หลังจากที่ข่าวลือเกี่ยวกับหลินเข่อซิงแพร่กระจายไปทั่วเมือง ความเงียบสงบในจวนท่านโหวก็เต็มไปด้วยความกังวล อวิ๋นเฟยหลงเดินวนไปวนมาในห้องทำงาน หน้านิ่วคิวขมวด บรรดาทหารในสังกัดต่างรู้สึกว่าแม่ทัพของพวกเขาช่วงนี้หงุดหงิดง่ายเสียเหลือเกิน
รวมถึงบรรดาบ่าวไพร่ต่างทำงานด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง อวิ๋นเฟยหลงรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่สามารถปล่อยให้ดำเนินต่อไปได้โดยที่เขาไม่ทำอะไร ในห้องหนังสือ หลินเข่อซิงนั่งสงบอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง นางจ้องมองหนังสือที่เปิดอยู่บนตัก แต่ความคิดล่องลอยไปไกล ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าของอวิ๋นเฟยหลงดังขึ้น ทำให้นางเงยหน้ามอง "ข้ามีเรื่องที่ต้องพูดกับเจ้า" อวิ๋นเฟยหลงพูดขึ้น "ข้าจะจัดงานเลี้ยงที่จวน เพื่อให้ทุกคนมาเห็นด้วยตาตัวเองว่าเจ้าไม่ได้เป็นอย่างที่ข่าวลือกล่าวอ้าง" หลินเข่อซิงมองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ “งานเลี้ยงงั้นหรือ?” อวิ๋นเฟยหลงพยักหน้า "ใช่ ข้าจะเชิญบรรดาคุณหนูและผู้มีอำนาจในเมือง รวมถึงเหล่าขุนนางที่มีชื่อเสียงให้มาเข้าร่วมงานนี้ เจ้าจะมีโอกาสแสดงตัวต่อหน้าพวกเขา ให้พวกเขาเห็นว่าเจ้าเป็นใครจริงๆ ไม่ใช่ตามที่ข่าวลือพูดถึง" หลินเข่อซิงคิดตามแล้วพยักหน้าเห็นด้วย "ฟังดูดีมาก ข้าเองก็ไม่อยากให้ข่าวลือนี้ดำเนินต่อไปแบบนี้" นางยิ้มบางๆ "ข้าต้องแสดงให้พวกเขาเห็นด้วยตนเอง ข้าจะไม่ปล่อยให้ข่าวลือนี้ทำลายข้าได้" อวิ๋นเฟยหลงมองนางด้วยความพึงพอใจ "ข้าจะเตรียมการทุกอย่างเอง ส่วนเจ้าก็แค่เตรียมตัวให้พร้อม" ในที่สุดวันจัดงานเลี้ยงก็มาถึง จวนของอวิ๋นเฟยหลงเต็มไปด้วยความคึกคัก ประดับประดาด้วยผ้าสีทองและแดง มีการจัดโต๊ะเลี้ยงอาหารอย่างประณีตตามริมสวน แขกที่ได้รับเชิญเริ่มทยอยเดินทางมาถึง ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ต่างๆ ผู้คนในงานต่างสวมใส่ชุดที่ดีที่สุดของตน เพื่อแสดงสถานะและความสำคัญของตนเองในสังคม อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่หน้าประตูจวน พร้อมต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ ท่าทางสง่างามของเขาเต็มไปด้วยความเด็ดขาดและน่าเกรงขาม ขณะที่หลินเข่อซิงนั่งรออยู่ภายในห้องโถง นางเตรียมตัวเต็มที่ด้วยชุดที่เรียบง่ายแต่สง่างาม สีขาวผสมทองที่สะท้อนถึงความบริสุทธิ์และสูงส่งในตัวนาง บรรยากาศในงานเริ่มเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยคึกคัก เหล่าคุณหนูและขุนนางเริ่มจับกลุ่มสนทนากัน หลายคนยังคงซุบซิบพูดถึงข่าวลือเกี่ยวกับหลินเข่อซิง “นี่ เจ้าว่านางใช่หน้าหนาเกินไปรึไม่ หากเป็นข้านะ คงไม่มีหน้ามาในงานเลี้ยง เสนอหน้าต่อหน้าท่านอวิ๋นเป็นแน่” หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นด้วยเสียงเล็กๆกระซิบกับกลุ่มเพื่อน “ข้าก็เห็นตามเจ้า แล้วดูซิ ยังทำวางท่าหน้าเชิดอยู่ได้ เห็นแล้วรำคาญลูกตา”อีกคนหนึ่งพูดขึ้น หลินเข่อซิงเดินเข้าไปหาอวิ๋นเฟยหลงซึ่งยืนอยู่ตรงกลางลานกว้าง นางยิ้มบางๆ และก้มหัวน้อยๆ แสดงความเคารพ อวิ๋นเฟยหลงมองหลินเข่อซิงด้วยความชื่นชมเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวเสียงดังเพื่อให้ทุกคนในงานได้ยิน “วันนี้ข้าได้เชิญทุกท่านมาร่วมงานเลี้ยงที่จวน เพื่อเฉลิมฉลองและยืนยันสถานะความสัมพันธ์ของข้าและคุณหนูหลิน” ทุกคนในงานเงียบลงทันที หันมามองเขาด้วยความสนใจ อวิ๋นเฟยหลงพูดต่อ “หลินเข่อซิงเป็นคนที่ข้ามีความไว้วางใจ และข้าเชื่อมั่นในตัวนางอย่างเต็มที่” เสียงกระซิบกระซาบเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่การนินทาแบบเดิมอีกต่อไป หลินเข่อซิงมองไปรอบๆ แล้วกล่าวอย่างสงบนิ่ง “ข้าขอขอบคุณทุกท่านที่มาในวันนี้ และข้าอยากจะบอกให้ทุกท่านรู้ว่า ข่าวลือที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องที่ไม่มีมูลความจริง ข้ามีเกียรติและศักดิ์ศรีในตัวข้าเอง ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายมากนัก เพราะสิ่งใดจริงหรือเท็จ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง” คำพูดของหลินเข่อซิงเต็มไปด้วยความมั่นใจและสง่างาม ผู้คนเริ่มมองนางด้วยความเคารพมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นการแสดงออกอย่างเข้มแข็งของนาง อวิ๋นเฟยหลงยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวปิดท้าย “ทุกคนที่นี่ต่างรู้ดีว่าข้าเป็นคนเช่นไร ข้าจะไม่ปล่อยให้ข่าวลือใดๆ ทำลายชื่อเสียงของคนที่ข้าให้ความสำคัญ ข้าหวังว่าทุกท่านจะเข้าใจและเลิกพูดถึงเรื่องไร้สาระนี้เสียที” เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นในกลุ่มขุนนางและคุณหนูที่ยืนอยู่รอบๆ พวกเขาต่างรู้ว่าเมื่อแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลงพูดเช่นนี้ ข่าวลือเหล่านั้นก็จะจบลงทันที หลังจากพวกเขาพูดจบแล้ว หลินเข่อซิงก็ขอออกไปสูดอากาศในสวน ซึ่งอวิ๋นเฟยหลงเพียงพยักหน้ารับเบาๆและหันไปคุยกับแขกเหรื่อต่อ หลินเข่อซิงเดินออกมาจากงานเลี้ยงอย่างช้าๆ โดยมีสายตาของ หยางเฟยฮุ่ย จับจ้องอยู่ตลอดเวลา หยางเฟยฮุ่ยแอบกัดฟันด้วยความโกรธ ทั้งงานเต็มไปด้วยการยกย่องและชื่นชมหลินเข่อซิง ไม่มีใครเลยจะคิดถึงข่าวลือที่นางปล่อยออกไป "ข้าคงต้องจัดการเองเสียแล้ว" หยางเฟยฮุ่ยคิดในใจ นางเดินตามหลินเข่อซิงออกมาอย่างเงียบๆ ในใจนึกแผนการที่จะเอาคืน ขณะที่หลินเข่อซิงเดินเข้าไปในสวนที่เงียบสงบ แต่ลับตาผู้คน นางหยุดและหันกลับมามองเห็นหยางเฟยฮุ่ยที่เดินตามมาทัน นางแสร้งยิ้มออกมา "เจ้ามีธุระอะไรกับข้าหรือ คุณหนูหยาง?" หยางเฟยฮุ่ยยิ้มเย็นๆ เดินเข้าใกล้หลินเข่อซิง “ข้าแค่อยากคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวเท่านั้นเอง... ข้าเห็นเจ้ายังไม่เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองเท่าไหร่” หลินเข่อซิงหัวเราะเบาๆ “ไม่เข้าใจสถานการณ์? ข้าคิดว่าเจ้าเป็นฝ่ายที่ควรเข้าใจมากกว่านะ ว่าความพยายามของเจ้ามันไร้ค่า” หยางเฟยฮุ่ยขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด แต่ยังคงความเยือกเย็น "เจ้าคิดว่าแค่ชนะใจคนบางคนในงานเลี้ยง แล้วเจ้าจะสามารถอยู่รอดได้หรือ?" นางพูดพลางเดินวนไปรอบๆ หลินเข่อซิง ในขณะเดียวกันที่ห่างออกไปไม่ไกล อวิ๋นเฟยหลง ยืนอยู่พร้อมกับขุนนางและเหล่าคุณหนูที่เขาได้เชิญมาเป็นการส่วนตัว พวกเขากำลังจะเดินไปดูสัตว์เลี้ยงของอวิ๋นเฟยหลงตามคำชวน แต่แท้จริงแล้วมันเป็นแผนของอวิ๋นเฟยหลงเพื่อพาทุกคนมาเป็นพยาน "ท่านแม่ทัพ พวกเราจะไปเดินดูสัตว์เลี้ยงของท่านกันใช่หรือไม่?" คุณหนูคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น อวิ๋นเฟยหลงยิ้มเล็กน้อย "ใช่ ข้าคิดว่าทุกคนคงจะเพลิดเพลินกับการเดินชมสวนของข้า...และบางที อาจจะได้ยินอะไรบางอย่างที่น่าสนใจก็ได้" คุณหนูเหล่านั้นต่างหัวเราะคิกคักตามคำพูดของเขา และพากันเดินไปตามเส้นทางในสวน ซึ่งตรงกับตำแหน่งที่หลินเข่อซิงและหยางเฟยฮุ่ยยืนอยู่“เจ้าคิดจริงๆ เหรอว่าอวิ๋นเฟยหลงจะสนใจผู้หญิงที่จืดชืดและไม่มีอะไรน่าสนใจแบบเจ้า?” หยางเฟยฮุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “เจ้ามันก็แค่เงาของคนอื่น เขาไม่มีวันรักเจ้า ข้าเป็นคนเดียวที่เหมาะสมกับเขา”หลินเข่อซิงหัวเราะออกมาด้วยความเย็นชา “ข้าคงไม่ต้องบอกเจ้าให้หยุดทำอะไรโง่ๆ แบบนี้ใช่ไหม? ข่าวลือที่เจ้าแพร่กระจายไป มันทำให้ทุกคนเห็นความริษยาในตัวเจ้าเองมากกว่าที่จะทำลายข้า”หยางเฟยฮุ่ยหน้าแดงก่ำ กำหมัดแน่น “เจ้ามันก็แค่คนที่ไม่มีวันอยู่ในระดับเดียวกับข้า ข้าเพียงแค่ต้องการทำให้ทุกคนเห็นความจริง ว่าเจ้าไม่เหมาะสมกับตำแหน่งภรรยาแม่ทัพ!”หลินเข่อซิงก้าวเข้าไปใกล้หยางเฟยฮุ่ย พลางกระซิบเบาๆ “แผนไร้สมองของเจ้า มันไม่มีผลหรอก ข้าจะแสดงให้ดู ว่าเขาจะเลือกใคร”หลินเข่อซิงแสร้งล้มลงไปอย่างแรง โดยไม่ลืมที่จะดึงเอาหยางเฟยฮุ่ยลงมาด้วยทันใดนั้นเอง อวิ๋นเฟยหลงพร้อมเหล่าขุนนางและคุณหนูทั้งหลายก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากเงามืดของสวน ทุกคนหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงสนทนาของหยางเฟยฮุ่ยที่กำลังสารภาพถึงการกระทำของตนเองหยางเฟยฮุ่ยหันไปเห็นทุกคนที่ยืนอ
เมื่อออกจากห้องโถง หยางเฟยฮุ่ยก็เดินอย่างอ่อนแรงไปที่ห้องของตนเอง นางนั่งลงบนเตียง น้ำตาที่กล้ำกลืนเอาไว้ไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน นางรู้ดีว่าตนเองได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ความรักที่นางมีต่ออวิ๋นเฟยหลง ความหวังที่จะได้ครองคู่กับเขา ทุกอย่างมันพังทลายลงไม่เหลือชิ้นดี “ข้า...ข้าจะไม่ยอมแพ้...” หยางเฟยฮุ่ยกระซิบเบาๆ นางเช็ดน้ำตาด้วยความโกรธ นางจะไม่ยอมให้ชีวิตของนางจบลงเพียงเท่านี้ แม้ว่าต้องใช้วิธีใดก็ตาม นางก็จะหาทางกลับมาให้ได้ณ จวนตระกูลหลิน ในยามเช้าตรู่วันนี้เต็มไปด้วยความสงบและอากาศที่สดชื่น แต่ในใจของ หลินเข่อซิง กลับตื่นเต้นระคนกังวล เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่สองครอบครัวจะมาพบปะกันเพื่อพูดคุยเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของนางเรื่องการแต่งงานกับอวิ๋นเฟยหลงเมื่อเวลาใกล้เที่ยง บรรยากาศในห้องรับรองใหญ่ของจวนตระกูลหลินถูกจัดเตรียมอย่างประณีต อวิ๋นเหอ ท่านโหวแห่งตระกูลอวิ๋นกับฮูหยินใหญ่และอวิ๋นเฟยหลง เดินทางมาถึงจวนตระกูลหลิน พร้อมด้วยขบวนที่เต็มไปด้วยของกำนัลอันสูงค่า ที่ถูกจัดเตรียมมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและให้เกียรติตระกูลของฝ่ายหญิง"ยินดีต้อนรับท่านโหว ฮูหยินและท่านแม
วันลี่เซี่ย หรือวันเริ่มต้นฤดูร้อน เป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญที่ชาวบ้านต่างตั้งตารอคอย เมื่อดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง ท้องฟ้าโปร่งใสไร้เมฆ เหล่านกน้อยเริ่มส่งเสียงขับขานไปทั่ว เมืองก็เต็มไปด้วยความคึกคักอีกครั้ง ผู้คนพากันออกมาตระเตรียมสิ่งของเพื่อบูชาเทพเจ้าและบรรพบุรุษตามธรรมเนียมเดิม ขณะที่บรรยากาศก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารที่ชาวบ้านต่างพากันเตรียมไว้ หลินเข่อซิง ตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมกับความตื่นเต้น เมื่อยืนอยู่หน้ากระจก นางก็มองตัวเองในชุดผ้าไหมเบาบางสีฟ้าอ่อนที่เข้ากับบรรยากาศฤดูร้อน "วันนี้เราจะได้ออกไปเที่ยวกับท่านอวิ๋นอีกแล้ว" นางพึมพำกับตัวเองพร้อมรอยยิ้ม ในขณะที่นางออกมาที่ลานหน้าจวน หลิงเฉิน สาวใช้คนสนิทของนางก็เดินเข้ามาพร้อมกับหอบหิ้วไข่ต้มใส่ถุงที่ทำจากผ้าไหมหลากสี "คุณหนูเจ้าคะ ข้าเตรียมไข่ลี่เซี่ยมาให้แล้วเจ้าค่ะ ต้มด้วยใบชาและเปลือกวอลนัทตามธรรมเนียม ข้าจะผูกติดเอวท่านให้เป็นเครื่องราง" "โอ้โห! ดูน่ากินจริงๆเลย ข้าล่ะชอบกลิ่นชาและวอลนัทนี่จัง" หลินเข่อซิงยิ้มอย่างสดใส พลางยื่นมือรับไข่ลี่เซี่ยมาแขวนไว้ที่เอว
หลินเข่อซิง เดินเคียงข้าง อวิ๋นเฟยหลง ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นในตลาด ผู้คนพลุกพล่านไปด้วยชาวบ้านที่มาเฉลิมฉลองเทศกาลลี่เซี่ย มีเสียงตะโกนเรียกลูกค้าจากพ่อค้าแม่ขายตลอดทาง กลิ่นหอมของอาหารหลากหลายชนิดลอยมาแตะจมูก หลินเข่อซิงรู้สึกเพลิดเพลินกับบรรยากาศรอบตัว แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อได้เดินเคียงข้างอวิ๋นเฟยหลง“ท่านอวิ๋น ข้าขอลองนั่นหน่อยได้ไหมเจ้าคะ?” หลินเข่อซิงเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย ขณะที่ชี้ไปยังร้านขายขนมที่มีไข่ลี่เซี่ยแบบพิเศษเรียงรายอยู่“เจ้าอยากกินไข่ลี่เซี่ยเพิ่มอีกหรือ?” อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เมื่อเช้าเจ้าเพิ่งกินไปไม่ใช่หรือ?”“แต่ครั้งนี้มันเป็นไข่ลี่เซี่ยผสมชาแบบเฉพาะนี่นา” หลินเข่อซิงพูดพลางยิ้มกว้าง “มันต้องอร่อยกว่าเดิมแน่ๆ ข้าอยากลองชิมน่ะ นะเจ้าคะ นะๆๆๆ” ว่าแล้วสาวน้อยก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ พร้อมกระพริบตาถี่รัวอวิ๋นเฟยหลงพยักหน้าอย่างเรียบเฉย แต่เขาก็พานางไปที่ร้านขายขนมนั้น “ถ้าเจ้าชอบ ข้าจะซื้อให้” เขากล่าวเสียงนิ่ง แต่ใบหูกลับแดงก่ำ“โอ้! ท่านแม่ทัพท่านใจดีจัง” หลินเข่อซิงแกล
หลังจากที่ อวิ๋นเฟยหลง และ หลินเข่อซิง แยกกันเมื่อวาน วันนี้หลินเข่อซิงก็มาถึงจวนของอวิ๋นเฟยหลงอีกครั้งด้วยความรู้สึกสดใส นางตั้งใจจะมาคุยเรื่องการเตรียมงานแต่งงานที่ใกล้เข้ามา นางอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน แต่ลึกๆ แล้วในใจก็แอบหวังว่าอยากจะได้เจอหน้าอวิ๋นเฟยหลงอีกครั้งเมื่อเดินเข้ามาถึงหน้าจวน หลินเข่อซิงก็เห็นอวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ที่สวนหลังบ้าน ดวงตาของเขามองออกไปที่ทิวทัศน์ไกลๆ ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ เงียบสงบ และดูหล่อเหลาในแบบของเขา หลินเข่อซิงอดยิ้มไม่ได้ นางไม่เคยรู้เลยว่าการมองดูใครสักคนที่ท่าทางเงียบขรึมและเข้มแข็งองอาจเช่นนี้จะทำให้หัวใจเต้นแรงได้ขนาดนี้“ท่านอวิ๋นเจ้าคะ” นางเรียกเบาๆ พร้อมกับเดินเข้าไปใกล้อวิ๋นเฟยหลงหันมามอง และทันทีที่เห็นหน้าหลินเข่อซิง ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนจากความเงียบสงบเป็นรอยยิ้มบางๆ ที่น้อยคนนักจะได้เห็น“เจ้ามาแต่เช้า ข้ากำลังคิดว่าจะต้องไปพบเจ้าเสียอีก” เขาพูดเสียงเรียบ“ข้าก็แค่คิดถึงท่านน่ะสิ” หลินเข่อซิงยิ้มยั่ว “เลยมาเยี่ยม” นางยกสองมือขึ้นมา ประกบกันเป็นรูปหัวใจที่ตรงอกด้านซ้าย
หลังรับประทานอาหารเช้าด้วยกันเสร็จ อวิ๋นเฟยหลงเงยหน้าขึ้นจากถ้วยชา และมองหลินเข่อซิงที่ยังคงก้มหน้าก้มตากินอย่างอารมณ์ดี ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน"วันนี้ข้ามีซ้อมรบกับเหล่าทหารในสังกัด" อวิ๋นเฟยหลงบอกกล่าวเสียงเรียบ สายตาคมยังคงมองหลินเข่อซิง “เจ้าอยากกลับไปพักผ่อนที่จวนก่อน หรือว่า…”ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ หลินเข่อซิงก็พูดแทรกขึ้นมาทันที "ข้าขออยู่ดูด้วยได้ไหมเจ้าคะ!" นางพูดด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าของนางเปล่งประกายอย่างเห็นได้ชัดอวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วเล็กน้อย "เจ้าสนใจการซ้อมรบด้วยหรือ?""ข้าก็แค่อยากรู้ว่าท่านทำอะไรในสนามรบบ้างน่ะสิ" หลินเข่อซิงตอบพลางหัวเราะเบาๆ "แล้วข้าจะทำอาหารกลางวันเลี้ยงทหารให้เอง ถือเป็นการตอบแทนที่พวกเขาทำงานหนัก" นางยิ้มอย่างสดใส ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นอวิ๋นเฟยหลงพยักหน้าเล็กน้อย แม้จะรู้สึกว่ามันแปลกที่หลินเข่อซิงอยากดูการซ้อมรบ แต่ความจริงแล้วเขาก็ไม่คิดขัดใจนาง “ถ้าเจ้าอยากดู ข้าก็ไม่ห้าม แต่กระบี่ไร้ตา อย่าลืมระวังตัวเองด้วย”หลินเข่อซิงยิ้มกว้างแล้วลุกขึ้นทันที “ไม
ในที่สุด เวลาก็ล่วงเลยมาถึงช่วงต้าสู่ ช่วงที่อากาศร้อนที่สุดในรอบปี (เริ่มต้นประมาณ 22-24 กรกฎาคม) หลินเข่อซิงนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ในสวนจวนตระกูลหลิน พลางใช้พัดไม้ไผ่พัดคลายความร้อน นางเหม่อมองท้องฟ้าสีครามสดใส แต่กลับรู้สึกว่าลมร้อนพัดแผ่วๆ มากระทบหน้า ทำให้นางหงุดหงิดไม่น้อย"เฮ้อ... อากาศร้อนขนาดนี้ ข้าคิดถึงแอร์เย็นๆ ในโลกเดิมจริงๆ!" นางบ่นกับตัวเองเบาๆหลิงเฉินที่เดินมาพร้อมกับน้ำชาถือถาดเข้ามาใกล้ นางยิ้มบางๆ เมื่อได้ยินคำบ่นจากคุณหนูของตนแว่วๆ "คุณหนูเจ้าคะ ในช่วงต้าสู่นี้ อากาศจะร้อนมากจริงๆ แต่ชาวบ้านที่นี่ก็มีวิธีรับมือกับมันอยู่เจ้าค่ะ""วิธีรับมือกับความร้อนเหรอ?" หลินเข่อซิงหันไปมองหลิงเฉินด้วยความสนใจ "ทำยังไงกันล่ะ""พวกเขานิยมกินอาหารที่ช่วยคลายร้อนน่ะเจ้าค่ะ อย่างเฉาก๊วยที่ช่วยดับกระหายคลายร้อนได้ดี และซุปเนื้อแกะที่ช่วยปรับสมดุลความร้อนในร่างกาย ถึงแม้จะฟังดูแปลกๆ แต่คนที่นี่เชื่อว่ากินเนื้อแกะจะช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายร้อนเกินไปค่ะ" หลิงเฉินอธิบายพลางยื่นถ้วยชาเย็นๆ ให้คุณหนูของนางหลินเข่อซิงรับถ้วยช
ในที่สุด ฤดูใบไม้ร่วงก็มาถึง พร้อมกับลมเย็นๆ ที่พัดผ่าน และช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงเช่นกัน วันแต่งงานของอวิ๋นเฟยหลงและหลินเข่อซิง การแต่งงานของทั้งคู่ไม่เพียงแต่เป็นพิธีสมรสระหว่างคนสองคน แต่ยังเป็นการรวมสองตระกูลใหญ่เข้าด้วยกัน ทำให้วันนี้เป็นวันที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในรอบหลายปีหนึ่งวันก่อนงานแต่งงาน ฝั่งเจ้าบ่าวได้ส่งสินสอดจำนวนมหาศาลมาที่จวนตระกูลหลิน ขบวนสินสอดขนาดใหญ่ประกอบด้วยหีบสินสอดจำนวน 1,314 หีบ ซึ่งเป็นเลขที่สื่อความหมายถึง "รักกันตลอดไป" (คำว่า "1314" ในภาษาจีนพ้องเสียงกับคำว่า "ตลอดไป") ถูกแบกหามโดยเหล่าทหารหาญเกินครึ่งพันขบวนสินสอดที่อวิ๋นเฟยหลงส่งมายังจวนตระกูลหลินในวันก่อนแต่งงาน เป็นขบวนที่ยิ่งใหญ่และตระการตาอย่างยิ่ง ชาวบ้านจากทั่วทุกสารทิศที่ได้ยินข่าวต่างพากันมาชมด้วยความตื่นตาตื่นใจ และพูดถึงงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้น ขบวนสินสอดถูกจัดขึ้นอย่างประณีต ประกอบด้วยหีบไม้สลักลวดลายวิจิตรที่บรรจุของล้ำค่า สะท้อนถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของอวิ๋นเฟยหลงที่มีต่อหลินเข่อซิงขบวนสินสอดอันยิ่งใหญ่และตระการตาได้มาถึงจวนตระกูลหลินแล้ว บรรยากาศรอบๆ จวนเต็มไปด้วยความคึกคัก บ่า
แสงแดดยามสายสาดส่องลงมาบนเส้นทางที่ทอดยาวผ่านป่าเขาและทุ่งหญ้า อวิ๋นเฟยหลงและเจิ้งจู่องครักษ์เงาคู่ใจอยู่บนหลังม้า ทั้งสองเดินทางร่วมกันมานานนับเดือน นับตั้งแต่จากบ้านสกุลซุย เส้นทางที่ผ่านไม่ได้ราบเรียบ มีทั้งความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ความร้อนระอุในบางวัน และความหนาวเหน็บในยามค่ำคืนม้าสีดำตัวใหญ่ของอวิ๋นเฟยหลงย่ำเท้าลงบนพื้นอย่างมั่นคง ชายหนุ่มนั่งตัวตรง ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังเส้นทางข้างหน้า ส่วนเจิ้งจู่ที่อยู่เคียงข้างไม่ห่าง ใช้มือปัดเหงื่อบนหน้าผากพร้อมกับพูดกลั้วหัวเราะ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะดูเหมือนว่าแม้แต่แดดแรงขนาดนี้ยังไม่อาจทำอะไรท่านได้เลย ข้าสิแทบจะละลายอยู่ตรงนี้แล้ว”อวิ๋นเฟยหลงหันมามองเจิ้งจู่ด้วยแววตาขำขัน “เจ้าคิดว่าการบ่นจะช่วยให้เย็นลงหรือ? อีกอย่างเลิกเรียกข้าว่าองค์ชายเสียที เรียกคุณชายจะดีกว่า ยิ่งเข้าใกล้แคว้นฉางจีเท่าไหร่เรายิ่งต้องปกปิดตัวตนมิให้ผู้ใดล่วงรู้”“เข้าใจแล้วขอรับ คุณชาย” เจิ้งจู่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่บางทีข้าก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าทำไมท่านถึงเลือกเส้นทางนี้ ทั้งที่ทางหลักก็น่าจะปลอดภัยกว่า”อวิ๋นเฟย
“กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ และละอายใจยิ่ง หากองค์ชายเจ็บแค้นและอยากสังหาร กระหม่อมก็พร้อมยินดีมอบชีวิตให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ว่าพลางยื่นกระบี่ในมือให้กับอวิ๋นเฟยหลงชายร่างผอมบางในชุดคลุมสีดำสนิท นั่งนิ่งหลับตาแน่น รอรับโทษทัณฑ์ฟิ้ววว เสียงโลหะแหวกอากาศจนเกือบฟันคอของเจิ้งจู่ขาด เจิ้งจู่รู้สึกถึงความเย็นของดาบที่แตะเบาๆที่คอ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำเอาเลือดสดไหลซึมออกมาเล็กน้อยเคร้ง!ดาบถูกโยนทิ้งลงพื้น“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากเจ้ารู้สึกเช่นนั้นก็จงร่วมเดินทางไปกับข้าเถอะ”“องค์ชาย กระหม่อมขอขอบพระทัยในความเมตตาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ลุกขึ้นมาคำนับอวิ๋นเฟยหลง“แต่ก่อนอื่นข้ามีเรื่องที่ต้องทำก่อนไป” อวิ๋นเฟยหลงว่าพลางขมวดคิ้วแน่น........แสงอาทิตย์แผดแสงเจิดจ้าส่องเข้ามายังลานบ้านสกุลซุย อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ในห้องพักอย่างเงียบสงบ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสน แต่มั่นคง เขารู้ดีว่าวันนี้เขาต้องบอกลาผู้คนที่นี่ คนที่ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน คนที่คอยช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาที่เขาความทรงจำขาดห
นับจากวันที่เขาประสบเหตุในวันที่ไปเก็บเห็ดกับนายท่านซุย จิ่นสือมักมีภาพเหตุการณ์โผล่ขึ้นมาให้เขาได้เห็น บางคราก็สั้นๆ บางคราก็เป็นเรื่องเป็นราวผุ้เฒ่าสกุลซุยทั้งสองลงความเห็นกันว่าควรให้เขาได้พักผ่อนให้มากหน่อยเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและพักฟื้นร่างกายให้ดี รวมถึงกันซุยลี่อินไม่ให้มารบกวนจิ่นสืออีกด้วย นับว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เขารุ้สึกสงบสุขมากที่สุดนับแต่ได้มาอยุ่ที่บ้านสกุลซุยก็ว่าได้สายลมวสันต์ฤดูพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำเอาจิ่นสือต้องยกมือขึ้นมาป้องปากและจมูกที่เย็นจนชาแทบไร้ความรู้สึกวันนี้ยังคงเป็นไปตามปกติเพียงแต่เขาไม่ต้องไปคอยตัดฟืนแบกหามอย่างเช่นทุกที ตามร่างกายยังคงเจ็บระบม ชายหนุ่มร่างกำยำที่เริ่มเบื่อหน่ายจึงไปนั่งขัดสมาธิบนฟูกนอน ก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่สมาธิเวลาล่วงเลยผ่านไปเท่าใดไม่อาจทราบได้ ร่างหนาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าแสงสุริยันลับขอบฟ้าไปแล้ว บนโต๊ะในห้องนอนมีสำรับกับข้าววางไว้ให้ เขาค่อยๆลุกขึ้นมานั่งก่อนจะบิดเอวซ้ายทีขวาที ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะกินข้าวเล็กๆมีอาหารเพียงสองอย่าง ผัดไข่ใส่ใบเซียงชุนและซุปเนื้อหอมกรุ่นที่ตอนน
ในห้วงอันเงียบสงบของค่ำคืน หยางเฟยฮุ่ยนั่งลงท่ามกลางแสงเทียนในห้องบรรทม นางประมวลผลทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งความไม่ไว้วางใจระหว่างตนกับหานเจี๋ย และสถานการณ์ในวังที่ตึงเครียด นางยิ้มมุมปาก ก่อนจะตัดสินใจวางแผนสร้างเครือข่ายพันธมิตรของตนเองขึ้นมา“ข้าจะไม่อยุ่รอวันตาย ไม่ฝากชีวิตไว้กับเสือที่ไม่รุ้ว่าจะแว้งกัดข้าตอนไหน” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวกับตนเองพลางยิ้มเย็นหยางเฟยฮุ่ยหันไปเริ่มต้นแผนด้วยการพบปะกับเหล่าสนมนางในบุตรีตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนัก เพื่อเสริมฐานพันธมิตรให้กว้างขวางมากขึ้น“ข้าอยากให้พวกท่านมาร่วมงานในตำหนักของข้า พวกเราสามารถแบ่งปันความคิดเห็นและสนับสนุนกันและกันได้... จะว่าไปก็นับว่าข้ามีโชคยิ่งนัก ที่ได้พบสตรีชั้นสูงที่มีความสามารถและรู้จักวางตัวอย่างท่านทั้งหลาย”“ฮองเฮาทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางถึงเพียงนี้ พวกข้าก็ยินดีที่จะมาพบปะกับท่านบ่อย ๆ เพคะ” ฮุ่ยเฟยเอ่ยขึ้น นางเป็นบุตรีของเสนาบดีเจ้ากรมโยธา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเรียบเรื่อยราวสายธารยามสงบนิ่ง“ข้าก็ยินดีเช่นกัน สตรีอย่างพวกเราย่อมต้องพึ่งพากันบ้าง พ
จิ่นสือพยักหน้ารับ ขณะที่ลูบใบเทียนเฉ่าเบาๆ กลิ่นหอมฉุนของมันลอยออกมาแตะจมูก สมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณล้ำค่า และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการแพทย์แผนโบราณถัดมาไม่นาน พวกเขาก็เจอพุ่มไม้ที่ออกดอกเป็นช่อสีขาวเล็กๆ กลีบดอกดูเปราะบางและชุ่มชื่น“นี่คือไป่ฮวา หรือหญ้าพันงู ขึ้นชื่อในสรรพคุณสมานแผลและหยุดเลือดทันทีเมื่อมีแผลสด ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในยาสำหรับทหารหรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงอันตราย”จิ่นสือสังเกตพุ่มไม้ไป่ฮวาด้วยความสนใจ“น่าสนใจนัก ยามศึกสงคราม สมุนไพรนี้คงช่วยได้มากจริงๆ”พวกเขาเดินต่อจนถึงลำธารเล็กๆ ที่ไหลเย็นสบาย สองข้างของลำธารมีต้นไม้เล็กๆ ออกผลเล็กๆ สีแดงจัดเต็มพุ่ม“ต้นนี้เรียกว่าซานจาหรือพุทราจีน ผลสีแดงของมันนี้กินได้ มีรสหวานอมเปรี้ยว ช่วยย่อยอาหารและบำรุงหัวใจเป็นเลิศ” นายท่านซุยหยิบผลซานจามาส่งให้จิ่นสือ“ลองชิมดูสิ หวานอมเปรี้ยวนี่ล่ะช่วยให้รู้สึกสดชื่นยิ่ง”จิ่นสือรับผลซานจามา ลองกัดเบาๆ รสชาติสดชื่นทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที สมุนไพรนี้ไม่เพียงแต่เป็นยาบำรุงแต่ยังเสริมพลังได้เป็นอย่างดี
ซุยลี่อินใจเต้นรัว ใบหน้าเล็กร้อนผ่าว มือน้อยๆ ยกขึ้นไปจับตรงตำแหน่งที่มือใหญ่ได้วางไว้ก่อนหน้าเบาๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มแย้มยิ้มออกมาเสียจนแทบฉีกถึงใบหุ “ข้าจะรอท่านพี่กลับมานะเจ้าคะ” สาวน้อยตะโกนไล่หลังร่างสุงใหญ่ที่เดินทิ้งห่างไปไกล ซุยลี่อินยืนส่งชายในดวงใจจนร่างเขาหายลับไปจากสายตา จึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน จิ่นสือได้ยินเสียงใสแว่วๆ แต่เขาไม่ได้หันกลับไป ทำเพียงเร่งฝีเท้าให้ทันนายท่านซุยเพียงเท่านั้น แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านยอดไม้หนาทึบลงมาเป็นลำ จิ่นสือก้าวเดินตามผู้เฒ่าอย่างตั้งใจ แม้พื้นดินจะชื้นแฉะ แต่ในความชื้นนั้นกลับทำให้ป่าแห่งนี้อุดมไปด้วยพืชสมุนไพรอันหลากหลาย จิ่นสือมองสำรวจอย่างตั้งอกตั้งใจ "ดูเหมือนป่านี้จะซ่อนสมุนไพรล้ำค่าไว้มิใช่น้อย...ข้าสงสัยว่าเหตุใดต้นไม้เหล่านี้จึงเติบโตได้งดงามนัก" นายท่านซุยยิ้มอย่างยินดีที่ชายหนุ่มถามในเรื่องที่เขามีความรู้เป็นอย่างดี และยินดีแบ่งปันอย่างยิ่ง “ต้นไม้ในป่านี้ได้รับการดูแลจากธรรมชาติ และคนในหมู่บ้านของเราได้ช่วยกันร
จิ่นสือมาอยุ่กับครอบครัวสกุลซุยมาได้พักใหญ่แล้ว เขามักจะไปตักน้ำตัดฟืนมาไว้ในบ้านเสมอ รวมถึงการออกไปจับจ่ายซื้อของแทนผุ้เฒ่าซุยอยุ่บ่อยครั้งและแน่นอนว่าเขามักจะมีดรุณีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มตามติดไปด้วยอยุ่เสมอ จนผุ้ที่ได้พบเห็นต่างนึกเอ็นดุและชื่นชมในรุปลักษณ์ที่ดีงามของทั้งสองคนจิ่นสือมักมีอาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมักมีอาการไม่นานมาก เพียงชั่วใบไม้ร่วงหล่นลงสุ่พื้น แต่ก็ทำให้เขาเจ็บร้าวในหัวจนแทบทรงตัวไม่อยุ่ในทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงหญิงสาวที่ไม่มีใบหน้า เฝ้าเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงอาทรและห่วงหาคืนนี้ก็เช่นกัน…“ท่านพี่…ท่านพี่…”“…”“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่” เขาถามออกไปแต่ร่างบอบบางในชุดสีฟ้าอ่อน ผมยาวตรงสยายพลิ้วไหวตามแรงลมที่ไม่ทราบมาจากที่ใด เขาเพ่งมองไปยังใบหน้านั้น แต่แสงสีขาวสว่างจ้าเกินไปจนเขาตาพร่าไม่สามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปหาร่างนั้น แต่ยิ่งเดินยิ่งห่างไกล ราวกับร่างนั้นเคลื่อนถอยหลังหนีเขาอยุ่ร่ำไป“ได้โปรดเถิด ให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าสักนิด”จื
บนพื้นที่ห่างไกลออกไปทางเหนือใกล้กับชายแดนแคว้นเกาเยว่ เสียงตัดไม้ดังก้องไปทั่วป่า เมื่อมองลึกเข้าไปจะพบกับชายร่างสูงใหญ่ล่ำสัน เครื่องแต่งกายมีเพียงเสื้อตัวบางทับด้วยเสื้อกั๊กเผยให้เห็นมัดกล้ามสองแขนแกร่ง กำลังตัดไม้อย่างขมักเขม้น หยาดเหงื่อไหลรินผ่านขมับ ชายหนุ่มขบกรามแน่นยามออกแรงยกขวาน ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา หนวดเครารกครึ้ม ส่งให้ใบหน้าคมเข้มไม่ไกลกันนัก มีสาวน้อยวัยกำดัดนั่งเท้าคางมองชายหนุ่มที่กำลังตัดไม้ด้วยแววตาหลงใหล สาวน้อยร่างบางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน ดูน่ารักน่าทะนุถนอมยิ่งนัก ข้างๆมีตระกร้าใส่อาหารและผลไม้ ดูไปก็คล้ายคู่รักที่ดูรักกันดียิ่ง แต่ความเป็นจริงนั้น…“จิ่นสือ วันนี้อากาศดีมาก ข้าว่าพอแค่นี้ดีไหม แล้วเราไปเดินเล่นในเมืองด้วยกัน” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยชวนแต่ชายร่างกำยำกลับทำราวกับไม่ได้ยินเสียงนาง ยังคงตัดไม้ต่อไปอย่างไม่ลดละ“นี่ เมื่อไหร่ท่านจะยอมคุยกับข้าสักที นี่ก็ผ่านมาจะครึ่งปีอยู่แล้วนะ นับจากวันที่ท่านพ่อกับท่านแม่พาท่านมาอยู่ด้วยกัน”“…”“สมแล้วที่ท่านพ่อตั้งชื่อให้ท่านว่าจิ่
หลังผ่านค่ำคืนอันแสนร้อนเร่ากับเจ้าผู้ครองแคว้น หยางเฟยฮุ่ยกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างผู้ชนะ กว่านางจะฝ่าด่านคัดเลือกสตรีนับพัน ฝ่าฟันต่อสู้กับเหล่าคุณหนูในห้องหอที่ต่างก็เพียบพร้อมไปด้วยความงามและความสามารถ แต่ที่ยากลำบากยิ่งกว่าคือการต้องวางแผนสกปรกทำให้น้องรองต้องเสียโฉมตัดโอกาสที่จะมาแย่งชิงกับนาง เพื่อที่นางจะได้เป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของตระกูล หยางลี่เฟย จะโทษก็โทษที่ชาติกำเนิดตัวเองเถอะ เจ้ามันก็แค่ลุกอนุ แต่อยากจะมาเทียบเคียงข้า อย่าได้โทษข้าเลย ที่ข้าไม่ยั้งมือ หยางเฟยฮุ่ยคิดในใจหยางเฟยฮุ่ยนั่งมองใบหน้าของตนเองในกระจก ดวงหน้างามพิลาส ดวงตาราวรีรุปหงส์ให้ความรุ้สึกหยิ่งผยองยามปรายหางตามอง จมุกเล็กเชิดรั้น ริมฝีปากยามแย้มยิ้มก็เย้ายวนมีเสน่ห์อย่างยิ่ง ใบหน้านี้ไม่ว่าใครได้มองย่อมตกหลุมนางทั้งนั้น มีแต่เจ้าคนน่าตายอวิ๋นเฟยหลงนั่นคนเดียว ตั้งแต่หลินเข่อซิงโผล่มาก็ไม่มองนางอีกเลย ทั้งที่แต่เล็กทั้งสองตระกุลต่างหมายหมั้นให้พวกนางได้ร่วมหอลงโลง หึ อวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้ท่านก็คงจะได้แต่นึกเสียใจเป็นแน่ มาบัดนี้ข้ากลับดีใจที่ไม่ได้แต่งให้ท่าน ไม่เช่นนั้นค