เมื่อออกจากห้องโถง หยางเฟยฮุ่ยก็เดินอย่างอ่อนแรงไปที่ห้องของตนเอง นางนั่งลงบนเตียง น้ำตาที่กล้ำกลืนเอาไว้ไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน นางรู้ดีว่าตนเองได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ความรักที่นางมีต่ออวิ๋นเฟยหลง ความหวังที่จะได้ครองคู่กับเขา ทุกอย่างมันพังทลายลงไม่เหลือชิ้นดี
“ข้า...ข้าจะไม่ยอมแพ้...” หยางเฟยฮุ่ยกระซิบเบาๆ นางเช็ดน้ำตาด้วยความโกรธ นางจะไม่ยอมให้ชีวิตของนางจบลงเพียงเท่านี้ แม้ว่าต้องใช้วิธีใดก็ตาม นางก็จะหาทางกลับมาให้ได้ ณ จวนตระกูลหลิน ในยามเช้าตรู่วันนี้เต็มไปด้วยความสงบและอากาศที่สดชื่น แต่ในใจของ หลินเข่อซิง กลับตื่นเต้นระคนกังวล เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่สองครอบครัวจะมาพบปะกันเพื่อพูดคุยเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของนางเรื่องการแต่งงานกับอวิ๋นเฟยหลง เมื่อเวลาใกล้เที่ยง บรรยากาศในห้องรับรองใหญ่ของจวนตระกูลหลินถูกจัดเตรียมอย่างประณีต อวิ๋นเหอ ท่านโหวแห่งตระกูลอวิ๋นกับฮูหยินใหญ่และอวิ๋นเฟยหลง เดินทางมาถึงจวนตระกูลหลิน พร้อมด้วยขบวนที่เต็มไปด้วยของกำนัลอันสูงค่า ที่ถูกจัดเตรียมมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและให้เกียรติตระกูลของฝ่ายหญิง "ยินดีต้อนรับท่านโหว ฮูหยินและท่านแม่ทัพ" หลินเจิ้นกั๋ว พ่อของหลินเข่อซิง เอ่ยต้อนรับด้วยความสุภาพ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ ขณะที่ ชิงเหม่ย มารดาของหลินเข่อซิงยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความอ่อนโยน อวิ๋นเหอพยักหน้ารับคำต้อนรับ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้หรูหราในห้องรับรอง “ข้าเองก็ดีใจที่ได้มาพบทุกท่านในวันนี้ เรามาพูดคุยเรื่องที่สำคัญยิ่งเกี่ยวกับอนาคตของลูกเราทั้งสองคนเถิด” หลินเจิ้นกั๋วพยักหน้าเห็นด้วย "ใช่แล้ว ท่านโหว ข้าเองก็ตั้งตารอคอยการแต่งงานครั้งนี้ และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ลูกสาวของข้าจะได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลอวิ๋น" อวิ๋นเฟยหลงซึ่งนั่งเงียบอยู่ข้างพ่อของเขา สบตากับหลินเข่อซิง ก่อนจะกลับมานั่งอย่างสงบ เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่พักนี้ เขาก็เริ่มรู้สึกห่วงใยและคิดถึงหลินเข่อซิงอยู่ตลอด "เรื่องสินสอดของการหมั้นหมาย" อวิ๋นเหอเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ "เราจัดเตรียมทองคำ เพชรพลอย และที่ดินอันอุดมสมบูรณ์ในเขตทางเหนือเพื่อเป็นสินสอดในงานหมั้นของลูกชายข้าและซิงเอ๋อร์ ข้าเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่คู่ควรกับบุตรีของท่าน" หลินเจิ้นกั๋วยิ้มกว้าง "ท่านโหวและหลงเอ๋อร์ช่างมีน้ำใจมาก ข้าและครอบครัวรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ข้ามั่นใจว่าหลังจากงานแต่งงาน ลูกๆของพวกเราจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข" หลินเข่อซิงนั่งฟังอยู่เงียบๆ ข้างมารดา ในใจของนางรู้สึกถึงความอบอุ่น เมื่อได้ยินว่าพ่อของอวิ๋นเฟยหลงและพ่อแม่ของนางต่างพูดคุยกันอย่างจริงจัง และเห็นถึงอนาคตของตนเองและอวิ๋นเฟยหลงอย่างชัดเจน "ส่วนเรื่องการจัดงานแต่งงาน" ชิงเหม่ยพูดขึ้นอย่างนุ่มนวล “ข้าและสามีได้ปรึกษากันว่า งานแต่งควรจัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่จะมาถึง(ประมาณเดือนสิงหาคม) ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการจัดงานมงคล ลูกสาวของข้าจะได้เตรียมตัวและมีเวลาในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่จำเป็น และยังตรงกับช่วงที่ฝ่าบาทประสงค์จะให้แต่งในเดือนนี้อีกด้วย” "เห็นด้วยอย่างยิ่ง" อวิ๋นเหอพยักหน้า "ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤกษ์งามยามดี และข้าเองก็คงจะได้มีเวลาเตรียมงานแต่งที่ยิ่งใหญ่สมเกียรติ" ทุกคนในห้องต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับแผนการงานแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้น หลินเข่อซิงพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกตื่นเต้นภายในใจ นางยังคงไม่อยากเชื่อว่างานแต่งงานของนางกับอวิ๋นเฟยหลงกำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ หลังจากการเจรจาเรื่องงานแต่งและสินสอดเสร็จสิ้น อวิ๋นเฟยหลงและหลินเข่อซิงก็มีโอกาสได้เดินออกมาพูดคุยกันตามลำพังในสวน “ท่านอวิ๋น...ข้าคิดว่าการเตรียมงานแต่งงานนี่ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนฝัน” หลินเข่อซิงพูดด้วยรอยยิ้มขี้เล่น นางหันมามองอวิ๋นเฟยหลงที่ยังคงดูสุขุมและเยือกเย็นเช่นเคย อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วเล็กน้อย “ฝันหรือ? เจ้าไม่ต้องกังวลไป ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน และเจ้าไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร” หลินเข่อซิงหัวเราะ “ท่านพูดเหมือนข้าเป็นคนที่จะทำให้แผนผิดพลาดงั้นแหละ” อวิ๋นเฟยหลงส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่คิดเช่นนั้น แต่ข้าเชื่อว่าเจ้ามีแผนในหัวอยู่เสมอ” “แน่นอน ข้ามีแผนในทุกเรื่อง” หลินเข่อซิงตอบพลางยิ้ม “รวมถึงแผนที่จะทำให้ท่าน...ยิ้มออกมาบ้าง” อวิ๋นเฟยหลงหลุดหัวเราะเบาๆ ท่าทางเยือกเย็นของเขาเริ่มคลายลง “เจ้าคิดว่าจะทำให้ข้ายิ้มง่ายๆ แบบนั้นหรือ?” หลินเข่อซิงพยักหน้าอย่างมั่นใจ “แน่นอน เพราะข้ามีวิธีที่ท่านคาดไม่ถึง” ทั้งสองยืนมองหน้ากันท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความเป็นธรรมชาติ ในขณะที่ดวงอาทิตย์ยามบ่ายคล้อยลง ความเงียบสงบและการพูดคุยเล็กๆ นี้ทำให้ทั้งคู่รู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้น ในห้องรับรอง หลินเจิ้นกั๋ว และ ชิงเหม่ย นั่งมองดูอวิ๋นเฟยหลงและหลินเข่อซิงจากทางหน้าต่างเล็กๆ ทั้งสองสบตากันและยิ้มออกมาด้วยความพอใจ “ดูเหมือนว่าซิงเอ๋อร์จะเข้ากับท่านแม่ทัพได้ดี” ชิงเหม่ยกล่าวเบาๆ “ลูกของเราช่างโตขึ้นมากแล้ว” หลินเจิ้นกั๋วพยักหน้า “ใช่ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่ง ลูกสาวที่ข้ารักจะได้แต่งงานกับท่านแม่ทัพ แต่ข้าหวังเพียงว่าซิงเอ๋อร์ของเราจะมีความสุข” “ข้าก็หวังเช่นกัน” ชิงเหม่ยยิ้มอย่างอ่อนโยน “และข้าคิดว่าลูกสาวของเราจะต้องทำได้ดีแน่ๆ ในฐานะภรรยาแม่ทัพ” ทั้งสองนั่งคุยกันอย่างอบอุ่น ขณะที่อวิ๋นเฟยหลงและหลินเข่อซิงกำลังใช้เวลาร่วมกันในสวนเล็กๆ บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความหวังและความสุขที่กำลังจะมาถึงในอนาคตของทั้งสองวันลี่เซี่ย หรือวันเริ่มต้นฤดูร้อน เป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญที่ชาวบ้านต่างตั้งตารอคอย เมื่อดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง ท้องฟ้าโปร่งใสไร้เมฆ เหล่านกน้อยเริ่มส่งเสียงขับขานไปทั่ว เมืองก็เต็มไปด้วยความคึกคักอีกครั้ง ผู้คนพากันออกมาตระเตรียมสิ่งของเพื่อบูชาเทพเจ้าและบรรพบุรุษตามธรรมเนียมเดิม ขณะที่บรรยากาศก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารที่ชาวบ้านต่างพากันเตรียมไว้ หลินเข่อซิง ตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมกับความตื่นเต้น เมื่อยืนอยู่หน้ากระจก นางก็มองตัวเองในชุดผ้าไหมเบาบางสีฟ้าอ่อนที่เข้ากับบรรยากาศฤดูร้อน "วันนี้เราจะได้ออกไปเที่ยวกับท่านอวิ๋นอีกแล้ว" นางพึมพำกับตัวเองพร้อมรอยยิ้ม ในขณะที่นางออกมาที่ลานหน้าจวน หลิงเฉิน สาวใช้คนสนิทของนางก็เดินเข้ามาพร้อมกับหอบหิ้วไข่ต้มใส่ถุงที่ทำจากผ้าไหมหลากสี "คุณหนูเจ้าคะ ข้าเตรียมไข่ลี่เซี่ยมาให้แล้วเจ้าค่ะ ต้มด้วยใบชาและเปลือกวอลนัทตามธรรมเนียม ข้าจะผูกติดเอวท่านให้เป็นเครื่องราง" "โอ้โห! ดูน่ากินจริงๆเลย ข้าล่ะชอบกลิ่นชาและวอลนัทนี่จัง" หลินเข่อซิงยิ้มอย่างสดใส พลางยื่นมือรับไข่ลี่เซี่ยมาแขวนไว้ที่เอว
หลินเข่อซิง เดินเคียงข้าง อวิ๋นเฟยหลง ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นในตลาด ผู้คนพลุกพล่านไปด้วยชาวบ้านที่มาเฉลิมฉลองเทศกาลลี่เซี่ย มีเสียงตะโกนเรียกลูกค้าจากพ่อค้าแม่ขายตลอดทาง กลิ่นหอมของอาหารหลากหลายชนิดลอยมาแตะจมูก หลินเข่อซิงรู้สึกเพลิดเพลินกับบรรยากาศรอบตัว แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อได้เดินเคียงข้างอวิ๋นเฟยหลง“ท่านอวิ๋น ข้าขอลองนั่นหน่อยได้ไหมเจ้าคะ?” หลินเข่อซิงเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย ขณะที่ชี้ไปยังร้านขายขนมที่มีไข่ลี่เซี่ยแบบพิเศษเรียงรายอยู่“เจ้าอยากกินไข่ลี่เซี่ยเพิ่มอีกหรือ?” อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เมื่อเช้าเจ้าเพิ่งกินไปไม่ใช่หรือ?”“แต่ครั้งนี้มันเป็นไข่ลี่เซี่ยผสมชาแบบเฉพาะนี่นา” หลินเข่อซิงพูดพลางยิ้มกว้าง “มันต้องอร่อยกว่าเดิมแน่ๆ ข้าอยากลองชิมน่ะ นะเจ้าคะ นะๆๆๆ” ว่าแล้วสาวน้อยก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ พร้อมกระพริบตาถี่รัวอวิ๋นเฟยหลงพยักหน้าอย่างเรียบเฉย แต่เขาก็พานางไปที่ร้านขายขนมนั้น “ถ้าเจ้าชอบ ข้าจะซื้อให้” เขากล่าวเสียงนิ่ง แต่ใบหูกลับแดงก่ำ“โอ้! ท่านแม่ทัพท่านใจดีจัง” หลินเข่อซิงแกล
หลังจากที่ อวิ๋นเฟยหลง และ หลินเข่อซิง แยกกันเมื่อวาน วันนี้หลินเข่อซิงก็มาถึงจวนของอวิ๋นเฟยหลงอีกครั้งด้วยความรู้สึกสดใส นางตั้งใจจะมาคุยเรื่องการเตรียมงานแต่งงานที่ใกล้เข้ามา นางอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน แต่ลึกๆ แล้วในใจก็แอบหวังว่าอยากจะได้เจอหน้าอวิ๋นเฟยหลงอีกครั้งเมื่อเดินเข้ามาถึงหน้าจวน หลินเข่อซิงก็เห็นอวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ที่สวนหลังบ้าน ดวงตาของเขามองออกไปที่ทิวทัศน์ไกลๆ ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ เงียบสงบ และดูหล่อเหลาในแบบของเขา หลินเข่อซิงอดยิ้มไม่ได้ นางไม่เคยรู้เลยว่าการมองดูใครสักคนที่ท่าทางเงียบขรึมและเข้มแข็งองอาจเช่นนี้จะทำให้หัวใจเต้นแรงได้ขนาดนี้“ท่านอวิ๋นเจ้าคะ” นางเรียกเบาๆ พร้อมกับเดินเข้าไปใกล้อวิ๋นเฟยหลงหันมามอง และทันทีที่เห็นหน้าหลินเข่อซิง ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนจากความเงียบสงบเป็นรอยยิ้มบางๆ ที่น้อยคนนักจะได้เห็น“เจ้ามาแต่เช้า ข้ากำลังคิดว่าจะต้องไปพบเจ้าเสียอีก” เขาพูดเสียงเรียบ“ข้าก็แค่คิดถึงท่านน่ะสิ” หลินเข่อซิงยิ้มยั่ว “เลยมาเยี่ยม” นางยกสองมือขึ้นมา ประกบกันเป็นรูปหัวใจที่ตรงอกด้านซ้าย
หลังรับประทานอาหารเช้าด้วยกันเสร็จ อวิ๋นเฟยหลงเงยหน้าขึ้นจากถ้วยชา และมองหลินเข่อซิงที่ยังคงก้มหน้าก้มตากินอย่างอารมณ์ดี ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน"วันนี้ข้ามีซ้อมรบกับเหล่าทหารในสังกัด" อวิ๋นเฟยหลงบอกกล่าวเสียงเรียบ สายตาคมยังคงมองหลินเข่อซิง “เจ้าอยากกลับไปพักผ่อนที่จวนก่อน หรือว่า…”ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ หลินเข่อซิงก็พูดแทรกขึ้นมาทันที "ข้าขออยู่ดูด้วยได้ไหมเจ้าคะ!" นางพูดด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าของนางเปล่งประกายอย่างเห็นได้ชัดอวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วเล็กน้อย "เจ้าสนใจการซ้อมรบด้วยหรือ?""ข้าก็แค่อยากรู้ว่าท่านทำอะไรในสนามรบบ้างน่ะสิ" หลินเข่อซิงตอบพลางหัวเราะเบาๆ "แล้วข้าจะทำอาหารกลางวันเลี้ยงทหารให้เอง ถือเป็นการตอบแทนที่พวกเขาทำงานหนัก" นางยิ้มอย่างสดใส ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นอวิ๋นเฟยหลงพยักหน้าเล็กน้อย แม้จะรู้สึกว่ามันแปลกที่หลินเข่อซิงอยากดูการซ้อมรบ แต่ความจริงแล้วเขาก็ไม่คิดขัดใจนาง “ถ้าเจ้าอยากดู ข้าก็ไม่ห้าม แต่กระบี่ไร้ตา อย่าลืมระวังตัวเองด้วย”หลินเข่อซิงยิ้มกว้างแล้วลุกขึ้นทันที “ไม
ในที่สุด เวลาก็ล่วงเลยมาถึงช่วงต้าสู่ ช่วงที่อากาศร้อนที่สุดในรอบปี (เริ่มต้นประมาณ 22-24 กรกฎาคม) หลินเข่อซิงนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ในสวนจวนตระกูลหลิน พลางใช้พัดไม้ไผ่พัดคลายความร้อน นางเหม่อมองท้องฟ้าสีครามสดใส แต่กลับรู้สึกว่าลมร้อนพัดแผ่วๆ มากระทบหน้า ทำให้นางหงุดหงิดไม่น้อย"เฮ้อ... อากาศร้อนขนาดนี้ ข้าคิดถึงแอร์เย็นๆ ในโลกเดิมจริงๆ!" นางบ่นกับตัวเองเบาๆหลิงเฉินที่เดินมาพร้อมกับน้ำชาถือถาดเข้ามาใกล้ นางยิ้มบางๆ เมื่อได้ยินคำบ่นจากคุณหนูของตนแว่วๆ "คุณหนูเจ้าคะ ในช่วงต้าสู่นี้ อากาศจะร้อนมากจริงๆ แต่ชาวบ้านที่นี่ก็มีวิธีรับมือกับมันอยู่เจ้าค่ะ""วิธีรับมือกับความร้อนเหรอ?" หลินเข่อซิงหันไปมองหลิงเฉินด้วยความสนใจ "ทำยังไงกันล่ะ""พวกเขานิยมกินอาหารที่ช่วยคลายร้อนน่ะเจ้าค่ะ อย่างเฉาก๊วยที่ช่วยดับกระหายคลายร้อนได้ดี และซุปเนื้อแกะที่ช่วยปรับสมดุลความร้อนในร่างกาย ถึงแม้จะฟังดูแปลกๆ แต่คนที่นี่เชื่อว่ากินเนื้อแกะจะช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายร้อนเกินไปค่ะ" หลิงเฉินอธิบายพลางยื่นถ้วยชาเย็นๆ ให้คุณหนูของนางหลินเข่อซิงรับถ้วยช
ในที่สุด ฤดูใบไม้ร่วงก็มาถึง พร้อมกับลมเย็นๆ ที่พัดผ่าน และช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงเช่นกัน วันแต่งงานของอวิ๋นเฟยหลงและหลินเข่อซิง การแต่งงานของทั้งคู่ไม่เพียงแต่เป็นพิธีสมรสระหว่างคนสองคน แต่ยังเป็นการรวมสองตระกูลใหญ่เข้าด้วยกัน ทำให้วันนี้เป็นวันที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในรอบหลายปีหนึ่งวันก่อนงานแต่งงาน ฝั่งเจ้าบ่าวได้ส่งสินสอดจำนวนมหาศาลมาที่จวนตระกูลหลิน ขบวนสินสอดขนาดใหญ่ประกอบด้วยหีบสินสอดจำนวน 1,314 หีบ ซึ่งเป็นเลขที่สื่อความหมายถึง "รักกันตลอดไป" (คำว่า "1314" ในภาษาจีนพ้องเสียงกับคำว่า "ตลอดไป") ถูกแบกหามโดยเหล่าทหารหาญเกินครึ่งพันขบวนสินสอดที่อวิ๋นเฟยหลงส่งมายังจวนตระกูลหลินในวันก่อนแต่งงาน เป็นขบวนที่ยิ่งใหญ่และตระการตาอย่างยิ่ง ชาวบ้านจากทั่วทุกสารทิศที่ได้ยินข่าวต่างพากันมาชมด้วยความตื่นตาตื่นใจ และพูดถึงงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้น ขบวนสินสอดถูกจัดขึ้นอย่างประณีต ประกอบด้วยหีบไม้สลักลวดลายวิจิตรที่บรรจุของล้ำค่า สะท้อนถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของอวิ๋นเฟยหลงที่มีต่อหลินเข่อซิงขบวนสินสอดอันยิ่งใหญ่และตระการตาได้มาถึงจวนตระกูลหลินแล้ว บรรยากาศรอบๆ จวนเต็มไปด้วยความคึกคัก บ่า
ยามเช้าวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส พระอาทิตย์ออกมาทักทายเร็วรี่ ฟ้าครามแทบไม่มีเมฆหรือหมอกใดๆ เป็นมงคลฤกษ์อันดีสำหรับงานมงคลที่จะจัดขึ้นในวันนี้“ฮ้าววว ง่วงนอนชะมัด” หลินเข่อซิงอ้าปากหาวหวอดๆ พลางบิดขี้เกียจไปมา“ว้ายย คุณหนู ทำไมอ้าปากกว้างอย่างนั้นล่ะเจ้าคะ ประเดี๋ยวที่ทาหน้าก็พังหมดหรอกเจ้าค่ะ” หลิงเฉินว่าพลางขยับตัวเข้าไปหาหลินเข่อซิง พร้อมทั้งพินิจดูใบหน้าของเจ้านายไปด้วย“โธ่ หลิงเฉิน เจ้าปลุกข้าตื่นตั้งแต่ยังมีแต่เสียงจิ้งหรีดร้อง จนตอนนี้ไก่ขันจนหลับแล้ว คิดดูสิว่าข้าตื่นเช้าแค่ไหน แล้วนี่เจ้าทำทรงอะไรให้ข้าเนี่ย” หญิงสาวว่าพลางเอาเอามือคลำไปมาบนศีรษะตนเอง“คุณหนู!” เพี๊ยะ หลิงเฉินตีมือคนซนเบาๆ “กว่าข้าจะจัดแต่งให้คุณหนูเสร็จใช้เวลาไปมากโขนะเจ้าคะ ตรงนี้ข้าม้วนผมคุณหนูไว้ด้วยด้ายหลากสีเพื่อเพิ่มความสวยงามเจ้าค่ะ ส่วนปิ่นก็ต้องเป็นปิ่นทอง เพราะสีทองเป็นสีมงคลของงานแต่งเจ้าค่ะ”“เอาเถอะ แล้วที่ห่อผ้าไว้นั่นล่ะ คืออะไรเหรอ?” มือเรียวบางชี้ไปยังโต๊ะไม้ที่อยู่ไม่ไกลนักในห้องนอน“สิ่งนั้นคือของที่เราจะเตรียมไปด
ภายในห้องหอที่ประดับประดาด้วยผ้าม่านสีแดงสด ผืนผ้าไหมที่ประดับลวดลายทองดูสวยงามหรูหรา บนโต๊ะไม้แกะสลักมีอาหารคาวหวานเรียงราย กลิ่นหอมของสุราลอยอบอวลในอากาศ หลินเข่อซิงนั่งพิงเบาะนุ่มข้างอวิ๋นเฟยหลง ดวงตากลมโตเป็นประกายอย่างซุกซน “ท่านแม่ทัพ ข้าขอท้าท่านดื่มสุราเป็นเพื่อนกันหน่อยเป็นไร? คืนนี้น่าจะสนุกไม่น้อยถ้าท่านไม่กลัวเมาน่ะนะ” หลินเข่อซิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หยิบกาสุราขึ้นมาเทลงในจอก ส่งให้เฟยหลงอย่างท้าทาย อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตามองหญิงสาวข้างกายพลางยิ้มมุมปาก "เจ้าแน่ใจหรือว่าจะชนะข้าในเรื่องนี้? ข้าเกรงว่าเจ้าจะเป็นฝ่ายหน้าแดงเสียก่อน" “โธ่ ท่านอวิ๋น! ข้าไม่ได้กลัวสุรา ท่านต่างหาก อย่ามัวแต่เป็นแบบนี้เลย!” หลินเข่อซิงหัวเราะคิกคัก ยกจอกสุราขึ้นทำท่าจะดื่ม แต่ก่อนที่นางจะได้ยกจอกขึ้นดื่ม อวิ๋นเฟยหลงก็ยื่นมือมาจับข้อมือของนางเบาๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงความขี้เล่นที่นางไม่ค่อยได้ยินบ่อยนัก “หากจะดื่มก็ควรดื่มให้ถูกต้อง” หลินเข่อซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย "ถูกต้องอย่างไร?" นางถามอย่างสงสัย แต่ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเฟยหลงยื่นจอกสุรามาใกล้ และเขาก็คล้องแขนนางเข้ากับแขนของตน
แสงแดดยามสายสาดส่องลงมาบนเส้นทางที่ทอดยาวผ่านป่าเขาและทุ่งหญ้า อวิ๋นเฟยหลงและเจิ้งจู่องครักษ์เงาคู่ใจอยู่บนหลังม้า ทั้งสองเดินทางร่วมกันมานานนับเดือน นับตั้งแต่จากบ้านสกุลซุย เส้นทางที่ผ่านไม่ได้ราบเรียบ มีทั้งความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ความร้อนระอุในบางวัน และความหนาวเหน็บในยามค่ำคืนม้าสีดำตัวใหญ่ของอวิ๋นเฟยหลงย่ำเท้าลงบนพื้นอย่างมั่นคง ชายหนุ่มนั่งตัวตรง ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังเส้นทางข้างหน้า ส่วนเจิ้งจู่ที่อยู่เคียงข้างไม่ห่าง ใช้มือปัดเหงื่อบนหน้าผากพร้อมกับพูดกลั้วหัวเราะ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะดูเหมือนว่าแม้แต่แดดแรงขนาดนี้ยังไม่อาจทำอะไรท่านได้เลย ข้าสิแทบจะละลายอยู่ตรงนี้แล้ว”อวิ๋นเฟยหลงหันมามองเจิ้งจู่ด้วยแววตาขำขัน “เจ้าคิดว่าการบ่นจะช่วยให้เย็นลงหรือ? อีกอย่างเลิกเรียกข้าว่าองค์ชายเสียที เรียกคุณชายจะดีกว่า ยิ่งเข้าใกล้แคว้นฉางจีเท่าไหร่เรายิ่งต้องปกปิดตัวตนมิให้ผู้ใดล่วงรู้”“เข้าใจแล้วขอรับ คุณชาย” เจิ้งจู่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่บางทีข้าก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าทำไมท่านถึงเลือกเส้นทางนี้ ทั้งที่ทางหลักก็น่าจะปลอดภัยกว่า”อวิ๋นเฟย
“กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ และละอายใจยิ่ง หากองค์ชายเจ็บแค้นและอยากสังหาร กระหม่อมก็พร้อมยินดีมอบชีวิตให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ว่าพลางยื่นกระบี่ในมือให้กับอวิ๋นเฟยหลงชายร่างผอมบางในชุดคลุมสีดำสนิท นั่งนิ่งหลับตาแน่น รอรับโทษทัณฑ์ฟิ้ววว เสียงโลหะแหวกอากาศจนเกือบฟันคอของเจิ้งจู่ขาด เจิ้งจู่รู้สึกถึงความเย็นของดาบที่แตะเบาๆที่คอ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำเอาเลือดสดไหลซึมออกมาเล็กน้อยเคร้ง!ดาบถูกโยนทิ้งลงพื้น“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากเจ้ารู้สึกเช่นนั้นก็จงร่วมเดินทางไปกับข้าเถอะ”“องค์ชาย กระหม่อมขอขอบพระทัยในความเมตตาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ลุกขึ้นมาคำนับอวิ๋นเฟยหลง“แต่ก่อนอื่นข้ามีเรื่องที่ต้องทำก่อนไป” อวิ๋นเฟยหลงว่าพลางขมวดคิ้วแน่น........แสงอาทิตย์แผดแสงเจิดจ้าส่องเข้ามายังลานบ้านสกุลซุย อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ในห้องพักอย่างเงียบสงบ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสน แต่มั่นคง เขารู้ดีว่าวันนี้เขาต้องบอกลาผู้คนที่นี่ คนที่ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน คนที่คอยช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาที่เขาความทรงจำขาดห
นับจากวันที่เขาประสบเหตุในวันที่ไปเก็บเห็ดกับนายท่านซุย จิ่นสือมักมีภาพเหตุการณ์โผล่ขึ้นมาให้เขาได้เห็น บางคราก็สั้นๆ บางคราก็เป็นเรื่องเป็นราวผุ้เฒ่าสกุลซุยทั้งสองลงความเห็นกันว่าควรให้เขาได้พักผ่อนให้มากหน่อยเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและพักฟื้นร่างกายให้ดี รวมถึงกันซุยลี่อินไม่ให้มารบกวนจิ่นสืออีกด้วย นับว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เขารุ้สึกสงบสุขมากที่สุดนับแต่ได้มาอยุ่ที่บ้านสกุลซุยก็ว่าได้สายลมวสันต์ฤดูพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำเอาจิ่นสือต้องยกมือขึ้นมาป้องปากและจมูกที่เย็นจนชาแทบไร้ความรู้สึกวันนี้ยังคงเป็นไปตามปกติเพียงแต่เขาไม่ต้องไปคอยตัดฟืนแบกหามอย่างเช่นทุกที ตามร่างกายยังคงเจ็บระบม ชายหนุ่มร่างกำยำที่เริ่มเบื่อหน่ายจึงไปนั่งขัดสมาธิบนฟูกนอน ก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่สมาธิเวลาล่วงเลยผ่านไปเท่าใดไม่อาจทราบได้ ร่างหนาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าแสงสุริยันลับขอบฟ้าไปแล้ว บนโต๊ะในห้องนอนมีสำรับกับข้าววางไว้ให้ เขาค่อยๆลุกขึ้นมานั่งก่อนจะบิดเอวซ้ายทีขวาที ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะกินข้าวเล็กๆมีอาหารเพียงสองอย่าง ผัดไข่ใส่ใบเซียงชุนและซุปเนื้อหอมกรุ่นที่ตอนน
ในห้วงอันเงียบสงบของค่ำคืน หยางเฟยฮุ่ยนั่งลงท่ามกลางแสงเทียนในห้องบรรทม นางประมวลผลทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งความไม่ไว้วางใจระหว่างตนกับหานเจี๋ย และสถานการณ์ในวังที่ตึงเครียด นางยิ้มมุมปาก ก่อนจะตัดสินใจวางแผนสร้างเครือข่ายพันธมิตรของตนเองขึ้นมา“ข้าจะไม่อยุ่รอวันตาย ไม่ฝากชีวิตไว้กับเสือที่ไม่รุ้ว่าจะแว้งกัดข้าตอนไหน” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวกับตนเองพลางยิ้มเย็นหยางเฟยฮุ่ยหันไปเริ่มต้นแผนด้วยการพบปะกับเหล่าสนมนางในบุตรีตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนัก เพื่อเสริมฐานพันธมิตรให้กว้างขวางมากขึ้น“ข้าอยากให้พวกท่านมาร่วมงานในตำหนักของข้า พวกเราสามารถแบ่งปันความคิดเห็นและสนับสนุนกันและกันได้... จะว่าไปก็นับว่าข้ามีโชคยิ่งนัก ที่ได้พบสตรีชั้นสูงที่มีความสามารถและรู้จักวางตัวอย่างท่านทั้งหลาย”“ฮองเฮาทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางถึงเพียงนี้ พวกข้าก็ยินดีที่จะมาพบปะกับท่านบ่อย ๆ เพคะ” ฮุ่ยเฟยเอ่ยขึ้น นางเป็นบุตรีของเสนาบดีเจ้ากรมโยธา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเรียบเรื่อยราวสายธารยามสงบนิ่ง“ข้าก็ยินดีเช่นกัน สตรีอย่างพวกเราย่อมต้องพึ่งพากันบ้าง พ
จิ่นสือพยักหน้ารับ ขณะที่ลูบใบเทียนเฉ่าเบาๆ กลิ่นหอมฉุนของมันลอยออกมาแตะจมูก สมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณล้ำค่า และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการแพทย์แผนโบราณถัดมาไม่นาน พวกเขาก็เจอพุ่มไม้ที่ออกดอกเป็นช่อสีขาวเล็กๆ กลีบดอกดูเปราะบางและชุ่มชื่น“นี่คือไป่ฮวา หรือหญ้าพันงู ขึ้นชื่อในสรรพคุณสมานแผลและหยุดเลือดทันทีเมื่อมีแผลสด ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในยาสำหรับทหารหรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงอันตราย”จิ่นสือสังเกตพุ่มไม้ไป่ฮวาด้วยความสนใจ“น่าสนใจนัก ยามศึกสงคราม สมุนไพรนี้คงช่วยได้มากจริงๆ”พวกเขาเดินต่อจนถึงลำธารเล็กๆ ที่ไหลเย็นสบาย สองข้างของลำธารมีต้นไม้เล็กๆ ออกผลเล็กๆ สีแดงจัดเต็มพุ่ม“ต้นนี้เรียกว่าซานจาหรือพุทราจีน ผลสีแดงของมันนี้กินได้ มีรสหวานอมเปรี้ยว ช่วยย่อยอาหารและบำรุงหัวใจเป็นเลิศ” นายท่านซุยหยิบผลซานจามาส่งให้จิ่นสือ“ลองชิมดูสิ หวานอมเปรี้ยวนี่ล่ะช่วยให้รู้สึกสดชื่นยิ่ง”จิ่นสือรับผลซานจามา ลองกัดเบาๆ รสชาติสดชื่นทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที สมุนไพรนี้ไม่เพียงแต่เป็นยาบำรุงแต่ยังเสริมพลังได้เป็นอย่างดี
ซุยลี่อินใจเต้นรัว ใบหน้าเล็กร้อนผ่าว มือน้อยๆ ยกขึ้นไปจับตรงตำแหน่งที่มือใหญ่ได้วางไว้ก่อนหน้าเบาๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มแย้มยิ้มออกมาเสียจนแทบฉีกถึงใบหุ “ข้าจะรอท่านพี่กลับมานะเจ้าคะ” สาวน้อยตะโกนไล่หลังร่างสุงใหญ่ที่เดินทิ้งห่างไปไกล ซุยลี่อินยืนส่งชายในดวงใจจนร่างเขาหายลับไปจากสายตา จึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน จิ่นสือได้ยินเสียงใสแว่วๆ แต่เขาไม่ได้หันกลับไป ทำเพียงเร่งฝีเท้าให้ทันนายท่านซุยเพียงเท่านั้น แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านยอดไม้หนาทึบลงมาเป็นลำ จิ่นสือก้าวเดินตามผู้เฒ่าอย่างตั้งใจ แม้พื้นดินจะชื้นแฉะ แต่ในความชื้นนั้นกลับทำให้ป่าแห่งนี้อุดมไปด้วยพืชสมุนไพรอันหลากหลาย จิ่นสือมองสำรวจอย่างตั้งอกตั้งใจ "ดูเหมือนป่านี้จะซ่อนสมุนไพรล้ำค่าไว้มิใช่น้อย...ข้าสงสัยว่าเหตุใดต้นไม้เหล่านี้จึงเติบโตได้งดงามนัก" นายท่านซุยยิ้มอย่างยินดีที่ชายหนุ่มถามในเรื่องที่เขามีความรู้เป็นอย่างดี และยินดีแบ่งปันอย่างยิ่ง “ต้นไม้ในป่านี้ได้รับการดูแลจากธรรมชาติ และคนในหมู่บ้านของเราได้ช่วยกันร
จิ่นสือมาอยุ่กับครอบครัวสกุลซุยมาได้พักใหญ่แล้ว เขามักจะไปตักน้ำตัดฟืนมาไว้ในบ้านเสมอ รวมถึงการออกไปจับจ่ายซื้อของแทนผุ้เฒ่าซุยอยุ่บ่อยครั้งและแน่นอนว่าเขามักจะมีดรุณีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มตามติดไปด้วยอยุ่เสมอ จนผุ้ที่ได้พบเห็นต่างนึกเอ็นดุและชื่นชมในรุปลักษณ์ที่ดีงามของทั้งสองคนจิ่นสือมักมีอาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมักมีอาการไม่นานมาก เพียงชั่วใบไม้ร่วงหล่นลงสุ่พื้น แต่ก็ทำให้เขาเจ็บร้าวในหัวจนแทบทรงตัวไม่อยุ่ในทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงหญิงสาวที่ไม่มีใบหน้า เฝ้าเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงอาทรและห่วงหาคืนนี้ก็เช่นกัน…“ท่านพี่…ท่านพี่…”“…”“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่” เขาถามออกไปแต่ร่างบอบบางในชุดสีฟ้าอ่อน ผมยาวตรงสยายพลิ้วไหวตามแรงลมที่ไม่ทราบมาจากที่ใด เขาเพ่งมองไปยังใบหน้านั้น แต่แสงสีขาวสว่างจ้าเกินไปจนเขาตาพร่าไม่สามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปหาร่างนั้น แต่ยิ่งเดินยิ่งห่างไกล ราวกับร่างนั้นเคลื่อนถอยหลังหนีเขาอยุ่ร่ำไป“ได้โปรดเถิด ให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าสักนิด”จื
บนพื้นที่ห่างไกลออกไปทางเหนือใกล้กับชายแดนแคว้นเกาเยว่ เสียงตัดไม้ดังก้องไปทั่วป่า เมื่อมองลึกเข้าไปจะพบกับชายร่างสูงใหญ่ล่ำสัน เครื่องแต่งกายมีเพียงเสื้อตัวบางทับด้วยเสื้อกั๊กเผยให้เห็นมัดกล้ามสองแขนแกร่ง กำลังตัดไม้อย่างขมักเขม้น หยาดเหงื่อไหลรินผ่านขมับ ชายหนุ่มขบกรามแน่นยามออกแรงยกขวาน ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา หนวดเครารกครึ้ม ส่งให้ใบหน้าคมเข้มไม่ไกลกันนัก มีสาวน้อยวัยกำดัดนั่งเท้าคางมองชายหนุ่มที่กำลังตัดไม้ด้วยแววตาหลงใหล สาวน้อยร่างบางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน ดูน่ารักน่าทะนุถนอมยิ่งนัก ข้างๆมีตระกร้าใส่อาหารและผลไม้ ดูไปก็คล้ายคู่รักที่ดูรักกันดียิ่ง แต่ความเป็นจริงนั้น…“จิ่นสือ วันนี้อากาศดีมาก ข้าว่าพอแค่นี้ดีไหม แล้วเราไปเดินเล่นในเมืองด้วยกัน” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยชวนแต่ชายร่างกำยำกลับทำราวกับไม่ได้ยินเสียงนาง ยังคงตัดไม้ต่อไปอย่างไม่ลดละ“นี่ เมื่อไหร่ท่านจะยอมคุยกับข้าสักที นี่ก็ผ่านมาจะครึ่งปีอยู่แล้วนะ นับจากวันที่ท่านพ่อกับท่านแม่พาท่านมาอยู่ด้วยกัน”“…”“สมแล้วที่ท่านพ่อตั้งชื่อให้ท่านว่าจิ่
หลังผ่านค่ำคืนอันแสนร้อนเร่ากับเจ้าผู้ครองแคว้น หยางเฟยฮุ่ยกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างผู้ชนะ กว่านางจะฝ่าด่านคัดเลือกสตรีนับพัน ฝ่าฟันต่อสู้กับเหล่าคุณหนูในห้องหอที่ต่างก็เพียบพร้อมไปด้วยความงามและความสามารถ แต่ที่ยากลำบากยิ่งกว่าคือการต้องวางแผนสกปรกทำให้น้องรองต้องเสียโฉมตัดโอกาสที่จะมาแย่งชิงกับนาง เพื่อที่นางจะได้เป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของตระกูล หยางลี่เฟย จะโทษก็โทษที่ชาติกำเนิดตัวเองเถอะ เจ้ามันก็แค่ลุกอนุ แต่อยากจะมาเทียบเคียงข้า อย่าได้โทษข้าเลย ที่ข้าไม่ยั้งมือ หยางเฟยฮุ่ยคิดในใจหยางเฟยฮุ่ยนั่งมองใบหน้าของตนเองในกระจก ดวงหน้างามพิลาส ดวงตาราวรีรุปหงส์ให้ความรุ้สึกหยิ่งผยองยามปรายหางตามอง จมุกเล็กเชิดรั้น ริมฝีปากยามแย้มยิ้มก็เย้ายวนมีเสน่ห์อย่างยิ่ง ใบหน้านี้ไม่ว่าใครได้มองย่อมตกหลุมนางทั้งนั้น มีแต่เจ้าคนน่าตายอวิ๋นเฟยหลงนั่นคนเดียว ตั้งแต่หลินเข่อซิงโผล่มาก็ไม่มองนางอีกเลย ทั้งที่แต่เล็กทั้งสองตระกุลต่างหมายหมั้นให้พวกนางได้ร่วมหอลงโลง หึ อวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้ท่านก็คงจะได้แต่นึกเสียใจเป็นแน่ มาบัดนี้ข้ากลับดีใจที่ไม่ได้แต่งให้ท่าน ไม่เช่นนั้นค