หลังจากที่ อวิ๋นเฟยหลง และ หลินเข่อซิง แยกกันเมื่อวาน วันนี้หลินเข่อซิงก็มาถึงจวนของอวิ๋นเฟยหลงอีกครั้งด้วยความรู้สึกสดใส นางตั้งใจจะมาคุยเรื่องการเตรียมงานแต่งงานที่ใกล้เข้ามา นางอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน แต่ลึกๆ แล้วในใจก็แอบหวังว่าอยากจะได้เจอหน้าอวิ๋นเฟยหลงอีกครั้ง
เมื่อเดินเข้ามาถึงหน้าจวน หลินเข่อซิงก็เห็นอวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ที่สวนหลังบ้าน ดวงตาของเขามองออกไปที่ทิวทัศน์ไกลๆ ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ เงียบสงบ และดูหล่อเหลาในแบบของเขา หลินเข่อซิงอดยิ้มไม่ได้ นางไม่เคยรู้เลยว่าการมองดูใครสักคนที่ท่าทางเงียบขรึมและเข้มแข็งองอาจเช่นนี้จะทำให้หัวใจเต้นแรงได้ขนาดนี้ “ท่านอวิ๋นเจ้าคะ” นางเรียกเบาๆ พร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นเฟยหลงหันมามอง และทันทีที่เห็นหน้าหลินเข่อซิง ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนจากความเงียบสงบเป็นรอยยิ้มบางๆ ที่น้อยคนนักจะได้เห็น “เจ้ามาแต่เช้า ข้ากำลังคิดว่าจะต้องไปพบเจ้าเสียอีก” เขาพูดเสียงเรียบ “ข้าก็แค่คิดถึงท่านน่ะสิ” หลินเข่อซิงยิ้มยั่ว “เลยมาเยี่ยม” นางยกสองมือขึ้นมา ประกบกันเป็นรูปหัวใจที่ตรงอกด้านซ้าย อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้ว “เจ้าเป็นคนที่พูดตรงไปตรงมาจนข้ารู้สึกเขินได้จริงๆ” “โอ๊ยย ท่านแม่ทัพ! ท่านเขินเป็นด้วยเหรอ?” หลินเข่อซิงหัวเราะขำออกมา “ข้าไม่ได้เขิน เจ้าฟังผิดแล้ว” เขาพูดอย่างดุๆ แต่แก้มเขากลับมีสีชมพูเรื่อขึ้นเล็กน้อย “แค่เจ้าไม่มีมารยาทกับข้า” แต่ท่าทางเขาไม่ได้จริงจังเหมือนคำพูดเลยแม้แต่น้อย หลินเข่อซิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ข้าก็แค่จะมาคุยเรื่องงานแต่งงานที่จะถึงนี้ ท่านเตรียมอะไรไว้แล้วบ้าง?” “ข้าเตรียมทุกอย่างไว้เกือบหมดแล้ว เหลือแค่เรื่องที่เจ้าต้องการให้เพิ่ม” อวิ๋นเฟยหลงตอบ นัยน์ตาของเขามองนางอย่างอ่อนโยน หลินเข่อซิงพยักหน้า “อืม...ข้าไม่มีอะไรต้องเพิ่มหรอก แค่ท่านอยู่ข้างๆ ข้าก็พอแล้ว” นางพูดออกไปอย่างไม่ทันคิด แต่กลับรู้สึกว่าใจของนางสั่นไหว อวิ๋นเฟยหลงหันมาสบตากับนางครู่หนึ่ง ทั้งสองคนจ้องมองกันในความเงียบ ดวงตาของหลินเข่อซิงฉายแววสดใส ราวกับมีดวงดาวส่องประกายอยู่ในนั้น ช่างระยิบระยับงดงามจับตาเหลือเกินแต่ลึกลงไปเหมือนมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ ทำให้อวิ๋นเฟยหลงรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนและห่วงใยที่ไม่เคยรู้สึกจากใครมาก่อน “ข้าก็จะอยู่ข้างๆ เจ้าเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” เขาพูดเบาๆ แต่เต็มไปด้วยความหมาย หลินเข่อซิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม “ท่านพูดแบบนี้ ข้าก็อุ่นใจแล้วล่ะ” นางแกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่ในใจกลับเต้นแรงขึ้นทุกที “เอาล่ะ ข้าหิวแล้ว” นางเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “เราหาอะไรกินกันเถอะ” อวิ๋นเฟยหลงพยักหน้า ก่อนจะนำทางหลินเข่อซิงไปยังห้องอาหาร เมื่อมาถึง บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารที่เพิ่งปรุงเสร็จจากฝีมือหลินเข่อซิงเอง นางรีบหยิบตะเกียบขึ้นมาทันที แล้วชี้ไปที่อาหารบนโต๊ะด้วยท่าทางภูมิใจ “ท่านอวิ๋นเจ้าคะ ข้าอุตส่าห์ลงมือทำเองกับมือ ท่านต้องลองชิมดูนะ!” บนโต๊ะมีอาหารหลายจานวางเรียงกันอย่างน่ารับประทาน จานแรก คือ "ปลานึ่งซีอิ๊ว" ปลาสดเนื้อขาวนุ่ม ราดด้วยซอสซีอิ๊วหอมกลิ่นขิงและต้นหอมที่หั่นบางๆ ตกแต่งอย่างสวยงาม “นี่เป็นจานที่ข้าทำจากสูตรที่แม่ข้าชอบทำให้ทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิ” หลินเข่อซิงกล่าวด้วยความภูมิใจ อวิ๋นเฟยหลงตักชิมคำหนึ่ง ดวงตาของเขาเป็นประกาย “อืม...รสชาติกลมกล่อมดี ข้าไม่เคยกินปลานึ่งที่เนื้อนุ่มขนาดนี้มาก่อน” หลินเข่อซิงยิ้มกว้างก่อนจะชี้ไปที่ จานถัดไป “แล้วนี่ล่ะ! จานพิเศษที่สุดของข้า มันเรียกว่า ‘ไก่ทอดซอสหวานเผ็ด’ ไก่ทอดกรอบนอกนุ่มใน ราดด้วยซอสสูตรพิเศษของข้าเอง เป็นจานที่ข้าชอบกินมาก” จานนี้ชิ้นไก่กรอบถูกจัดเรียงอยู่ในจานเคลือบสีขาว ซอสหวานเผ็ดที่ทำจากพริก น้ำผึ้ง และเครื่องปรุงโบราณ ราดจนชุ่ม น่าทานอย่างที่สุด อวิ๋นเฟยหลงลองตักชิมอีกคำ แล้วดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย “รสชาติ…ไม่เหมือนที่ข้าเคยกิน แต่มันอร่อยมาก! เผ็ดนิดๆ แต่กลับเข้ากับความหวานได้อย่างลงตัว” หลินเข่อซิงยิ้มแฉ่งด้วยความภูมิใจ “เป็นอย่างที่ข้าคิดไว้ไม่มีผิด ว่าท่านจะต้องชอบจานนี้แน่ๆ” จานสุดท้าย ที่ทำให้อวิ๋นเฟยหลงทึ่งคือ "ซุปเห็ดสามอย่าง" ที่ทำจากเห็ดหอม เห็ดฟาง และเห็ดเข็มทอง นำมาต้มรวมกับสมุนไพรจีน ทำให้ได้ซุปหอมละมุนลิ้น นางชี้ไปที่ซุปพร้อมยิ้ม “จานนี้ข้าคิดว่าเหมาะสำหรับท่านอวิ๋นที่ทำงานหนักนะเจ้าคะ ช่วยบำรุงร่างกายได้ดีเลยล่ะ” อวิ๋นเฟยหลงมองหลินเข่อซิงด้วยสายตาเปล่งประกาย “เจ้ารู้ว่าข้าทำงานหนัก เจ้าถึงได้ตั้งใจทำอะไรแบบนี้ให้ข้า ขอบใจเจ้ามาก” หลินเข่อซิงหัวเราะคิก “ข้าไม่ได้ทำให้ท่านหรอก ข้าทำเพื่อตัวเอง เพราะข้าก็อยากกินเหมือนกันต่างหากล่ะ!” ทั้งสองหัวเราะไปด้วยกัน บรรยากาศในห้องอาหารเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ อวิ๋นเฟยหลงนั่งมองนางอย่างเอ็นดู ขณะที่หลินเข่อซิงกินอย่างเอร็ดอร่อย “เจ้ากินเหมือนเด็กเลย” “ข้าก็เป็นเด็กของท่านไงล่ะ” นางตอบพร้อมกับหัวเราะออกมา อวิ๋นเฟยหลงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยื่นมือไปแตะผมที่ยุ่งของนาง “เจ้ามีอะไรติดผมน่ะ” หลินเข่อซิงเงยหน้ามองเขา นางรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่เขามอบให้ “ข้ารู้แล้วล่ะ...ท่านแม่ทัพก็มีมุมที่อ่อนโยนเหมือนกันนะ” “ข้าอ่อนโยนกับเจ้าคนเดียว” เขาพูดเบาๆ พร้อมรอยยิ้มที่ทำให้นางใจเต้นแรงอีกครั้ง หลินเข่อซิงก้มหน้างุด ตักอาหารเข้าปากไม่พูดอะไรออกมาอีก ไม่รู้ทำไมพอได้ยินเขาพูดตรงๆเช่นนี้ ใจนางกลับเต้นระรัว อวิ๋นเฟนหลงเห็นอากัปกิริยาของหลินเข่อซิง ก็ลอบยิ้มอย่างพึงพอใจหลังรับประทานอาหารเช้าด้วยกันเสร็จ อวิ๋นเฟยหลงเงยหน้าขึ้นจากถ้วยชา และมองหลินเข่อซิงที่ยังคงก้มหน้าก้มตากินอย่างอารมณ์ดี ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน"วันนี้ข้ามีซ้อมรบกับเหล่าทหารในสังกัด" อวิ๋นเฟยหลงบอกกล่าวเสียงเรียบ สายตาคมยังคงมองหลินเข่อซิง “เจ้าอยากกลับไปพักผ่อนที่จวนก่อน หรือว่า…”ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ หลินเข่อซิงก็พูดแทรกขึ้นมาทันที "ข้าขออยู่ดูด้วยได้ไหมเจ้าคะ!" นางพูดด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าของนางเปล่งประกายอย่างเห็นได้ชัดอวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วเล็กน้อย "เจ้าสนใจการซ้อมรบด้วยหรือ?""ข้าก็แค่อยากรู้ว่าท่านทำอะไรในสนามรบบ้างน่ะสิ" หลินเข่อซิงตอบพลางหัวเราะเบาๆ "แล้วข้าจะทำอาหารกลางวันเลี้ยงทหารให้เอง ถือเป็นการตอบแทนที่พวกเขาทำงานหนัก" นางยิ้มอย่างสดใส ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นอวิ๋นเฟยหลงพยักหน้าเล็กน้อย แม้จะรู้สึกว่ามันแปลกที่หลินเข่อซิงอยากดูการซ้อมรบ แต่ความจริงแล้วเขาก็ไม่คิดขัดใจนาง “ถ้าเจ้าอยากดู ข้าก็ไม่ห้าม แต่กระบี่ไร้ตา อย่าลืมระวังตัวเองด้วย”หลินเข่อซิงยิ้มกว้างแล้วลุกขึ้นทันที “ไม
ในที่สุด เวลาก็ล่วงเลยมาถึงช่วงต้าสู่ ช่วงที่อากาศร้อนที่สุดในรอบปี (เริ่มต้นประมาณ 22-24 กรกฎาคม) หลินเข่อซิงนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ในสวนจวนตระกูลหลิน พลางใช้พัดไม้ไผ่พัดคลายความร้อน นางเหม่อมองท้องฟ้าสีครามสดใส แต่กลับรู้สึกว่าลมร้อนพัดแผ่วๆ มากระทบหน้า ทำให้นางหงุดหงิดไม่น้อย"เฮ้อ... อากาศร้อนขนาดนี้ ข้าคิดถึงแอร์เย็นๆ ในโลกเดิมจริงๆ!" นางบ่นกับตัวเองเบาๆหลิงเฉินที่เดินมาพร้อมกับน้ำชาถือถาดเข้ามาใกล้ นางยิ้มบางๆ เมื่อได้ยินคำบ่นจากคุณหนูของตนแว่วๆ "คุณหนูเจ้าคะ ในช่วงต้าสู่นี้ อากาศจะร้อนมากจริงๆ แต่ชาวบ้านที่นี่ก็มีวิธีรับมือกับมันอยู่เจ้าค่ะ""วิธีรับมือกับความร้อนเหรอ?" หลินเข่อซิงหันไปมองหลิงเฉินด้วยความสนใจ "ทำยังไงกันล่ะ""พวกเขานิยมกินอาหารที่ช่วยคลายร้อนน่ะเจ้าค่ะ อย่างเฉาก๊วยที่ช่วยดับกระหายคลายร้อนได้ดี และซุปเนื้อแกะที่ช่วยปรับสมดุลความร้อนในร่างกาย ถึงแม้จะฟังดูแปลกๆ แต่คนที่นี่เชื่อว่ากินเนื้อแกะจะช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายร้อนเกินไปค่ะ" หลิงเฉินอธิบายพลางยื่นถ้วยชาเย็นๆ ให้คุณหนูของนางหลินเข่อซิงรับถ้วยช
ในที่สุด ฤดูใบไม้ร่วงก็มาถึง พร้อมกับลมเย็นๆ ที่พัดผ่าน และช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงเช่นกัน วันแต่งงานของอวิ๋นเฟยหลงและหลินเข่อซิง การแต่งงานของทั้งคู่ไม่เพียงแต่เป็นพิธีสมรสระหว่างคนสองคน แต่ยังเป็นการรวมสองตระกูลใหญ่เข้าด้วยกัน ทำให้วันนี้เป็นวันที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในรอบหลายปีหนึ่งวันก่อนงานแต่งงาน ฝั่งเจ้าบ่าวได้ส่งสินสอดจำนวนมหาศาลมาที่จวนตระกูลหลิน ขบวนสินสอดขนาดใหญ่ประกอบด้วยหีบสินสอดจำนวน 1,314 หีบ ซึ่งเป็นเลขที่สื่อความหมายถึง "รักกันตลอดไป" (คำว่า "1314" ในภาษาจีนพ้องเสียงกับคำว่า "ตลอดไป") ถูกแบกหามโดยเหล่าทหารหาญเกินครึ่งพันขบวนสินสอดที่อวิ๋นเฟยหลงส่งมายังจวนตระกูลหลินในวันก่อนแต่งงาน เป็นขบวนที่ยิ่งใหญ่และตระการตาอย่างยิ่ง ชาวบ้านจากทั่วทุกสารทิศที่ได้ยินข่าวต่างพากันมาชมด้วยความตื่นตาตื่นใจ และพูดถึงงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้น ขบวนสินสอดถูกจัดขึ้นอย่างประณีต ประกอบด้วยหีบไม้สลักลวดลายวิจิตรที่บรรจุของล้ำค่า สะท้อนถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของอวิ๋นเฟยหลงที่มีต่อหลินเข่อซิงขบวนสินสอดอันยิ่งใหญ่และตระการตาได้มาถึงจวนตระกูลหลินแล้ว บรรยากาศรอบๆ จวนเต็มไปด้วยความคึกคัก บ่า
ยามเช้าวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส พระอาทิตย์ออกมาทักทายเร็วรี่ ฟ้าครามแทบไม่มีเมฆหรือหมอกใดๆ เป็นมงคลฤกษ์อันดีสำหรับงานมงคลที่จะจัดขึ้นในวันนี้“ฮ้าววว ง่วงนอนชะมัด” หลินเข่อซิงอ้าปากหาวหวอดๆ พลางบิดขี้เกียจไปมา“ว้ายย คุณหนู ทำไมอ้าปากกว้างอย่างนั้นล่ะเจ้าคะ ประเดี๋ยวที่ทาหน้าก็พังหมดหรอกเจ้าค่ะ” หลิงเฉินว่าพลางขยับตัวเข้าไปหาหลินเข่อซิง พร้อมทั้งพินิจดูใบหน้าของเจ้านายไปด้วย“โธ่ หลิงเฉิน เจ้าปลุกข้าตื่นตั้งแต่ยังมีแต่เสียงจิ้งหรีดร้อง จนตอนนี้ไก่ขันจนหลับแล้ว คิดดูสิว่าข้าตื่นเช้าแค่ไหน แล้วนี่เจ้าทำทรงอะไรให้ข้าเนี่ย” หญิงสาวว่าพลางเอาเอามือคลำไปมาบนศีรษะตนเอง“คุณหนู!” เพี๊ยะ หลิงเฉินตีมือคนซนเบาๆ “กว่าข้าจะจัดแต่งให้คุณหนูเสร็จใช้เวลาไปมากโขนะเจ้าคะ ตรงนี้ข้าม้วนผมคุณหนูไว้ด้วยด้ายหลากสีเพื่อเพิ่มความสวยงามเจ้าค่ะ ส่วนปิ่นก็ต้องเป็นปิ่นทอง เพราะสีทองเป็นสีมงคลของงานแต่งเจ้าค่ะ”“เอาเถอะ แล้วที่ห่อผ้าไว้นั่นล่ะ คืออะไรเหรอ?” มือเรียวบางชี้ไปยังโต๊ะไม้ที่อยู่ไม่ไกลนักในห้องนอน“สิ่งนั้นคือของที่เราจะเตรียมไปด
ภายในห้องหอที่ประดับประดาด้วยผ้าม่านสีแดงสด ผืนผ้าไหมที่ประดับลวดลายทองดูสวยงามหรูหรา บนโต๊ะไม้แกะสลักมีอาหารคาวหวานเรียงราย กลิ่นหอมของสุราลอยอบอวลในอากาศ หลินเข่อซิงนั่งพิงเบาะนุ่มข้างอวิ๋นเฟยหลง ดวงตากลมโตเป็นประกายอย่างซุกซน “ท่านแม่ทัพ ข้าขอท้าท่านดื่มสุราเป็นเพื่อนกันหน่อยเป็นไร? คืนนี้น่าจะสนุกไม่น้อยถ้าท่านไม่กลัวเมาน่ะนะ” หลินเข่อซิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หยิบกาสุราขึ้นมาเทลงในจอก ส่งให้เฟยหลงอย่างท้าทาย อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตามองหญิงสาวข้างกายพลางยิ้มมุมปาก "เจ้าแน่ใจหรือว่าจะชนะข้าในเรื่องนี้? ข้าเกรงว่าเจ้าจะเป็นฝ่ายหน้าแดงเสียก่อน" “โธ่ ท่านอวิ๋น! ข้าไม่ได้กลัวสุรา ท่านต่างหาก อย่ามัวแต่เป็นแบบนี้เลย!” หลินเข่อซิงหัวเราะคิกคัก ยกจอกสุราขึ้นทำท่าจะดื่ม แต่ก่อนที่นางจะได้ยกจอกขึ้นดื่ม อวิ๋นเฟยหลงก็ยื่นมือมาจับข้อมือของนางเบาๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงความขี้เล่นที่นางไม่ค่อยได้ยินบ่อยนัก “หากจะดื่มก็ควรดื่มให้ถูกต้อง” หลินเข่อซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย "ถูกต้องอย่างไร?" นางถามอย่างสงสัย แต่ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเฟยหลงยื่นจอกสุรามาใกล้ และเขาก็คล้องแขนนางเข้ากับแขนของตน
หลังจากตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ หลินเข่อซิงก็ปวดแปลบช่วงกลางลำตัวอย่างมาก นางมองไปไม่เห็นแม้เงาของอวิ๋นเฟยหลงแล้ว “เช้าขนาดนี้เขาไปไหนของเขานะ แต่ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่กระอักกระอ่วน” หลินเจ๋อซิงขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงมายืนบิดขี้เกียจ หญิงสาวหันกลับไปมองที่เตียง บนผ้าปูที่นอนสีแดงสด มีจุดสีเข้มเปื้อนอยู่ ขณะที่เธอกำลังดึงผ้าปูที่นอนอยู่นั้น หลิงเฉินก็ก้าวเข้ามาพอดี“คุณหนู ตื่นหรือยังเจ้าคะ เอ้ย…ต้องเรียกฮูหยินสินะ ท่านแม่ทัพรอรับประทานอาหารกับท่านอยู่นะเจ้าคะ…เอ่อ…ฮูหยินท่านทำอันใดอยู่หรือเจ้าคะ?” หลิงเฉินยืนนิ่งมองเจ้านายที่กำลังกำผ้าปูที่นอนแน่น“เปล่า ไม่ได้ทำอะไรนี่ ข้าแค่…เอ่อ…จะทำหน้าที่ภรรยาที่ดีไง ซักผ้าให้สามี เริ่มต้นจากผ้าปูที่นอนเป็นอันดับแรก ….อ่า ใช่แล้วๆ” ว่าพลางจะเดินหนีออกไปข้างนอก“โธ่ ฮูหยิน ท่านยังจะอายสิ่งใดอีก ส่งมาให้ข้าเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าทำให้เอง” หลินเข่อซิงหน้าร้อนผ่าว จำต้องยื่นผ้าปูที่นอนส่งให้หลิงเฉินไปท่านพ่อกับท่านแม่ของนางส่งหลิงเฉินมาคอยรับใช้นางที่จวนแม่ทัพ ด้วยว่าหลิงเฉินเป็นคนฉลา
เช้าวันต่อมา หลินเข่อซิงเริ่มแผนใหม่ นางตั้งใจจะทำให้อวิ๋นเฟยหลงรู้สึกถึงความผิดปกติที่นางเคยเอาใจจนชิน นางเริ่มต้นด้วยการไม่เข้าไปทักทายเขาตอนเช้าอย่างเคย ทั้งที่ปกตินางจะเดินมาในห้องทำงานพร้อมของว่างและชวนเขาพูดคุย อวิ๋นเฟยหลงมองออกไปที่หน้าต่าง เขารู้สึกแปลกๆ เพราะวันนี้เงียบกว่าปกติ ไม่มีเสียงเจื้อยแจ้วของหลินเข่อซิงที่นางมักจะทำตัวราวกับเด็กไม่ยอมโต คอยมานั่งพูดคุยกับเขา หยอกล้อ และมักนำเรื่องนู้นเรื่องนี้มาเล่าให้เขาฟัง ทว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแต่ในใจรู้สึกแปลกๆ และ...คิดถึงช่วงเวลาที่นางอยู่ใกล้ๆ ตกบ่าย หลินเข่อซิงก็เริ่มแผนสอง นางตั้งใจทำตัวไม่สนใจอวิ๋นเฟยหลงบ้าง ท่านแม่ทัพกำลังซ้อมดาบอยู่ นางก็เดินไปยืนห่างๆ ไม่เข้าไปกวนเหมือนทุกที ทำเพียงมองเงียบๆ แล้วเดินหนีไปทางอื่นทันที อวิ๋นเฟยหลงหันไปมองนางที่เดินหายไป พลันเกิดความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นในใจ โดยไม่รู้ตัวว่าเขาคาดหวังให้นางเข้ามาพูดคุยหรือแหย่เล่นเหมือนทุกครั้ง หลังซ้อมเสร็จหลินเข่อซิงตั้งใจเอาของว่างที่อร่อยที่สุดที่นางเคยทำนำไปวางไว้บนโต๊ะของเขา แต่แทนที่จะเอาไปให้ด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย นางกลับแค่เอาวางเฉยๆ แ
อวิ๋นเฟยหลงขยับตัวเล็กน้อยแต่ยังไม่ตื่น นางจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ หูเขา “เฟยหลง ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ อาหารเช้าเสร็จแล้ว!”ในที่สุดเขาก็ลืมตาขึ้นช้าๆ มองเห็นรอยยิ้มกว้างของหลินเข่อซิงอยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มหน้าร้อนผ่าว รีบผุดลุกขึ้นทันใด “เจ้าทำอะไรแต่เช้าหรือ”“ข้าทำอาหารเช้าให้ท่านไงเจ้าคะ!” นางยิ้มอย่างภูมิใจ “วันนี้ข้าจะดูแลท่านเต็มที่!”เขามองหน้านางและลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะเลิกคิ้ว “วันนี้เจ้าดูขยันผิดปกตินะ”“ฮึ่ม! ขยันก็ดีแล้วไงเจ้าคะ ท่านแม่ทัพต้องการการดูแลจากภรรยาที่แสนดีอย่างข้า” นางพูดพลางดึงมือเขาเบาๆ ให้เดินตามนางไปที่โต๊ะที่นั่นมีนายท่านอวิ๋นและอวิ๋นฮูหยินนั่งอยู่ก่อนแล้วอวิ๋นเฟยหลงมองอาหารบนโต๊ะอย่างประหลาดใจ “เจ้าทำทั้งหมดนี้เองหรือ”“แน่นอนเจ้าค่ะ! ข้าอุตส่าห์ตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมให้ท่าน” นางยืดอกอย่างภาคภูมิใจเขามองนางด้วยสายตาอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย “ขอบใจเจ้ามาก ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าทำอาหารเก่งขนาดนี้”“ไม่ต้องขอบคุณ ข้าทำเพราะข้าอยากดูแลท่าน ข้าจะทำให้ท่านมีแรงเต็มที่ในการฝึกทห
แสงแดดยามสายสาดส่องลงมาบนเส้นทางที่ทอดยาวผ่านป่าเขาและทุ่งหญ้า อวิ๋นเฟยหลงและเจิ้งจู่องครักษ์เงาคู่ใจอยู่บนหลังม้า ทั้งสองเดินทางร่วมกันมานานนับเดือน นับตั้งแต่จากบ้านสกุลซุย เส้นทางที่ผ่านไม่ได้ราบเรียบ มีทั้งความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ความร้อนระอุในบางวัน และความหนาวเหน็บในยามค่ำคืนม้าสีดำตัวใหญ่ของอวิ๋นเฟยหลงย่ำเท้าลงบนพื้นอย่างมั่นคง ชายหนุ่มนั่งตัวตรง ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังเส้นทางข้างหน้า ส่วนเจิ้งจู่ที่อยู่เคียงข้างไม่ห่าง ใช้มือปัดเหงื่อบนหน้าผากพร้อมกับพูดกลั้วหัวเราะ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะดูเหมือนว่าแม้แต่แดดแรงขนาดนี้ยังไม่อาจทำอะไรท่านได้เลย ข้าสิแทบจะละลายอยู่ตรงนี้แล้ว”อวิ๋นเฟยหลงหันมามองเจิ้งจู่ด้วยแววตาขำขัน “เจ้าคิดว่าการบ่นจะช่วยให้เย็นลงหรือ? อีกอย่างเลิกเรียกข้าว่าองค์ชายเสียที เรียกคุณชายจะดีกว่า ยิ่งเข้าใกล้แคว้นฉางจีเท่าไหร่เรายิ่งต้องปกปิดตัวตนมิให้ผู้ใดล่วงรู้”“เข้าใจแล้วขอรับ คุณชาย” เจิ้งจู่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่บางทีข้าก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าทำไมท่านถึงเลือกเส้นทางนี้ ทั้งที่ทางหลักก็น่าจะปลอดภัยกว่า”อวิ๋นเฟย
“กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ และละอายใจยิ่ง หากองค์ชายเจ็บแค้นและอยากสังหาร กระหม่อมก็พร้อมยินดีมอบชีวิตให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ว่าพลางยื่นกระบี่ในมือให้กับอวิ๋นเฟยหลงชายร่างผอมบางในชุดคลุมสีดำสนิท นั่งนิ่งหลับตาแน่น รอรับโทษทัณฑ์ฟิ้ววว เสียงโลหะแหวกอากาศจนเกือบฟันคอของเจิ้งจู่ขาด เจิ้งจู่รู้สึกถึงความเย็นของดาบที่แตะเบาๆที่คอ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำเอาเลือดสดไหลซึมออกมาเล็กน้อยเคร้ง!ดาบถูกโยนทิ้งลงพื้น“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากเจ้ารู้สึกเช่นนั้นก็จงร่วมเดินทางไปกับข้าเถอะ”“องค์ชาย กระหม่อมขอขอบพระทัยในความเมตตาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ลุกขึ้นมาคำนับอวิ๋นเฟยหลง“แต่ก่อนอื่นข้ามีเรื่องที่ต้องทำก่อนไป” อวิ๋นเฟยหลงว่าพลางขมวดคิ้วแน่น........แสงอาทิตย์แผดแสงเจิดจ้าส่องเข้ามายังลานบ้านสกุลซุย อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ในห้องพักอย่างเงียบสงบ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสน แต่มั่นคง เขารู้ดีว่าวันนี้เขาต้องบอกลาผู้คนที่นี่ คนที่ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน คนที่คอยช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาที่เขาความทรงจำขาดห
นับจากวันที่เขาประสบเหตุในวันที่ไปเก็บเห็ดกับนายท่านซุย จิ่นสือมักมีภาพเหตุการณ์โผล่ขึ้นมาให้เขาได้เห็น บางคราก็สั้นๆ บางคราก็เป็นเรื่องเป็นราวผุ้เฒ่าสกุลซุยทั้งสองลงความเห็นกันว่าควรให้เขาได้พักผ่อนให้มากหน่อยเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและพักฟื้นร่างกายให้ดี รวมถึงกันซุยลี่อินไม่ให้มารบกวนจิ่นสืออีกด้วย นับว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เขารุ้สึกสงบสุขมากที่สุดนับแต่ได้มาอยุ่ที่บ้านสกุลซุยก็ว่าได้สายลมวสันต์ฤดูพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำเอาจิ่นสือต้องยกมือขึ้นมาป้องปากและจมูกที่เย็นจนชาแทบไร้ความรู้สึกวันนี้ยังคงเป็นไปตามปกติเพียงแต่เขาไม่ต้องไปคอยตัดฟืนแบกหามอย่างเช่นทุกที ตามร่างกายยังคงเจ็บระบม ชายหนุ่มร่างกำยำที่เริ่มเบื่อหน่ายจึงไปนั่งขัดสมาธิบนฟูกนอน ก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่สมาธิเวลาล่วงเลยผ่านไปเท่าใดไม่อาจทราบได้ ร่างหนาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าแสงสุริยันลับขอบฟ้าไปแล้ว บนโต๊ะในห้องนอนมีสำรับกับข้าววางไว้ให้ เขาค่อยๆลุกขึ้นมานั่งก่อนจะบิดเอวซ้ายทีขวาที ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะกินข้าวเล็กๆมีอาหารเพียงสองอย่าง ผัดไข่ใส่ใบเซียงชุนและซุปเนื้อหอมกรุ่นที่ตอนน
ในห้วงอันเงียบสงบของค่ำคืน หยางเฟยฮุ่ยนั่งลงท่ามกลางแสงเทียนในห้องบรรทม นางประมวลผลทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งความไม่ไว้วางใจระหว่างตนกับหานเจี๋ย และสถานการณ์ในวังที่ตึงเครียด นางยิ้มมุมปาก ก่อนจะตัดสินใจวางแผนสร้างเครือข่ายพันธมิตรของตนเองขึ้นมา“ข้าจะไม่อยุ่รอวันตาย ไม่ฝากชีวิตไว้กับเสือที่ไม่รุ้ว่าจะแว้งกัดข้าตอนไหน” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวกับตนเองพลางยิ้มเย็นหยางเฟยฮุ่ยหันไปเริ่มต้นแผนด้วยการพบปะกับเหล่าสนมนางในบุตรีตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนัก เพื่อเสริมฐานพันธมิตรให้กว้างขวางมากขึ้น“ข้าอยากให้พวกท่านมาร่วมงานในตำหนักของข้า พวกเราสามารถแบ่งปันความคิดเห็นและสนับสนุนกันและกันได้... จะว่าไปก็นับว่าข้ามีโชคยิ่งนัก ที่ได้พบสตรีชั้นสูงที่มีความสามารถและรู้จักวางตัวอย่างท่านทั้งหลาย”“ฮองเฮาทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางถึงเพียงนี้ พวกข้าก็ยินดีที่จะมาพบปะกับท่านบ่อย ๆ เพคะ” ฮุ่ยเฟยเอ่ยขึ้น นางเป็นบุตรีของเสนาบดีเจ้ากรมโยธา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเรียบเรื่อยราวสายธารยามสงบนิ่ง“ข้าก็ยินดีเช่นกัน สตรีอย่างพวกเราย่อมต้องพึ่งพากันบ้าง พ
จิ่นสือพยักหน้ารับ ขณะที่ลูบใบเทียนเฉ่าเบาๆ กลิ่นหอมฉุนของมันลอยออกมาแตะจมูก สมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณล้ำค่า และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการแพทย์แผนโบราณถัดมาไม่นาน พวกเขาก็เจอพุ่มไม้ที่ออกดอกเป็นช่อสีขาวเล็กๆ กลีบดอกดูเปราะบางและชุ่มชื่น“นี่คือไป่ฮวา หรือหญ้าพันงู ขึ้นชื่อในสรรพคุณสมานแผลและหยุดเลือดทันทีเมื่อมีแผลสด ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในยาสำหรับทหารหรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงอันตราย”จิ่นสือสังเกตพุ่มไม้ไป่ฮวาด้วยความสนใจ“น่าสนใจนัก ยามศึกสงคราม สมุนไพรนี้คงช่วยได้มากจริงๆ”พวกเขาเดินต่อจนถึงลำธารเล็กๆ ที่ไหลเย็นสบาย สองข้างของลำธารมีต้นไม้เล็กๆ ออกผลเล็กๆ สีแดงจัดเต็มพุ่ม“ต้นนี้เรียกว่าซานจาหรือพุทราจีน ผลสีแดงของมันนี้กินได้ มีรสหวานอมเปรี้ยว ช่วยย่อยอาหารและบำรุงหัวใจเป็นเลิศ” นายท่านซุยหยิบผลซานจามาส่งให้จิ่นสือ“ลองชิมดูสิ หวานอมเปรี้ยวนี่ล่ะช่วยให้รู้สึกสดชื่นยิ่ง”จิ่นสือรับผลซานจามา ลองกัดเบาๆ รสชาติสดชื่นทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที สมุนไพรนี้ไม่เพียงแต่เป็นยาบำรุงแต่ยังเสริมพลังได้เป็นอย่างดี
ซุยลี่อินใจเต้นรัว ใบหน้าเล็กร้อนผ่าว มือน้อยๆ ยกขึ้นไปจับตรงตำแหน่งที่มือใหญ่ได้วางไว้ก่อนหน้าเบาๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มแย้มยิ้มออกมาเสียจนแทบฉีกถึงใบหุ “ข้าจะรอท่านพี่กลับมานะเจ้าคะ” สาวน้อยตะโกนไล่หลังร่างสุงใหญ่ที่เดินทิ้งห่างไปไกล ซุยลี่อินยืนส่งชายในดวงใจจนร่างเขาหายลับไปจากสายตา จึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน จิ่นสือได้ยินเสียงใสแว่วๆ แต่เขาไม่ได้หันกลับไป ทำเพียงเร่งฝีเท้าให้ทันนายท่านซุยเพียงเท่านั้น แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านยอดไม้หนาทึบลงมาเป็นลำ จิ่นสือก้าวเดินตามผู้เฒ่าอย่างตั้งใจ แม้พื้นดินจะชื้นแฉะ แต่ในความชื้นนั้นกลับทำให้ป่าแห่งนี้อุดมไปด้วยพืชสมุนไพรอันหลากหลาย จิ่นสือมองสำรวจอย่างตั้งอกตั้งใจ "ดูเหมือนป่านี้จะซ่อนสมุนไพรล้ำค่าไว้มิใช่น้อย...ข้าสงสัยว่าเหตุใดต้นไม้เหล่านี้จึงเติบโตได้งดงามนัก" นายท่านซุยยิ้มอย่างยินดีที่ชายหนุ่มถามในเรื่องที่เขามีความรู้เป็นอย่างดี และยินดีแบ่งปันอย่างยิ่ง “ต้นไม้ในป่านี้ได้รับการดูแลจากธรรมชาติ และคนในหมู่บ้านของเราได้ช่วยกันร
จิ่นสือมาอยุ่กับครอบครัวสกุลซุยมาได้พักใหญ่แล้ว เขามักจะไปตักน้ำตัดฟืนมาไว้ในบ้านเสมอ รวมถึงการออกไปจับจ่ายซื้อของแทนผุ้เฒ่าซุยอยุ่บ่อยครั้งและแน่นอนว่าเขามักจะมีดรุณีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มตามติดไปด้วยอยุ่เสมอ จนผุ้ที่ได้พบเห็นต่างนึกเอ็นดุและชื่นชมในรุปลักษณ์ที่ดีงามของทั้งสองคนจิ่นสือมักมีอาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมักมีอาการไม่นานมาก เพียงชั่วใบไม้ร่วงหล่นลงสุ่พื้น แต่ก็ทำให้เขาเจ็บร้าวในหัวจนแทบทรงตัวไม่อยุ่ในทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงหญิงสาวที่ไม่มีใบหน้า เฝ้าเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงอาทรและห่วงหาคืนนี้ก็เช่นกัน…“ท่านพี่…ท่านพี่…”“…”“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่” เขาถามออกไปแต่ร่างบอบบางในชุดสีฟ้าอ่อน ผมยาวตรงสยายพลิ้วไหวตามแรงลมที่ไม่ทราบมาจากที่ใด เขาเพ่งมองไปยังใบหน้านั้น แต่แสงสีขาวสว่างจ้าเกินไปจนเขาตาพร่าไม่สามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปหาร่างนั้น แต่ยิ่งเดินยิ่งห่างไกล ราวกับร่างนั้นเคลื่อนถอยหลังหนีเขาอยุ่ร่ำไป“ได้โปรดเถิด ให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าสักนิด”จื
บนพื้นที่ห่างไกลออกไปทางเหนือใกล้กับชายแดนแคว้นเกาเยว่ เสียงตัดไม้ดังก้องไปทั่วป่า เมื่อมองลึกเข้าไปจะพบกับชายร่างสูงใหญ่ล่ำสัน เครื่องแต่งกายมีเพียงเสื้อตัวบางทับด้วยเสื้อกั๊กเผยให้เห็นมัดกล้ามสองแขนแกร่ง กำลังตัดไม้อย่างขมักเขม้น หยาดเหงื่อไหลรินผ่านขมับ ชายหนุ่มขบกรามแน่นยามออกแรงยกขวาน ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา หนวดเครารกครึ้ม ส่งให้ใบหน้าคมเข้มไม่ไกลกันนัก มีสาวน้อยวัยกำดัดนั่งเท้าคางมองชายหนุ่มที่กำลังตัดไม้ด้วยแววตาหลงใหล สาวน้อยร่างบางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน ดูน่ารักน่าทะนุถนอมยิ่งนัก ข้างๆมีตระกร้าใส่อาหารและผลไม้ ดูไปก็คล้ายคู่รักที่ดูรักกันดียิ่ง แต่ความเป็นจริงนั้น…“จิ่นสือ วันนี้อากาศดีมาก ข้าว่าพอแค่นี้ดีไหม แล้วเราไปเดินเล่นในเมืองด้วยกัน” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยชวนแต่ชายร่างกำยำกลับทำราวกับไม่ได้ยินเสียงนาง ยังคงตัดไม้ต่อไปอย่างไม่ลดละ“นี่ เมื่อไหร่ท่านจะยอมคุยกับข้าสักที นี่ก็ผ่านมาจะครึ่งปีอยู่แล้วนะ นับจากวันที่ท่านพ่อกับท่านแม่พาท่านมาอยู่ด้วยกัน”“…”“สมแล้วที่ท่านพ่อตั้งชื่อให้ท่านว่าจิ่
หลังผ่านค่ำคืนอันแสนร้อนเร่ากับเจ้าผู้ครองแคว้น หยางเฟยฮุ่ยกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างผู้ชนะ กว่านางจะฝ่าด่านคัดเลือกสตรีนับพัน ฝ่าฟันต่อสู้กับเหล่าคุณหนูในห้องหอที่ต่างก็เพียบพร้อมไปด้วยความงามและความสามารถ แต่ที่ยากลำบากยิ่งกว่าคือการต้องวางแผนสกปรกทำให้น้องรองต้องเสียโฉมตัดโอกาสที่จะมาแย่งชิงกับนาง เพื่อที่นางจะได้เป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของตระกูล หยางลี่เฟย จะโทษก็โทษที่ชาติกำเนิดตัวเองเถอะ เจ้ามันก็แค่ลุกอนุ แต่อยากจะมาเทียบเคียงข้า อย่าได้โทษข้าเลย ที่ข้าไม่ยั้งมือ หยางเฟยฮุ่ยคิดในใจหยางเฟยฮุ่ยนั่งมองใบหน้าของตนเองในกระจก ดวงหน้างามพิลาส ดวงตาราวรีรุปหงส์ให้ความรุ้สึกหยิ่งผยองยามปรายหางตามอง จมุกเล็กเชิดรั้น ริมฝีปากยามแย้มยิ้มก็เย้ายวนมีเสน่ห์อย่างยิ่ง ใบหน้านี้ไม่ว่าใครได้มองย่อมตกหลุมนางทั้งนั้น มีแต่เจ้าคนน่าตายอวิ๋นเฟยหลงนั่นคนเดียว ตั้งแต่หลินเข่อซิงโผล่มาก็ไม่มองนางอีกเลย ทั้งที่แต่เล็กทั้งสองตระกุลต่างหมายหมั้นให้พวกนางได้ร่วมหอลงโลง หึ อวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้ท่านก็คงจะได้แต่นึกเสียใจเป็นแน่ มาบัดนี้ข้ากลับดีใจที่ไม่ได้แต่งให้ท่าน ไม่เช่นนั้นค