้าจะจัดการเรื่องนี้ได้คนเดียวหรือ?” เสียงของเขาดังขึ้นอย่างนุ่มนวล แต่แฝงไปด้วยความห่วงใย หลินเข่อซิงสะดุ้งเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาของนางยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ นางพยายามยิ้มและตอบกลับเบาๆ “ข้าคิดว่าข้าจัดการมันได้...ข้าไม่ต้องการให้ใครต้องมาลำบากเพราะเรื่องของข้า” อวิ๋นเฟยหลงมองนางอย่างตั้งใจ และถอนหายใจเบาๆ “เจ้าดูเหมือนคนที่กำลังพยายามปกป้องคนอื่นตลอดเวลา แต่เจ้ากลับลืมปกป้องตัวเอง” นางนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนที่จะหันไปสบตาเขา “ข้าก็แค่...ข้าไม่อยากให้ใครต้องมาลำบากเพราะข้า ข้าไม่ชอบความรู้สึกที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน” อวิ๋นเฟยหลงย่อตัวลงนั่งข้างๆ นาง ดวงตาคมเข้มของเขาสบตากับนางอย่างอ่อนโยน “เจ้ามันดื้อจริงๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องสู้ทุกอย่างเพียงลำพัง” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน แต่ก็แฝงความหนักแน่น “เจ้าไม่ต้องทำทุกอย่างคนเดียว ข้าอยู่ที่นี่...และข้าจะไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายเจ้า” หลินเข่อซิงหันมามองเขาด้วยความแปลกใจ ดวงตาของนางมีประกายความอบอุ่นที่เพิ่งเริ่มกลับคืนมา “ท่านแม่ทัพ...” “ข้าไม่ได้พูดเล่น ข้าจะปกป้องเจ้า” อวิ๋นเฟยหลงพูดอย่างหนักแน่น เขาจับมือของนางอย่างอ่อนโยน แต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นในคำพูด นางนิ่งไปเล็กน้อย รู้สึกถึงความอบอุ่นจากมือที่จับมือของนาง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงความห่วงใยออกมาอย่างชัดเจนขนาดนี้ นางยิ้มบางๆ แต่ยังคงรู้สึกหวิวๆ อยู่ในใจ “ขอบคุณ...” นางพูดเบาๆ แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “บางทีข้าก็ต้องยอมรับบ้างว่าข้าทำทุกอย่างคนเดียวไม่ได้...” อวิ๋นเฟยหลงหัวเราะเบาๆ และยิ้มออกมาจางๆ “เจ้าเป็นคนดื้อที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมา” เขาพูดในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเอ็นดู หลินเข่อซิงหัวเราะตาม “ข้าก็คิดว่าท่านจะบอกข้าด้วยคำพูดที่นุ่มนวลกว่านี้เสียอีก” เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย “คำพูดนุ่มนวลไม่เหมาะกับข้า แต่ข้าก็จะปกป้องเจ้า...ในแบบของข้าเอง” หลินเข่อซิงรู้สึกถึงความอบอุ่นที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ นางเริ่มเข้าใจว่าอวิ๋นเฟยหลงไม่ใช่แค่คนเย็นชาและหยิ่งยโสอย่างที่นางเคยคิด เขาเป็นคนที่ห่วงใยนางอย่างจริงใจ เพียงแค่เขาไม่รู้วิธีแสดงออกอย่างคนอื่น นางยิ้มและพูดเบาๆ “ข้าเข้าใจแล้ว... และข้าจะไม่ดื้อดึงไปคนเดียวอีกต่อไป” บรรยากาศระหว่างพวกเขาเป็นไปด้วยความอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเข้าใจ นางเอนตัวลงเล็กน้อย และเงยหน้ามองท้องฟ้า แม้จะยังมีเมฆครึ้ม แต่ท้องฟ้าก็เริ่มเปิดออกเล็กน้อย เหมือนกับหัวใจของนางที่เริ่มเปิดรับความรู้สึกใหม่ๆในใจตนเองหลังจากที่ข่าวลือเกี่ยวกับหลินเข่อซิงแพร่กระจายไปทั่วเมือง ความเงียบสงบในจวนท่านโหวก็เต็มไปด้วยความกังวล อวิ๋นเฟยหลงเดินวนไปวนมาในห้องทำงาน หน้านิ่วคิวขมวด บรรดาทหารในสังกัดต่างรู้สึกว่าแม่ทัพของพวกเขาช่วงนี้หงุดหงิดง่ายเสียเหลือเกิน รวมถึงบรรดาบ่าวไพร่ต่างทำงานด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง อวิ๋นเฟยหลงรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่สามารถปล่อยให้ดำเนินต่อไปได้โดยที่เขาไม่ทำอะไร ในห้องหนังสือ หลินเข่อซิงนั่งสงบอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง นางจ้องมองหนังสือที่เปิดอยู่บนตัก แต่ความคิดล่องลอยไปไกล ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าของอวิ๋นเฟยหลงดังขึ้น ทำให้นางเงยหน้ามอง "ข้ามีเรื่องที่ต้องพูดกับเจ้า" อวิ๋นเฟยหลงพูดขึ้น "ข้าจะจัดงานเลี้ยงที่จวน เพื่อให้ทุกคนมาเห็นด้วยตาตัวเองว่าเจ้าไม่ได้เป็นอย่างที่ข่าวลือกล่าวอ้าง" หลินเข่อซิงมองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ “งานเลี้ยงงั้นหรือ?” อวิ๋นเฟยหลงพยักหน้า "ใช่ ข้าจะเชิญบรรดาคุณหนูและผู้มีอำนาจในเมือง รวมถึงเหล่าขุนนางที่มีชื่อเสียงให้มาเข้าร่วมงานนี้ เจ้าจะมีโอกาสแสดงตัวต่อหน้าพวกเขา ให้พวกเขาเห็นว่าเจ้าเป็นใครจริงๆ ไม่ใช่ตามที่ข่าวลือพูดถึง" หลินเข่อซิงคิดตามแล้วพยั
“เจ้าคิดจริงๆ เหรอว่าอวิ๋นเฟยหลงจะสนใจผู้หญิงที่จืดชืดและไม่มีอะไรน่าสนใจแบบเจ้า?” หยางเฟยฮุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “เจ้ามันก็แค่เงาของคนอื่น เขาไม่มีวันรักเจ้า ข้าเป็นคนเดียวที่เหมาะสมกับเขา”หลินเข่อซิงหัวเราะออกมาด้วยความเย็นชา “ข้าคงไม่ต้องบอกเจ้าให้หยุดทำอะไรโง่ๆ แบบนี้ใช่ไหม? ข่าวลือที่เจ้าแพร่กระจายไป มันทำให้ทุกคนเห็นความริษยาในตัวเจ้าเองมากกว่าที่จะทำลายข้า”หยางเฟยฮุ่ยหน้าแดงก่ำ กำหมัดแน่น “เจ้ามันก็แค่คนที่ไม่มีวันอยู่ในระดับเดียวกับข้า ข้าเพียงแค่ต้องการทำให้ทุกคนเห็นความจริง ว่าเจ้าไม่เหมาะสมกับตำแหน่งภรรยาแม่ทัพ!”หลินเข่อซิงก้าวเข้าไปใกล้หยางเฟยฮุ่ย พลางกระซิบเบาๆ “แผนไร้สมองของเจ้า มันไม่มีผลหรอก ข้าจะแสดงให้ดู ว่าเขาจะเลือกใคร”หลินเข่อซิงแสร้งล้มลงไปอย่างแรง โดยไม่ลืมที่จะดึงเอาหยางเฟยฮุ่ยลงมาด้วยทันใดนั้นเอง อวิ๋นเฟยหลงพร้อมเหล่าขุนนางและคุณหนูทั้งหลายก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากเงามืดของสวน ทุกคนหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงสนทนาของหยางเฟยฮุ่ยที่กำลังสารภาพถึงการกระทำของตนเองหยางเฟยฮุ่ยหันไปเห็นทุกคนที่ยืนอ
เมื่อออกจากห้องโถง หยางเฟยฮุ่ยก็เดินอย่างอ่อนแรงไปที่ห้องของตนเอง นางนั่งลงบนเตียง น้ำตาที่กล้ำกลืนเอาไว้ไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน นางรู้ดีว่าตนเองได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ความรักที่นางมีต่ออวิ๋นเฟยหลง ความหวังที่จะได้ครองคู่กับเขา ทุกอย่างมันพังทลายลงไม่เหลือชิ้นดี “ข้า...ข้าจะไม่ยอมแพ้...” หยางเฟยฮุ่ยกระซิบเบาๆ นางเช็ดน้ำตาด้วยความโกรธ นางจะไม่ยอมให้ชีวิตของนางจบลงเพียงเท่านี้ แม้ว่าต้องใช้วิธีใดก็ตาม นางก็จะหาทางกลับมาให้ได้ณ จวนตระกูลหลิน ในยามเช้าตรู่วันนี้เต็มไปด้วยความสงบและอากาศที่สดชื่น แต่ในใจของ หลินเข่อซิง กลับตื่นเต้นระคนกังวล เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่สองครอบครัวจะมาพบปะกันเพื่อพูดคุยเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของนางเรื่องการแต่งงานกับอวิ๋นเฟยหลงเมื่อเวลาใกล้เที่ยง บรรยากาศในห้องรับรองใหญ่ของจวนตระกูลหลินถูกจัดเตรียมอย่างประณีต อวิ๋นเหอ ท่านโหวแห่งตระกูลอวิ๋นกับฮูหยินใหญ่และอวิ๋นเฟยหลง เดินทางมาถึงจวนตระกูลหลิน พร้อมด้วยขบวนที่เต็มไปด้วยของกำนัลอันสูงค่า ที่ถูกจัดเตรียมมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและให้เกียรติตระกูลของฝ่ายหญิง"ยินดีต้อนรับท่านโหว ฮูหยินและท่านแม
วันลี่เซี่ย หรือวันเริ่มต้นฤดูร้อน เป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญที่ชาวบ้านต่างตั้งตารอคอย เมื่อดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง ท้องฟ้าโปร่งใสไร้เมฆ เหล่านกน้อยเริ่มส่งเสียงขับขานไปทั่ว เมืองก็เต็มไปด้วยความคึกคักอีกครั้ง ผู้คนพากันออกมาตระเตรียมสิ่งของเพื่อบูชาเทพเจ้าและบรรพบุรุษตามธรรมเนียมเดิม ขณะที่บรรยากาศก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารที่ชาวบ้านต่างพากันเตรียมไว้ หลินเข่อซิง ตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมกับความตื่นเต้น เมื่อยืนอยู่หน้ากระจก นางก็มองตัวเองในชุดผ้าไหมเบาบางสีฟ้าอ่อนที่เข้ากับบรรยากาศฤดูร้อน "วันนี้เราจะได้ออกไปเที่ยวกับท่านอวิ๋นอีกแล้ว" นางพึมพำกับตัวเองพร้อมรอยยิ้ม ในขณะที่นางออกมาที่ลานหน้าจวน หลิงเฉิน สาวใช้คนสนิทของนางก็เดินเข้ามาพร้อมกับหอบหิ้วไข่ต้มใส่ถุงที่ทำจากผ้าไหมหลากสี "คุณหนูเจ้าคะ ข้าเตรียมไข่ลี่เซี่ยมาให้แล้วเจ้าค่ะ ต้มด้วยใบชาและเปลือกวอลนัทตามธรรมเนียม ข้าจะผูกติดเอวท่านให้เป็นเครื่องราง" "โอ้โห! ดูน่ากินจริงๆเลย ข้าล่ะชอบกลิ่นชาและวอลนัทนี่จัง" หลินเข่อซิงยิ้มอย่างสดใส พลางยื่นมือรับไข่ลี่เซี่ยมาแขวนไว้ที่เอว
หลินเข่อซิง เดินเคียงข้าง อวิ๋นเฟยหลง ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นในตลาด ผู้คนพลุกพล่านไปด้วยชาวบ้านที่มาเฉลิมฉลองเทศกาลลี่เซี่ย มีเสียงตะโกนเรียกลูกค้าจากพ่อค้าแม่ขายตลอดทาง กลิ่นหอมของอาหารหลากหลายชนิดลอยมาแตะจมูก หลินเข่อซิงรู้สึกเพลิดเพลินกับบรรยากาศรอบตัว แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อได้เดินเคียงข้างอวิ๋นเฟยหลง“ท่านอวิ๋น ข้าขอลองนั่นหน่อยได้ไหมเจ้าคะ?” หลินเข่อซิงเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย ขณะที่ชี้ไปยังร้านขายขนมที่มีไข่ลี่เซี่ยแบบพิเศษเรียงรายอยู่“เจ้าอยากกินไข่ลี่เซี่ยเพิ่มอีกหรือ?” อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เมื่อเช้าเจ้าเพิ่งกินไปไม่ใช่หรือ?”“แต่ครั้งนี้มันเป็นไข่ลี่เซี่ยผสมชาแบบเฉพาะนี่นา” หลินเข่อซิงพูดพลางยิ้มกว้าง “มันต้องอร่อยกว่าเดิมแน่ๆ ข้าอยากลองชิมน่ะ นะเจ้าคะ นะๆๆๆ” ว่าแล้วสาวน้อยก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ พร้อมกระพริบตาถี่รัวอวิ๋นเฟยหลงพยักหน้าอย่างเรียบเฉย แต่เขาก็พานางไปที่ร้านขายขนมนั้น “ถ้าเจ้าชอบ ข้าจะซื้อให้” เขากล่าวเสียงนิ่ง แต่ใบหูกลับแดงก่ำ“โอ้! ท่านแม่ทัพท่านใจดีจัง” หลินเข่อซิงแกล
หลังจากที่ อวิ๋นเฟยหลง และ หลินเข่อซิง แยกกันเมื่อวาน วันนี้หลินเข่อซิงก็มาถึงจวนของอวิ๋นเฟยหลงอีกครั้งด้วยความรู้สึกสดใส นางตั้งใจจะมาคุยเรื่องการเตรียมงานแต่งงานที่ใกล้เข้ามา นางอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน แต่ลึกๆ แล้วในใจก็แอบหวังว่าอยากจะได้เจอหน้าอวิ๋นเฟยหลงอีกครั้งเมื่อเดินเข้ามาถึงหน้าจวน หลินเข่อซิงก็เห็นอวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ที่สวนหลังบ้าน ดวงตาของเขามองออกไปที่ทิวทัศน์ไกลๆ ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ เงียบสงบ และดูหล่อเหลาในแบบของเขา หลินเข่อซิงอดยิ้มไม่ได้ นางไม่เคยรู้เลยว่าการมองดูใครสักคนที่ท่าทางเงียบขรึมและเข้มแข็งองอาจเช่นนี้จะทำให้หัวใจเต้นแรงได้ขนาดนี้“ท่านอวิ๋นเจ้าคะ” นางเรียกเบาๆ พร้อมกับเดินเข้าไปใกล้อวิ๋นเฟยหลงหันมามอง และทันทีที่เห็นหน้าหลินเข่อซิง ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนจากความเงียบสงบเป็นรอยยิ้มบางๆ ที่น้อยคนนักจะได้เห็น“เจ้ามาแต่เช้า ข้ากำลังคิดว่าจะต้องไปพบเจ้าเสียอีก” เขาพูดเสียงเรียบ“ข้าก็แค่คิดถึงท่านน่ะสิ” หลินเข่อซิงยิ้มยั่ว “เลยมาเยี่ยม” นางยกสองมือขึ้นมา ประกบกันเป็นรูปหัวใจที่ตรงอกด้านซ้าย
หลังรับประทานอาหารเช้าด้วยกันเสร็จ อวิ๋นเฟยหลงเงยหน้าขึ้นจากถ้วยชา และมองหลินเข่อซิงที่ยังคงก้มหน้าก้มตากินอย่างอารมณ์ดี ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน"วันนี้ข้ามีซ้อมรบกับเหล่าทหารในสังกัด" อวิ๋นเฟยหลงบอกกล่าวเสียงเรียบ สายตาคมยังคงมองหลินเข่อซิง “เจ้าอยากกลับไปพักผ่อนที่จวนก่อน หรือว่า…”ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ หลินเข่อซิงก็พูดแทรกขึ้นมาทันที "ข้าขออยู่ดูด้วยได้ไหมเจ้าคะ!" นางพูดด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าของนางเปล่งประกายอย่างเห็นได้ชัดอวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วเล็กน้อย "เจ้าสนใจการซ้อมรบด้วยหรือ?""ข้าก็แค่อยากรู้ว่าท่านทำอะไรในสนามรบบ้างน่ะสิ" หลินเข่อซิงตอบพลางหัวเราะเบาๆ "แล้วข้าจะทำอาหารกลางวันเลี้ยงทหารให้เอง ถือเป็นการตอบแทนที่พวกเขาทำงานหนัก" นางยิ้มอย่างสดใส ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นอวิ๋นเฟยหลงพยักหน้าเล็กน้อย แม้จะรู้สึกว่ามันแปลกที่หลินเข่อซิงอยากดูการซ้อมรบ แต่ความจริงแล้วเขาก็ไม่คิดขัดใจนาง “ถ้าเจ้าอยากดู ข้าก็ไม่ห้าม แต่กระบี่ไร้ตา อย่าลืมระวังตัวเองด้วย”หลินเข่อซิงยิ้มกว้างแล้วลุกขึ้นทันที “ไม
ในที่สุด เวลาก็ล่วงเลยมาถึงช่วงต้าสู่ ช่วงที่อากาศร้อนที่สุดในรอบปี (เริ่มต้นประมาณ 22-24 กรกฎาคม) หลินเข่อซิงนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ในสวนจวนตระกูลหลิน พลางใช้พัดไม้ไผ่พัดคลายความร้อน นางเหม่อมองท้องฟ้าสีครามสดใส แต่กลับรู้สึกว่าลมร้อนพัดแผ่วๆ มากระทบหน้า ทำให้นางหงุดหงิดไม่น้อย"เฮ้อ... อากาศร้อนขนาดนี้ ข้าคิดถึงแอร์เย็นๆ ในโลกเดิมจริงๆ!" นางบ่นกับตัวเองเบาๆหลิงเฉินที่เดินมาพร้อมกับน้ำชาถือถาดเข้ามาใกล้ นางยิ้มบางๆ เมื่อได้ยินคำบ่นจากคุณหนูของตนแว่วๆ "คุณหนูเจ้าคะ ในช่วงต้าสู่นี้ อากาศจะร้อนมากจริงๆ แต่ชาวบ้านที่นี่ก็มีวิธีรับมือกับมันอยู่เจ้าค่ะ""วิธีรับมือกับความร้อนเหรอ?" หลินเข่อซิงหันไปมองหลิงเฉินด้วยความสนใจ "ทำยังไงกันล่ะ""พวกเขานิยมกินอาหารที่ช่วยคลายร้อนน่ะเจ้าค่ะ อย่างเฉาก๊วยที่ช่วยดับกระหายคลายร้อนได้ดี และซุปเนื้อแกะที่ช่วยปรับสมดุลความร้อนในร่างกาย ถึงแม้จะฟังดูแปลกๆ แต่คนที่นี่เชื่อว่ากินเนื้อแกะจะช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายร้อนเกินไปค่ะ" หลิงเฉินอธิบายพลางยื่นถ้วยชาเย็นๆ ให้คุณหนูของนางหลินเข่อซิงรับถ้วยช
แสงแดดยามสายสาดส่องลงมาบนเส้นทางที่ทอดยาวผ่านป่าเขาและทุ่งหญ้า อวิ๋นเฟยหลงและเจิ้งจู่องครักษ์เงาคู่ใจอยู่บนหลังม้า ทั้งสองเดินทางร่วมกันมานานนับเดือน นับตั้งแต่จากบ้านสกุลซุย เส้นทางที่ผ่านไม่ได้ราบเรียบ มีทั้งความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ความร้อนระอุในบางวัน และความหนาวเหน็บในยามค่ำคืนม้าสีดำตัวใหญ่ของอวิ๋นเฟยหลงย่ำเท้าลงบนพื้นอย่างมั่นคง ชายหนุ่มนั่งตัวตรง ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังเส้นทางข้างหน้า ส่วนเจิ้งจู่ที่อยู่เคียงข้างไม่ห่าง ใช้มือปัดเหงื่อบนหน้าผากพร้อมกับพูดกลั้วหัวเราะ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะดูเหมือนว่าแม้แต่แดดแรงขนาดนี้ยังไม่อาจทำอะไรท่านได้เลย ข้าสิแทบจะละลายอยู่ตรงนี้แล้ว”อวิ๋นเฟยหลงหันมามองเจิ้งจู่ด้วยแววตาขำขัน “เจ้าคิดว่าการบ่นจะช่วยให้เย็นลงหรือ? อีกอย่างเลิกเรียกข้าว่าองค์ชายเสียที เรียกคุณชายจะดีกว่า ยิ่งเข้าใกล้แคว้นฉางจีเท่าไหร่เรายิ่งต้องปกปิดตัวตนมิให้ผู้ใดล่วงรู้”“เข้าใจแล้วขอรับ คุณชาย” เจิ้งจู่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่บางทีข้าก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าทำไมท่านถึงเลือกเส้นทางนี้ ทั้งที่ทางหลักก็น่าจะปลอดภัยกว่า”อวิ๋นเฟย
“กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ และละอายใจยิ่ง หากองค์ชายเจ็บแค้นและอยากสังหาร กระหม่อมก็พร้อมยินดีมอบชีวิตให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ว่าพลางยื่นกระบี่ในมือให้กับอวิ๋นเฟยหลงชายร่างผอมบางในชุดคลุมสีดำสนิท นั่งนิ่งหลับตาแน่น รอรับโทษทัณฑ์ฟิ้ววว เสียงโลหะแหวกอากาศจนเกือบฟันคอของเจิ้งจู่ขาด เจิ้งจู่รู้สึกถึงความเย็นของดาบที่แตะเบาๆที่คอ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำเอาเลือดสดไหลซึมออกมาเล็กน้อยเคร้ง!ดาบถูกโยนทิ้งลงพื้น“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากเจ้ารู้สึกเช่นนั้นก็จงร่วมเดินทางไปกับข้าเถอะ”“องค์ชาย กระหม่อมขอขอบพระทัยในความเมตตาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ลุกขึ้นมาคำนับอวิ๋นเฟยหลง“แต่ก่อนอื่นข้ามีเรื่องที่ต้องทำก่อนไป” อวิ๋นเฟยหลงว่าพลางขมวดคิ้วแน่น........แสงอาทิตย์แผดแสงเจิดจ้าส่องเข้ามายังลานบ้านสกุลซุย อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ในห้องพักอย่างเงียบสงบ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสน แต่มั่นคง เขารู้ดีว่าวันนี้เขาต้องบอกลาผู้คนที่นี่ คนที่ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน คนที่คอยช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาที่เขาความทรงจำขาดห
นับจากวันที่เขาประสบเหตุในวันที่ไปเก็บเห็ดกับนายท่านซุย จิ่นสือมักมีภาพเหตุการณ์โผล่ขึ้นมาให้เขาได้เห็น บางคราก็สั้นๆ บางคราก็เป็นเรื่องเป็นราวผุ้เฒ่าสกุลซุยทั้งสองลงความเห็นกันว่าควรให้เขาได้พักผ่อนให้มากหน่อยเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและพักฟื้นร่างกายให้ดี รวมถึงกันซุยลี่อินไม่ให้มารบกวนจิ่นสืออีกด้วย นับว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เขารุ้สึกสงบสุขมากที่สุดนับแต่ได้มาอยุ่ที่บ้านสกุลซุยก็ว่าได้สายลมวสันต์ฤดูพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำเอาจิ่นสือต้องยกมือขึ้นมาป้องปากและจมูกที่เย็นจนชาแทบไร้ความรู้สึกวันนี้ยังคงเป็นไปตามปกติเพียงแต่เขาไม่ต้องไปคอยตัดฟืนแบกหามอย่างเช่นทุกที ตามร่างกายยังคงเจ็บระบม ชายหนุ่มร่างกำยำที่เริ่มเบื่อหน่ายจึงไปนั่งขัดสมาธิบนฟูกนอน ก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่สมาธิเวลาล่วงเลยผ่านไปเท่าใดไม่อาจทราบได้ ร่างหนาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าแสงสุริยันลับขอบฟ้าไปแล้ว บนโต๊ะในห้องนอนมีสำรับกับข้าววางไว้ให้ เขาค่อยๆลุกขึ้นมานั่งก่อนจะบิดเอวซ้ายทีขวาที ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะกินข้าวเล็กๆมีอาหารเพียงสองอย่าง ผัดไข่ใส่ใบเซียงชุนและซุปเนื้อหอมกรุ่นที่ตอนน
ในห้วงอันเงียบสงบของค่ำคืน หยางเฟยฮุ่ยนั่งลงท่ามกลางแสงเทียนในห้องบรรทม นางประมวลผลทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งความไม่ไว้วางใจระหว่างตนกับหานเจี๋ย และสถานการณ์ในวังที่ตึงเครียด นางยิ้มมุมปาก ก่อนจะตัดสินใจวางแผนสร้างเครือข่ายพันธมิตรของตนเองขึ้นมา“ข้าจะไม่อยุ่รอวันตาย ไม่ฝากชีวิตไว้กับเสือที่ไม่รุ้ว่าจะแว้งกัดข้าตอนไหน” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวกับตนเองพลางยิ้มเย็นหยางเฟยฮุ่ยหันไปเริ่มต้นแผนด้วยการพบปะกับเหล่าสนมนางในบุตรีตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนัก เพื่อเสริมฐานพันธมิตรให้กว้างขวางมากขึ้น“ข้าอยากให้พวกท่านมาร่วมงานในตำหนักของข้า พวกเราสามารถแบ่งปันความคิดเห็นและสนับสนุนกันและกันได้... จะว่าไปก็นับว่าข้ามีโชคยิ่งนัก ที่ได้พบสตรีชั้นสูงที่มีความสามารถและรู้จักวางตัวอย่างท่านทั้งหลาย”“ฮองเฮาทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางถึงเพียงนี้ พวกข้าก็ยินดีที่จะมาพบปะกับท่านบ่อย ๆ เพคะ” ฮุ่ยเฟยเอ่ยขึ้น นางเป็นบุตรีของเสนาบดีเจ้ากรมโยธา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเรียบเรื่อยราวสายธารยามสงบนิ่ง“ข้าก็ยินดีเช่นกัน สตรีอย่างพวกเราย่อมต้องพึ่งพากันบ้าง พ
จิ่นสือพยักหน้ารับ ขณะที่ลูบใบเทียนเฉ่าเบาๆ กลิ่นหอมฉุนของมันลอยออกมาแตะจมูก สมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณล้ำค่า และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการแพทย์แผนโบราณถัดมาไม่นาน พวกเขาก็เจอพุ่มไม้ที่ออกดอกเป็นช่อสีขาวเล็กๆ กลีบดอกดูเปราะบางและชุ่มชื่น“นี่คือไป่ฮวา หรือหญ้าพันงู ขึ้นชื่อในสรรพคุณสมานแผลและหยุดเลือดทันทีเมื่อมีแผลสด ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในยาสำหรับทหารหรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงอันตราย”จิ่นสือสังเกตพุ่มไม้ไป่ฮวาด้วยความสนใจ“น่าสนใจนัก ยามศึกสงคราม สมุนไพรนี้คงช่วยได้มากจริงๆ”พวกเขาเดินต่อจนถึงลำธารเล็กๆ ที่ไหลเย็นสบาย สองข้างของลำธารมีต้นไม้เล็กๆ ออกผลเล็กๆ สีแดงจัดเต็มพุ่ม“ต้นนี้เรียกว่าซานจาหรือพุทราจีน ผลสีแดงของมันนี้กินได้ มีรสหวานอมเปรี้ยว ช่วยย่อยอาหารและบำรุงหัวใจเป็นเลิศ” นายท่านซุยหยิบผลซานจามาส่งให้จิ่นสือ“ลองชิมดูสิ หวานอมเปรี้ยวนี่ล่ะช่วยให้รู้สึกสดชื่นยิ่ง”จิ่นสือรับผลซานจามา ลองกัดเบาๆ รสชาติสดชื่นทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที สมุนไพรนี้ไม่เพียงแต่เป็นยาบำรุงแต่ยังเสริมพลังได้เป็นอย่างดี
ซุยลี่อินใจเต้นรัว ใบหน้าเล็กร้อนผ่าว มือน้อยๆ ยกขึ้นไปจับตรงตำแหน่งที่มือใหญ่ได้วางไว้ก่อนหน้าเบาๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มแย้มยิ้มออกมาเสียจนแทบฉีกถึงใบหุ “ข้าจะรอท่านพี่กลับมานะเจ้าคะ” สาวน้อยตะโกนไล่หลังร่างสุงใหญ่ที่เดินทิ้งห่างไปไกล ซุยลี่อินยืนส่งชายในดวงใจจนร่างเขาหายลับไปจากสายตา จึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน จิ่นสือได้ยินเสียงใสแว่วๆ แต่เขาไม่ได้หันกลับไป ทำเพียงเร่งฝีเท้าให้ทันนายท่านซุยเพียงเท่านั้น แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านยอดไม้หนาทึบลงมาเป็นลำ จิ่นสือก้าวเดินตามผู้เฒ่าอย่างตั้งใจ แม้พื้นดินจะชื้นแฉะ แต่ในความชื้นนั้นกลับทำให้ป่าแห่งนี้อุดมไปด้วยพืชสมุนไพรอันหลากหลาย จิ่นสือมองสำรวจอย่างตั้งอกตั้งใจ "ดูเหมือนป่านี้จะซ่อนสมุนไพรล้ำค่าไว้มิใช่น้อย...ข้าสงสัยว่าเหตุใดต้นไม้เหล่านี้จึงเติบโตได้งดงามนัก" นายท่านซุยยิ้มอย่างยินดีที่ชายหนุ่มถามในเรื่องที่เขามีความรู้เป็นอย่างดี และยินดีแบ่งปันอย่างยิ่ง “ต้นไม้ในป่านี้ได้รับการดูแลจากธรรมชาติ และคนในหมู่บ้านของเราได้ช่วยกันร
จิ่นสือมาอยุ่กับครอบครัวสกุลซุยมาได้พักใหญ่แล้ว เขามักจะไปตักน้ำตัดฟืนมาไว้ในบ้านเสมอ รวมถึงการออกไปจับจ่ายซื้อของแทนผุ้เฒ่าซุยอยุ่บ่อยครั้งและแน่นอนว่าเขามักจะมีดรุณีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มตามติดไปด้วยอยุ่เสมอ จนผุ้ที่ได้พบเห็นต่างนึกเอ็นดุและชื่นชมในรุปลักษณ์ที่ดีงามของทั้งสองคนจิ่นสือมักมีอาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมักมีอาการไม่นานมาก เพียงชั่วใบไม้ร่วงหล่นลงสุ่พื้น แต่ก็ทำให้เขาเจ็บร้าวในหัวจนแทบทรงตัวไม่อยุ่ในทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงหญิงสาวที่ไม่มีใบหน้า เฝ้าเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงอาทรและห่วงหาคืนนี้ก็เช่นกัน…“ท่านพี่…ท่านพี่…”“…”“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่” เขาถามออกไปแต่ร่างบอบบางในชุดสีฟ้าอ่อน ผมยาวตรงสยายพลิ้วไหวตามแรงลมที่ไม่ทราบมาจากที่ใด เขาเพ่งมองไปยังใบหน้านั้น แต่แสงสีขาวสว่างจ้าเกินไปจนเขาตาพร่าไม่สามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปหาร่างนั้น แต่ยิ่งเดินยิ่งห่างไกล ราวกับร่างนั้นเคลื่อนถอยหลังหนีเขาอยุ่ร่ำไป“ได้โปรดเถิด ให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าสักนิด”จื
บนพื้นที่ห่างไกลออกไปทางเหนือใกล้กับชายแดนแคว้นเกาเยว่ เสียงตัดไม้ดังก้องไปทั่วป่า เมื่อมองลึกเข้าไปจะพบกับชายร่างสูงใหญ่ล่ำสัน เครื่องแต่งกายมีเพียงเสื้อตัวบางทับด้วยเสื้อกั๊กเผยให้เห็นมัดกล้ามสองแขนแกร่ง กำลังตัดไม้อย่างขมักเขม้น หยาดเหงื่อไหลรินผ่านขมับ ชายหนุ่มขบกรามแน่นยามออกแรงยกขวาน ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา หนวดเครารกครึ้ม ส่งให้ใบหน้าคมเข้มไม่ไกลกันนัก มีสาวน้อยวัยกำดัดนั่งเท้าคางมองชายหนุ่มที่กำลังตัดไม้ด้วยแววตาหลงใหล สาวน้อยร่างบางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน ดูน่ารักน่าทะนุถนอมยิ่งนัก ข้างๆมีตระกร้าใส่อาหารและผลไม้ ดูไปก็คล้ายคู่รักที่ดูรักกันดียิ่ง แต่ความเป็นจริงนั้น…“จิ่นสือ วันนี้อากาศดีมาก ข้าว่าพอแค่นี้ดีไหม แล้วเราไปเดินเล่นในเมืองด้วยกัน” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยชวนแต่ชายร่างกำยำกลับทำราวกับไม่ได้ยินเสียงนาง ยังคงตัดไม้ต่อไปอย่างไม่ลดละ“นี่ เมื่อไหร่ท่านจะยอมคุยกับข้าสักที นี่ก็ผ่านมาจะครึ่งปีอยู่แล้วนะ นับจากวันที่ท่านพ่อกับท่านแม่พาท่านมาอยู่ด้วยกัน”“…”“สมแล้วที่ท่านพ่อตั้งชื่อให้ท่านว่าจิ่
หลังผ่านค่ำคืนอันแสนร้อนเร่ากับเจ้าผู้ครองแคว้น หยางเฟยฮุ่ยกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างผู้ชนะ กว่านางจะฝ่าด่านคัดเลือกสตรีนับพัน ฝ่าฟันต่อสู้กับเหล่าคุณหนูในห้องหอที่ต่างก็เพียบพร้อมไปด้วยความงามและความสามารถ แต่ที่ยากลำบากยิ่งกว่าคือการต้องวางแผนสกปรกทำให้น้องรองต้องเสียโฉมตัดโอกาสที่จะมาแย่งชิงกับนาง เพื่อที่นางจะได้เป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของตระกูล หยางลี่เฟย จะโทษก็โทษที่ชาติกำเนิดตัวเองเถอะ เจ้ามันก็แค่ลุกอนุ แต่อยากจะมาเทียบเคียงข้า อย่าได้โทษข้าเลย ที่ข้าไม่ยั้งมือ หยางเฟยฮุ่ยคิดในใจหยางเฟยฮุ่ยนั่งมองใบหน้าของตนเองในกระจก ดวงหน้างามพิลาส ดวงตาราวรีรุปหงส์ให้ความรุ้สึกหยิ่งผยองยามปรายหางตามอง จมุกเล็กเชิดรั้น ริมฝีปากยามแย้มยิ้มก็เย้ายวนมีเสน่ห์อย่างยิ่ง ใบหน้านี้ไม่ว่าใครได้มองย่อมตกหลุมนางทั้งนั้น มีแต่เจ้าคนน่าตายอวิ๋นเฟยหลงนั่นคนเดียว ตั้งแต่หลินเข่อซิงโผล่มาก็ไม่มองนางอีกเลย ทั้งที่แต่เล็กทั้งสองตระกุลต่างหมายหมั้นให้พวกนางได้ร่วมหอลงโลง หึ อวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้ท่านก็คงจะได้แต่นึกเสียใจเป็นแน่ มาบัดนี้ข้ากลับดีใจที่ไม่ได้แต่งให้ท่าน ไม่เช่นนั้นค