หลังจากตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ หลินเข่อซิงก็ปวดแปลบช่วงกลางลำตัวอย่างมาก นางมองไปไม่เห็นแม้เงาของอวิ๋นเฟยหลงแล้ว
“เช้าขนาดนี้เขาไปไหนของเขานะ แต่ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่กระอักกระอ่วน” หลินเจ๋อซิงขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงมายืนบิดขี้เกียจ หญิงสาวหันกลับไปมองที่เตียง บนผ้าปูที่นอนสีแดงสด มีจุดสีเข้มเปื้อนอยู่ ขณะที่เธอกำลังดึงผ้าปูที่นอนอยู่นั้น หลิงเฉินก็ก้าวเข้ามาพอดี“คุณหนู ตื่นหรือยังเจ้าคะ เอ้ย…ต้องเรียกฮูหยินสินะ ท่านแม่ทัพรอรับประทานอาหารกับท่านอยู่นะเจ้าคะ…เอ่อ…ฮูหยินท่านทำอันใดอยู่หรือเจ้าคะ?” หลิงเฉินยืนนิ่งมองเจ้านายที่กำลังกำผ้าปูที่นอนแน่น“เปล่า ไม่ได้ทำอะไรนี่ ข้าแค่…เอ่อ…จะทำหน้าที่ภรรยาที่ดีไง ซักผ้าให้สามี เริ่มต้นจากผ้าปูที่นอนเป็นอันดับแรก ….อ่า ใช่แล้วๆ” ว่าพลางจะเดินหนีออกไปข้างนอก“โธ่ ฮูหยิน ท่านยังจะอายสิ่งใดอีก ส่งมาให้ข้าเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าทำให้เอง”หลินเข่อซิงหน้าร้อนผ่าว จำต้องยื่นผ้าปูที่นอนส่งให้หลิงเฉินไปท่านพ่อกับท่านแม่ของนางส่งหลิงเฉินมาคอยรับใช้นางที่จวนแม่ทัพ ด้วยว่าหลิงเฉินเป็นคนฉลาเช้าวันต่อมา หลินเข่อซิงเริ่มแผนใหม่ นางตั้งใจจะทำให้อวิ๋นเฟยหลงรู้สึกถึงความผิดปกติที่นางเคยเอาใจจนชิน นางเริ่มต้นด้วยการไม่เข้าไปทักทายเขาตอนเช้าอย่างเคย ทั้งที่ปกตินางจะเดินมาในห้องทำงานพร้อมของว่างและชวนเขาพูดคุย อวิ๋นเฟยหลงมองออกไปที่หน้าต่าง เขารู้สึกแปลกๆ เพราะวันนี้เงียบกว่าปกติ ไม่มีเสียงเจื้อยแจ้วของหลินเข่อซิงที่นางมักจะทำตัวราวกับเด็กไม่ยอมโต คอยมานั่งพูดคุยกับเขา หยอกล้อ และมักนำเรื่องนู้นเรื่องนี้มาเล่าให้เขาฟัง ทว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแต่ในใจรู้สึกแปลกๆ และ...คิดถึงช่วงเวลาที่นางอยู่ใกล้ๆ ตกบ่าย หลินเข่อซิงก็เริ่มแผนสอง นางตั้งใจทำตัวไม่สนใจอวิ๋นเฟยหลงบ้าง ท่านแม่ทัพกำลังซ้อมดาบอยู่ นางก็เดินไปยืนห่างๆ ไม่เข้าไปกวนเหมือนทุกที ทำเพียงมองเงียบๆ แล้วเดินหนีไปทางอื่นทันที อวิ๋นเฟยหลงหันไปมองนางที่เดินหายไป พลันเกิดความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นในใจ โดยไม่รู้ตัวว่าเขาคาดหวังให้นางเข้ามาพูดคุยหรือแหย่เล่นเหมือนทุกครั้ง หลังซ้อมเสร็จหลินเข่อซิงตั้งใจเอาของว่างที่อร่อยที่สุดที่นางเคยทำนำไปวางไว้บนโต๊ะของเขา แต่แทนที่จะเอาไปให้ด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย นางกลับแค่เอาวางเฉยๆ แ
อวิ๋นเฟยหลงขยับตัวเล็กน้อยแต่ยังไม่ตื่น นางจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ หูเขา “เฟยหลง ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ อาหารเช้าเสร็จแล้ว!”ในที่สุดเขาก็ลืมตาขึ้นช้าๆ มองเห็นรอยยิ้มกว้างของหลินเข่อซิงอยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มหน้าร้อนผ่าว รีบผุดลุกขึ้นทันใด “เจ้าทำอะไรแต่เช้าหรือ”“ข้าทำอาหารเช้าให้ท่านไงเจ้าคะ!” นางยิ้มอย่างภูมิใจ “วันนี้ข้าจะดูแลท่านเต็มที่!”เขามองหน้านางและลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะเลิกคิ้ว “วันนี้เจ้าดูขยันผิดปกตินะ”“ฮึ่ม! ขยันก็ดีแล้วไงเจ้าคะ ท่านแม่ทัพต้องการการดูแลจากภรรยาที่แสนดีอย่างข้า” นางพูดพลางดึงมือเขาเบาๆ ให้เดินตามนางไปที่โต๊ะที่นั่นมีนายท่านอวิ๋นและอวิ๋นฮูหยินนั่งอยู่ก่อนแล้วอวิ๋นเฟยหลงมองอาหารบนโต๊ะอย่างประหลาดใจ “เจ้าทำทั้งหมดนี้เองหรือ”“แน่นอนเจ้าค่ะ! ข้าอุตส่าห์ตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมให้ท่าน” นางยืดอกอย่างภาคภูมิใจเขามองนางด้วยสายตาอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย “ขอบใจเจ้ามาก ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าทำอาหารเก่งขนาดนี้”“ไม่ต้องขอบคุณ ข้าทำเพราะข้าอยากดูแลท่าน ข้าจะทำให้ท่านมีแรงเต็มที่ในการฝึกทห
เมื่อถึงตอนเย็น หลินเข่อซิงเดินกลับเข้าจวนชั้นในพร้อมอวิ๋นเฟยหลง "ท่านพี่เหนื่อยไหมเจ้าคะ ข้าจะเตรียมน้ำให้ท่านอาบนะเจ้าคะ""ข้าสบายดี ไม่ต้องห่วง" เขาตอบอย่างเรียบง่าย"งั้นข้าจะนวดให้ท่านดีไหมเจ้าคะ" นางถามพร้อมทำท่าทางจริงจังเขาหลุดขำออกมาอีกครั้ง "เจ้าดูกระตือรือร้นเกินไปสำหรับการดูแลข้า" อวิ๋นเฟยหลงพูดพลางยิ้มอ่อน"แน่นอน ข้าต้องเต็มที่เพื่อท่าน!" หลินเข่อซิงยิ้มตอบ แต่ทันใดนั้นนางก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม พลางทำหน้าเจ้าเล่ห์ "ว่าแต่... ท่านแม่ทัพอยากนวดจริงๆ หรือไม่ ข้าเพิ่งเรียนวิธีนวดแบบพิเศษมา ท่านคงจะรู้สึกสบายแน่ๆ!"เขาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย "แบบพิเศษหรือ?""ใช่! นี่เป็นสูตรลับเฉพาะของข้าเอง" หลินเข่อซิงพูดอย่างมั่นใจ พลางโบกมือให้อวิ๋นเฟยหลงนั่งลงที่เก้าอี้ "เชิญนั่งลงสบายๆ นะเจ้าคะ ข้าจะทำให้ท่านผ่อนคลายที่สุด"อวิ๋นเฟยหลงนั่งลงตามคำบอกอย่างว่าง่าย หลินเข่อซิงเริ่มลงมือนวดที่บ่าเขาเบาๆ แต่ทว่าด้วยท่าทางที่ไม่เคยชำนาญ นางกลับเผลอกดแรงเกินไปจนเขาอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้"อืม... เบากว่านี้หน
สามวันหลังจากพิธีแต่งงานอันยิ่งใหญ่ หลินเข่อซิงและอวิ๋นเฟยหลงต่างเตรียมตัวสำหรับวันสำคัญอีกวันหนึ่ง นั่นก็คือการกลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวตามธรรมเนียมที่ยึดถือปฎิบัติกันมา ซึ่งถือเป็นโอกาสที่เจ้าสาวจะกลับไปเยี่ยมครอบครัวของตนเองเป็นครั้งแรกหลังแต่งงานเช้านี้ อวิ๋นเฟยหลงแต่งกายในชุดทางการ เรียบง่ายแต่สง่างาม ขณะที่หลินเข่อซิงเลือกสวมชุดผ้าไหมสีอ่อนที่พ่อแม่ของนางมอบให้เป็นของขวัญวันแต่งงาน นางดูสดใสร่าเริงเหมือนเดิม แต่ในใจกลับตื่นเต้นเป็นอันมากที่จะได้กลับไปเยี่ยมพ่อแม่หลังจากการแต่งงาน"เจ้าพร้อมหรือยัง?" อวิ๋นเฟยหลงเอ่ยถามขณะที่เขาเดินเข้ามาหยุดยืนข้างนาง"พร้อมสิ! ข้าอยากเจอพ่อกับแม่เร็วๆ แล้ว" หลินเข่อซิงยิ้มอย่างตื่นเต้น นางหันไปมองสามีของตนที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าอ่อนโยน "ท่านพี่ ท่านคงไม่กังวลอะไรใช่ไหม?"อวิ๋นเฟยหลงส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มบางๆ "ข้าไม่กังวลอะไร แต่ดูท่าทางเขาดูกังวลเสียมากกว่านะ""ข้าแค่ดีใจที่ได้กลับไปหาพ่อแม่เท่านั้นเอง" นางหัวเราะเบาๆ "และอีกอย่าง ข้าก็อยากให้ท่านได้รู้จักกับครอบครัวข้ามากขึ้นด้วย"
เมื่อรถม้าเดินทางมาถึงจวนโหว อวิ๋นเฟยหลงลงไปก่อน เพื่อรอรับและช่วยประคองหลินเข่อซิงลงมา เมื่อทั้งคู่เดินจับมือกันผ่านประตูหน้าจวน ก็พบว่ามีทหารคนสนิทเข้ามารายงานด้วยความรีบร้อน “ท่านแม่ทัพขอรับ มีพระราชโองการจากฮ่องเต้ เรียกตัวท่านให้เข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงตอนนี้เลยขอรับ” “ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” อวิ๋นเฟยหลงตอบรับ ก่อนหันไปหาหญิงคนรัก “ซิงเอ๋อร์ เจ้าอยู่ที่นี่นะ เข้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ เจ้าคงเห็นแล้ว ตอนนี้ข้าต้องรีบเข้าวังโดยด่วน” “เจ้าค่ะ น้องจะรอท่านพี่อยู่ที่นี่ หากเกิดเหตุอันใดขึ้น ต้องรีบแจ้งข่าวให้น้องทราบนะเจ้าคะ” หลินเข่อซิงเงยหน้ามองชายคนรักด้วยความห่วงใย ก่อนจะมองส่งเขาขึ้นม้าไปกับทหารคนสนิทอีกสองคน ข้าหวังว่าคงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ หลินเข่อซิงคิดในใจ ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่า ฮ่องเต้ประทับบนบัลลังก์มังกรอย่างสง่างาม สายพระเนตรคมกริบจับจ้องมายังอวิ๋นเฟยหลงที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เสียงรายงานสถานการณ์จากชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือดังก้องไปทั่วท้องพระโรง บรรยากาศรอบตัวเต
หลินเข่อซิงนิ่งเงียบ นางกลั้นความรู้สึกทุกอย่างไว้ในอก สายตาของนางสั่นไหวเล็กน้อยแต่ไม่อยากให้เขาเห็น นางรู้ดีว่าอวิ๋นเฟยหลงเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับหน้าที่และความรับผิดชอบ แต่ในใจของนางเต็มไปด้วยความห่วงหาและกลัวการจากลาที่ไม่รู้ว่าจะยาวนานแค่ไหน“ข้าเข้าใจท่าน” นางเอ่ยเบาๆ พลางยิ้มอ่อนๆ แต่ความเศร้ากลับแฝงอยู่ในแววตา “ข้าจะรอท่านกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นเฟยหลงมองนางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก เขารู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้เสี่ยงอันตราย และเขาเองก็ไม่อยากทิ้งนางไว้ลำพัง เขาเดินเข้าไปจับมือนางอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้ม“ข้าสัญญา...ว่าข้าจะกลับมา” น้ำเสียงของเขาหนักแน่น แต่ในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจ เขารู้ว่าสงครามไม่มีคำว่าง่าย และทุกครั้งที่ออกไปรบเขาก็ต้องเตรียมตัวรับมือกับทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้นหลินเข่อซิงจ้องตาเขา ใจหนึ่งอยากร้องไห้แต่อีกใจก็อยากเข้มแข็ง นางปล่อยมือเขาออกช้าๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหวัง “ข้าจะรอท่านที่นี่...ข้ารู้ว่าท่านจะทำทุกอย่างให้สำเร็จได้แน่นอน”อวิ๋นเฟยหลงโอบกอดนางเบาๆ ราวกับไม่อยากปล่อยมือจ
นับจากวันที่อวิ๋นเฟยหลงเดินทัพไปปราบศัตรู หลินเข่อซิงผู้ที่เคยร่าเริง รอยยิ้มสดใสมักแต่งแต้มใบหน้าเสมอ ยามนี้กลับมีสีหน้าหม่นหมอง บางคราก็มีหยาดน้ำใสเอ่อคลอหน่วยตา ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นทุกข์ใจด้วยสงสารนางเป็นที่สุด“ฮูหยิน ท่านก็กินอะไรสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ สองวันมานี้ท่านไม่กินอะไรเลย จิบเพียงน้ำชาและขนมเล็กน้อยเท่านั้น เช่นนี้ร่างกายท่านจะแย่เอาได้นะเจ้าคะ” หลิงเฉินคุกเข่าขอร้อง เจ้านายของนางนับแต่วันที่ท่านแม่ทัพจากไป ก็เอาแต่นั่งเศร้าซึม เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง สายตามองออกไปจริง แต่ก็เหมือนไม่ได้มองภาพตรงหน้า คล้ายอยู่ในภวังค์ความคิดคำนึง นางเป็นเพียงบ่าว ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร ทำได้เพียงดูแลสุขภาพของนางไม่ให้เจ็บไข้เป็นพอ“เจ้าออกไปเถอะ เดี๋ยวข้าหิวแล้วจะเรียกเอง ข้าอยากอยู่คนเดียว” หลินเข่อซิงพูดเพียงเท่านั้น และเบือนหน้ากลับไปเช่นเดิม“เจ้าค่ะ แต่หากท่านต้องการอะไรต้องเรียกข้านะเจ้าคะ ข้าจะไม่ไปไหนไกล จะเฝ้าอยู่หน้าห้องของท่านเจ้าค่ะ เวลาท่านเรียกขานข้าจะได้เข้ามาได้ทัน” หลิงเฉินร่ายยาว แต่ร่างบางของเจ้านายเพียงนั่งนิ่ง ไม่มีปฎิกริยา
ในที่สุดหลินเข่อซิงและหลิงเฉินก็มาถึงตลาด สองนายบ่าวลงจากรถม้าของจวน“เปาจื่อ เจ้าก็หาอะไรกินแถวนี้ก่อนนะ ข้าคงใช้เวลาเดินกินเดินเที่ยวสักสองชั่วยาม นี่เงินของเจ้า” ว่าพลางยื่นเงินให้คนขับรถม้าหนึ่งตำลึง“ขอบคุณขอรับฮูหยิน” บ่าวชายรับเงินไปก่อนจะคำนับนางอย่างนอบน้อมหลินเข่อซิงเดินทอดน่องไปตามทางที่เต็มไปด้วยร้านรวงต่างๆ กลิ่นหอมของอาหารและเสียงตะโกนของพ่อค้าแม่ค้าก็พอจะทำให้นางยิ้มได้บ้างแต่ในขณะที่นางกำลังเลือกซื้อขนมอยู่ จู่ๆ ก็มีชายร่างใหญ่กลุ่มหนึ่งเดินชนหลินเข่อซิงจนเซ นางตกใจและล้มลงเกือบไปชนแผงลอยข้างๆ โชคดีที่มีคนเข้ามาคว้าข้อมือนางไว้ทัน“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” เสียงทุ้มเย็นแต่สุภาพดังขึ้นหลินเข่อซิงเงยหน้าขึ้นและพบว่าเป็นองค์ชายห้า นางรู้สึกประหลาดใจที่ได้พบเขาในสถานที่เช่นนี้“องค์ชายห้า!” นางอุทาน “เอ่อ…หม่อมฉันไม่เป็นไร ขอบคุณพระองค์ที่ช่วยเหลือเพคะ” สิ้นเสียงหญิงสาวย่อตัวทำความเคารพชายหนุ่มสูงศักดิ์“ข้าไม่คิดว่าจะได้พบเจ้า” หานเจี๋ยกล่าวพลางยิ้มบางๆ ให้ “เจ้าดูตกใจมาก นั่งพักสักหน่อยดีไหม?”
แสงแดดยามสายสาดส่องลงมาบนเส้นทางที่ทอดยาวผ่านป่าเขาและทุ่งหญ้า อวิ๋นเฟยหลงและเจิ้งจู่องครักษ์เงาคู่ใจอยู่บนหลังม้า ทั้งสองเดินทางร่วมกันมานานนับเดือน นับตั้งแต่จากบ้านสกุลซุย เส้นทางที่ผ่านไม่ได้ราบเรียบ มีทั้งความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ความร้อนระอุในบางวัน และความหนาวเหน็บในยามค่ำคืนม้าสีดำตัวใหญ่ของอวิ๋นเฟยหลงย่ำเท้าลงบนพื้นอย่างมั่นคง ชายหนุ่มนั่งตัวตรง ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังเส้นทางข้างหน้า ส่วนเจิ้งจู่ที่อยู่เคียงข้างไม่ห่าง ใช้มือปัดเหงื่อบนหน้าผากพร้อมกับพูดกลั้วหัวเราะ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะดูเหมือนว่าแม้แต่แดดแรงขนาดนี้ยังไม่อาจทำอะไรท่านได้เลย ข้าสิแทบจะละลายอยู่ตรงนี้แล้ว”อวิ๋นเฟยหลงหันมามองเจิ้งจู่ด้วยแววตาขำขัน “เจ้าคิดว่าการบ่นจะช่วยให้เย็นลงหรือ? อีกอย่างเลิกเรียกข้าว่าองค์ชายเสียที เรียกคุณชายจะดีกว่า ยิ่งเข้าใกล้แคว้นฉางจีเท่าไหร่เรายิ่งต้องปกปิดตัวตนมิให้ผู้ใดล่วงรู้”“เข้าใจแล้วขอรับ คุณชาย” เจิ้งจู่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่บางทีข้าก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าทำไมท่านถึงเลือกเส้นทางนี้ ทั้งที่ทางหลักก็น่าจะปลอดภัยกว่า”อวิ๋นเฟย
“กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ และละอายใจยิ่ง หากองค์ชายเจ็บแค้นและอยากสังหาร กระหม่อมก็พร้อมยินดีมอบชีวิตให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ว่าพลางยื่นกระบี่ในมือให้กับอวิ๋นเฟยหลงชายร่างผอมบางในชุดคลุมสีดำสนิท นั่งนิ่งหลับตาแน่น รอรับโทษทัณฑ์ฟิ้ววว เสียงโลหะแหวกอากาศจนเกือบฟันคอของเจิ้งจู่ขาด เจิ้งจู่รู้สึกถึงความเย็นของดาบที่แตะเบาๆที่คอ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำเอาเลือดสดไหลซึมออกมาเล็กน้อยเคร้ง!ดาบถูกโยนทิ้งลงพื้น“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากเจ้ารู้สึกเช่นนั้นก็จงร่วมเดินทางไปกับข้าเถอะ”“องค์ชาย กระหม่อมขอขอบพระทัยในความเมตตาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ลุกขึ้นมาคำนับอวิ๋นเฟยหลง“แต่ก่อนอื่นข้ามีเรื่องที่ต้องทำก่อนไป” อวิ๋นเฟยหลงว่าพลางขมวดคิ้วแน่น........แสงอาทิตย์แผดแสงเจิดจ้าส่องเข้ามายังลานบ้านสกุลซุย อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ในห้องพักอย่างเงียบสงบ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสน แต่มั่นคง เขารู้ดีว่าวันนี้เขาต้องบอกลาผู้คนที่นี่ คนที่ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน คนที่คอยช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาที่เขาความทรงจำขาดห
นับจากวันที่เขาประสบเหตุในวันที่ไปเก็บเห็ดกับนายท่านซุย จิ่นสือมักมีภาพเหตุการณ์โผล่ขึ้นมาให้เขาได้เห็น บางคราก็สั้นๆ บางคราก็เป็นเรื่องเป็นราวผุ้เฒ่าสกุลซุยทั้งสองลงความเห็นกันว่าควรให้เขาได้พักผ่อนให้มากหน่อยเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและพักฟื้นร่างกายให้ดี รวมถึงกันซุยลี่อินไม่ให้มารบกวนจิ่นสืออีกด้วย นับว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เขารุ้สึกสงบสุขมากที่สุดนับแต่ได้มาอยุ่ที่บ้านสกุลซุยก็ว่าได้สายลมวสันต์ฤดูพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำเอาจิ่นสือต้องยกมือขึ้นมาป้องปากและจมูกที่เย็นจนชาแทบไร้ความรู้สึกวันนี้ยังคงเป็นไปตามปกติเพียงแต่เขาไม่ต้องไปคอยตัดฟืนแบกหามอย่างเช่นทุกที ตามร่างกายยังคงเจ็บระบม ชายหนุ่มร่างกำยำที่เริ่มเบื่อหน่ายจึงไปนั่งขัดสมาธิบนฟูกนอน ก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่สมาธิเวลาล่วงเลยผ่านไปเท่าใดไม่อาจทราบได้ ร่างหนาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าแสงสุริยันลับขอบฟ้าไปแล้ว บนโต๊ะในห้องนอนมีสำรับกับข้าววางไว้ให้ เขาค่อยๆลุกขึ้นมานั่งก่อนจะบิดเอวซ้ายทีขวาที ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะกินข้าวเล็กๆมีอาหารเพียงสองอย่าง ผัดไข่ใส่ใบเซียงชุนและซุปเนื้อหอมกรุ่นที่ตอนน
ในห้วงอันเงียบสงบของค่ำคืน หยางเฟยฮุ่ยนั่งลงท่ามกลางแสงเทียนในห้องบรรทม นางประมวลผลทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งความไม่ไว้วางใจระหว่างตนกับหานเจี๋ย และสถานการณ์ในวังที่ตึงเครียด นางยิ้มมุมปาก ก่อนจะตัดสินใจวางแผนสร้างเครือข่ายพันธมิตรของตนเองขึ้นมา“ข้าจะไม่อยุ่รอวันตาย ไม่ฝากชีวิตไว้กับเสือที่ไม่รุ้ว่าจะแว้งกัดข้าตอนไหน” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวกับตนเองพลางยิ้มเย็นหยางเฟยฮุ่ยหันไปเริ่มต้นแผนด้วยการพบปะกับเหล่าสนมนางในบุตรีตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนัก เพื่อเสริมฐานพันธมิตรให้กว้างขวางมากขึ้น“ข้าอยากให้พวกท่านมาร่วมงานในตำหนักของข้า พวกเราสามารถแบ่งปันความคิดเห็นและสนับสนุนกันและกันได้... จะว่าไปก็นับว่าข้ามีโชคยิ่งนัก ที่ได้พบสตรีชั้นสูงที่มีความสามารถและรู้จักวางตัวอย่างท่านทั้งหลาย”“ฮองเฮาทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางถึงเพียงนี้ พวกข้าก็ยินดีที่จะมาพบปะกับท่านบ่อย ๆ เพคะ” ฮุ่ยเฟยเอ่ยขึ้น นางเป็นบุตรีของเสนาบดีเจ้ากรมโยธา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเรียบเรื่อยราวสายธารยามสงบนิ่ง“ข้าก็ยินดีเช่นกัน สตรีอย่างพวกเราย่อมต้องพึ่งพากันบ้าง พ
จิ่นสือพยักหน้ารับ ขณะที่ลูบใบเทียนเฉ่าเบาๆ กลิ่นหอมฉุนของมันลอยออกมาแตะจมูก สมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณล้ำค่า และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการแพทย์แผนโบราณถัดมาไม่นาน พวกเขาก็เจอพุ่มไม้ที่ออกดอกเป็นช่อสีขาวเล็กๆ กลีบดอกดูเปราะบางและชุ่มชื่น“นี่คือไป่ฮวา หรือหญ้าพันงู ขึ้นชื่อในสรรพคุณสมานแผลและหยุดเลือดทันทีเมื่อมีแผลสด ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในยาสำหรับทหารหรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงอันตราย”จิ่นสือสังเกตพุ่มไม้ไป่ฮวาด้วยความสนใจ“น่าสนใจนัก ยามศึกสงคราม สมุนไพรนี้คงช่วยได้มากจริงๆ”พวกเขาเดินต่อจนถึงลำธารเล็กๆ ที่ไหลเย็นสบาย สองข้างของลำธารมีต้นไม้เล็กๆ ออกผลเล็กๆ สีแดงจัดเต็มพุ่ม“ต้นนี้เรียกว่าซานจาหรือพุทราจีน ผลสีแดงของมันนี้กินได้ มีรสหวานอมเปรี้ยว ช่วยย่อยอาหารและบำรุงหัวใจเป็นเลิศ” นายท่านซุยหยิบผลซานจามาส่งให้จิ่นสือ“ลองชิมดูสิ หวานอมเปรี้ยวนี่ล่ะช่วยให้รู้สึกสดชื่นยิ่ง”จิ่นสือรับผลซานจามา ลองกัดเบาๆ รสชาติสดชื่นทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที สมุนไพรนี้ไม่เพียงแต่เป็นยาบำรุงแต่ยังเสริมพลังได้เป็นอย่างดี
ซุยลี่อินใจเต้นรัว ใบหน้าเล็กร้อนผ่าว มือน้อยๆ ยกขึ้นไปจับตรงตำแหน่งที่มือใหญ่ได้วางไว้ก่อนหน้าเบาๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มแย้มยิ้มออกมาเสียจนแทบฉีกถึงใบหุ “ข้าจะรอท่านพี่กลับมานะเจ้าคะ” สาวน้อยตะโกนไล่หลังร่างสุงใหญ่ที่เดินทิ้งห่างไปไกล ซุยลี่อินยืนส่งชายในดวงใจจนร่างเขาหายลับไปจากสายตา จึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน จิ่นสือได้ยินเสียงใสแว่วๆ แต่เขาไม่ได้หันกลับไป ทำเพียงเร่งฝีเท้าให้ทันนายท่านซุยเพียงเท่านั้น แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านยอดไม้หนาทึบลงมาเป็นลำ จิ่นสือก้าวเดินตามผู้เฒ่าอย่างตั้งใจ แม้พื้นดินจะชื้นแฉะ แต่ในความชื้นนั้นกลับทำให้ป่าแห่งนี้อุดมไปด้วยพืชสมุนไพรอันหลากหลาย จิ่นสือมองสำรวจอย่างตั้งอกตั้งใจ "ดูเหมือนป่านี้จะซ่อนสมุนไพรล้ำค่าไว้มิใช่น้อย...ข้าสงสัยว่าเหตุใดต้นไม้เหล่านี้จึงเติบโตได้งดงามนัก" นายท่านซุยยิ้มอย่างยินดีที่ชายหนุ่มถามในเรื่องที่เขามีความรู้เป็นอย่างดี และยินดีแบ่งปันอย่างยิ่ง “ต้นไม้ในป่านี้ได้รับการดูแลจากธรรมชาติ และคนในหมู่บ้านของเราได้ช่วยกันร
จิ่นสือมาอยุ่กับครอบครัวสกุลซุยมาได้พักใหญ่แล้ว เขามักจะไปตักน้ำตัดฟืนมาไว้ในบ้านเสมอ รวมถึงการออกไปจับจ่ายซื้อของแทนผุ้เฒ่าซุยอยุ่บ่อยครั้งและแน่นอนว่าเขามักจะมีดรุณีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มตามติดไปด้วยอยุ่เสมอ จนผุ้ที่ได้พบเห็นต่างนึกเอ็นดุและชื่นชมในรุปลักษณ์ที่ดีงามของทั้งสองคนจิ่นสือมักมีอาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมักมีอาการไม่นานมาก เพียงชั่วใบไม้ร่วงหล่นลงสุ่พื้น แต่ก็ทำให้เขาเจ็บร้าวในหัวจนแทบทรงตัวไม่อยุ่ในทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงหญิงสาวที่ไม่มีใบหน้า เฝ้าเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงอาทรและห่วงหาคืนนี้ก็เช่นกัน…“ท่านพี่…ท่านพี่…”“…”“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่” เขาถามออกไปแต่ร่างบอบบางในชุดสีฟ้าอ่อน ผมยาวตรงสยายพลิ้วไหวตามแรงลมที่ไม่ทราบมาจากที่ใด เขาเพ่งมองไปยังใบหน้านั้น แต่แสงสีขาวสว่างจ้าเกินไปจนเขาตาพร่าไม่สามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปหาร่างนั้น แต่ยิ่งเดินยิ่งห่างไกล ราวกับร่างนั้นเคลื่อนถอยหลังหนีเขาอยุ่ร่ำไป“ได้โปรดเถิด ให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าสักนิด”จื
บนพื้นที่ห่างไกลออกไปทางเหนือใกล้กับชายแดนแคว้นเกาเยว่ เสียงตัดไม้ดังก้องไปทั่วป่า เมื่อมองลึกเข้าไปจะพบกับชายร่างสูงใหญ่ล่ำสัน เครื่องแต่งกายมีเพียงเสื้อตัวบางทับด้วยเสื้อกั๊กเผยให้เห็นมัดกล้ามสองแขนแกร่ง กำลังตัดไม้อย่างขมักเขม้น หยาดเหงื่อไหลรินผ่านขมับ ชายหนุ่มขบกรามแน่นยามออกแรงยกขวาน ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา หนวดเครารกครึ้ม ส่งให้ใบหน้าคมเข้มไม่ไกลกันนัก มีสาวน้อยวัยกำดัดนั่งเท้าคางมองชายหนุ่มที่กำลังตัดไม้ด้วยแววตาหลงใหล สาวน้อยร่างบางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน ดูน่ารักน่าทะนุถนอมยิ่งนัก ข้างๆมีตระกร้าใส่อาหารและผลไม้ ดูไปก็คล้ายคู่รักที่ดูรักกันดียิ่ง แต่ความเป็นจริงนั้น…“จิ่นสือ วันนี้อากาศดีมาก ข้าว่าพอแค่นี้ดีไหม แล้วเราไปเดินเล่นในเมืองด้วยกัน” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยชวนแต่ชายร่างกำยำกลับทำราวกับไม่ได้ยินเสียงนาง ยังคงตัดไม้ต่อไปอย่างไม่ลดละ“นี่ เมื่อไหร่ท่านจะยอมคุยกับข้าสักที นี่ก็ผ่านมาจะครึ่งปีอยู่แล้วนะ นับจากวันที่ท่านพ่อกับท่านแม่พาท่านมาอยู่ด้วยกัน”“…”“สมแล้วที่ท่านพ่อตั้งชื่อให้ท่านว่าจิ่
หลังผ่านค่ำคืนอันแสนร้อนเร่ากับเจ้าผู้ครองแคว้น หยางเฟยฮุ่ยกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างผู้ชนะ กว่านางจะฝ่าด่านคัดเลือกสตรีนับพัน ฝ่าฟันต่อสู้กับเหล่าคุณหนูในห้องหอที่ต่างก็เพียบพร้อมไปด้วยความงามและความสามารถ แต่ที่ยากลำบากยิ่งกว่าคือการต้องวางแผนสกปรกทำให้น้องรองต้องเสียโฉมตัดโอกาสที่จะมาแย่งชิงกับนาง เพื่อที่นางจะได้เป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของตระกูล หยางลี่เฟย จะโทษก็โทษที่ชาติกำเนิดตัวเองเถอะ เจ้ามันก็แค่ลุกอนุ แต่อยากจะมาเทียบเคียงข้า อย่าได้โทษข้าเลย ที่ข้าไม่ยั้งมือ หยางเฟยฮุ่ยคิดในใจหยางเฟยฮุ่ยนั่งมองใบหน้าของตนเองในกระจก ดวงหน้างามพิลาส ดวงตาราวรีรุปหงส์ให้ความรุ้สึกหยิ่งผยองยามปรายหางตามอง จมุกเล็กเชิดรั้น ริมฝีปากยามแย้มยิ้มก็เย้ายวนมีเสน่ห์อย่างยิ่ง ใบหน้านี้ไม่ว่าใครได้มองย่อมตกหลุมนางทั้งนั้น มีแต่เจ้าคนน่าตายอวิ๋นเฟยหลงนั่นคนเดียว ตั้งแต่หลินเข่อซิงโผล่มาก็ไม่มองนางอีกเลย ทั้งที่แต่เล็กทั้งสองตระกุลต่างหมายหมั้นให้พวกนางได้ร่วมหอลงโลง หึ อวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้ท่านก็คงจะได้แต่นึกเสียใจเป็นแน่ มาบัดนี้ข้ากลับดีใจที่ไม่ได้แต่งให้ท่าน ไม่เช่นนั้นค