หลังจากตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ หลินเข่อซิงก็ปวดแปลบช่วงกลางลำตัวอย่างมาก นางมองไปไม่เห็นแม้เงาของอวิ๋นเฟยหลงแล้ว
“เช้าขนาดนี้เขาไปไหนของเขานะ แต่ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่กระอักกระอ่วน” หลินเจ๋อซิงขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงมายืนบิดขี้เกียจ หญิงสาวหันกลับไปมองที่เตียง บนผ้าปูที่นอนสีแดงสด มีจุดสีเข้มเปื้อนอยู่ ขณะที่เธอกำลังดึงผ้าปูที่นอนอยู่นั้น หลิงเฉินก็ก้าวเข้ามาพอดี“คุณหนู ตื่นหรือยังเจ้าคะ เอ้ย…ต้องเรียกฮูหยินสินะ ท่านแม่ทัพรอรับประทานอาหารกับท่านอยู่นะเจ้าคะ…เอ่อ…ฮูหยินท่านทำอันใดอยู่หรือเจ้าคะ?” หลิงเฉินยืนนิ่งมองเจ้านายที่กำลังกำผ้าปูที่นอนแน่น“เปล่า ไม่ได้ทำอะไรนี่ ข้าแค่…เอ่อ…จะทำหน้าที่ภรรยาที่ดีไง ซักผ้าให้สามี เริ่มต้นจากผ้าปูที่นอนเป็นอันดับแรก ….อ่า ใช่แล้วๆ” ว่าพลางจะเดินหนีออกไปข้างนอก“โธ่ ฮูหยิน ท่านยังจะอายสิ่งใดอีก ส่งมาให้ข้าเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าทำให้เอง”หลินเข่อซิงหน้าร้อนผ่าว จำต้องยื่นผ้าปูที่นอนส่งให้หลิงเฉินไปท่านพ่อกับท่านแม่ของนางส่งหลิงเฉินมาคอยรับใช้นางที่จวนแม่ทัพ ด้วยว่าหลิงเฉินเป็นคนฉลาเช้าวันต่อมา หลินเข่อซิงเริ่มแผนใหม่ นางตั้งใจจะทำให้อวิ๋นเฟยหลงรู้สึกถึงความผิดปกติที่นางเคยเอาใจจนชิน นางเริ่มต้นด้วยการไม่เข้าไปทักทายเขาตอนเช้าอย่างเคย ทั้งที่ปกตินางจะเดินมาในห้องทำงานพร้อมของว่างและชวนเขาพูดคุย อวิ๋นเฟยหลงมองออกไปที่หน้าต่าง เขารู้สึกแปลกๆ เพราะวันนี้เงียบกว่าปกติ ไม่มีเสียงเจื้อยแจ้วของหลินเข่อซิงที่นางมักจะทำตัวราวกับเด็กไม่ยอมโต คอยมานั่งพูดคุยกับเขา หยอกล้อ และมักนำเรื่องนู้นเรื่องนี้มาเล่าให้เขาฟัง ทว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแต่ในใจรู้สึกแปลกๆ และ...คิดถึงช่วงเวลาที่นางอยู่ใกล้ๆ ตกบ่าย หลินเข่อซิงก็เริ่มแผนสอง นางตั้งใจทำตัวไม่สนใจอวิ๋นเฟยหลงบ้าง ท่านแม่ทัพกำลังซ้อมดาบอยู่ นางก็เดินไปยืนห่างๆ ไม่เข้าไปกวนเหมือนทุกที ทำเพียงมองเงียบๆ แล้วเดินหนีไปทางอื่นทันที อวิ๋นเฟยหลงหันไปมองนางที่เดินหายไป พลันเกิดความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นในใจ โดยไม่รู้ตัวว่าเขาคาดหวังให้นางเข้ามาพูดคุยหรือแหย่เล่นเหมือนทุกครั้ง หลังซ้อมเสร็จหลินเข่อซิงตั้งใจเอาของว่างที่อร่อยที่สุดที่นางเคยทำนำไปวางไว้บนโต๊ะของเขา แต่แทนที่จะเอาไปให้ด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย นางกลับแค่เอาวางเฉยๆ แ
อวิ๋นเฟยหลงขยับตัวเล็กน้อยแต่ยังไม่ตื่น นางจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ หูเขา “เฟยหลง ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ อาหารเช้าเสร็จแล้ว!”ในที่สุดเขาก็ลืมตาขึ้นช้าๆ มองเห็นรอยยิ้มกว้างของหลินเข่อซิงอยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มหน้าร้อนผ่าว รีบผุดลุกขึ้นทันใด “เจ้าทำอะไรแต่เช้าหรือ”“ข้าทำอาหารเช้าให้ท่านไงเจ้าคะ!” นางยิ้มอย่างภูมิใจ “วันนี้ข้าจะดูแลท่านเต็มที่!”เขามองหน้านางและลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะเลิกคิ้ว “วันนี้เจ้าดูขยันผิดปกตินะ”“ฮึ่ม! ขยันก็ดีแล้วไงเจ้าคะ ท่านแม่ทัพต้องการการดูแลจากภรรยาที่แสนดีอย่างข้า” นางพูดพลางดึงมือเขาเบาๆ ให้เดินตามนางไปที่โต๊ะที่นั่นมีนายท่านอวิ๋นและอวิ๋นฮูหยินนั่งอยู่ก่อนแล้วอวิ๋นเฟยหลงมองอาหารบนโต๊ะอย่างประหลาดใจ “เจ้าทำทั้งหมดนี้เองหรือ”“แน่นอนเจ้าค่ะ! ข้าอุตส่าห์ตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมให้ท่าน” นางยืดอกอย่างภาคภูมิใจเขามองนางด้วยสายตาอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย “ขอบใจเจ้ามาก ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าทำอาหารเก่งขนาดนี้”“ไม่ต้องขอบคุณ ข้าทำเพราะข้าอยากดูแลท่าน ข้าจะทำให้ท่านมีแรงเต็มที่ในการฝึกทห
เมื่อถึงตอนเย็น หลินเข่อซิงเดินกลับเข้าจวนชั้นในพร้อมอวิ๋นเฟยหลง "ท่านพี่เหนื่อยไหมเจ้าคะ ข้าจะเตรียมน้ำให้ท่านอาบนะเจ้าคะ""ข้าสบายดี ไม่ต้องห่วง" เขาตอบอย่างเรียบง่าย"งั้นข้าจะนวดให้ท่านดีไหมเจ้าคะ" นางถามพร้อมทำท่าทางจริงจังเขาหลุดขำออกมาอีกครั้ง "เจ้าดูกระตือรือร้นเกินไปสำหรับการดูแลข้า" อวิ๋นเฟยหลงพูดพลางยิ้มอ่อน"แน่นอน ข้าต้องเต็มที่เพื่อท่าน!" หลินเข่อซิงยิ้มตอบ แต่ทันใดนั้นนางก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม พลางทำหน้าเจ้าเล่ห์ "ว่าแต่... ท่านแม่ทัพอยากนวดจริงๆ หรือไม่ ข้าเพิ่งเรียนวิธีนวดแบบพิเศษมา ท่านคงจะรู้สึกสบายแน่ๆ!"เขาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย "แบบพิเศษหรือ?""ใช่! นี่เป็นสูตรลับเฉพาะของข้าเอง" หลินเข่อซิงพูดอย่างมั่นใจ พลางโบกมือให้อวิ๋นเฟยหลงนั่งลงที่เก้าอี้ "เชิญนั่งลงสบายๆ นะเจ้าคะ ข้าจะทำให้ท่านผ่อนคลายที่สุด"อวิ๋นเฟยหลงนั่งลงตามคำบอกอย่างว่าง่าย หลินเข่อซิงเริ่มลงมือนวดที่บ่าเขาเบาๆ แต่ทว่าด้วยท่าทางที่ไม่เคยชำนาญ นางกลับเผลอกดแรงเกินไปจนเขาอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้"อืม... เบากว่านี้หน
สามวันหลังจากพิธีแต่งงานอันยิ่งใหญ่ หลินเข่อซิงและอวิ๋นเฟยหลงต่างเตรียมตัวสำหรับวันสำคัญอีกวันหนึ่ง นั่นก็คือการกลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวตามธรรมเนียมที่ยึดถือปฎิบัติกันมา ซึ่งถือเป็นโอกาสที่เจ้าสาวจะกลับไปเยี่ยมครอบครัวของตนเองเป็นครั้งแรกหลังแต่งงานเช้านี้ อวิ๋นเฟยหลงแต่งกายในชุดทางการ เรียบง่ายแต่สง่างาม ขณะที่หลินเข่อซิงเลือกสวมชุดผ้าไหมสีอ่อนที่พ่อแม่ของนางมอบให้เป็นของขวัญวันแต่งงาน นางดูสดใสร่าเริงเหมือนเดิม แต่ในใจกลับตื่นเต้นเป็นอันมากที่จะได้กลับไปเยี่ยมพ่อแม่หลังจากการแต่งงาน"เจ้าพร้อมหรือยัง?" อวิ๋นเฟยหลงเอ่ยถามขณะที่เขาเดินเข้ามาหยุดยืนข้างนาง"พร้อมสิ! ข้าอยากเจอพ่อกับแม่เร็วๆ แล้ว" หลินเข่อซิงยิ้มอย่างตื่นเต้น นางหันไปมองสามีของตนที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าอ่อนโยน "ท่านพี่ ท่านคงไม่กังวลอะไรใช่ไหม?"อวิ๋นเฟยหลงส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มบางๆ "ข้าไม่กังวลอะไร แต่ดูท่าทางเขาดูกังวลเสียมากกว่านะ""ข้าแค่ดีใจที่ได้กลับไปหาพ่อแม่เท่านั้นเอง" นางหัวเราะเบาๆ "และอีกอย่าง ข้าก็อยากให้ท่านได้รู้จักกับครอบครัวข้ามากขึ้นด้วย"
เมื่อรถม้าเดินทางมาถึงจวนโหว อวิ๋นเฟยหลงลงไปก่อน เพื่อรอรับและช่วยประคองหลินเข่อซิงลงมา เมื่อทั้งคู่เดินจับมือกันผ่านประตูหน้าจวน ก็พบว่ามีทหารคนสนิทเข้ามารายงานด้วยความรีบร้อน “ท่านแม่ทัพขอรับ มีพระราชโองการจากฮ่องเต้ เรียกตัวท่านให้เข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงตอนนี้เลยขอรับ” “ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” อวิ๋นเฟยหลงตอบรับ ก่อนหันไปหาหญิงคนรัก “ซิงเอ๋อร์ เจ้าอยู่ที่นี่นะ เข้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ เจ้าคงเห็นแล้ว ตอนนี้ข้าต้องรีบเข้าวังโดยด่วน” “เจ้าค่ะ น้องจะรอท่านพี่อยู่ที่นี่ หากเกิดเหตุอันใดขึ้น ต้องรีบแจ้งข่าวให้น้องทราบนะเจ้าคะ” หลินเข่อซิงเงยหน้ามองชายคนรักด้วยความห่วงใย ก่อนจะมองส่งเขาขึ้นม้าไปกับทหารคนสนิทอีกสองคน ข้าหวังว่าคงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ หลินเข่อซิงคิดในใจ ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่า ฮ่องเต้ประทับบนบัลลังก์มังกรอย่างสง่างาม สายพระเนตรคมกริบจับจ้องมายังอวิ๋นเฟยหลงที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เสียงรายงานสถานการณ์จากชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือดังก้องไปทั่วท้องพระโรง บรรยากาศรอบตัวเต
หลินเข่อซิงนิ่งเงียบ นางกลั้นความรู้สึกทุกอย่างไว้ในอก สายตาของนางสั่นไหวเล็กน้อยแต่ไม่อยากให้เขาเห็น นางรู้ดีว่าอวิ๋นเฟยหลงเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับหน้าที่และความรับผิดชอบ แต่ในใจของนางเต็มไปด้วยความห่วงหาและกลัวการจากลาที่ไม่รู้ว่าจะยาวนานแค่ไหน“ข้าเข้าใจท่าน” นางเอ่ยเบาๆ พลางยิ้มอ่อนๆ แต่ความเศร้ากลับแฝงอยู่ในแววตา “ข้าจะรอท่านกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นเฟยหลงมองนางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก เขารู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้เสี่ยงอันตราย และเขาเองก็ไม่อยากทิ้งนางไว้ลำพัง เขาเดินเข้าไปจับมือนางอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้ม“ข้าสัญญา...ว่าข้าจะกลับมา” น้ำเสียงของเขาหนักแน่น แต่ในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจ เขารู้ว่าสงครามไม่มีคำว่าง่าย และทุกครั้งที่ออกไปรบเขาก็ต้องเตรียมตัวรับมือกับทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้นหลินเข่อซิงจ้องตาเขา ใจหนึ่งอยากร้องไห้แต่อีกใจก็อยากเข้มแข็ง นางปล่อยมือเขาออกช้าๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหวัง “ข้าจะรอท่านที่นี่...ข้ารู้ว่าท่านจะทำทุกอย่างให้สำเร็จได้แน่นอน”อวิ๋นเฟยหลงโอบกอดนางเบาๆ ราวกับไม่อยากปล่อยมือจ
นับจากวันที่อวิ๋นเฟยหลงเดินทัพไปปราบศัตรู หลินเข่อซิงผู้ที่เคยร่าเริง รอยยิ้มสดใสมักแต่งแต้มใบหน้าเสมอ ยามนี้กลับมีสีหน้าหม่นหมอง บางคราก็มีหยาดน้ำใสเอ่อคลอหน่วยตา ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นทุกข์ใจด้วยสงสารนางเป็นที่สุด“ฮูหยิน ท่านก็กินอะไรสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ สองวันมานี้ท่านไม่กินอะไรเลย จิบเพียงน้ำชาและขนมเล็กน้อยเท่านั้น เช่นนี้ร่างกายท่านจะแย่เอาได้นะเจ้าคะ” หลิงเฉินคุกเข่าขอร้อง เจ้านายของนางนับแต่วันที่ท่านแม่ทัพจากไป ก็เอาแต่นั่งเศร้าซึม เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง สายตามองออกไปจริง แต่ก็เหมือนไม่ได้มองภาพตรงหน้า คล้ายอยู่ในภวังค์ความคิดคำนึง นางเป็นเพียงบ่าว ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร ทำได้เพียงดูแลสุขภาพของนางไม่ให้เจ็บไข้เป็นพอ“เจ้าออกไปเถอะ เดี๋ยวข้าหิวแล้วจะเรียกเอง ข้าอยากอยู่คนเดียว” หลินเข่อซิงพูดเพียงเท่านั้น และเบือนหน้ากลับไปเช่นเดิม“เจ้าค่ะ แต่หากท่านต้องการอะไรต้องเรียกข้านะเจ้าคะ ข้าจะไม่ไปไหนไกล จะเฝ้าอยู่หน้าห้องของท่านเจ้าค่ะ เวลาท่านเรียกขานข้าจะได้เข้ามาได้ทัน” หลิงเฉินร่ายยาว แต่ร่างบางของเจ้านายเพียงนั่งนิ่ง ไม่มีปฎิกริยา
ในที่สุดหลินเข่อซิงและหลิงเฉินก็มาถึงตลาด สองนายบ่าวลงจากรถม้าของจวน“เปาจื่อ เจ้าก็หาอะไรกินแถวนี้ก่อนนะ ข้าคงใช้เวลาเดินกินเดินเที่ยวสักสองชั่วยาม นี่เงินของเจ้า” ว่าพลางยื่นเงินให้คนขับรถม้าหนึ่งตำลึง“ขอบคุณขอรับฮูหยิน” บ่าวชายรับเงินไปก่อนจะคำนับนางอย่างนอบน้อมหลินเข่อซิงเดินทอดน่องไปตามทางที่เต็มไปด้วยร้านรวงต่างๆ กลิ่นหอมของอาหารและเสียงตะโกนของพ่อค้าแม่ค้าก็พอจะทำให้นางยิ้มได้บ้างแต่ในขณะที่นางกำลังเลือกซื้อขนมอยู่ จู่ๆ ก็มีชายร่างใหญ่กลุ่มหนึ่งเดินชนหลินเข่อซิงจนเซ นางตกใจและล้มลงเกือบไปชนแผงลอยข้างๆ โชคดีที่มีคนเข้ามาคว้าข้อมือนางไว้ทัน“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” เสียงทุ้มเย็นแต่สุภาพดังขึ้นหลินเข่อซิงเงยหน้าขึ้นและพบว่าเป็นองค์ชายห้า นางรู้สึกประหลาดใจที่ได้พบเขาในสถานที่เช่นนี้“องค์ชายห้า!” นางอุทาน “เอ่อ…หม่อมฉันไม่เป็นไร ขอบคุณพระองค์ที่ช่วยเหลือเพคะ” สิ้นเสียงหญิงสาวย่อตัวทำความเคารพชายหนุ่มสูงศักดิ์“ข้าไม่คิดว่าจะได้พบเจ้า” หานเจี๋ยกล่าวพลางยิ้มบางๆ ให้ “เจ้าดูตกใจมาก นั่งพักสักหน่อยดีไหม?”
“เฮือก…” เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกดังขึ้น ทำเอาทรวงอกของหญิงสาวยกขึ้นสูง ขนตางอนยาวเรียงตัวสวยเริ่มขยับไหว ในที่สุดเปลือกตาก็คอยๆเลิกขึ้น ปรากฎดวงตากลมโตสดใสที่มองไปมารอบๆ แสงไฟสีขาวนวลสว่างขึ้นในห้องเล็กๆ ของเธอมาจากหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดานห้องสี่เหลี่ยมที่คุ้นเคย เมื่อมองไปตรงมุมห้องขวามือ ก็มีโต๊ะเขียนหนังสือรกๆ ที่มีหนังสือและแก้วน้ำวางอยู่ โทรศัพท์มือถือวางแน่นิ่งบนหัวเตียง สายชาร์จรวมถึงสายสมอลทอร์คพันกันยุ่งเหยิงเป็นก้อนกลม หลินเข่อซิงค่อยๆลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง“เรากลับมาแล้วเหรอ…” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ราวกับไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือเพียงอีกหนึ่งความฝันอันยาวนานนางลูบอกตัวเองเบาๆ เพื่อปลอบใจว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเผชิญมา เป็นเพียงฝันร้ายยาวนานเท่านั้น แต่มันช่างสมจริงเหลือเกิน ความรู้สึกของสายลมในป่าลึก กลิ่นดินหลังฝนตก เสียงหัวเราะของหลิงเฉิน หรือแม้แต่สัมผัสอันอบอุ่นของอวิ๋นเฟยหลง...“เฟยหลง…”เพียงเอ่ยชื่อเขา น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า ราวกับหัวใจถูกบีบรัด เธอรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก พยายา
นับจากโศกนาฏกรรมนองเลือดวันนั้น ก็ผ่านมาได้หนึ่งปีแล้ว อวิ๋นเฟยหลงไม่ยอมรับตำแหน่ง เขาทำเพียงรักษาการณ์แทน และให้เหล่าเสนาบดีเป็นที่ปรึกษาคอยชี้แนะแก่เขาย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน หลังได้รับชัยชนะ เข้ากอบกู้วังหลวงจากคนชั่ว และทวงแค้นจากหานเจี๋ย เขากลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นเฟยหลงประกาศต่อหน้าที่ประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งหลาย“ข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้”คำพูดนั้นสร้างความตกตะลึงไปทั่วห้องประชุม เฟยหลงก้าวออกมายืนกลางห้อง สายตาแน่วแน่“ตลอดชีวิตของข้า ข้าเกิดมาเพื่อรับใช้แผ่นดินและต่อสู้ในสนามรบ ข้าไม่เคยมีความปรารถนาจะครอบครองบัลลังก์มังกร ข้าเชื่อว่าแคว้นนี้สมควรมีผู้นำที่ดีกว่า”นับจากวันนั้นอวิ๋นเฟยหลงก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอดไม่ขาดตกบกพร่องอันใด จนราษฎรต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ ในใจทุกคนอวิ๋นเฟยหลงคือฮ่องเต้ พ่อของแผ่นดินของพวกเขา คอยปกปักคุ้มครองให้แคว้นฉางจีอยู่รอดปลอดภัย บุ๋นก็ชำนาญ บู๊ก็คือเทพเซียนมาจุติและแล้วข่าวดีที่เขารอคอยก็มาถึง เจิ้งจู่ได้รายงานข่าวสำคัญที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เขาค้น
ก่อนที่อวิ๋นเฟยหลงจะได้ปัดป้องตอบโต้ ก็มีเสียงกังวานใสของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“หยุดนะ!” หยางเฟยฮุ่ยยืนอยู่เบื้องหลังของฮ่องเต้ โดยมีทหารองครักษ์ผู้หนี่งใช้ดาบพาดคอของหานเจี๋ย“หากท่านละเว้นอวิ๋นเฟยหลง ข้าก็จะไว้ชีวิตท่าน!” สตรีผู้ได้ชื่อว่าฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน ก้าวขึ้นหน้ามาอีกก้าว หยุดยืนมองหานเจี๋ยนิ่ง“เจ้า!... นี่เจ้ากล้าก่อกบฏหรือ ดีนี่ฮองเฮา ดี … ดียิ่งนัก ทหาร! กุดหัวนางหญิงชั่วนี่ให้ข้าเดี๋ยวนี้!”เงียบ มีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบ ไม่มีทหารคนใดขยับ ต่างมองไปทางอวิ๋นเฟยหลงอย่างรอฟังคำสั่ง“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?!” หานเจี๋ยตื่นตระหนกแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้“ราชโองการในฮ่องเต้พระองค์ก่อน มาถึงแล้ว! อวิ๋นเฟยหลง รับราชโองการ!”ถึงตอนนี้ทหารที่จ่อปลายดาบคุมตัวหานเจี๋ยได้เตะดาบในมือเขาจนกระเด็น ก่อนลากตัวหานเจี๋ยให้ออกห่างจากอวิ๋นเฟยหลง“กระหม่อมอวิ๋นเฟยหลงพ่ะย่ะค่ะ” อดีตแม่ทัพหนุ่มหันกายคุกเข่ามาทางกงกงที่ยืนถือพระราชโองการสีทองอร่ามในมือ“ด้วยโองการสวรรค์ ข้าโอรสสวรรค์ผู้คร
เสียงอาวุธกระทบกันดังไม่หยุด อวิ๋นเฟยหลงหอบหายใจเสียงดัง หลินเข่อซิงมองเสี้ยวหน้าของชายอันเป็นที่รักด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ท่านพี่ ทิ้งข้าไว้เถอะ หากไม่มีข้าท่านก็จะทำศึกได้อย่างเต็มที่ และปกป้องพวกเราทั้งหมดได้”“เหลวไหล! ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้ากับลูกแน่ อย่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน และข้าจะไม่มีวันแพ้! เจ้าอดทนไว้ก่อนนะ” อวิ๋นเฟยหลงปวดใจนักเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆนั่นพูด ประกอบกับบาดแผลที่ไหล่ของนาง เขายิ่งอยากจบศึกนี้ให้เร็วที่สุด กระบวนท่าของอดีตแม่ทัพใหญ่แกว่งไกวดาบเข้าห้ำหั่นศัตรู ร่างกายพลิ้วไหว มือเท้าผสานกัน แม้มือซ้ายจะโอบกอดหลินเข่อซิง แต่นั่นกลับไม่อาจสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มได้“เหล่าพี่น้องของข้า จงฟัง! พวกเจ้าทุกคน วันนี้เราจะเด็ดหัวฮ่องเต้ทรราชนั่นซะ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อพ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกเจ้า ราษฎรแคว้นฉางเยว่ และเพื่อฮ่องเต้องค์ก่อนที่ต้องสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำ จงตามข้ามา!”“เฮๆ ๆ ๆ” เหล่าทหารฝ่ายอวิ๋นเฟยหลงต่างส่งเสียงร้องกู่ก้องไปทั่วลานด้วยการนำของอวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้พวกเขาบุ
‘ท่านพี่ เมื่อท่านได้รับสารฉบับนี้ หวังเพียงว่าท่านจะยังไม่กระทำการรุนแรงกับท่านหมอประจำตัวข้าหรอกนะ’ อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วสูง ก่อนเหลือบมองไปยังใบหน้าช้ำดำเขียว และเปรอะด้วยโลหิตของหมอหนุ่ม ก่อนจะก้มหน้าอ่านต่อ‘ข้าได้ยินมาว่าท่านได้ยกทัพมาประชิดประตูเมืองแล้ว คืนนี้ยามโหย่ว (17.00น. - 19.00น. โดยประมาณ) ข้าจะแอบมารอท่าน ขอท่านพี่ช่วยมารับข้าด้วย ข้าจะไปรอที่ประตูเมืองด้านทักษิณ หลิงเฉินบอกว่าประตูด้านนั้นค่อนข้างหละหลวม เพราะทหารไปรวมกันที่ประตูหน้าเสียส่วนใหญ่ ข้าจะรอท่านนะ’อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตามองไปยังหมอหนุ่มที่ยังนั่งแหงนหน้ามองฟ้า ดูท่ากำเดาคงจะใกล้หยุดไหลแล้วกระมัง อวิ๋นเฟยหลงทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วต่ำ“ข้าต้องขออภัยท่านหมอแทนทหารของข้าด้วย ฝากบอกซิงเอ๋อร์ว่า ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปตามนัดหมาย”เวินสือชูมองบุรุษร่างใหญ่บึกบึนตรงหน้าด้วยความยำเกรง ก่อนจะยิ้มออกมาหน่อยๆ“มิเป็นไร ข้าเข้าใจว่านั่นคือหน้าที่ของพวกเขา หากมิมีอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน หากมานานเกินไป อาจถูกสงสัยได้”อวิ๋นเฟยหลงพยัก
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบกับดาบของเหล่าทหารหาญที่ตั้งทัพอย่างเป็นระเบียบอยู่เบื้องหน้าประตูเมือง เมื่ออวิ๋นเฟยหลงประสานสายตากับเหล่าทหารกล้าที่เขารวบรวมมา พวกเขาคือผู้ที่ยังภักดีต่อแผ่นดินและเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของแม่ทัพผู้เคยกอบกู้แผ่นดิน“วันนี้มิใช่เพียงการทวงคืนวังหลวง” อวิ๋นเฟยหลงประกาศเสียงกร้าว “แต่คือการทวงคืนความยุติธรรม ทวงคืนอนาคตของบ้านเมือง และนำแสงสว่างกลับสู่แคว้นฉางจีอีกครั้ง”เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มจากทหารนับหมื่นที่เข้าร่วม ขบวนธงสีดำลายมังกรทองสะบัดปลิวไสว เสียงอาวุธกระทบกันดังก้อง ขับเคลื่อนจิตใจอันห้าวหาญของนักรบทุกคนเหล่าทหารที่คอยรักษาการณ์ประจำตำแหน่งประตูหน้าต่างตื่นตัวและคอยจับตามองทัพของอดีตแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง อดีตรองแม่ทัพหยางซึ่งในขณะนี้ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ทองลงไปยังอดีตผู้ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่กว่าตน ในสายตามีทั้งความกริ่งเกรง และหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ“ท่านแม่ทัพขอรับ” นายทหารหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมารายงานกับแม่ทัพหยาง“ว่ามา”“ข้าได้รายงานให้กับฝ่าบาททราบแล้วขอรับ ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งใหม่ เห็นว่าฝ่าบา
กลางดึกคืนหนึ่งใต้ฟ้าสีดำสนิท อวิ๋นเฟยหลงและเจิ้งจู่นั่งปรึกษาแผนการกันภายในกระท่อมร้างที่พวกเขาหลบซ่อนอยู่“นายท่าน ครั้งนี้เราจะไม่ยอมให้พลาดอีก” เจิ้งจู่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สายตาแน่วแน่มองผู้เป็นนายอวิ๋นเฟยหลงนั่งนิ่ง ตากลมคมปลาบจ้องมองแผนที่ที่กางอยู่บนโต๊ะไม้เก่า เขามองเส้นทางเข้าออกวังหลวงด้วยสมาธิเต็มเปี่ยม“พลาดไม่ได้อีก เจิ้งจู่” เสียงทุ้มของเขาแฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยว “ครั้งนี้เราต้องเอาตัวซิงเอ๋อร์ออกมาให้ได้”อวิ๋นเฟยหลงเงยหน้าขึ้นจากแผนที่ มองไปยังเจิ้งจู่“แล้วเรื่องที่ข้าสั่งไปถึงไหนแล้ว?”“เรียบร้อยดีขอรับ เรารวบรวมกำลังพลได้มากถึงห้าหมื่นนายที่ยังคงภักดีต่อฮ่องเต้องค์ก่อน แต่ก็ยังนับว่าน้อยนักหากเทียบกับทหารที่ประจำการภายในพระราชวัง”“ดี! ดีมาก ขอบใจเจ้ามากเจิ้งจู่ ผลแพ้ชนะมิได้วัดกันเพียงจำนวนทหาร มีกำลังพลมากแล้วอย่างไร หากเขาเหล่านั้นขาดแรงใจและศรัทธาในผู้นำ” อวิ๋นเฟยหลงยืนเหยียดหลังตรงสองมือไพล่ไว้ด้านหลัง เหม่อมองไปยังจันทราบนฟากฟ้า“ข้าดีใจที่ในที่สุด ท่านก็เลือกจะเปิดเผยตั
ค่ำคืนอันมืดมิดปกคลุมไปทั่ววังหลวง แสงจันทร์ซีดจางลอดผ่านหน้าต่างห้อง หลินเข่อซิงนั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยใบหน้าหม่นหมอง สายตาของนางทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวกลับไม่ได้ช่วยให้นางรู้สึกสงบใจเลยแม้แต่น้อย“คุณหนู...อย่ามัวแต่คิดมากเลยเจ้าค่ะ” หลิงเฉินยกถ้วยชามาวางบนโต๊ะ ใบหน้าของสาวใช้เต็มไปด้วยความเป็นห่วง “พักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ ร่างกายของท่านจะได้ไม่เหนื่อยล้าเกินไป”หลินเข่อซิงถอนหายใจยาว นางก้มมองท้องที่นูนเด่นของตนด้วยสายตาอ่อนล้า “ข้าห่วงเขาเหลือเกิน เฉินเอ๋อร์ เจ้าว่าตอนนี้เขาจะปลอดภัยไหม?”หลิงเฉินนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่ทัพเป็นคนที่แข็งแกร่งและฉลาด ท่านต้องหาทางรอดได้แน่เจ้าค่ะ”หลินเข่อซิงเม้มริมฝีปากแน่น สองมือประสานกันแน่นจนสั่น “ข้าไม่อยากนั่งรออยู่อย่างนี้อีกแล้ว เฉินเอ๋อร์ ข้าควรทำอะไรสักอย่าง”หลิงเฉินมองเจ้านายของนางด้วยความตกใจ “คุณหนูจะทำอะไรเจ้าคะ?”หลินเข่อซิงเบือนสายตามองไปทางประตู “ข้าจะหนีออกไปตามหาเขา ข้าจะต้องหาทางช่วยเขาให้ได้”คำพูดนั้นทำให้ห
แสงจันทร์เล็ดลอดผ่านรอยแยกเล็กๆ บนเพดานห้องขัง เสียงน้ำหยดลงพื้นดังเป็นจังหวะก้องในความเงียบ อวิ๋นเฟยหลงนั่งนิ่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง โซ่ที่ล่ามข้อมือและข้อเท้าของเขายังคงกดทับแน่นจนรู้สึกถึงความเจ็บปวด ร่างกายอ่อนแรงเต็มที แต่หัวใจยังคงเต็มไปด้วยความหวังทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากทางเดินไกลๆ เสียงโลหะกระทบกันดังแว่ว อวิ๋นเฟยหลงเงยหน้าขึ้น สายตาคมกริบจ้องไปยังประตูเหล็กตรงหน้าเสียงดาบกระทบกันดังสนั่น เสียงร้องของทหารที่รักษาคุกดังตามมา อวิ๋นเฟยหลงลุกขึ้นยืน แม้ว่าโซ่จะพันธนาการเขาไว้ แต่เขายังคงตั้งใจเฝ้ารอฟัง ทันใดนั้น เสียงทุบประตูเหล็กก็ดังลั่น“นายท่าน! ข้ามาแล้ว!” เสียงที่คุ้นเคยตะโกนขึ้นประตูเหล็กพังลง เผยให้เห็นเจิ้งจู่ที่ยืนหอบหายใจอยู่ เขาสวมชุดดำสนิทพร้อมดาบเปื้อนเลือดในมือ“เจิ้งจู่...” อวิ๋นเฟยหลงเอ่ยด้วยเสียงแผ่ว“ข้าขอโทษที่มาช้า แต่เราจะพาท่านออกไปเดี๋ยวนี้!”เจิ้งจู่เข้าไปแก้โซ่ที่ล่ามอวิ๋นเฟยหลงอย่างรวดเร็ว ทหารในชุดดำอีกสิบกว่าคนเข้ามาเสริมกำลังกันที่ทางเดิน เสียงต่อสู้ยังคงดังมาจ